25 พฤศจิกายน 2567, 10:41:41
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 [2] 3  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: :=: นานาสาระ จาก Forward Mail :=:  (อ่าน 34834 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Dr.Poot
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,330

« ตอบ #25 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2550, 17:28:41 »

ไม่ทราบเหมือนกันค่าพี่หนิง
บันทึกการเข้า
Dr.Poot
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,330

« ตอบ #26 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2550, 12:43:08 »

เลือกกิน...ให้เหมาะกับกรุ๊ปเลือด
 
กรุ๊ป A

เหมาะกับอาหารแบบมังสวิรัติ จึงควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ เพื่อลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และมะเร็ง ระวังอาหารสำเร็จรูป เช่น ไส้กรอก และแฮม เพราะมีไนไตรท์ซึ่งกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในกระเพาะ อาหารประเภทนม ถั่วแดง และอาหารที่มีแป้งสาลีมากเกินไปไม่เหมาะกับชาวกรุ๊ป A เพราะมีผลต่อระบบเผาผลาญ ระบบย่อยอาหาร และชะลอการทำงานของอินซูลิน

การไม่กินเนื้อสัตว์ของชาวกรุ๊ป A จะทำให้ขาดธาตุเหล็ก จึงควรกินข้าวกล้อง ถั่วมะเดื่อ และน้ำตาลโมแลสซิส (สีดำที่เอามาทำซีอิ๊วหวาน) ควรเสริมอาหารที่มีวิตามินบี และซีมาก ๆ เพราะจะช่วยปัญหากรดในกระเพาะต่ำ เช่น บล็อคโคลี่ ส้มโอ สับปะรด เชอรี่ และมะนาว รวมถึงผักใบเขียว

ผู้หญิงเลือดกรุ๊ป A ถ้ามีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม ควรรับประทานหอยทาก เพราะโปรตีนในหอยจะช่วยกำจัดเซลล์มะเร็ง แต่ถ้าอยู่ในวัยกลางคน ควรเสริมด้วยโยเกิร์ตไขมันต่ำ นมถั่วเหลือง ปลาแซลมอน

สิ่งสำคัญ คนเลือดกรุ๊ป A ไม่เหมาะกับการออกกำลังกายหนัก ๆ เพราะจะทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า หมดแรง และส่งผลโดยตรงให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอลง เจ็บป่วยได้ง่าย

กรุ๊ป AB

เป็นส่วนผสมของกรุ๊ป A และ B อาหารมังสวิรัติ จะให้ผลดีต่อร่างกาย ผลิตภัณฑ์จากนม และไข่รับประทานได้ แต่ไม่มาก หากมีปัญหาไซนัสอักเสบ และหูอื้อ ควรงดอาหารจากผลิตภัณฑ์นม เนย ไข่แดง

โปรตีนที่เหมาะสมจะได้จากอาหารทะเล เต้าหู้ แกะ กวาง และกระต่าย แต่ควรรับประทานครั้งละน้อย ๆ เพราะกระเพาะของคนกรุ๊ปนี้ ไม่ผลิตน้ำย่อยเพียงพอที่จะย่อยโปรตีนมากเกินไป

ไม่ควรรับประทานปลาเนื้อขาว และแซลมอนรมควัน ถั่วแดงหลวง โดยเฉพาะถ้าเป็นโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี ไม่ควรรับประทานถั่วเม็ด รวมทั้งน้ำมันชนิดต่าง ๆ ยกเว้นน้ำมันมะกอกเพราะจะส่งผลร้ายต่อร่างกาย

อาหารประเภทข้าว และแป้ง ก็มีประโยชน์กับคนเลือดกรุ๊ปนี้ แต่ให้ระวังแป้งข้าวโพด เพราะเป็นตัวการสำคัญทำให้น้ำหนักเพิ่มง่าย เกิดเสมหะ ซึ่งชาวกรุ๊ป AB มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ จึงควรรับประทานผักสดมาก ๆ ช่วยป้องกันมะเร็ง และโรคหัวใจ ซึ่งเกิดได้ง่ายกับกรุ๊ป AB แต่ควรหลีกเลี่ยงผลไม้เมืองร้อนบางอย่าง เช่น กล้วย มะม่วง ฝรั่ง รวมทั้ง ส้ม ซึ่งไม่ดีต่อกระเพาะ ยกเว้นสับปะรด และส้มโอ ที่ช่วยย่อยได้ดีมาก

กาแฟ ชาเขียว และไวน์แดง ดีต่อเลือดกรุ๊ป AB ส่วน เบียร์ ให้ผลเป็นกลาง แต่ถ้าต้องการลดน้ำหนัก ก็ไม่ควรดื่ม

กรุ๊ป B

ร่างกายของคนเลือดกรุ๊ปนี้ เหมาะจะรับประทานอาหารเนื้อสัตว์ พวกกระต่าย กวาง แกะ ควรเลี่ยงเนื้ออกไก่ เพราะจะนำไปสู่อาการเส้นเลือดแตก หรือตีบในสมอง และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง จึงควรทานไก่งวงแทน

ชาวกรุ๊ป B เป็นเพียงกรุ๊ปเดียวที่ทานอาหารนมเนยได้เต็มที่ ข้าวโอ๊ต และข้าวกล้อง ก็มีประโยชน์มาก แต่ควรเลี่ยงแป้งสาลี ถั่วบางชนิด เพราะไม่ดีต่อเลือด เกี่ยวข้องโดยตรงกับโรคเครียด และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ผักส่วนใหญ่ดีต่อสุขภาพของคนกรุ๊ปนี้ ยกเว้นมะเขือเทศ ที่ต้องห้ามกินโดดเด็ดขาด เพราะมีสารก่อกวนผนังกระเพาะ และข้าวโพด ซึ่งมีผลต่อระบบเผาผลาญ แต่ควรทานผักใบเขียวมาก ๆ โดยเฉพาะเด็กกรุ๊ปB เพราะช่วยป้องกันโรคผื่นคัน

ผลไม้เหมาะกับคนกรุ๊ปนี้มาก ถ้าทานผลไม้วันละ 2 - 3 ครั้ง จะมีผลดีต่อการรักษาโรค และลดความเจ็บปวด ซึ่งชาวกรุ๊ป B จะตอบสนองกับความเครียดได้ดี เนื่องจากมีบุคลิกภาพยืดหยุ่น ประนีประนอมสูง ไม่ชอบการเผชิญหน้าโดยตรงอย่างคนกรุ๊ป O ขณะเดียวกันร่างกายมีพลังมากกว่ากรุ๊ป A

กรุ๊ป O

มีระบบที่ย่อยเนื้อแดงดีมาก จึงเหมาะจะรับประทานเนื้อสัตว์ สัตว์ปีก ปลา รวมทั้งผัก และผลไม้ และควรรับประทานอาหารทะเลเป็นประจำ เพราะชาวเลือดกรุ๊ปนี้มักมีปัญหาโรคเลือดไม่แข็งตัว และไทรอยด์ รวมทั้งโรคลำไส้อักเสบที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่าเลือดกรุ๊ปอื่น ๆ

หญิงสาวกรุ๊ป O ไม่ควรรับประทานแป้งสาลี ข้าวโอ๊ต เพราะมีผลต่อระบบการย่อย ทำให้เกิดการสะสมไขมัน ทำให้เพิ่มน้ำหนักตัว เห็ดหอม และมะกอกดองอาจทำให้เกิดอาการแพ้ มะเขือยาว และมันฝรั่ง ถือเป็นต้นตอให้ปวดข้อ และควรเลี่ยง แคนตาลูป ส้ม สตรอเบอรี่ เพราะมีกรดสูงเกินไปสำหรับคนเลือดกรุ๊ปนี้

ผักใบเขียวจะให้วิตามินเคสูง ซึ่งจะช่วยให้เลือดแข็งตัว

กรุ๊ป O ควรออกเล่นกีฬา และออกกำลังกายหนัก ๆ ออกแรงมาก ความเร็วการเต้นของหัวใจสูง จะเป็นประโยชน์มาก

ชาวกรุ๊ป O ดื่มไวน์ได้บ้าง แต่ไม่ควรดื่มเบียร์ ชา กาแฟ เพราะจะไปเพิ่มกรดในกระเพาะ ซึ่งคนกรุ๊ป O มีมากพออยู่แล้ว

กรุ๊ปเลือดแต่ละกรุ๊ปแตกต่างกัน การกินอาหาร หรือควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่เหมาะสมกับกรุ๊ปเลือด นั่นคือข้อสรุปของทฤษฎีนี้

เป็นอีกแนวคิดที่อาจจะนำมาปรับใช้ ในยุคที่ความก้าวหน้าในการค้นคว้า ทำให้คนเรามี "ทางเลือก" มากขึ้น
บันทึกการเข้า
toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« ตอบ #27 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2550, 13:33:14 »

จาก ".. ชาวกรุ๊ป O ดื่มไวน์ได้บ้าง แต่ไม่ควรดื่มเบียร์ ชา กาแฟ
เพราะจะไปเพิ่มกรดในกระเพาะ ซึ่งคนกรุ๊ป O มีมากพออยู่แล้ว "


ใช่เลยค่ะ .. พี่กรุ๊ป O กรดเยอะจริง ๆ จุกเสียดท้องอยู่เรื่อย
ชอบตรงข้ามกับข้อกำหนด คือ ดื่มกาแฟ แต่ ไม่ดื่มไวน์
คงต้องปรับเปลี่ยน ตัวเอง ซะแล้ว .. สงสัย จะยากเหนอะ !
บันทึกการเข้า
toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« ตอบ #28 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2550, 13:36:17 »

สำหรับ คนที่ต้องเดินทางบ่อย ๆ

บันทึกการเข้า
iamfrommoon
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2535
คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 8,396

เว็บไซต์
« ตอบ #29 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2550, 16:54:37 »

พี่ตู่มมี่...
ขอบคุณค่ะ ได้ประโยชน์มากเลยค่ะ บางสัญญาณน้องพอทราบค่ะ เพราะเวลาขับรถตจว. รถบรรทุกทั้งหลายจะให้สัญญาณแบบที่พี่นำมาโพสต์เลยค่ะ น้ำใจจากคนขับรถบรรทุกมีให้เห็นเสมอเลยค่ะ
บันทึกการเข้า

@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@

toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« ตอบ #30 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2550, 08:23:11 »

นิทานธรรมะ .. จาก FW Mail ขอนำลงในกระทู้นี้ ล่ะกัน !!

เป็นเรื่องราว .. เพื่อให้คนที่มีความทุกข์ใจได้เปรียบเทียบกับเรื่องของตนเอง

จะได้มีกำลังใจขึ้นมาต่อสู้ .. อีกครั้ง


















บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #31 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2550, 10:49:01 »

:)  ขอนำของมาฝากไว้เผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจนะคะ   :)



 
 
 

เเกร็ดธรรมของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช...

 

สิ่งที่เขาทำให้เราคือ ปัญหา เท่านั้น

แต่เมื่อเราเผชิญปัญหาแล้ว

เราเป็น ทุกข์ ของเราเอง

เพราะถ้าจัดการให้ดี เราก็เรียนรู้แล้วก็แก้ปัญหาไป

โดยไม่ต้องเป็น ทุกข์ ก็ได้

 

ปัญหา เป็นสิ่งที่คู่กับชีวิต

แต่ ทุกข์ เป็นสิ่งแปลกปลอม....

 

และที่แนบมานี้ เป็นการถอดเทปธรรมบรรยายของท่านเจ้าคุณศรีญาณโสภณ วัดพระรามเก้า

ในหัวข้อ ‘วิธีล้างสนิมใจ’ ครับ

 

ด้วยความนับถือ

ดนัย จันทร์เจ้าฉาย

_________________________________________________________________________

 

 


ธรรมสวัสดีค่ะทุกท่าน

     น้อมนำความดีจากการไปสวดมนต์ ฟังธรรม และบูชาธรรมพระศรีญาณโสภณ (ปิยโสภณ)  จากวัดพระรามเก้ากาญจนาภิเษก มาฝากพร้อมแนบสรุปคำสอนเพื่อให้ได้ทบทวนธรรมะที่พระอาจารย์ได้เมตตาแสดงธรรมไว้ให้ด้วยนะค่ะและในวันพุธที่ ๓o พฤษภาคมมีการปฏิบัติธรรมตามปกติค่ะ (พระอาจารย์มานพ อุปสโม)



วิธีล้างสนิมใจ : ธรรมะที่พระศรีญาณโสภณ (ปิยโสภณ) จากวัดพระรามเก้ากาญจนาภิเษก แสดงที่เรือนธรรม ประจำวันที่ ๒๒ พ..ค.๕๐ มีรายละเอียดดังนี้



        ขอเจริญพรท่านผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน วันนี้อาตมาภาพถือว่า เป็นบุญที่สำคัญ ที่ได้มาพบปะท่านทั้งหลายและก็มาบรรยายธรรม ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ รุ่นหนุ่มสาว เเล้วสนใจธรรม ธรรมะต้องขออนุโมทนาบุญกับคุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย ซึ่งเป็นผู้ที่เรียกว่าบุกเบิก เป็นคนรุ่นใหม่ ที่ได้นำธรรมะเข้ามาฉายอยู่ในวงการธุรกิจการบริหาร เป็นธรรมรังสี เป็น X-ray ปกติถ้ามะเร็งเขาก็ใช้คลีโม เป็นรังสี X แต่ว่าคราวนี้ เราต้อง X-ray ด้วยธรรมรังสี เพราะว่า ใจมันมีสนิม สนิมของใจก็เปรียบเสมือนกับมะเร็ง ถ้าเราเข้าใจว่า มะเร็งมันร้ายแค่ไหน?

ก่อนที่จะเกิดมะเร็งนี่ เราจะมีวิธีรักษาอย่างไร? ก็จะทำให้เราไม่เป็นโรคมะเร็ง โรคมะเร็งทั้งหมดเกิดจากอารมณ์ที่เป็นพิษ อารมณ์ของมนุษย์มันเป็นพิษ มันไปกระทบต่อระบบเลือด ระบบไหลเวียนของเลือด จะมากระทบทั้งหมดของอารมณ์ใจ ญาติโยมทั้งหลายลองสังเกตดู ถ้าเราโกรธหน้าแดงใช่ไม๊? ถ้าเราเห็นใครหน้าแดง เพราะโกรธ เพราะเกลียด หรือเพราะเเรงกระทบของอารมณ์เนี่ยะ! นั่นแสดงว่า ระบบเลือดเสีย เพราะฉะนั้นเวลาที่เขาฆ่าหมู เเล้วเราชอบกินเลือดหมู ที่จริงนี่เลือดหมูมันมีพิษนะ มันน่าจะคิดว่า ฉันกลัว เกลียด จะวิ่งหนี แต่ในที่สุดก็หนีไม่ได้ ถูกแทง เลือดทะลักออกมา เป็นเลือดที่มีพิษ แต่เราบอกอร่อย เรากินเข้าไป เราก็กินพิษที่มันอยู่ในเลือดนั่นแหล่ะ กินเข้าไปด้วย!

