25 พฤศจิกายน 2567, 21:44:41
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คิดบวกช่วยได้หลายๆโรค  (อ่าน 6372 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« เมื่อ: 21 มกราคม 2554, 16:13:34 »


                                     คิดบวกช่วยได้หลายโรคๆ
                                    โดย : บุญเกียรติ โชควัฒนา
                           เวบกรุงเทพธุรกิจ วันศุกร์ที่ 21 ม.ค.2554
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/reader-opinion/20110121/372989/คิดบวกช่วยได้หลายโรคๆ.html

                                            

                                         Positive Thinking
 
         ตอนที่ผมเรียนเรื่องจิตใต้สำนึกกับ อ.อมรา ตัณฑ์สมบุญ ได้มีกรณีที่มีคนเป็นโรคหลายๆ อย่างแล้วใช้การคิดบวก จนทำให้หายจากโรคเหล่านั้นได้  ผมเป็นคนที่เวลาไม่สบายจะไม่สบายนานมาก เริ่มจากอาการเจ็บคอ แล้วตามมาด้วยเป็นไข้หวัด และจบด้วยการไอมาราธอน ซึ่งครั้งที่ไอยาวที่สุด คือ 100 วัน ตามที่คนจีนเรียกกันว่า "ไอร้อยวัน" ฉะนั้นเวลาเจ็บคอ ผมก็มักจะกลัวว่าจะต้องไอยาว แล้วส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นไปตามที่กลัว  ระหว่างที่เจ็บคอ เป็นหวัดและไอก็ต้องกินยาแก้ไอ ยาแก้หวัดและยา Antibiotic เป็นเดือน กินครบ Dose แล้วก็เปลี่ยนยาใหม่ เพราะยาเก่ากินไม่ได้ผลแล้ว  เป็นอาการนี้ซ้ำๆ ทุกปี ปีละประมาณ 2 หน

         จนกระทั่งปี พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยมีปัญหา ผมก็ถามตัวเองว่าผมจะช่วยแก้สถานการณ์ของบริษัท ที่ผมต้องรับผิดชอบได้อย่างไร

          คำตอบของผม ก็ คือ

1. ผมต้องมีจิตใจที่ผ่องใส

2. ผมต้องสนใจงานมากขึ้น และขยันขึ้น

3. ผมต้องเอาใจใส่ในความต้องการของลูกค้ามากขึ้น

4. ผมต้องปรับทุกอย่างให้เร็วขึ้น

5. ผมต้องมีสุขภาพที่ดีขึ้น (ไม่ป่วย)


         การที่บอกตัวเองว่า ต้องไม่ป่วย นั้น มีความสำคัญต่อผมมาก ผมเริ่มคิดค้นวิธีการที่จะทำให้ผมไม่ป่วย โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอแบบ Aerobic คือ ใช้การวิ่งบนสายพาน เวลาวิ่งก็ต้องคิดว่า  

1. เราไม่เบื่อ เราสนุกกับการวิ่ง (คิดบวก) เพราะบางคนชอบพูดว่าการวิ่งบนสายพานนั้นน่าเบื่อ

2. คิดว่าการวิ่งเป็นการเสริมสุขภาพแทนการกินยา หรือกินวิตามิน (คิดบวก)  

3. การวิ่งทำให้เลือดในร่างกายต้องสูบฉีดแรงขึ้น เป็นการล้างเลือดให้สะอาด โดยเฉพาะเส้นเลือดในสมอง ซึ่งเป็นเส้นเลือดที่เล็กมากและอยู่สูงกว่าหัวใจ ฉะนั้นตอนผมวิ่งเสร็จจะรู้สึกสดชื่น  ผมก็พูดกับตนเอง ว่า สมองเราจะดีขึ้นๆ (คิดบวก)
 
         มีคนบอกว่า ถ้าวิ่งบ่อยๆ เข่าจะเสีย ผมก็เลยบอกกับตัวเองว่า จะวิ่งยังไงเข่าก็ไม่เสีย (คิดบวก)  ฉะนั้นผมจึงวิ่งด้วยความระมัดระวัง  โดย

1. ใช้รองเท้าวิ่งที่ดี

2. ใช้วิธีวิ่งที่กระแทกกับสายพานให้น้อยที่สุด ซึ่งต้องฝึกและใช้ความพิถีพิถันในการวิ่ง รวมทั้งใช้วิธีวิ่งแบบก้าวยาวบ้าง สั้นบ้าง