ถ้ามีคนฉายรูปให้ดูนี่ โยมอาจจะตกใจนะว่า ไส้หมูเต็มนี่ไปด้วยพยาธิ ตัวสีขาวๆ เขาต้องผ่า แล้วก็ดึงออกมา ล้างออกมา จึงเอามาขาย บางทีบางร้านเขาก็ขี้เกียจ เขาก็เอามาหั่นๆๆเอามาทำเป็นข้าวต้มบ้าง อะไรบ้าง? ในที่สุด ไอ้ที่เคี้ยวปุดๆนี่ก็ คือ อะไร (พยาธิ) เพราะฉะนั้นถ้วยที่เคี้ยว ปุดๆนี่มักจะอร่อยกว่า เพราะว่ามันมีพยาธิ ไปดูเลย พยาธิตัวขาวจั๊วเลย ตัวใหญ่ เต็มลำไส้เลย อร่อย มีวิตามิน พูดอย่างนี้ ไม่อยากจะกินข้าวต้มใช่ไม๊ล่ะ? อันนี้เรื่องจริง  แต่เราไม่เห็นเราก็กินได้ เลือดก็เหมือนกัน เราไม่เห็น  เราก็กินได้  ไม่รู้ใจหมู เราก็กินเลือดหมูได้ ไม่รู้ใจคน ก็อาจจะเข็ญฆ่ากันได้  ทะเลาะกันได้ ภาษาเราก็เรียกว่า “ไม่เข้าใจกัน”  เพราะฉะนั้นเวลาที่คนรักกัน ทำไมฆ่ากันได้? รู้ไม๊? ทำไมคนรักกันมากๆเลย แต่ฆ่ากันเนี่ยะ! มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มาก แต่งงานกันได้เดือนเดียว อ้าว! เป็นอาชญากรไปเสียแล้ว นี่น่าคิดมากๆเลย เพราะว่า ไม่เข้าใจกัน ความรักเนี่ยะ! เป็นเรื่องของอารมณ์  

ถ้าใครมีความรัก ต้องถือว่าเป็นเรื่องใหญ่แล้ว อย่าคิดว่าเป็นเรื่องรองนะ คนนะแสวงหาความรักว่า เมื่อไหร่ฉันจะมีคนรักฉัน? เมื่อไหร่ฉันจะได้รักคนนั้นคนนี้? คือรักข้างเดียวก็ไม่เป็นไร สองข้างก็ยิ่งดี แต่ในที่สุดแล้ว ความรักจะเป็นสนิม เพราะมันเป็นอารมณ์ไง เพราะฉะนั้น ใครมีความรัก ต้องรีบเปลี่ยนเป็นความเข้าใจ เพราะความเข้าใจนี่เป็นเหตุผล ถ้าใครก็ตาม อยู่ด้วยเหตุผล ก็อยู่กันยืดยาว แต่ถ้าอยู่ด้วยความรัก จะต้องเกิดเรื่องแน่นอน เพราะฉะนั้น ภาษาโบราณของเรานี่  ท่านก็บอกว่า รักมากก็ทุกข์มาก ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ ที่เป็นทุกข์ ก็เพราะว่าสนิมมันเกิดตลอด ต้องตามเช็คกันตลอด ทำความเข้าใจกันตลอด ทุกเวลา ชั่วโมงนึงหลายรอบจริงไม๊? เพราะฉะนั้นคนที่ร่ำรวยเนี่ยะ! กลายเป็นเจ้าของโทรศัพท์มือถือโน่น เพราะว่าเขาหลอกให้เราตรวจสอบซึ่งกันและกัน

นี่เป็นเรื่องที่เราจะต้องทำความเข้าใจสักนิดหนึ่งว่า แท้ที่จริงแล้ว เรื่องของความรักกับเรื่องของความเข้าใจ อยู่ใกล้ๆกันนิดเดียว อยู่ใกล้ๆกัน แต่มนุษย์ไม่ต้องการความเข้าใจ แต่ต้องการความรักมากกว่า ในที่สุดก็เลยได้อารมณ์ ไม่ได้เหตุผล เมื่ออยู่ด้วยอารมณ์สนิมมันจึงเกิด ทั้งหลายทั้งปวงนี่เขาเรียกกันว่า “ต้นกำเนิดของสนิม นี่คือ เรื่องของอารมณ์” แล้วมันพวงมาถึงโรคทางกาย วันนี้จึงจำเป็นจะต้องมาทำความเข้าใจกันว่า ทำอย่างไรจึงจะล้างสนิมใจได้? เพราะสนิมที่อยู่ในใจนี้เป็นสิ่งที่ละเอียดมาก  สนิมทางกาย มองเห็นหน้าตาผิวพรรณผุดผ่องนะ บางคนอาจจะไปขัดผิวมา ไปทำสปา เข้าสปา แต่ลืมทำจิตตะสปา สนิมทางกายนี่ ปะเเป้งแต่งหน้า ดีมากเลย เข้านอนสบาย

แต่ทางด้านจิตใจนี่ เราไม่มีสปาใจ  ไม่มีจิตตะสปายะ คำว่า สปาของอาตมา หมายถึง สปายะ “จิตตะสปายะ” ไม่มี ทำไมจึงไม่มี? เพราะว่ามนุษย์ไม่คิดว่า มันสำคัญไง แต่หารู้ไม่ว่า นอนกอดความทุกข์จริงไม๊? หลับไปกับความทุกข์ ก็คือ นอนเเช่สนิม เมื่อนอนเเช่สนิมเนี่ยะ! จะไม่ให้สนิมมันจับได้อย่างไร? ตื่นเช้าขึ้นมาเราไปทำงาน เราเจออะไรรู้ไม๊? เจอร้อยแปดพันอย่างตอนเช้า ถ้าเป็นลูกน้องเข้างานสาย นายดุไม๊? ดุถูกตัดเงินเดือนถ้าสามสี่วันติดกัน ถ้าทำงานผิดโดนอีกแล้ว ไปผิดนัดก็โดนอีกแล้ว  เจรจาต่อรองงานไม่ได้ผลก็เสียใจ มันก็จะมีรัก โลภ โกรธ หลง อิจฉา พยาบาทอยู่ตลอดเวลา มันเป็นสนิมซึ่งกัดกร่อนเรา

เราทำงานนี่ เหงื่อทางกายไม่ได้ออก เพราะอยู่ในห้องแอร์ แต่เหงื่อที่อยู่ทางใจ มันเยอะมากเลย แล้วมันก็เป็นสนิม เอาล่ะระหว่างทางกลับบ้าน ตัวร้อน ไปเล่นกีฬา เหงื่อออก แล้วก็เหนียวเหนอะนะ เพลีย หิว ดื่ม กิน  อิ่มกาย ไปอาบน้ำชำระร่างกาย ก็สบายใจ ปะแป้งแต่งหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า สบายใจ สบายกาย แต่ว่าสนิมในใจยังไม่หมด เมื่อสนิมในใจยังไม่หมดทำยังไง? เราก็หลับไปเลย ตื่นเช้าขึ้นมา พอกต่อ ไม่ได้ขจัด ไม่ได้กำจัด วันที่สองก็พอกต่อ วันที่สามก็พอกต่อ เราทราบหรือไม่ว่า เวลาที่มาทำงานนี่ เวลาที่กลับบ้าน ขยะที่อยู่ในกระเป๋าเราทิ้งลงถังขยะนอกบ้านทุกทีเลย # แต่ขยะที่อยู่ในใจ เอาไปทิ้งในบ้านทุกครั้งไป พอเข้าไปถึงในบ้าน บางคนทิ้งลงหน้าบ้าน ต่อหน้าคนที่ออกมาเปิดประตูรับ บางคนไปทิ้งบนโต๊ะอาหาร ขุ่นมัวบนโต๊ะอาหาร ทานข้าวไม่อร่อยเลย ลูกเมียกระเจิดกระเจิงก็มี บางคนร้ายยิ่งไปกว่านั้น เอาสนิมไปทิ้งบนที่นอน ถังขยะอยู่บนที่นอน แล้วไม่เคยเอาออกมาเท วันแล้ว วันเล่า จนกระทั่ง สนิมเต็มบ้าน สนิมที่มันอยู่ในใจเนี่ยะ! เราเอาไปทิ้งทุกวันๆในบ้าน “คนข้างเคียงก็เสียหาย…คนข้างกายก็เดือดร้อน” เพราะสนิมมันกิน

ถ้าท่านทั้งหลายดูตัวอย่างเหล็ก มันจะมีเหล็กมี 2 ประเภท
-        เป็นเหล็กที่สนิมกินได้
-        กับเหล็กอีกประเภทหนึ่งก็คือสนิมไม่กิน ต่อให้แช่ลงไปในสนิม สนิมก็ไม่กิน อีกประเภทนึงก็คือ มันเป็นสนิมในตัวของมันเอง


ถ้าท่านดูรถ บางทีนี่รถที่สนิมกิน เราก็เอาไปปะผุจริงไม๊? ถ้าเป็นคน สนิมมันกินนี่ ก็เอาปะผุ ขัดทุกวันๆ แล้วปะผุใหม่ ใช้ธรรมะนี่ปะ รถที่เข้าอู่ซ่อม เขาก็จะเคาะสีออกก่อน แล้วก็ขัดสนิม แล้วก็โป๊ะสีใหม่ เป็นของใหม่ บางอู่ขี้เกียจ ไม่เคาะและก็ไม่ขัดด้วย โป๊ะสีทับลงไปเลย ถามว่า สนิมหมดไม๊? (ไม่หมดหรอก)

พวกเราเวลานี้อยู่ในลักษณะที่โป๊ะสีทับสนิมนะ สังคมปัจจุบันนี้โป๊ะสีทับสนิม กว่าจะรู้ว่า สนิมมันมีอยู่ มันเหลืออยู่ เหล็กหมดไปแล้ว คานก็หัก ตัวถังรถก็หยุบ เหตุเกิดทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ กว่าจะรู้ว่า ผลมันออกมาอย่างนี้ มันออกมาจากไหนเนี่ยะ! บางทีเป็นอาชญากรไปแล้วก็มี บางทีทำทุจริตคอรัปชั่นไป จนกระทั่งตัวเองเดือดร้อนก็มี คนที่ทำทุจริตก็คือ คนที่แพ้ภัยตัวเองแล้ว คนที่ไปทำสงคราม คือ คนที่แพ้ตัวเองแล้ว จึงคิดไปเอาชนะคนอื่น คนที่คิดเอาชนะคนอื่นบอกได้เลยว่า คือ “คนที่แพ้ตัวเองแล้ว ส่งอาวุธไปฆ่าคนอื่น นั่นแสดงว่า ปัญญาวุธดับไปแล้ว” จึงผลิตศาสตราวุธ

ในความรู้ทางพระพุทธศาสนา มีโรงงานขัดสนิมอยู่ 3 ชั้น
ขั้นแรก เรียกกันว่า ศีล
ขั้นที่ละเอียดขึ้นมาหน่อย เรียกว่า สมาธิ
ขั้นที่สาม เรียกว่า ปัญญา

อาตมาจะยกตัวอย่างว่า เราขัดสนิมใจด้วยอุปกรณ์สามอย่างนี่ขัดอย่างไร?
สมมุติว่า แก้วน้ำที่อยู่ต่อหน้าท่านทั้งหลายนี่ เป็นแก้วที่ใส่น้ำขุ่นๆ พอตั้งนิ่งๆน้ำจะตกตะกอน  ถ้าเขย่าอีก เดี๋ยวมันก็ขุ่นอีก พอตกตะกอน ก็จะเห็นก้อนกรวด ก้อนทราย ฝุ่นละออง กรวดนี่โตกว่าเม็ดทราย เม็ดทรายโตกว่าฝุ่นละออง ฝุ่นละอองมันก็จะเล็กๆลงไป อันไหนโตก็จะเห็นง่าย อันไหนเล็กละเอียดก็ต้องขยายดู แต่ถ้าเขย่าอีกก็ฟุ้งขึ้นมาอีก แต่ว่าถ้าอยากทำให้มันหมดไปทำอย่างไร? (ต้องกรอง…ต้องกรองใช่ไม๊?) แต่ว่าน้ำยังมีเชื้ออยู่ ต้องเอาน้ำนี่ไปต้ม หรือฆ่าเชื้อ จึงจะได้

เพราะฉะนั้น ขั้นตอนทั้งหมดนี่ อาตมาอยากจะเปรียบเทียบให้เห็นว่า แก้วน้ำนี่เปรียบเสมือนกับศีล ทำไมจึงเปรียบเสมือนกับศีล? เพราะมันบังคับให้น้ำอยู่ในที่เดียว บังคับคน ดูแลคน จัดระเบียบคนว่า ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องปฏิบัติอย่างนี้ องค์กรนี้มีข้อปฏิบัติอย่างนี้ ศีลพื้นฐานมี ๕ ข้อ ใครบอกว่า ศีลไม่สำคัญ โทษอาญาทั้งหลายทั้งปวงนี่มีอยู่ ๕ อย่างเองก็คือ ผิดศีลทั้ง ๕ จึงเป็นโทษอาญา กินข้าวเย็นนี่ไม่เป็นโทษอาญานะ กินข้าวเย็นสำหรับพระ คือ ศีลข้อที่ ๖ ที่๗ที่ ๘ นี่ไม่มีโทษอาญา แต่ว่าฆ่า ขโมย เป็นโทษอาญาเลยนะ เพราะฉะนั้น ศีลมันจึงตีกรอบให้มนุษย์ อาตมาภาพเปรียบเทียบ ศีลนี้คนโบราณใช้คำว่า “ศีลธรรม” คนปัจจุบันใช้คำว่า “คุณธรรม” (คุณน่ะทำ = ฉันไม่ต้องทำ)

ทำไมจึงบอกว่าศีลธรรมสำคัญ? เพราะศีลมันมีกรอบไง ธรรมะนี่เหมือนน้ำ น้ำมีประโยชน์ไม๊? (มีประโยชน์มากเลย) แต่คนลืมนึกไปว่า น้ำเจ้าพระยาที่มันอยู่ได้นี่ เพราะว่าตลิ่งสองข้างมันกั้นน้ำไว้ มีไม๊ที่มันล้นตลิ่ง? เสียหายไม๊? ปีที่แล้วเราเสียหายมากเลย จนกระทั่งพระเจ้าอยู่หัวของเราเนี่ยะ! เปิดทุ่งมะขามหย่องเพื่อรับน้ำ น้ำจึงไม่ท่วมกรุงเทพฯมาก สูงแค่ห้าสิบเซนต์ยังไม่ถึงเมตร ไม่งั้นก็น้ำจะท่วมกรุงเทพฯอย่างมาก แต่คนไม่เคยนึกว่า ตลิ่งมีความสำคัญ จนกว่าจะต้องใช้กระสอบทรายกันน้ำท่วม จึงจะรู้ว่า ตลิ่งสำคัญ จริงๆแล้ว ตลิ่งทำให้เกิดแม่น้ำ แล้วน้ำก็ไหล

“ศีลทำให้ระบบของของธรรมะนี่ไหลไปได้” มันเป็นของคู่กันนะ อาตมายกตัวอย่าง ให้เห็นกันชัดๆ
ท่านทั้งหลายรู้จักคำว่า รางวัลโนเบล : นายอัลเฟรต โนเบล เขาเป็นคิดวัตถุระเบิดขึ้นมา ความจริงเขาไม่ได้คิดอย่างอื่น แค่จะเอาไประเบิดก้อนหิน ระเบิดคลอง ระเบิดขยายถนน เจาะภูเขา ให้การคมนาคม การเดินทางมันไปได้ ความคิดมีแค่นั้น เพื่อจะให้เกิดการทำมาค้าขาย การเดินทางได้สะดวก แต่ปรากฏว่า คนไร้ศีลนำเอาระเบิดไปฆ่ามนุษย์ด้วยกัน เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เสียงระเบิด ตูมๆ นายอัลเฟรต โนเบลคิดอย่างไร? โอ!…ฉันฆ่าคนอีกแล้วหรือนี่! โอย!…ฉันฆ่าคนไปอีกแล้ว! แกก็เลยคิดขึ้นมาแล้วล่ะว่า ฉันต้องตั้งรางวัลโนเบลขึ้นมา เพื่อสันติภาพ

ปรากฏว่า ความรู้ของแกที่มีอยู่ตอนแรกนี่! ถูกตีกรอบด้วยศีล ตั้งอยู่บนพื้นฐานของศีลธรรม แต่คนไม่มีศีล ก็เอาความรู้ไปใช้ในทางที่ผิด เห็นหรือยังว่า ศีลนี่สำคัญอย่างไร? จนกระทั่งปัจจุบันนี้เราหลงประเด็น เราใช้คำว่า คุณธรรม คนโบราณสร้างแผ่นดินมาด้วยคำว่า ศีลธรรม ไม่มีใครจะพูดถึงเรื่องศีลธรรมแล้วตอนนี้ เนื่องจากกลัวทำผิดศีล ผิดศีลแล้วกลัว เพราะฉะนั้น ฉันเอาแค่คุณธรรมก็พอ จะได้ไม่ถูกศีล
“เขาบอก ผิดธรรม ไม่ตกนรก
ผิดศีล ตกนรก เพราะฉะนั้น ทิ้งศีลไปเลย จะได้ไม่มีนรก สบายใจ”

สมมุติว่า สามีเก่งมากเลย มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนอื่น ทำมาหากินดี รักลูก รักเมีย ถ้าวันหนึ่งผิดศีล ไม่ได้ผิดธรรมนะ ผิดศีลข้อที่ ๓ โยมว่า เข้าบ้านได้ไม๊? (เข้าไม่ได้) ผิดศีลนะ ไม่ได้ผิดธรรม เพราะฉะนั้น ศีลนี่สำคัญมากๆเลย แต่คนไม่เข้าใจ ก็เลยทิ้งศีล แล้วมันเป็นตัวที่ทำให้เกิดสนิมสังคมด้วย ไม่ต้องอื่นไกลหรอก ดูข้อสุดท้าย เมาแล้วขับ สงกรานต์คนตายมากกว่าสงครามน่ะ เป็นไปได้อย่างไง? เรื่องของศีล แต่คนไม่ค่อยสนใจ อย่างพระ : เป็นพระ ไม่ใช่เป็นพระเพราะธรรมะนะ เป็นพระเพราะศีลจริงไม๊?  เขาก็บอก ๒๒๗ แม่ชี ๘ ข้อ สามเณร ๑o ข้อ อุบาสก อุบาสิกา ๕ ข้อ ถ้าเป็นภิกษุณี  ๓๑๑ ข้อ นั่นศีล

“สังคมไทยกำลังเดินหลงทาง เพราะไปเน้นคุณธรรม ไม่ได้เน้นศีลธรรมเหมือนแต่ก่อน”
แก้วน้ำ จึงเปรียบเสมือน ศีล
ความนิ่ง เปรียบเสมือนกับ สมาธิ
น้ำ เปรียบเสมือนกับ จิต
ตะกอนต่างๆ เปรียบเสมือนกับ อารมณ์ ถ้าจิตนิ่ง ก็เหมือนน้ำนิ่ง อารมณ์ที่มันตกตะกอน เหมือน ฝุ่นละอองต่างๆในน้ำที่มันตกตะกอน มันจะเป็นชั้นของมัน นิ่งๆอยู่ ละเอียด แต่มันไม่จบนะ ถ้ามีใครมาเขย่าอีก มันเกิดขึ้นมาอีก เชื่อหรือไม่ว่า วันหนึ่งเราถูกเขย่าตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา ตื่นนอนขึ้นมาเราก็ถูกเขย่าแล้ว เดี๋ยวตา เห็นนั่น มันเข่าเรา เสียงเขย่าเรา กลิ่นเขย่าเรา รสชาดเขย่าลิ้น ถ้าอาหารอร่อยไกลแค่ไหนไปถึงไม๊? บางคนโน่นข้าวขาหมูอยู่ดอยแม่สลองไปกินได้อย่างไร? ไม่เข้าใจ อาตมาไปดอยแม่สลองไปเจอโยมคนหนึ่ง ไปกินข้าวขาหมูดอยแม่สลอง นั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯไปลงเชียงราย ถามโยมว่า รู้จักที่นี่ได้อย่างไร? เขาว่าข้าวขาหมูที่นี่อร่อย หมั่นโถวที่นี่อร่อย ก็เลยลองนั่งเครื่องบินมากินดู มาไกลมากเลย นี่แค่เมืองไทยนะ บางคนไปกินที่ไหนรู้ไม๊? ไปเข้าฮ่องกง ไปสิงคโปร์ ต่อไปพระก็จะไปสวดมนต์ ฉันเพลฮ่องกงบ้างล่ะ ไป ๙ รูป ฉันเพลเสร็จก็กลับ เพราะอะไร? เพราะว่าลิ้นไง!

แรงดึงดูดมันสูงมาก เสียงสูงไม๊? เสียงนี่มันเข้ามาทางหูเนี่ยะ! มันเข้าไปกระแทกจิต  
มันเข้ามาทางลิ้น มันก็ไปกระแทกจิต ไอ้หมอนี่เก็บ จิตเก็บเลยนะ
มันเข้ามาทางตา มันก็ไปกระแทกจิต
“ร่างกายของมนุษย์มีประตู ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วก็ไปเก็บอยูที่ใจ” เพราะฉะนั้น ร่างกายเปรียบง่ายๆเหมือนกับโทรศัพท์มือถือ ใจเนี่ยะ!เหมือนกับSim card ส่วนอารมณ์เหมือนกับ messages ต่างๆที่เราเก็บเข้าไป เราก็ใส่เข้าไปเรื่อยๆ เปรียบเทียบอย่างนี้มันง่ายดี messages ต่างๆตัวนี้แหล่ะ ที่มันเป็นสนิม เรียกว่า มี Virus อาตมาแปล “สนิมเหมือนกับ Virus # ธรรมะจึงเหมือนกับ Anti-Virus” ถามว่า Virus มันน่ากลัวไม๊? มันกินข้อมูลหมดไม๊?(หมดเลย) Computer ทุกเครื่องจึงต้องมี Anti-Virus ถ้าเปรียบกับมนุษย์ตัวเราเหมือน Computer จำเป็นไม๊จะต้องมีธรรมะ? ต้องมี Anti-Virus (จำเป็นมากๆ) แต่มนุษย์ทิ้ง Anti-Virus ทิ้งเลย ก็เปรียบเหมือนกับเครื่อง Computer เครื่องหนึ่ง ไม่มีอะไรที่จะเป็นเกราะป้องกันตัวเองเลย

ทหารไปสามจังหวะชายแดนยังมีเสื้อเกราะเลย หลวงพี่ออกบิณฑบาตยังใส่อังสะเกราะเลย อังสะเกราะเดี๋ยวนี้เขาผลิตแล้วนะ ไปแถวเสาชิงช้า จะมีขายแล้ว อังสะเกราะสำหรับพระในสามจังหวัดชายแดน แต่ใจของเรานี่! เป็นสิ่งเดียวที่เปราะบางที่สุด แต่ว่าไม่มีอุปกรณ์ป้องกันเลย ทำไมจึงบอกว่า เป็นสิ่งที่เปราะบางที่สุด? จิตนี่!เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นตัว ขโมยหัวใจได้ไม๊? คนขโมยใจกันได้ไม๊? (ได้) เอาไปไว้ที่อื่นกันได้ไม๊? (ได้) เพราะอะไร?(เพราะมันขโมยง่ายมากเลย) นั่งอยู่ตรงนี้! จะไปขโมยเงินในกระเป๋าใคร ต้องดูหน้าดูหลังใช่ไม๊? เอ๊!มีกล้องอะไรนะ? มีกล้อง CCTV หรือป่าวนี่? มันจับ แต่ใจเราน่ะกล้อง CCTV มันจับได้ไม๊? (จับไม่ได้) โยมมีหรือป่าว? น่าผลิตมาขายนะ น่าผลิตมาขายมากๆเลยว่า ใครจะไปขโมยใจของใคร ให้มีกล้องนี้ไปจับ

แต่พระพุทธเจ้าผลิตแล้ว ผลิตกล้องที่ไปจับ ใจที่ไปขโมยสิ่งนั้นสิ่งนี้ ดูจากอาการ ใจที่เป็นสนิมมันก็จะบอก เช่นหงอย เหงา ซึม เศร้า โศก เสียใจ ตื่นเต้น ดีใจ มันบอกหมดเลย นั่นแสดงว่า น้ำกระเพื่อมใช่ไม๊? มันถูกเขย่า ถึงได้บอกว่า มนุษย์มันถูกเขย่าตั้งแต่ตื่นนอน จนกระทั่งเข้านอนหลับ นอนอยู่ถูกเขย่าไม๊ (เออ!ตอนฝันก็ถูกเขย่าอีก)

มนุษย์เรานี่! ไม่มีทางที่จะไม่ถูกเขย่าเลย ตื่นเช้าขึ้นมา เอาอีกแล้ว เขย่าหมดเลย เมื่อเป็นแบบนี้ จิตของเราจึงไม่สงบสุข บางคนก็บอกว่า ท่านครับ ให้ผมอยู่นิ่งๆ เงียบๆ นี่!ผมเหงาตายเลย ขอให้ผมได้เขย่าเถอะ ไปเต้นตามผับ ตามบาร์ ที่วัดอยู่ใกล้ RCA อาตมานั่งแท๊กซี่ผ่านอยู่เรื่อยๆ เอ๊!ทำไมเด็กๆมาเขย่ากันอยู่แถวนี้? เต็มไปหมดเลยถนนหนทาง เขาอยู่ที่บ้านไม่ได้ เพราะไม่มี Anti-Virus ป้องกัน เพราะฉะนั้น ต้องออกมาหาสนิม มีสนิมตรงไหนก็ไป เป็นสนิมในใจ

เพราะฉะนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสสอนเรื่องนี้เอาไว้มากมาย ในพระไตรปิฏก ๔๕ เล่ม ๘๔,oooพระธรรมขันธ์ ถ้าเราจะสรุปลงสั้นๆง่ายๆ ก็พูดเรื่องเดียวเลยว่า ขัดสนิมใจได้หรือยัง? ถ้าขัดสนิมใจ สุขเกิดไม๊? (มันเกิด…มันป้องกันแล้ว) สนิมใจที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนี่! เป็นสนิมธรรมดาสามัญมากๆเลย ไม่ต้องไปทำเป็นวิชาการมากๆ เมื่อขัดได้ ก็จะเป็นเกราะป้องกันเรา เหมือนเหล็กแสตนเลสที่ไม่มีสนิมจับ
ถามว่า ขจัดสนิมได้ไม๊? (ไม่ได้)
ป้องกันไม่ให้สนิมเกิดขึ้นได้ไม๊? (ไม่ได้) แต่ป้องกันไม่ให้สนิมมากินเนื้อเหล็กกล้าตัวนี้ได้ เพราะฉะนั้น “จิตที่ถูกฝึกดี ก็จะป้องกันไม่ให้เกิดสนิมต่างๆมากิน”



ใบบัวเป็นใบไม้ชนิดพิเศษที่น้ำไม่ซึมจริงไม๊? เป็นใบไม้ที่แปลกมาก ไม่ซึม เราถามว่า ป้องกันไม่ให้น้ำมากระทบใบบัวได้ไม๊? (ไม่ได้) แต่ป้องกันไม่ให้น้ำซึมเข้าไปในใบบัวได้ไม๊? (ได้) นั่นแสดงว่า ใบบัวต้องเริ่มสร้างเกราะป้องกันที่ใบบัว เหล็กกล้าก็ต้องเริ่มต้นทำตัวเองให้เป็นเหล็กกล้า ป้องกันสนิม สนิมข้างนอกนี่ไม่ได้ เราป้องกันมรสุมต่างๆ คลื่นลมต่างๆไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ แต่เราบังคับเรือ ถือหางเสือเรือได้ เครื่องบิน นักบินที่เก่งที่สุด ก็คือนักบินที่ดึงเครื่องบินอยู่เหนือคลื่นลม หลบก้อนเมฆ ไม่ใช่นักบินที่บอกว่า ฉันจะต้องขับเครื่องบินไปชนก้อนเมฆมรสุมก้อนต่างๆ คือนักบินเก่ง ไม่ใช่นะ เพราะเราบังคับคลื่นลมมรสุมไม่ได้ แต่เราบังคับเครื่องบินได้ไม๊? (ได้) ทำไมจะไม่ได้? ก็ดึงมันเหนือขึ้นไป

เพราะฉะนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงใช้คำว่า โลกุตตระไง!!!
โลกียะ หมายความว่า ขับเครื่องบินไปชนคลื่นมรสุม  
โลกุตตระ หมายถึงว่า ดึงเครื่องบินขึ้นไปเหนือคืบนึง มันก็ไม่กระตุกแล้ว

เพราะฉะนั้นพอมาถึง โลกุตตระนี่! ท่านใช้คำว่า ปัญญา : ปัญญานี้สำคัญนะ (เมื่อกี้ศีล สมาธิ)
ปัญญาตัวนี้แหล่ะ ที่จะเป็นตัวที่ขจัดปัญหา ป้องกันสนิม ขจัดสนิม ทำจิตของเราให้เป็นเพชร เป็นจิตที่บริสุทธิ์แล้ว พอเป็นแบบนี้แล้ว ปัญญาจะแตกต่างจากความรู้นะ เพราะปัญญาส่วนใหญ่ จะมีศีล มีสมาธิ เป็นตัวกำกับ เขาถึงจะเรียกว่า เป็นปัญญา แต่ถ้าเป็นความรู้เฉยๆ ฝรั่งอาจใช้คำว่าแค่ Knowledge ความรู้ธรรมดา ใช้ถูกก็ได้ ผิดก็ได้ # แต่ว่าปัญญาของพระพุทธเจ้า จะมีศีลกำกับ จะไม่มีทางที่ว่า เอาปัญญาไปใช้ในทางเข่นฆ่าผู้คนอื่น สัตว์อื่นหรือทำผิดศีลธรรม เพราะฉะนั้น ตัวนี้จึงเป็น Wisdom เป็นตัวที่สูงขึ้นมา อยู่เหนือคำว่า Knowledge
เราอาจจะบอกว่า เราจบดอกเตอร์มาแล้วเรามีปัญญา ถูกหรือยัง? (ยัง) แต่ถ้าหากว่า เรามีความรู้ แต่ว่าเรายังเอาความรู้ไปทำผิดพลาด ทำจนเกิดผลเสียต่อตนเอง ถ้ารับผิดชอบสูง อาจจะบริษัท-บริวาร-บ้านเมืองเสียหาย อย่างนี้แค่ว่า มีความรู้ แต่ไม่ใช่มีปัญญา ปัญญาของพระพุทธเจ้า ก็คือ ขจัดสนิมใจได้ เพราะฉะนั้นอุปกรณ์ของพระพุทธเจ้าตรงนี้ มันจะเป็นขั้นโลกุตตระแล้ว!

ทำไมจึงบอกว่า เป็นขั้นโลกุตตระ? ก็คือ เหนือ ยกตัวเองเหนือคลื่น เหนืออุปสรรค เหนือปัญหาได้ เช่น มีคนที่รักมาก ป่วยเป็นมะเร็ง ตายกระทันหัน แล้วมีคนมาบอกว่า คนนั้นตายแล้วนะ ถ้าคนปกติ เสียใจไม๊? (เพื่อนรักเสียใจมากเลย) แต่ถ้าสติมา ปัญญามันเกิดแล้ว เราก็จะไม่เสียใจ เพราะเราจะนึกถึงคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทันทีเลย อันนี้จะเป็นโลกุตตระแล้ว เพราะฉะนั้น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะเป็นอุปกรณ์สำคัญของตัวปัญญา  พิจารณาทุกอย่างเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นปัญญาที่เป็นโลกุตตระแล้ว คือทำให้เราพ้นทุกข์ในขณะวินาทีนั้น ในขณะจิตนั้น ไม่ทุกข์ข้ามคืน ไม่นอนกอดความทุกข์ข้ามคืน บางคนไม่ใช่นอนกอดธรรมดา จดทะเบียนสมรสกับความทุกข์ นอนกอดความทุกข์ทุกคืนๆ ใครเขาบอกให้ไปหย่าก็ไม่ยอม เมื่อจดทะเบียนกับความทุกข์อย่างอมตะ ทุกข์อมตะ เราก็เจอทุกข์ซิ ทำอย่างไรถึงจะจากความทุกข์นี้ไปได้? ก็ต้องสร้างความรู้สึกใหม่ว่า “ทุกข์ต้องถูกขจัดทุกวินาทีๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามที ทุกข์ก็จะต้องถูกขจัดไปในนาทีนั้น เราจะไม่ยอมให้ความทุกข์นั้นข้ามคืน” ตั้งประเด็นเลยว่า เราจะไม่ยอมให้ความทุกข์นั้นข้ามคืนไปถึงวันพรุ่งนี้ เหมือนกับเราจะอาบน้ำชำระร่างกายทุกวัน จะไม่ยอมรับโดยไม่ได้อาบน้ำ คนส่วนใหญ่นี่ถ้าไม่อาบน้ำมันจะนอนหลับไม๊? (คงจะมีบ้างนะขี้เกียจอาบน้ำ) แต่เรามีความเชื่อว่า อาบน้ำแล้วสบาย ที่อาตมาภาพบอกว่า….

จิตตะสปานี่! มันมีความสำคัญมาก เพราะมันเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรจะมี แต่มนุษย์ไม่ทำนะ ถ้าเรายังมีสนิมอยู่ในใจนี่! มันทำไม่ได้ ที่นี้จึงมาถึงขั้นตอนว่า จะขจัดสนิมอย่างไร? อันนี้สำคัญนะ!!!
อุปกรณ์ ศีล-สมาธิ-ปัญญา ของพระพุทธเจ้านี่! คนก็อธิบายไปเยอะเเยะมากมาย มันเป็นตำรา แล้วมันไม่สามารถที่จะนำไปประพฤติปฏิบัติได้ จนกระทั่ง เขียนเป็นตำรับตำรากัน แล้วอ่านยาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว  มันเป็นของสามัญแท้ๆเลย ศีล-สมาธิ-ปัญญา พระพุทธเจ้าท่านก็พูดจากสิ่งที่มันเป็นสามัญ เป็นความจริงพื้นฐานของมนุษย์ว่า ถ้าสนิมอยู่ในใจ ไม่ถูกขจัด ต่อให้เรามีอายุยืนแค่ไหน? เราก็ขาดทุน ต่อให้เรามีกำไรแค่ไหน เราก็ขาดทุน ต่อให้บริษัท โรงงานเรา ผลิต-ส่งออกได้แค่ไหน เราก็ขาดทุน เพราะเราจะมีความสำเร็จที่ไร้ความสุข เป็นความสำเร็จที่ไร้ความสุข

มนุษย์ที่มีความสำเร็จแต่ไม่มีความสุขก็คือ มนุษย์ที่โชคร้ายที่สุด มนุษย์ที่โชคร้ายที่สุดอีกประเภทหนึ่งก็คือว่า มนุษย์ที่ไม่รู้ว่า ตัวเองโชคดี หมายความว่า ตัวเองโชคดีแท้ๆ แต่คิดว่า ตัวเองโชคร้าย พอคิดว่า โชคร้าย สนิมมันก็เกิดซิ มีเพชรแต่ว่า เม็ดมันเล็กก็เสียใจ เพราะได้เม็ดเล็กมา ตอนที่เขาขายเพชรซาอุเม็ดใหญ่ไม่ได้ซื้อไว้ ไปเห็นของเพื่อนที่ซื้อไว้ เห็นแล้วไม่สบายใจ เสียดาย! แล้วก็เสียใจว่า มันมีเม็ดที่โตกว่า เราน่าจะซื้อไว้ อยากจะได้ นี่แค่ความคิด สนิมก็เกิดขึ้นแล้ว สนิมมันละเอียดมาก แค่คิดก็เป็นสนิม

ศีล ต้องผ่านกาย วาจา จึงเป็นสนิมใช่ไม๊? แต่ว่าสนิมใจนี่ แค่คิดก็เป็นสนิม เอาซิ! เพราะฉะนั้น มนุษย์ที่นั่งอยู่นิ่งๆ แค่คิดก็เป็นสนิม แต่ในโลกนี้ ทั้งหลายทั้งปวง เขาไม่มีมโนทุจริตนะ มีพระพุทธศาสนาที่สอนมโนทุจริต  มโนทุจริตคืออะไร? ก็สนิมใจไง ใครมีมโนทุจริตมาก โอกาสที่จะเพราะสนิมใจนี่! มันก็มาก สนิมใจมันก็จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ

อาตมาขอยกข้อเดียวมาอธิบายให้ท่านทั้งหลายได้ฟังว่า สนิมที่มันเกิดขึ้นมากที่สุดในชีวิตเราเนียะ! คือ อารมณ์ประเภทไหนที่รุนแรงที่สุด?…..
โทสะ_โทสะคืออะไร? โทสะไม่ใช่โกรธนะ ถ้าโกรธ ภาษาพระเรียกว่า โก-ธะ โทสะ แปลว่า ประทุษร้าย แต่ถ้าโกรธ คือ โก-ธะ เอาล่ะ!มันก็ทั้งสองอย่างอยู่ใกล้ๆกัน
ราคะ มีสนิมไม๊? ใครมีราคะมาก ยกมือซิ?
ใครมีโทสะมาก ยกมือซิ? ชอบโกรธ ชอบกระทืบเท้า พื้นที่ทำงานนี่!ทรุดหมดแล้ว
ใครมีโลภะมาก? โลภ กระเป๋าตุงตลอด ใครมีโลภะมากนี่!สังเกตง่าย ใส่อะไรไว้ในกระเป๋าเต็มไปหมด ไม่ว่าจะ ขนม นม เนย ใส่ไป แอบกินที่หลัง
โมหะ_เข้าใจไม๊โมหะนี่? หลง : โมหะเปรียบเสมือนกับคนใส่แว่นตาสี ถ้าใส่แว่นตาสีฟ้า ทุกอย่างเป็นสีฟ้าหมดใช่ไม๊? ถ้าใส่แว่นตาสีแดง ทุกอย่างมันก็จะเป็นสีแดงหมด ถ้าใส่แว่นตาเหลือง ทุกอย่างมันก็จะเหลืองหมด โมหะจะแทรกอยู่ในราคะ ในโลภะ ในโทสะ ในโก-ธะ ความโกรธ การประทุษร้าย อิจฉา ความพยาบาท ใครแรงอิจฉาสูงปรี๊ดเลย? (อย่ามาให้ฉันเห็นนะ อย่าทำให้ฉันเห็นนะ มันมีอยู่ในใจ) มนุษย์นะ! เเรงอิจฉาเนี่ยะ! มันจะเป็นตัวบอกว่า สนิมเกิดในใจมากหรือน้อย อาฆาตมีไม๊? กะจะได้ลงศอกลงเข่ากันมีไม๊? (มี) พยาบาทมีไม๊? (มี) อิจฉาพยาบาทเป็นอารมณ์แรงไม๊? (แรง) ราคะเเรงไม๊? (เเรง)

สิ่งเหล่านี้โยมว่า มันมีอยู่ใกล้ตัวไม๊? มันอยู่ตรงไหน? มันไม่ไกลถึงขนาดอยู่ในกระเป๋าเลยนะ มันอยู่ในตัวนะ (ที่ใจ) มันอยู่ที่ตา  ที่หู ตาเห็นนี่เกิดราคะได้ไม๊?(ได้) เกิดโทสะได้ไม๊? (ได้) โมหะได้ โกรธได้ไม๊? (ได้) หูฟัง แล้วเกิดอารมณืพวกนี้ได้ไม๊?(ได้) กินก็ยังโกรธได้เลย เพราะว่าเข้าร้านผิด หรือไม่ก็เส้นผมลงไปในอาหาร โกรธไม๊? ฉันไม่จ่ายหรอก ขึ้นโรงขึ้นศาลยังมีเลย นี่มาจากพวกนี้ สนิมมันมาแล้ว แล้วมันทำให้เกิดอารมณ์ที่รุนแรงที่สุด ที่ทำให้เป็นสนิม แล้วก็ทะลุเลย คืออะไร? (แต่ละคนจะไม่ไม่เหมือนกันนะ)

โทสะ พยาบาท อาฆาต อิจฉา ถ้าจะเอาอิจฉา แล้วทำให้เกิดอารมณ์ร้อนได้ไม๊? (ได้)
เอาโทสะ ทำให้เกิดอารมณ์ต่างๆได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น โยมไปเรียงลำดับ ก็แล้วกันนะว่า เรานี่ประเภทไหน? ประเภทเห็นเพชรไม่ได้ใช่ไม๊? ประเภทเห็นทองไม่ได้ใช่ไม๊? หรือประเภทเห็นจตุคามไม่ได้ รุ่นไหนฉันต้องจอง บางคนบ้าหนังสือ ซื้อหนังสือแต่ไม่ได้อ่านหรอก บ้าเพลงมีไม๊? อัลบั้มชุดไหนก็ซื้อ บางคนบ้าเแฟชั่นรองเท้า ๒o คู่กองเต็มบ้านเลยแต่ไม่ได้ใช้มีไม๊? (มี) บางคนผ้าพันคอ (บ้า) อะไรที่เราเห่อมากๆ มันแสดงว่า อารมณ์พวกนี้ มันจะเป็นสนิมแล้ว สนิมกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

อาตมาตอนหนึ่งนะ ชอบอะไรรู้ไม๊? (ชอบปากกา) จะชอบปากกา สะสมปากกายี่ห้อนั้น ยี่ห้อนี้ คนไหนเขารู้ว่า เราชอบ เขาก็ซื้อมาให้ มีอยุ่วันหนึ่งหายหมดเลย โอโห้!พอปากกาหายหมด บอกโอ!ทำไมจึงมีความสุขอย่างนี้ โล่งอกซ่ะทีนึง ตอนนี้ใชปากกาด้ามละ ๕ บาท เขียนได้เหมือนกัน เซ็นได้เหมือนกัน ไม่เห็นจะต้องไปเดือดร้อนเลย สนิมมันหมด ตอนแรกเราภูมิใจว่า คุณค่ามันอยู่ตรงนั้น มันเป็นสนิม แต่ว่าเราไม่รู้ไง มันดีใจ มันภูมิใจ เราไปที่ไหนเราก็ซื้อไอ้นี่แหล่ะ พอยึดอย่างนี้มากๆเข้า โอ!กว่าจะโล่งได้ ต่อเมื่อถูกขโมยไปแล้ว