3. เริ่มวิ่งจากช้าไปหาเร็ว และจากเร็วมาหาช้า
 
4. เมื่อมีอาการเจ็บแม้แต่เล็กน้อยก็จะหยุดวิ่งเปลี่ยนเป็นการเดินแทน

5. ไม่วิ่งเร็วจนเกินไป

         หลังจากได้วิ่งออกกำลังอยู่ประมาณ 6 เดือน สุขภาพของผมก็ดีขึ้น ดูได้จากการที่ผมไม่เจ็บป่วยอีกเลย ตลอดเวลา 7 ปี เวลารู้สึกเจ็บคอก็จะรีบกลั้วคอด้วยน้ำยากลั้วคอ พอตื่นเช้าอาการก็มักจะหายไป
        
         ที่เล่ามาทั้งหมดก็เพื่อจะบอกว่า การคิดบวกมีประโยชน์ต่อร่างกายของเรา และรักษาโรคหลายๆ อย่างได้ด้วย ตอนที่เรียนกับ อ.อมรา คนที่เรียนอยู่ข้างๆ ผมเล่าว่า

         อาม่าของเขาป่วยเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายแล้ว แพทย์บอกว่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน แต่อาม่าไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นมะเร็ง แล้วก็คิดว่าไม่เห็นเป็นอะไร  สุดท้ายไปตรวจใหม่ มะเร็งหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ มีกรณีอย่างนี้เกิดขึ้นอีกมากมาย เกิดจากการคิดบวกที่มีผลต่อการกำหนดจิตใต้สำนึก ซึ่งจิตใต้สำนึกมีพลังมาก และเป็นผู้ควบคุมเซลล์มะเร็ง (ตามการบอกเล่าของ อ.สรพล ทรรศนีย์ โดยที่อาจารย์ได้ความคิดนี้มาจากทางประเทศญี่ปุ่น)

         พลังจิตจักรวาลก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้ได้ผลกับมะเร็งหลายประเภทได้ผลมาแล้ว ผมเชื่อว่าส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากพลังจิตที่หวังดีของคนที่รักษาส่งไปที่คนที่กำลังรับการรักษาทำให้หายจากโรคร้ายได้ เพราะจิตของทุกคนมีพลัง ฉะนั้นคนที่ฝึกพลังจิตจักรวาลก็ย่อมมีพลังที่จะช่วยให้โรคต่างๆ ของผู้อื่นหายได้มากกว่าคนที่ไม่มีพลังจิต

         จิตที่เป็นกุศลย่อมมีพลังบารมีมากกว่าจิตที่เป็นอกุศล

         ในหนังสือ "The Secret" ก็ได้เล่าถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นมะเร็ง แต่ตนเองยังมีลูกเล็กๆ อยู่ ก็เลยบอกกับตนเองว่าตายไม่ได้ เพราะลูกยังเล็กอยู่ ก็ทำให้มะเร็งที่เป็นหายไป และก็ยังมีอีกกรณีหนึ่ง ซึ่งเป็นพี่สาวของผู้บริหารของบริษัท ซึ่งเป็นมะเร็งในขณะที่ลูกๆ ยังเล็กอยู่ ก็บอกกับตัวเองว่า ลูกยังเล็กอยู่ ยังตายไม่ได้เดี๋ยวลูกไม่มีคนดูแล และขออยู่ต่อไปจนลูกรับปริญญาก่อน ตนก็สามารถประคับประคองตนไปได้อีกกว่า 20 ปีจนลูกรับปริญญาแล้วตนก็เสียชีวิตไป

         ทั้งสองคนดูเหมือนได้เจรจากับยมบาลขอให้ต่อชีวิตให้ตนเอง ซึ่งหลายๆ คนอาจจะไม่เชื่อ แต่ถ้าจะลองขอต่อชีวิต น่าจะไม่มีอะไรเสียหาย ความเชื่อความศรัทธาในสิ่งที่เร้นลับมีความสำคัญ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ และบางทีอาจจะได้ผลก็ได้และไม่ได้เสียต้นทุนอะไรมาก แต่ถ้าลองแล้วอาจได้ผลก็น่าจะลอง  แต่ที่สำคัญ ต้องทำความดี ทำบุญทำทานให้มากควบคู่ไปด้วย