กลับไปโยมไปดูตู้เซฟบ้างนะ ตู้เซฟไม่แน่นะ ลืมกุญแจวันเดียว เพชร นิล จินดา หายเกลี้ยงเลย บ้านเราเป็นประเภทมีของดีต้องเก็บในตู้เซฟ ก็ไม่รู้ใครจะเห็นหรือป่าว? แต่ตัวเองภูมิใจ ดีใจ ใส่ออกงานทุกอย่างก็ของปลอม (กลัว!) ของแท้อยู่ในตู้ แล้วก็ภูมิใจ สนิมขังไม๊? สนิมมันขังอยู่ในใจเราตลอดเวลา อาตมาก็เลยจะบอกโยมว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ มันเป็นสนิมแล้วล่ะ! ที่มันทำให้เรานี่ถูกดึง ถูกดูดเข้าไป แรงดึงดูดของโลก ทำให้ยานอวกาศต่างๆต้องใช้เเรงพุ่งออกจากโลกไปสู่อวกาศนี่สูงไม๊? (สูง) เพราะฉะนั้น เเรงดึงดูดของจิต จึงเปรียบเสมือนกับแรงดึงดูดของโลก แรงดึงดูดของกิเลสนี่มันสูงมาก ทำให้มนุษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวงจรของสังสารวัฏ กลัวนิพพาน กลัวไม๊? นิพพานน่ากลัวไม๊โยม? (กลัวเพราะอาหารร้านนี้ก็อร่อย ถ้าไปนิพพานสงสัยจะไม่ได้กินขนมจีนร้านนี้แน่ๆเลย กลัวมากเลย กลัวนิพพานนี่ เหมือนกับเรามีความรู้สึกว่า เรากลัวที่จะหลุดจากโลก) เพราะฉะนั้น อวกาศของโลกนี่ มันเหมือนกับเป็นอิสระ จิตที่พ้นจากแรงดึงดูดของกิเลส มันก็จะเป็น อวกาศของจิต หมายความว่า  มันเป็นวิมุต ภาษาพระเรียกว่า วิมุตติ แต่ถ้าเป็นธรรมดาเขาเรียกว่า สมมุติ
 สมมุติ คือ โลกียะ # วิมุตติ ก็คือ โลกุตระ  ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้แล้ว จิตของเราจะเริ่มคิดแล้วว่า ทั้งหมดที่เรายึดครองมามันเป็นของสมมุติ

อาตมาจะเล่าให้ฟังนะ มีโยมคนหนึ่ง วินาทีสุดท้ายก่อนจะตาย เขาล้างสนิมในใจได้ เขาป่วยหนัก เป็นมะเร็งอยู่ที่ รพ.บำรุงราษฏร์
บันทึกการเข้า
toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« ตอบ #32 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2550, 08:34:28 »



เอาดวงอินเดียมาให้อ่านกัน .. ค่ะ  
แม่นไม่แม่นยังไงโปรดใช้วิจารณญาณ  
คือเห็นว่าแปลกดี และเค้าแบ่งราศี ไม่เหมือนของเราเลย
แถมมีมากกว่า 12 ราศี และชื่อแปลกดี


อัศวินี (13 - 26 เมษายน)
เป็นคนแข่งแกร่ง มีอำนาจและมองหาความท้าทายให้ชีวิตอยู่
เสมอมีบุคลิกร่าเริงแจ่มใส งดงาม เฉลียวฉลาด
และเปิดเผยแต่กระนั้นก็มีความลึกลับอยู่ในตัวทำให้เป็นคนเข้าใจยากในเรื่องความรัก
คุณกำลังมองหาคู่ที่เพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบแต่ตัวคุณเองมักไม่พร้อมที่จะมีพันธะ
สัญลักษณ์ หัวม้า หมายถึงแจ่มใส ราศีเนื่อคู่ ภรณี สี แดงเข้ม


ภรณี (27 เมษายน - 10 พฤษภาคม)
เป็นคนมีเสน่ห์ทางเพศ
ชื่นชมความงามและศิลปะทุกรูปแบบแต่ต้องระวังอย่าหมกมุ่น
ในเรื่องเพศมากเกินไปบางครั้งอาจจะก้าวร้าวและดูเหมือนเห็น
แก่ตัวจึงต้องหาคู่ที่ไม่กลัวการผูกมัดและสามารถสนองตอบความต้องการทางโลกียและเพศได้
สัญลักษณ์ โยนี (อวัยวะเพศหญิง) หมายถึงมีเสน่ห์ทางเพศ
ราศีเนื้อคู่ อัศวินี สีแดงเข้ม


กฤติกา (11 - 24 พฤษภาคม)
เป็นคนทุ่มเท ฉลาดและสุขุมเยือกเย็นยามเกิดวิกฤต
แต่ก็มักโมโหง่ายและถึงแม้จะไม่ชอบการเผชิญหน้าแต่ก็สู้ไม่ถอยเมื่อถึงเวลา
เป็นคนที่เปิดกว้างต่อโลกภายนอกแต่ก็เคร่งครัดในศาสนาในเวลาเดียวกัน
และถึงเเม้จะกำลังตามหารักก็ยังคงกลัวการผูกมัดอยู่ดี
สัญลักษณ์ ใบมีด หมายถึงไฟ ราศีเนื้อคู่ เชษฐา สี ขาว


โรหิณี (25 พฤษภาคม - 7 มิถุนายน)
เป็นคนอ่อนไหว เปลี่ยนแปลงตัวเองได้รวดเร็วเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้แต่ก็มีเสห่ห์
และชอบความสุขสบาย อาจเป็นคนขี้หึงจึงเจ็บปวด
ได้ง่ายดูจากภายนอกอาจจะเป็นคนไม่ผูกพันกับใคร แต่ลึกๆแล้วใฝ่หาความรักสุดตัวทีเดียว
สัญลักษณ์ ล้อรถ หมายถึงความงาม ราศีเนื้อคู่ อนุราธ สี ขาว


มฤคศิร (8 - 20 มิถุนายน)
เป็นคนเข้มแข็ง ฉลาดเป็นกรด และหัวไวอีกต่างหากทุ่มเถียงทะเลาะกับใครก็ต้องชนะให้ได้เกิดมาเป็นผู้นำและชอบมีอำนาจเหนือผู้อื่น
คุณต้องการคู่ชีวิตแต่มีเพียงคนที่คุณต้องการจริงๆเท่านั้น
ที่จะกระตุ้นอารมณ์ปรารถนาของคุณได้
สัญลักษณ์ศีรษะกว้าง หมายถึงสติปัญญา ราศีเนื้อคู่ หัฏฐะ สี เงิน


อารทรา (21 มิถุนายน - 4 กรกฏาคม) เป็นคนประสบความสำเร็จในชีวิต
เป็นที่ชื่นชอบของใครๆจึงมักวุ่นวายอยู่เสมอและมักให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของคนอื่นมาก
เสียจนละเลยความคิดตัวเองไปความที่ชอบฟังคำซุบซิบและชอบออกงานสังคม
อาจทำให้คุณดูเหมือนคนมีความคิดตื้นเขินแต่จริงๆแล้วไม่ใช่คนแบบ
นั้นเลยคุณยอมสละได้ทุกอย่างเพียงเพื่อทำให้ฝันเป็นจริง
สัญลักษณ์ เพชร หมายถึงนักยุทธศาสตร์ ราศีเนื้อคู่ มฤคศิร สี เขียว


ปุนัพสุ (5 - 18 กรกฎาคม)
เป็นคนน่ารัก
ห่วงใยและใส่ใจผู้อื่นคุณจะต้องตั้งเป้าหมายและทะยานไปสู่ความสำเร็จเสมอไม่อย่างนั้นจะรู้สึกว่าตัวเองขาดหลักในชีวิต
คุณอยากมีครอบครัวใหญ่ๆแต่ถ้าไม่มีก็จะพยายามเข้าใกล้กลุ่มคนที่เปิดโอกาสให้คุณได้ใช้สัญชาตญาณควาเป็นแม่แต่ระวังบรรดาคู่รักของคุณจะเซ็งเสียก่อนสัญลักษณ์ คันธนู หมายถึงความเป็นแม่ ราศีเนื้อคู่ ภรณี สี เทา


ปุษยะ (19 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม)
เป็นคนขยัน
ทุ่มเทให้กับการทำงานและมีความสามารถในการปั้นความคิดให้เป็นความจริงขึ้นมาหากวางแผนดีๆก็จะประสบความสำเร็จในการงานได้ไม่ยากนัก
สำหรับคุณการแสดงความรู้สึกอาจจะเป็นเรื่องยากแต่ก็ต้องพยายามหน่อยไม่เช่นนั้นคู่ของคุณอาจจะรู้สึกว่าเขาหรือเธอไม่เป็นที่ต้องการก็ได้
สัญลักษณ์ ดอกไม้ หมายถึงสีสัน สดุดตา ราศีเนื้อคู่ อัศวินี / อาศเลษา สี แดงและดำ


อาศเลษา (2 - 15 สิงหาคม)
อาจจะดูเป็นคนขี้เกียจ แต่จริง ๆแล้วสมองไวไม่เคยหยุดนิ่งรักอิสระและอาจจะรักสันโดษด้วยรักความสงบไม่บ่อยนักที่จะโกรธใครแต่ใครมาแหยมเป็นเจอดีและแม้ว่าจะเป็นคนขึ้หึงก็ไม่ได้อยากให้คู่
ของคุณมีนิสัยอย่างเดียวกัน
สัญลักษณ์ งูพิษ หมายถึงอำนาจสะกดใจ ราศีเนื้อคู่ บุษยา สี แดง


มาฆะ (16 - 29 สิงหาคม)
เป็นคนฉลาด เอาตัวรอดเก่ง ร่าเริงแจ่มใส
ใครเห็นใครปิ๊งเป็นผู้นำที่ใจดีแต่แฝงด้วยความเข้มแข็งข้อดีเหล่านี้ทำให้คนมากมายชื่นชนคุณแต่ขณะเดียวกั
นก็มีคนคอยอิจฉาด้วยคุณมีความสุขดีอยู่กับชีวิตรักแต่คนรักในอุดมคติของคุณนั้นค่อนข้างจะหายากทีเดียว
สัญลักษณ์ วอ หมายถึงชื่อเสียง ราศีเนื้อคู่ เชษฐา สี ครีม


บุรพผลคุนี (30 สิงหาคม - 12 กันยายน) เป็นคนอบอุ่น มีเสน่ห์ และดวงดี
คุณทำงานหนักแต่ก็รู้จักหาความสุขกับชีวิตความกระตือรือร้นที่มีอยู่เต็มเปี่ยมจะนำคุณไปสู่ความสำเร็จนอก
จากนี้คุณยังเป็นคนจริงใจไม่โกหก
รสนิยมคุณนั้นเลิศหรูนักมักจะเป็นสีสันให้กับงานเลี้ยงเสมอๆคุณอยากให้ตัวเองและคู่มีเป้าหมายเดียวกันและ
เคียงข้างกันก้าวไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้
สัญลักษณ์ เตาผิง หมายถึงโชค ราศีเนื้อคู่ มาฆะ สี น้ำตาล


อุตรผลคุนี (13 - 25 กันยายน)
เป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดี หนักแน่นและเกิดมาเป็นผู้ให้อย่างแท้จริงเป็นเจ้าแห่งยุทธวิธีและเป็นนักวางแผนที่ดีแต่ความรู้สึกไม่ค่อยมั่นคงและตึงเครียดอาจทำให้คุณประพฤติตนไร้เหตุผลเกิดความประหม่าและไม่มั่นใจได้คุณคอยเป็นกำลังใจให้คู่ของคุณเสมอและก็หวังให้เขาหรือเธอเห็นคุณค่าของสิ่งที่คุณทำและตอบแทนคุณด้วยความรัก สัญลักษณ์ ขาเตียง หมายถึงสู้ชีวิต ราศีเนื้อคู่ บุรพผลคุนี
สี ฟ้าสดใส


หัฏฐะ (26 กันยายน - 9 ตุลาคม)
เป็นคนมีเสน่ห์และน่าสนใจ
แต่ก็อารมณ์เสียได้ง่ายๆคุณทะเยอทะยานและเป็นเจ้าของชะตาชีวิตของตัวเองบางครั้งอาจจะดูเหมือนเป็นคนเห็นแก่ตัว
แต่จริงๆแล้วคุณเป็นคนใจกว้างกว่าใครๆเมื่อคุณตกลงปลงใจกับคู่ของคุณแล้วคุณจะดูแลเอาใจใส่เขาหรือเธอเป็น
อย่างดีและจะเป็นผู้ให้ที่แสนอารี สัญลักษณ์ ฝ่ามือ หมายถึง
การฝึกตนด้วยโยคะ ราศีเนื้อคู่ มฤคศิร สี เขียว


จิตรา (10 - 22 ตุลาคม)
เป็นคนชอบเข้าสังคม
รักชีวิตกลางแจ้งและชอบเมาต์เป็นชีวิตจิตใจคุณอาจจะดูมีความสุขกับการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆและหาเพื่อนใหม
่ได้ง่ายๆแต่โดยธรรมชาติของคุณแล้ว คุณรักความสันโดษแม้จะอยากใช้ชีวิตร่วมกับใครสักคนแค่ไหน
แต่คุณก็ไม่เคยทุ่มให้เขาหรือเธอเต็ม100 เปอร์เซ็นต์ได้สักที
สัญลักษณ์ ไข่มุก หมายถังความงาม ราศีเนื้อคู่ หัฏฐะ สี ดำ


สวาตี (23 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน)
เป็นคนแอกทีฟไม่เคยอยู่นิ่งแต่มักจะตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอะไรเป็นสิ่งต่อไปเพราะอยากทำอะไรๆเต็มไปหมดถึง
แม้ว่าคุณมีอุดมการณ์เป็นแรงบันดาลใจและเป็นพลังขับเคลื่อนแต่คนชอบหาว่าคุณเป็นจอมบงการจริงๆคุณก็แค่มีความมุ่งมั่นเท่านั้นเองส่วนในด้านความรักพันธะทางใจต่อกันนับเป็นคุณสมบัติสำคัญที่สุดสำหรับคู่รักในอุดมคติของคุณ
สัญลักษณ์ ปะการัง หมายถึงความทะเยอทะยาน ราศีเนี้อคู่
ภรณี สี ดำ


วิสาขะ (6 - 18 พฤศจิกายน)
เป็นคนทะเยอทะยานแต่ใช่ว่าความสำเร็จทางด้านวัตถุจะทำให้คุณพอใจเสมอไปหากต้องการเติมชีวิตให้เต็มอาจจะต้องเปลี่ยนการมองโลกเสียใหม่ข้อดีของคุณก็คือสามารถเข้ากับคนได้ทุกระดับมีความสนใจในสิ่งต่างๆหลากหลายและแม้ว่าคุณยอมรับการผูกพันกับใครคนหนึ่งแต่คุณก็ยังคงต้องการความเป็นส่วนตัวอยู่บ้าง
สัญลักษณ์แท่นปั้นหม้อ หมายถึงความหวัง ราศีเนื้อคู่ จิตรา สี ทอง


อนุราธ (19 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม)
คุณเป็นคนที่มีความขัดแย้งอยู่ในตัวบางครั้งคุณอาจจะสนใจในเรื่องของจิตวิญญาณแต่ก็วัตถุนิยมแบบสุดขั้วใจ
ดีก็ได้ใจร้ายก็บ่อยสร้างเสียงหัวเราะให้คนรอบข้างได้ในนาทีหนึ่งแต่ก็กลับหดหู่ซึมเซาในนาทีถัดมาดังนั้นคุณจึงไขว่คว้าหาทางสายกลางอยู่ตลอดเวลาคุณกำลังตามหารักแท้และก็พร้อมจะสละ
ทุกสิ่งเพื่อมัน
สัญลักษณ์ ดอกบัว หมายถึงความรัก ราศีเนื้อคู่ เชษฐา สี
น้ำตาลแดง


เชษฐา (2 - 14 ธันวาคม)
คุณเป็นคนร่าเริง
ทะเยอทะยานต้องการประสบความสำเร็จในสิ่งที่คนอื่นไม่เคยทำได้มาก่อนและเชื่อได้เลยว่าคุณจะทำสำเร็จหากมีวินัยในตัวเองมากพอคุณเชื่อมั่นในเรื่องจิตวิญญาณแต่ก็นิยมยินดีกับเพศรสบางครั้งอาจจะประหม่าแต่ต้องแสดงออกว่ามั่นใจเอาไว้ก่อนนอกจากนี้คุณยังขี้หึงในขณะที่ตัวเองเป็นคนหลายใจคุณต้องการคู่ที่ทำหน้าที่คู่สนทนาได้อย่างชาญฉลาด
สัญลักษณ์ ตุ้มหู หมายถึงความสง่างาม ราศีเนื้อคู่ มาฆะ สี ครีม


มูละ (15 - 27 ธันวาคม)
ทดลองของใหม่ๆ อยู่เสมอและยังเป็นผู้นำที่มองโลกในแง่ดีอีกด้วยคุณเป็นคนเบื่อง่าย แต่เพราะว่าเป็นคนปรับตัวเก่งจึงลุกขึ้นมาเปลี่ยนอะไรๆ ได้เมื่อสิ่งต่างๆรอบตัวนั้นดูราบเรียบเกินไปความสัมพันธ์ระหว่างคุณและคู่จะเป็นไปได้ด้วยดีตราบใดที่เขาหรือเธอยอมให้คุณเป็นตัวของตัวเองต่อไป
สัญลักษณ์ หางสิงโต หมายถึงความไม่หยุดนิ่ง ราศีเนื้อคู่ บุพพาสาฬหะ สี เหลืองมีสตาร์ด


บุรพสาฬหะ (28 ธันวาคม - 10 มกราคม)
เป็นคนสร้างสรรเฉลียดฉลาดและมีปัญญาหากคุณได้ทำงานที่ตรงกับความสามารถทุกอย่างจะผ่านฉลุยและผลที่ได้ก็จะ
เป็นที่น่าพอใจคุณเปลี่ยนตัวเองไปได้เรื่อยๆแต่อาจจะพบความยุ่งยากหากคู่ของคุณไม่ยอมเปลี่ยนตามไปด้วย
สัญลักษณ์ งาช้าง หมายถึงบุคลิกที่โดดเด่น ราศีเนื้อคู่ เรวดี สี ดำ


อุตตราสาฬหะ (11 -23 มกราคม) เป็นคนกระฉับกระเฉง สมองดี
เข้าขั้นปัญญาชนทำสิ่งที่ตั้งใจและไล่ตามความฝันได้โดยไม่ย่อท้อคุณเกลียดการหลอกลวงและคนโกงและจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะได้ทำลายคนพวกนี้ให้สิ้นซากหนึ่งในความต้องการของคุณคือการ
ได้อยู่คนเดียวดังนั้นความสัมพันธ์ของคุณอาจจะซับซ้อนและยุ่งยากกว่าคนอื่น
สัญลักษณ์ ขาเตียง หมายถึงการสันโดษ ราศีเนื้อคู่ อุตตรภัทรบท
สี ทองแดง


ศรวณะ (24 มกราคม - 5 กุมภาพันธ์)
คุณมีสมองเฉียบแหลมราวมีดโกนและรูปลักษณ์ภายนอกอันแข็งแกร่งไว้เพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวคุณถวิลหาความสงบ
ท่ามกลางสรรพเสียงแห่งชีวิตแต่ก็เป็นผู้ฟังที่ดีและเชี่ยวชาญในการแก้ปัญหาให้ผู้อื่นคู่ของคุณจะต้องเคารพเงื่อนไขที่คุณตั้งไว้และจะต้องเข้าใจด้วยว่าบางครั้งคุณก็ต้องการอยู่คนเดียวสัญลักษณ์ หู
หมายถึงความเงียบ ราศีเนื้อคู่อุตตรภัทรบท สี ฟ้า


ธนิษฐา (6 - 18 กุมภาพันธ์)
เกิดมาพร้อมพรพิเศษในทางสายธรรมแต่ก็ใช่ว่าจะทิ้งเรื่องทางโลกย์คุณมีความสามารถรอบด้าน บุคลิก โดดเด่นมีสง่า
ผ่องใสและไม่เห็นแก่ตัวคู่ของคุณอาจจะรู้สึกว่าคุณทำตัวห่างเหินแต่หากคุณพบคู่ที่วาดฝันไว้แล้วล่ะก็คุณจะซื่อสัตย์กับเขาหรือเธออย่างที่สุดและโชคของคุณที่คนรอบข้างยอมรับข้อเสียหลายอย่าง
ของคุณได้  
สัญลักษณ์ขลุ่ยหรือกลอง หมายถึงดนตรี ราศีเนื้อคู่ ศตภิษัช สี เงิน


ศตภิษัช (19 กุมภาพันธ์ - 3 มีนาคม)
เป็นคนยึดมั่นในหลักการ
ดูลึกลับในบางครั้งและชอบตั้งเป้าหมายที่ไกลเกินเอื้อมให้กับตัวเองคุณมองการณ์ไกลแต่ขาดความมั่นใจต้องการมีความสัมพันธ์ที่น่าตื่นเต้นแต่ฝ่ายตรงข้ามจะรู้ได้อย่างไรหากคุณไม่เริ่มต้นส่งสัญญาณให้เขาหรือเธอรับร้เสียก่อน สัญลักษณ์ ดวงดาว หมายถึงความรู้แจ้ง ราศีเนื้อคู่ ธนิษฐา สี เขียวอ่อน


บุรพภัทรบท (4 - 16 มีนาคม)
คุณเป็นคนอ่อนไหว
และห่วงใยคนรอบข้างทำให้คนมากมายเข้ามาขอคำปรึกษาจากคุณถึงแม้ตอนนี้คุณจะประสบความสำเร็จทางด้านวัตถุแล้วก็ตามคุณก็ควรวางแผนการเงินของคุณให้ดีนอกจากนี้คุณมักจะมองคนข้างกายในแง่ดีเกินจริงและเมื่อพูดถึงความสัมพันธ์แล้วคุณอาจจะดูเหมือนเป็นฝ่ายที่ต้องพึ่งพา แต่จริงๆแล้วคุณเป็นคนที่พึ่งตัวเองได้โดยไม่ต้องง้อใคร สัญลักษณ์ ดาบ หมายถึงสันติสุข ราศีเนื้อคู่
อุตตร ภัทรบท สี เงิน


อุตตรภัทรบท (17 - 30 มีนาคม)
เป็นคนฉลาด ใจบุญ มีอุดมการณ์ และเคารพความฝันของผู้อื่นคุณเชื่อในโชคชะตาและมักมีความรู้สึกไม่อยากยุ่งเกี่ยวผูกพันไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆในชีวิตคุณจะเป็นครูที่ดีได้ถ้าเลือกจะไปทางนั้นคุณมักจะพยายามประคองความสัมพันธ์ให้อยู่รอดแต่ถ้ามันไม่งอกงามคุณก็จะตัดใจและก้าวไปข้างหน้าต่อไป
สัญลักษณ์ ฝาแฝด หมายถึงความมืดที่งดงาม ราศีเนื้อคู่ เรวดี สี ม่วง


เรวดี (31 มีนาคม - 12 เมษายน)
คุณเป็นคนมีจิตใจเมตตา ห่วงใยผู้อื่น
และอ่อนไหวคุณอุทิศตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวมแต่เป็นประเภทปิดทองหลังพระคุณเป็นคนมีความงาม
แต่ขาดความมั่นใจคุณต้องเรียนรู้ที่จะศรัทธาและไว้ใจคนอื่นบ้างสำหรับเรื่องความรักคุณเป็นคนโรแมนติกจึงต้องการคนที่เข้าใจว่าลึกๆแล้วคุณต้องการอะไร
สัญลักษณ์ ปลา หมายถึง ความบริสุทธ์ ราศีเนื้อคู่ อุตตรภัทรบท สีน้ำตาล
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #33 เมื่อ: 27 มิถุนายน 2550, 11:39:43 »

[ขอส่งข้อความที่ขาดหายไปต่อนะคะ

อาตมาจะเล่าให้ฟังนะ มีโยมคนหนึ่ง วินาทีสุดท้ายก่อนจะตาย เขาล้างสนิมในใจได้ เขาป่วยหนัก เป็นมะเร็งอยู่ที่ รพ.บำรุงราษฏร์  หมอบอกอีกหนึ่งเดือนตาย ให้เวลาหนึ่งเดือน เดือนหนึ่งผ่านไป ไม่ยอมตาย ภรรยาเดือดร้อนซิ ไปหาพระบอก….

โยมภรรยา   : ท่านสามีฉัน หมอให้เวลาหนึ่งเดือนแล้ว ไม่ยอมตาย ท่านไปช่วยหน่อย
พระ           : จะให้พระ ไปพูดว่า ให้ตายใช่ไม๊โยม น่าจะเดือดร้อนนะ!
โยมภรรยา  : ไม่ใช่ท่าน ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น หมายความว่า คนป่วยเขาบอกว่า ฉันจะไม่ยอมตายเด็ดขาด เพราะบ้านหลังใหญ่สร้างไว้ร้อยกว่าล้าน ยังไม่ได้อยู่ ยังไม่เสร็จ ป่วยก่อน มานอนโรงพยาบาล ที่พันกว่าไร่ก็ราคามากมายมหาศาล
พระ       : โฉนดเอามากำไว้เลย ดูซิขนาดไหน? ลูกอีก ภรรยาอีก ทรัพย์สมบัติอีกจำนวนมากมาย ห่วงอีก สนิมกินมากเลย อาตมาก็บอก โยมถ้าจะนิมนต์พระไปคุยกับเขานี่นะ ต้องนิมนต์พระที่เขาศรัทธา อาตมาเป็นพระเด็กๆ เขาไม่รู้จักด้วย
โยมภรรยา  : เขาไม่รู้จักพระเลยท่าน แม้แต่รูปเดียว
พระ          : ปกติเขาไปวัดไหนล่ะ?
โยมภรรยา  : เขาไม่เคยไปวัดไหนเลย ไปแต่สังสารวัฏ
พระ          : แล้วจะทำอย่างไง?
โยมภรรยา  : เอาท่านนี่แหล่ะไป เผื่อจะได้เรื่อง
พระ          : แล้วถ้าเกิดเรื่องจะทำอย่างไรโยม? โยมรับผิดชอบนะ
โยมภรรยา  : ได้

อาตมาก็รับไป ก็ไปคุย ไปนั่งคุยกัน กับโยมอายุ ๖o ปี

พระ : โยม!…โยมดูแข็งแรง
โยมคนป่วย : เเข็งแรงอะไรท่าน? แขนเน่าแล้วนี่ เบื่อมากเลยชีวิต
พระ : อ้าว!โยมเบื่อชีวิต แล้วโยมห่วงอะไร?
โยมคนป่วย : (พูดชัดเจน) ผมห่วงที่ดิน ห่วงทรัพย์สมบัติ ห่วงลูก ห่วงบ้าน ห่วงภรรยา ห่วงหมดเลย
พระ : โยมถ้าสมมุติว่า เขาให้ตายในตอนนี้ โยมจะเอาอะไรไป?
โยมคนป่วย : บ้าน ที่ดิน โฉนด
พระ : (เขามีโฉนดอยู่ข้างเตียงคนไข้ แปลกมากเลย! อาตมาพอเชื่อว่า แกคงไม่เคยเข้าวัดวัดเลย) แล้วอะไรอีกที่โยมอยากเอาไป?
โยมคนป่วย : ภรรยาครับ
พระ : (โยมภรรยากระโดดออกห้องไปเลย กลัวเหลือเกิน!) เสร็จแล้วก็เลยบอกว่า โยม…บ้านก็ดี เอา! สิ่งที่โยมรักมากที่สุดก็คือ ภรรยา โยมได้มาทีหลังใช่ไม๊?
โยมคนป่วย :  ครับ
พระ : ตอนแรกที่โยมมาเกิดนี่… โยมได้อะไร?
โยมคนป่วย :  ได้ชีวิตครับ
พระ : ภรรยาล่ะ?
โยมคนป่วย :  ได้มาทีหลังครับ
พระ : ลูกล่ะ?
โยมคนป่วย :  ทีหลังครับ
พระ : บ้านล่ะ?
โยมคนป่วย :  ทีหลังครับ
พระ : ทีดินพันไร่พร้อมโฉนดล่ะ?
โยมคนป่วย :  ทีหลังครับ
พระ : อ้าว! ของพวกนี้ทีหลังเนี่ยะ! มันย่อมมีความสำคัญน้อยกว่าชีวิตใช่ไม๊?
โยมคนป่วย : ใช่ครับ เพราะว่า มีชีวิต ผมจึงได้สิ่งเหล่านี้มา
พระ : แล้วโยมทำไมไม่เอาร่างกาย ชีวิตโยมกลับล่ะ?
โยมคนป่วย : อันนี้แหล่ะครับ ผมเกลียดที่สุดเลย มันทำให้ผมเป็นทุกข์  ผมเกลียดมากๆเลย มันทำให้ใจผมไม่ผ่องใส ไม่มีอะไรเลย
พระ : อาตมาก็บอกว่า โยม! ขนาดของที่เป็นตัวชีวิตโยมแท้ๆ นี่!ติดตัวมา โยมยังเอาไปไม่ได้นะ นี่! Original นะ โยมยังเอาไปไม่ได้ อย่าคิดจะไปเอาของปลอม ที่ได้มาภายหลังไปนะ มันเป็นไปไม่ได้!
โยมคนป่วย : เขายกมือขึ้นบอก เข้าใจแล้วครับท่าน อย่าพูดต่อ เดี๋ยวผมจะงง!  
เขาเรียกว่า ปิ๊งเลย! บรรลุน่ะ แกจะถึงอนาคาหรือป่าว? อาตมาก็ไม่ทราบ แต่อาตมาหยุดเงียบเลย เพราะเเกสั่งให้หยุดพูด คือถ้าพูดไป เดี๋ยวแกงง จะลำบาก เสร็จแล้วก็บอกว่า โยม!…โยมเข้าใจแล้วก็ดีแล้ว แกวางหมดเลยนะ ล้างหมดเลย สนิมทั้งหมดที่มีอยู่ มันหมด แกโล่ง แกเบา อาตมาก็ลา