         มีตัวอย่างคนที่เป็นแพทย์แล้วเป็นมะเร็งจนเพื่อนแพทย์ที่รักษามะเร็งบอกว่า เป็นขั้นสุดท้ายไม่มีทางรักษาแล้ว ให้กลับไปพักผ่อนใช้ชีวิตในบั้นปลายให้สงบสุข แต่แพทย์คนนี้สู้ด้วยวิธีรักษาแบบพลังจักรวาลจนไปตรวจใหม่ปรากฏว่ามะเร็งทั้งหมดหายไป

         กรณีแบบนี้มีมากมายทั้งที่มะเร็งหายไปเลย หรือสามารถอยู่ร่วมกับมะเร็งอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยไปได้อีกนาน โดยเฉพาะคนที่มีภาระต้องเลี้ยงดูลูกน้อย และมีการทำบุญมามากพอ เจ้ากรรมนายเวรไม่มารุมเร้าจึงมีโอกาสรอด เพราะเทพเทวดาหรือยมบาลทั้งหลายนั้นก็เคยเป็นมนุษย์อย่างเราด้วยกันทั้งนั้น ก็ย่อมมีความเห็นอกเห็นใจ จึงบันดาลให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างอัศจรรย์

                          win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 24 มกราคม 2554, 18:24:09 »

...เชื่อค่ะ...อย่างน้อยก็เป็นการให้กำลังใจกับตนเอง...
...ไม่ท้อถอย...ผลคือผ่านอุปสรรคต่างๆได้...
...ต้องทดลองทำบ้างสักทีแล้ว...ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่เป็นอะไร...
...เผื่อโรคกำลังฟักตัวอยู่...อาจจะหายไป...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #2 เมื่อ: 28 มกราคม 2554, 18:41:08 »




ยายยิ้ม หญิงร่างเล็ก หลังงุ้ม ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสมชื่อ
อาศัยในบ้านไม้ที่เกือบเสร็จท่ามกลางป่าเขา
จ.พิษณุโลก อยู่ลำพังอย่างเดียวดาย ห่างไกลผู้คนและเงียบสงัด

เมื่อ 20 ปี ก่อน ยายมีบ้านอยู่ที่อำเภอพรหมพิราม พร้อมลูกหลาน
ตอนนั้นลูกชายคนเล็กตั้งใจจะมาบุกเบิกทำมาหากินบริเวณที่อยู่ปัจจุบัน
แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้ง ความไกล ไข้ป่า และความลำบาก
ส่งผลให้ลูกชายของยายเลือกที่จะไปขับรถแท๊กซี่ใน กทม.

และไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ และการไม่อยากเป็นภาระลูกหลานหรืออื่นๆ
ยายยิ้มจึงตัดสินครั้งสำคัญ อาศัยอยู่ที่บ้านในป่าผืนนั้น เป็นต้นมา

ลูกหลานขอร้องให้ยายกลับมาอยู่บ้านแต่ยายไม่กลับ
ลูกหลานจึงได้แต่มาเยี่ยมยายเป็นระยะรวมถึงการนำเสื้อผ้าผ้าห่ม
ข้าวสารอาหารแห้งมาให้ยาย ลูกชายคนที่ยังอยู่ในอำเภอพรหมพิรามบอกว่า
"แม่เขาจะบอกว่าไม่ต้องเอามาให้มากนะ ในชีวิตเขา แม่เขาไม่เคยอยากได้อะไรเลย
เคยถามเขาก็บอกว่า เขาพอแล้ว สมัยยังเด็กบ้านเราจนกันมาก
พ่อก็ตายตอนที่เรายังเล็ก ๆ แต่แม่คนเดียวก็หา
เลี้ยงลูกได้ มานึกดูแกต้องทำงานหนักมาก แม่ถึงเน้นสอนให้เข้มแข็ง
หนักเอาเบาสู้ไม่เลือกงาน"

ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาท่ามกลางขุนเขา ยายไม่มีนาฬิกา
แต่ทุกเวลาล้วนมีคุณค่า การมีชีวิตอยู่ของยายหมดไปกับการปลูกต้นไม้
ทำฝายเล็ก ๆ ที่ยายได้อาศัยในยามหน้าแล้งและยังเป็นสายธาร
หล่อเลี้ยงบรรดาสัตว์ และต้นไม้บนผืนแผ่นดินนี้
และตั้งใจถวายในหลวงและพระราชินี ยายรักในหลวงและพระราชินีมาก

กิจวัตรประจำวัน ตื่นแต่เช้า จุดธูปไหว้พระ เก็บมุ้ง กระย่องกระแย่งมาจุดฟืนหุงข้าว
ตักข้าวสุกแรกเก็บไว้ ตักข้าวกินกับน้ำพริก หรือ ปลาแห้งที่เก็บไว้
ลงมากวาดลานบ้าน ซักผ้า หาบน้ำที่ลำห้วย ออกไปหาฟืนหาไม้ มาเก็บไว้

ก่อนจะคดข้าวใส่กล่อง น้ำพริก ใส่ย่าม สวมที่ขาดวิ่น ใช้พร้าแทนไม้เท้าเวลาเดิน
ข้ามห้วย ข้ามหนอง เข้าไปในป่าลึก ผ่านฝายเล็กๆ หรือคันนาที่ยายทำไว้ 11 ฝาย
เป็นคันดินที่ยายใช้ "จอบกับใจ" ค่อยๆขุดขึ้นมา กลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆกักเก็บน้ำ
พอให้สัตว์เล็กได้มาอาศัย ต้นไม้ชุ่ม ชื่น ระหว่างนั้นก็เอาข้าวมาโปรยให้สัตว์
ในแอ่งดินกันทำคันดินนี้เสร็จ ก็เข้าไปลึกเรื่อยๆ ที่ละฝาย ทีละฝาย
เวลาแต่ละวันผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ เหนื่อยก็พัก แล้วก็เดิน กลับบ้าน
ชีวิตยาย เป็นไปอย่างเรียบง่าย

ทุก ๆ วันพระ ยายจะเดินลงมาจากเขา ด้วยระยะทางเกือบ 8 กิโล
บวกกับวัยชราของยาย จึงทำให้ยายใช้เวลาใน การเดินทางกว่า 3 ชั่วโมง
แต่ก็ไม่ได้ทำให้ศรัทธาของยายเสื่อมถอยลง ลำพังคนหนุ่มสาว
จะให้เดินขึ้นลงเขา สัก 7-8 กิโลเมตร ยังเ ล่นเอาเหงื่อตก
แต่สำหรับยายยิ้มถือเป็นกิจวัตรสม่ำเสมอทุกวันโกน วันพระเพราะไม่ว่าฝนจะตก
ฟ้าจะร้อง ยายก็ต้องไปถึงวัดไม่เคยขาด

ระยะทางไกลที่เต็มไปด้วยหล่มโคลน ถนนเป็นร่อง ขรุขระ ยายยิ้ม
จะออกเดินเท้าจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด เหนื่อยก็พัก ถึงวัดกี่โมงไม่รู้
รู้แต่เมื่อถึงวัดก็เปลี่ยนชุดชาว สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ทำความสะอาดวัด
ทำบุญ เมื่อกลับจากวัด แกก็จะมานับวันหลังจากนั้นไปถึงวันโกนวันพระอีกที
ก่อนที่เดินกลับบ้านในป่า ยายเลือกใช้ชีวิตเพียงลำพัง
และใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอย่างมีความสุขอีกครั้ง

เราขาดในสิ่งที่ยายยิ้มมี นั่นคือ ความพอเพียง ความศรัทธา ความไม่โลภ  
เรามีในสิ่งที่ยายขาด นั่นคือ ความทุกข์

พิธีกร : ข้าวสารอาหารแห้งเอามาจากไหน
ยายยิ้ม : ลูกหลานเข้าเอามาให้ เขาเอามาให้ก็ต้องกิน
             เขาจะได้บุญและก็ต้องกินอย่างประหยัดๆ ไม่ฟุ่มเฟือย

พิธีกร : ฝนตกเปียกไหม
ยายยิ้ม : ก็หลบๆเอา ไม่ลำบาก อย่าคิดว่ามันลำบาก

พิธีกร : เสื้อผ้า ขาดแล้วยังใส่อยู่
ยายยิ้ม : ลูกหลานเข้าเอามาให้ ใส่ไว้เขาจะได้บุญ

พิธีกร : ลูกหลานอยากให้ไปอยู่ด้วยกัน
ยายยิ้ม : ไม่ใช่ว่าจะไม่พึ่ง แต่ให้หมดค่าก่อนค่อยพึ่ง ป่วยไม่สบายไม่มีแรงค่อยพึ่งเขา