รุ่งขึ้นโยมภรรยามาบอก : ตายแล้วท่าน
พระ : (ไปดี) พูดอยู่คำเดียวให้ตั้งศพที่บ้าน บ้านอยู่สุขุมวิทนี่เอง ตั้งศพที่บ้าน คือ อย่าเอาไปวัดนะ!  (ยังสั่งอีกว่า ตายแล้วอย่าเอาฉันไปวัดนะ สงสัยกลัวพระ) แล้วก็บอกว่า หลวงพี่องค์นั้น (คือไม่รู้จักชื่อกันเลยนะ) เอาไปเทศน์หน้าศพฉัน แล้วก็นำฉันไปฝังไปลงดิน (เป็นคนจีน)ให้นำไปด้วย

วันเทศน์ที่หน้าศพ อาตมาก็ไปที่บ้าน โอโห!…อาตมาก็เทศน์ไปน้ำตาร่วงไป คนฟังก็เทศน์ไปน้ำตาร่วงไป น้ำหูน้ำตาไหลกันทั้งบ้าน นึกว่า ประทับใจ อาตมาก็บอก ต่อไปอย่าจุดธูปดอกใหญ่มากนะ (อาตมาเเพ้ธูป..นี่พูดตอนที่ขึ้นรถ ที่เขาถวายเครื่องไทยทานแล้วนะ) แล้วก็ไปส่ง แกก็มีความสุขมาก ทั้งลูก ทั้งภรรยา ทั้งหมดนี่! เห็นสามีวางทุกอย่างได้ สนิมหมดเเล้ว  โอโห! เกิดมาไม่เคยเจอ เขาเป็นคนที่จะยึดทุกอย่าง ไม่มีที่คำว่าคลายปมแม้แต่นิดเดียว พลาดไม่ได้ ทุกอย่างต้องเป๊ะๆๆ ต้องเอาให้ได้ ต้องทำให้ได้ เครียดทั้งหมดเลย เพราะความเครียดตัวนี้ทำให้เป็นมะเร็งที่ตับ จากสนิมที่ใจกลายเป็นสนิมตับ จากสนิมใจสู่สนิมตับ เดี๋ยว!คุณดนัย จะได้เขียนหนังสืออีกเล่มหนึ่ง มันเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มาก ก็บอกโยมว่า ปัญญาตัวนี้เเหล่ะ ที่ทำให้เราเข้าใจ มันจะทำให้เราหมดสนิม

ถามว่า ปัญญาคือวางใช่ไม๊? ขั้นโลกุตตระแล้วนะวาง ถ้าใครบอกว่า ใช้โลกุตตระมาใช้ บอกปล่อยวาง แล้วเป็นลูกน้องคุณดนัย ปล่อยวางงานเสียไม๊? รับรองให้เวลาสามวัน ถ้าไม่ปรับปรุงตัวเอง ยังใช้ธรรมะในลักษณะปล่อยวางอยู่ ทำงานต่อได้ไม๊? (ไม่ได้) อย่าใช้เชียวล่ะ ธรรมะขั้นปล่อยวางในระดับโลกุตระ มาใช้ในระดับโลกียะ มันจะแปลว่า ขาดความรับผิดชอบ เพิกเฉย ต้องคิดให้ดีนะ มันมีหลายระดับ ถ้ามีหน้าที่ มีการ มีงานต่างๆต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าเป็นกิเลส ต้องปล่อยวาง ถ้ามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ กัดให้ติด จับให้แน่น # แต่ถ้าเป็นกิเลส ที่มันจะก่อสนิมใจ ต้องปล่อย ต้องวาง ต้องละ ต้องล้างให้หมด เหมือนเรามีเหงื่อ โอย! เราเสียดายเหงื่อไม่อาบน้ำถูกไม๊?(ไม่ถูก..เราต้องชำระออก)

เพราะฉะนั้น สนิมที่มันอยู่ในใจเนื่ยะ! มันก็ต้องชำระออก ชำระทุกวันๆ ชำระตั้งแต่สิ่งแรกๆที่เราเห็น เขาเรียกกันว่า “แผ่เมตตา” ใครเคยแผ่เมตตาบ้าง? คนที่เกลียดที่สุดนี่แผ่เมตตาให้ไม๊?  ส่วนใหญ่นะแผ่เมตตาให้คนที่รักก่อนใช่ไม๊? คนที่เกลียดนี่แผ่ทีหลังใช่ไม๊? มันเป็นขนมที่ติดกระดาษ เป็นเศษอาหาร เอาใหม่นะ แผ่เมตตาให้กับคนที่เราเกลียดมากที่สุดเลย เอาก่อนเลย ต่อมาก็คนที่เกลียดรอง คนที่เกลียดเราด้วย แผ่เมตตา ส่วนใหญ่นะ หลับตาแล้ว มันเห็นเลย แผ่เมตตาไป มันไปหยุดจ๊ะอยู่หน้าบ้านเขา เมตตาเราเหยียบเบรคตรงนั้นเลย ถอยกลับหลังหัน กลับมาหาเราเหมือนเดิม เข้าไปไม่ถึงใจเขา มันไม่สามารถจะเข้าไปอยู่ในใจได้ มันก็จะเป็นลักษณะเดียวกัน

เพราะฉะนั้นแผ่เมตตา เปรียบเทียบให้ง่ายๆ คนที่เรารัก หรือคนที่เราชัง ยิ่งเราให้ขนมคนที่เรารักมากเท่าไหร่? คนที่เราชัง ยืนดู กลืนน้ำลายอยู่ทุกครั้ง มันหิวอยู่ แล้วมันก็เกลียดเรา เกลียดคนนี้ด้วย เกลียดสองเท่าท่านจึงบอกว่า ให้เท่ากัน ทั้งคนที่เรารัก และคนที่เราชัง ให้ของกับคนที่เรารัก กับคนที่เราชังนี่ ให้เท่ากันได้ไม๊?(ได้) แล้สทำได้หรือยัง? สมมุติว่า มีคนซึ่งเราชอบกับไม่ชอบนี่! มีของอยู่สองชิ้น ชิ้นหนึ่งรักมากที่สุด ชิ้นหนึ่งไม่ค่อยชอบ จะเอาชิ้นที่รักมากที่สุดให้ใคร? ให้คนที่ไม่ชอบได้ไม๊? มันคิดหนักนะ เมื่อมันคิดหนัก แสดงว่ามันยังไม่หมด มันยังขจัดไม่ได้ ยังเป็นสนิมอยู่

เมื่อเป็นสนิม สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสสอน ใครเคยได้ยินคำว่า สัพเพ สัตตาบ้าง เคยได้ยินไม๊? “สัพเพ สัตตา” หมายความว่า เอาคนมาคละกัน ไม่ใช่คนที่เรารัก ไม่ใช่คนที่เราเกลียด ไม่ใช่คนที่เราอาฆาตพยาบาท เป็นคนนะ เป็นคนเหมือนกัน คือใช้คำว่า สัตตา ไม่ใช่คำว่า ปิตา มาตา ไม่ใช่นะ หรือศัตรู ไม่ใช่นะ แต่เป็นคำว่า สัตตา โอโห! คำนี้ยิ่งใหญ่มาก เหมือนกับคนที่ตายโดนระเบิดอยู่อิรัก เรารู้สึกเสียใจไม๊? (สงสารเฉยๆแต่เราไม่เสียใจใช่ไม๊) แต่ถ้าวันหนึ่ง เป็นคนที่เรารู้จักอยู่ที่โน่น เราเสียใจไม๊? (เสียใจ) เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นญาติ เสียใจมากเลย เพราะนั่นไม่ใช่ สัพเพ สัตตา แต่เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นญาติ เป็นบุคคลที่เรารัก ถ้าตูม!ได้ข่าวว่า เป็นคนที่เราเกลียดเป็นไง! (ไปซ่ะได้ก็ดี) จะได้หมดเวรหมดกรรม โยมว่า หมดไม๊? ถ้าเรายังไม่ชำระหนี้เขาหนึ่งล้านหมดหนี้ไม๊? หมดไม๊? มันหายใจโล่งนะ ถ้ามันไม่ต้องชำระหนี้เดี๋ยวลูกเขาก็มาทวง!

 ข้ามภพ ข้ามชาติไม๊หนี้? ถ้ามันเป็นสนิมอยู่ในใจ เพราะใจมันข้ามภพชาติไง แต่ร่างกายมันไม่ข้ามภพ ชาติ มันเป็นของชั่วคราวร่างกาย มันมีอายุอย่างเก่งเจ็ดสิบ แปดสิบปี ก็หง่อมแล้ว แต่ใจมันเป็นของข้ามภพ ชาติ ภพชาติของจิต จริงๆแล้วมันไม่มี แต่ดูเหมือนมันมี เพราะมันมีร่างกายมาเป็นตัวประกอบ ภพชาติของจิตนี่! มันยิ่งใหญ่ มันเป็นสิ่งที่มีพลังที่สุด แหล่งพลังงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ก็คือ จิต แต่มนุษย์ทำให้มันอ่อนแอ และในที่สุด ก็ท้อแท้ หดหู่ ไม่มีพลัง เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้นะ โยมใช้คำว่า สัพเพ สัตตา อย่าไปใช้คนที่เกลียด ที่รัก ที่ชังนะ อาตมานั่งอยู่ตรงนี้ ไม่รู้จักใครสักคนเลยนะ เป็นสัพเพ สัตตา คือ ทำไม่ให้รู้จักเลย หลับตาก็ได้ แล้วแผ่เมตตา สัพเพ สัตตา ถึงหมดเลย แผ่เมตตาอย่างไร?
“สัตว์ทั้งหลาย ทั้งปวง ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่ เจ็บตาย ด้วยกัน ทั้งหมด ทั้งสิ้น
จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย
จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนกันเลย
จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจ
จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด รักษาตน ให้พ้นจากทุกข์ภัย ทั้งหมด ทั้งสิ้นเทอญ.”

อันนี้เป็นภาษากาย แต่มันมีภาษาใจ ที่ละเอียดลงไปอีก ถึงจะชำระสนิมใจได้นะ ถ้าเข้าไม่ถึงภาษาใจชำระใจได้ไม๊? (ไม่ได้) เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านจึงสอนให้เราทำสมาธิ เพราะสมาธิ มันจะทำให้ตกตะกอน แล้วใจมันจะเด่นขึ้นมา น้ำมันจะใส ใจเหมือนน้ำ ตะกอนเหมือนอารมณ์ มันใส มันชำระ เขี่ยออกที่ละนิดๆ ชำระลงไปนะ ให้อภัย แผ่เมตตาให้ ถึงขนาดเราแผ่เมตตาให้ตัวเอง ยังมองไปจนลึกว่า นี่ไม่ใช่ตัวเรานะ แต่เป็นหยดเลือดหยดหนึ่ง ที่มีอาหารปรุง แล้วโตขึ้น มนุษย์มาจากหยดเลือดใช่ไม๊? สเปิร์ม ไข่พ่อกับเเม่ผสมกัน แล้วกินเลือด ดูดเลือด เเปดเก้าเดือนหลุดตุ๊บออกมา แล้วโตๆออกมาก็ดูดเลือดต่อ มนุษย์เป็นสัตว์ดูดเลือดนะ เป็นผีกระสือชนิดหนึ่ง อยู่ในครรภ์ก็ดูด ออกมาแล้วก็มาดูดนมแม่ต่อ นมแม่มาจากไหน? มาจากเลือด อาตมาก็ดูดจนถึงอายุ ๗ ขวบก็หยุด เพราะไปโรงเรียน (ไม่มีขวดนม) ใช้ของจริงเลย เเม่ต้องตวัดไปข้างหลัง ที่เลิกดูดนม เพราะอายเพื่อน สนุกสนานมาก ดูดนมนี่เป็นมหกรรมที่ยิ่งใหญ่ พอมองย้อนหลัง มีความรู้สึกว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่ดูดเลือดจริงๆนะ

เสร็จแล้วไปหากินชีวิตคนอื่น วันหนึ่งกินศพไม่รู้กี่ศพ? ศพไก่ วันนี้กินศพอะไร? ศพกุ้ง ศพปลากินไม๊? ศพเป็ด ศพหมู อย่าลืมว่า วันหนึ่งมีสัตว์เดินพาเหรด เข้าปากเราสามรอบเลยนะ เดินเป็นขบวน บางทีปลาก็มาก่อน แล้วหมูก็ตามมา เดินเข้ามาเราก็เคี้ยวขยำ สาระก็ไปปรุงทุกส่วนของเรา ทำให้สมองเราให้เดิน ให้เรามีเลือดสูบฉีด อันไหนไม่เป็นสาระก็ขับถ่ายออกมา