พิธีกร : ทำฝายไปให้ใคร
ยายยิ้ม : ให้ในหลวงพระราชินี ท่านเป็นถึงเจ้าแผ่นดินยังทำงาน เราก็ต้องทำให้ท่านบ้าง..
              ส่วนสิ่งที่ทำในหลวงไม่เห็นผีสางเทวดาก็เห็น

พิธีกร : ได้ประโยชน์อะไรจากฝาย
ยายยิ้ม : ในหลวงบอกมีฝายมีน้ำ มีป่า มีปลาเล็กเป็นอาหารนกอีกทีรวมถึงได้ใช้ยามหน้าแล้ง

พิธีกร : กลัวล้มไหมเวลาเดินไปไหน
ยายยิ้ม : กลัวแต่ก็ต้องทำ ทำแล้วมีความสุข

พิธีกร : เหนื่อยไหมที่ทำมา
ยายยิ้ม : เหนื่อย แต่ทำแล้วมีความสุข

พิธีกร : เดินไปวัดลำบาก เหนื่อยไหม
ยายยิ้ม : เหนื่อยก็พัก แล้วเดินต่อ ทางไปสวรรค์มันรก ทางไปนรกมันเรียบ เห็นพระก็หายเหนื่อย

พิธีกร : สรุปว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจ
ยายยิ้ม : คนอื่นว่าลำบากแต่ถ้าเราคิดว่ามันเป็นสวรรค์มันก็ไม่ลำบาก

พิธีกร : ยายมาทำบุญทุกวันพระไหม
ชาวบ้าน : ยายมาประจำแหละ ยายแกชอบทำบุญ ได้เบี้ยเดือน 500 แกยังทำบุญหมดเลย

พระ (กางมุ้งให้ยายนอนในศาลาวัด) : ไม่บาปหรอกยาย ช่วยๆกัน ดูแลกัน
ยาย (นั่งยิ้มด้วยความจำนน)
ยาย เอาเงินที่เก็บๆรวมถึงเงินที่ชาวบ้านให้ไว้มาทำบุญ
ยาย อวยพรให้และภาวนาให้คนที่ทำบุญด้วย
พิธีกร : ยายรู้จักเขาเหรอ
ยายยิ้ม : (ยิ้ม) ไม่รู้จักหรอก เห็นบอกว่าจะบวชก็เลยทำบุญ
             ให้ยายทำบุญนะ (สงสัยคงจะเป็นเงินที่ทางรายการให้)
พิธีกร : ทำเถอะยาย ไม่ว่าอะไรหรอก

พิธีกร : ยายมีของแค่นี้เหรอ (หยิบกระเป๋าใบเล็กที่บรรจุเสื้อผ้า หยูกยาที่จำเป็น บัตรประชาชน)
ยายยิ้ม : แค่นี้แหละเตรียมไว้ เวลาเจ็บป่วยขึ้นมา เอาไปใบเดียว คนอื่นจะได้ไม่ลำบากหา

พิธีกร : จะไม่เป็นการแช่งตัวเองหรือ
ยายยิ้ม : ยิ่งเจ็บ ยิ่งต้องพึ่งตัวเอง ยิ่งต้องเตรียมตัว

พิธีกร : เวลายายไปตัดไม้ไผ่ ทำฝายไม่เกินกำลังเหรอ เอาแรงมาจากไหน
ยายยิ้ม : หัวเราะเบาๆแล้วตอบว่า มันเกินกำลังอยู่แล้วล่ะ แต่ต้องมีความพยายามยายบอกวันนี้หมดแรง นอนพัก พรุ่งนี้แรงก็มาใหม่

พิธีกร : ยายยังขาดอะไรอีกในชีวิต
ยายยิ้ม : ยายยิ้มสมกับชื่อ แล้วตอบอย่างภาคภูมิใจว่า

ขาดความทุกข์

  ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

ดูยูทิวป์ ยายยิ้ม รายการคนค้นคน

 http://www.youtube.com/watch?v=DMm18U0vAPg

  หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
jitwang
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 37

« ตอบ #3 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2554, 10:22:55 »

   [left]  เมื่อเราวางในสิ่งต่างๆแม้กระทั้งโรคร้าย ก็ย่อมอาจจะหายได้
เพราะเราไม่สนมันจะอยู่หรือไป จะอยู่ก็แล้วแตจะไปก็แล้วแต่
จิตเป็นนายกายเป็นบ่า
      บันทึกการเข้า
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><