โยมทราบไม๊? ว่ามีบางสิ่งบางส่วน ที่เราคาดไม่ถึงอยู่กับเรา เช่น เราเจ็บไข้ได้ป่วยเพราะเราลืมแผ่เมตตาให้เขา เจ็บไข้ได้ป่วย แล้วหมอหาสาเหตุไม่เจอมีใครไม๊? มีใครเคยปวดหัวไม๊?(มี) โยมรีบทำสมาธิ แล้วเเผ่เมตตานะทันที เแล้วโยมจะรู้ว่า จิตใต้สำนึกบางอย่างมันมี เช่น ไก่มันทวงบุญคุณ พวกเข่าไม่ดี เพราะว่ากินขาไก่เยอะ ปวดท้อง เพราะว่ากินหมูสามชั้น มันมากระทบสามชั้นเรา ปวดหัว ตัวร้อน อะไรต่างๆที่หมอวินิจฉัยหาไม่เจอ เเผ่เมตตาทันที แล้วจะรู้ว่าหาย อย่าไปทำอย่างอื่นนะ สวดมนต์ แผ่เมตตา เพราะสัตว์น้อยใหญ่ที่เรากินอาหาร เหมือนเจ้ากรรมนายเวร

ตั้งแต่เล็กจนถึงวันนี้ถึงหมื่นศพหรือยัง? ไก่น่าจะ ๑o เข่ง เป็ด ๑o เข่ง หมูน่าจะ ๑o ตัวได้ไม๊? มันน่าจะเกินนะ เป็น ๕-๖ คอกนะที่กินเข้าไป แล้วยังเป็นตัวเรา ไม่ให้อ้วนได้อย่างไร? แต่ว่าจิตก็ดี วิญญาณ ความรู้สึกนึกของสัตว์เหล่านั้น เราไม่เคยคิดถึงเลย ไม่เคยมีมนุษย์คนไหนคิด แม้แต่คนเดียวว่า เรามาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขนะ ฉันเป็นเพื่อนเธอ แก้มฉันก็มาจากหมูแหล่ะ ก็คือของเธอแหล่ะ ฉันกินเข้าไปคือแก้มปลา ตาฉันก็ตาเธอ สมองฉันก็สมองเธอ ขา ฉันก็มาจากเธอ ฉันทำบุญก็ขอให้เธอได้บุญด้วย ฉันจะอาศัยเธอไปทำบุญสิ่งนั้นสิ่งนี้ทุกครั้ง แล้วก็เรามาแบ่งบุญกันนะ รับรองอายุยิน ๑๒o ปี หง่อมแต่ไม่ตายเอาไม๊? ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ตายง่าย สบาย จิตผ่องใส ชำระอย่างนี้นะโยม แล้วโยมจะรู้สึกว่า จริงๆแล้วนี่สนิมใจนี่ล้างได้  โดยการชำระจิตในแต่ละวันให้ดี แล้วก็ชำระให้ถึงลงไปรายละเอียดต่างๆทุกวันๆในที่สุด สนิมมันก็จะหมด  ใจเราก็จะสบาย เป็นใจที่สะอาด เป็นใจที่บริสุทธิ์  ก็เข้าหลักของพระพุทธเจ้า คือ ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส คำว่า ทำใจให้ผ่องใสก็คือ ล้างสนิมใจนั่นเอง

 เพราะฉะนั้น วันนี้ก็ขออนุโมทนาบุญ อำนวยพรท่านทั้งหลายที่มาฟังธรมะสบายๆ นำไปปฏิบัติเพื่อจะได้มีจิตที่ผ่องใส ทำใจให้เบิกบาน กลับบ้านไปทำห้องพระให้เย็น ให้สบาย ให้เป็นจิตตะสปาประจำบ้าน วันนี้อาตมาภาพก็ขออนุโมทนา ขอกราบอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย คุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์อำนวยพรให้อภิบาลประทานพร ปกปักรักษาท่านทั้งหลายให้มีแต่ความอุดมร่มเย็นเป็นสุขในชีวิตยิ่งๆขึ้นไปเทอญ.    

(พี่เอื้อย - เรียบเรียง , เอ๊ดดี้ - จัดพิมพ์ )
******************************************************************
คิดอย่างไรก็ปล่อยให้ใจคิด สังเกตสักนิดความรู้สึกในใจ
******************************************************************
จิตที่ฝึกดีแล้ว นำสุขมาให้
******************************************************************
   ตามดูจิตให้ดี                   ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง
มีสติอย่าให้พร่อง             ความเศร้าหมองจะหมดไป
บันทึกการเข้า
toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« ตอบ #34 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2550, 08:21:03 »

หน้านี้มาแบบ อ่านแล้ว .. ยิ้ม  Cheesy  :)

ข้อความท้ายรถ _ เก็บเอามาฝาก จ้า !!

การขับรถทำให้ความสามารถในการดื่มสุราลดลง

นางฟ้านั่งหน้ารถ แม่มดนั่งหน้าบ้าน

รับเฉพาะ .... คนรู้ใจ

ปีนี้กระบะ ปีหน้ากะเบนซ์


พนักงานขับรถไม่สุภาพ กรุณาโทรแจ้ง.........ปอเต็กตึ๊ง.

สวยขึ้นฟรี หุ่นดีครึ่งราคา

คันนี้ใช้ในราษฎรเท่านั้น

ถ้ารีบทำไมไม่ไปตั้งแต่เมื่อวาน


ถนนคือการศึกษา ปริญญาคือใบสั่ง

แซงซ้ายไม่ว่า ปาดหน้าโดนเหยียบ

คนลงที่ป้าย ควายลงที่ไฟแดง

ขับรถอย่าเซ่อ จ่าเผลอแล้วค่อยซิ่ง


โง่จัง..คันหลังดันไม่เกา

บินได้ ตูบินไปแล้ว

อย่าดื่มเหล้าขณะขับรถ เพราะจะทำให้เหล้าหกเสียของ

เมาเหล้าเสียหลัก เมารักเสียใจ


หลงทางยังหาเจอ หลงเธอสิเหลือทน

รถติด คือมรดกไทย อนุรักษ์ไว้ให้ลูกหลาน

เมียซื้อเงินสด รถซื้อเงินผ่อน

เศษแก้วมันบาดคน คำพูดของเศษคนมันบาดใจ


เหงื่อทุกหยาดหยด เพื่ออนาคตน้องเมีย

สุขใจเมื่อไกลเมีย

จำกัดความเร็วที่ 180 กม. / 3 ชั่วโมง

จ่ายเฉพาะ ด่านรู้ใจ


อยู่บ้านเมียด่า ออกมาจ่าจับ

ขับเร็วว่าแดกม้า ขับช้าว่าหมาไม่แดก

ไม่มีท่านเราอด ไม่มีรถท่านเดิน

เมาไม่ขับ แล้วกูจะกลับยังไง


ทุกอย่างดังหมดยกเว้นเครื่องเสียง

...อย่าตามกรูมา กรูหลงทาง...


 
บันทึกการเข้า
จุฑารัตน
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #35 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2550, 13:15:47 »

:?:
บันทึกการเข้า
จุฑารัตน
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #36 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2550, 17:36:40 »

Tommy

อ่านของเธอแล้วยิ้มเบิกบานเยี่ยมจริงๆๆ.......แต่ว่า

เคยเจอหลังรถคันหนึ่งเขียนไว้ว่า     .....(.สรรพนามบุรุษที่ 1..)นึกแล้วว่า(สรรพนรมบุรุษที่ 2)ต้องอ่าน............

 :arrow: .คิดได้ไง?Huh???  :roll:  :roll:  
[/quote]
บันทึกการเข้า
toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« ตอบ #37 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2550, 07:28:52 »

ไอ .. เก็ต จ้า !!  5 5 5

แล้ว เคยเจอ "ดีใจจัง คันหลังก็ลาว" ม่ะ !!
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #38 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2550, 10:08:15 »

มีเรื่องราวของภัยที่ควรระวังมาฝากจ้า...

 คนเลวที่เราต้องระวัง!
> >>ขอ share ด้วยคน
> >>
> >>
> >>>ผมเคยประสบเหตุนี้แล้วกับตัวเอง ที่ถนนมเหศักดิ์ ซึ่งเชื่อม
> >>>ถนนสาธรกับถนนสีลม
> >>>เป็นเวลากลางวัน
> >>>ระหว่างที่รถผมหยุดรอไฟเขียว มีชาย 2 คนเดินมาข้างหลัง
> >>>ทั้งคู่กระตุกประตูหลัง
> >>>คนละข้าง โชคดีที่ประตูล๊อกอยู่
> >>>1 ใน 2 คนนั้นพยายามดึงแรงขึ้นอีก แล้วทั้งคู่ก็เดินเร็วผ่านรถผม
> >>>แล้วปนไปในฝูงชน เดี๋ยวนี้ เหตุร้ายเกิดได้ตลอด ไม่ว่ามืดหรือสว่าง
> >>>เราคงต้องระวังอย่าเผลอเชียวละ
> >>>Regards,
> >>>Suraphong
> >>
> >>
> >>>เหตุการณ์ที่ 1
> >>>ภรรยาผม จะมีนิสัยเมื่อขึ้นรถแล้วต้องกดเซนทรัลล๊อคทั้งก่อนสตาร์ทเครื่อง
> >>>และ
> >>>ก่อนดับเครื่อง
> >>>มีรถเก๋งคันหนึ่งสีเงิน มีคนสองคนเดินลงมาจากรถแล้วก็เดินมาที่รถของ
> >>>เราอย่างสุภาพ
> >>>ขณะที่ภรรยาผมกำลังเล่นกับลูกอยู่ เพลินๆ ก็ได้ยิน เสียงตึ๊กจากข้างหลัง
> >>>ภรรยาผมก็ตกใจรู้สึกตัวว่ามีคนพยายามเปิดประตูหลังของรถเรา
> >>>แต่เพราะรถล๊อคพวกเขาก็เดินกลับ ไปขึ้นรถเหมือนไม่มีอะไรเกิด ขึ้น
> >>>ตอนที่ภรรยาผมเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง ผมคิดว่าเหลือเชื่อจริงๆ กลางวัน แสกๆ
> >>>แท้ๆ
> >>>ถ้าหากบังเอิญรถไม่ได้ ล๊อค ผมไม่กล้าคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
> >>>อยากจะให้ทุกคนมีนิสัย ขึ้นรถต้องล๊อครถ
> >>>พวกผู้ร้ายมักจะลงมือจากเบาะหลัง เพราะจะ ควบคุมสถานการณ์ได้ง่าย
> >>
> >>
> >>>
> >>>เหตุการณ์ที่2
> >>>หลังจาก จ่ายเงินค่าจอดรถเลี้ยวออกจากโรงพยาบาล ก็จอดติดไฟแดง
> >>>ขณะนั้น ( ยังไม่ ถึง 3 นาที ระบบล๊อคอัตโนมัติคงยังไม่ทำ งาน )
> >>>ชายหนุ่ม สองคนก็เข้ามานั่งที่เบาะหลังของรถ
> >>>โชคดีที่พ่อแม่ของผมไหวตัวเร็วมาก
> >>>รีบถอดเข็มขัดนิรภัย ดับเครื่อง ดึงกุญแจออกแล้วออกมายืนนอกรถโดยเร็ว
> >>>คนทั้งสองคนนั้นก็ยังนั่งอยู่ในรถหน้าตาเฉย
> >>>จนกระทั่งคุณแม่ของผมตะโกนใส่พวกเขาว่า
> >>>พวกเรายังมีเพื่อนฝูงอยู่ในโรงพยาบาลอีกเยอะ
> >>>จะให้ เรียกพวกเขาลงมาคุยกับพวกแกไหม ?
> >>>พวกเขาจึงออกมาจากรถแล้วบอกว่าขอโทษ ขึ้นผิดคัน ( นี่มันปล้นกันชัดๆ)
> >>>แล้วรถคันข้างหลัง ( มีคนอยู่ในรถสองคน) ก็ขับมารับพวกเขาจากไป
> >>>น่ากลัวที่สุด
> >>
> >>
> >>
> >>>เหตุการณ์ที่3
> >>>ตอนจอดติดไฟแดง
> >>>รถของผมอยู่ห่างจากทางแยกประมาณคันที่สามหรือสี่
> >>>สักครู่ หนึ่ง จู่ ๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดอยู่ท้ายรถผม
> >>>บนรถมีชายหนุ่มอายุ ประมาณ 20 กว่า สอง คน
> >>>แล้วที่น่าสงสัยก็คือ พวกเขาพยายามมองเข้ามาในรถของผม
> >>>ผมจึงจ้องพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง
> >>>พอไฟเขียวก็ออกรถพร้อมมัน
> >>>ผมบังเอิญได้ยินหนึ่งในนั้นพูดขึ้นว่า "รถมันล๊อคหมด" แล้วก็ขับเลย ไป
> >>
> >>ขอให้ช่วยกัน Forward มากๆทั้งชายทั้งหญิงนะ คะ
> >>>ส่งแค่คนสองคนก็ได้บุญมากแล้วค่ะ
บันทึกการเข้า
nitty20
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,398

« ตอบ #39 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2550, 10:43:11 »

ขอบคุณจิ๋มซี่ที่เอาเรื่องที่ดีมีประโยชน์มาเตือนใจ
เราเองบางทีก็ลืมบ่อยๆ


กลับมาจากกาญจน์แล้วไข้กลับล่ะ สงสัยจะเหนื่อย แต่กินยาแล้วก็ดีขึ้นแล้ว Sad  Sad
บันทึกการเข้า
toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« ตอบ #40 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2550, 16:31:31 »

อาหารต้านเซลลูไลท์



ใครที่ไม่อยากให้ ผิวมีเซลลูไลท์มากเกินไป วันนี้เกร็ดความรู้มีอาหารต้านเซลลูไลท์มาบอกกัน..

เซลลูไลท์ คือ ผิวหนังที่ขรุขระคล้ายผิวเปลือกส้ม
เกิดจากสาเหตุสำคัญคือ เซลล์ไขมันที่สะสมตัวเป็นก้อน
อยู่บริเวณใต้ชั้นหนังแท้มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่าง ผิดปกติ

จนทำให้ผนังหุ้มเซลล์เกิดการบิดเบี้ยวเพราะถูกดึงรั้ง
อยู่ใต้ผิวหนัง และเกิดเป็นรอยตะปุ่มตะป่ำคล้ายผิวของเปลือกส้ม
ที่อาจมองเห็นได้ชัดเจนจาก ผิวหนังชั้นนอก

รับประทานอาหารกระชับผิว

เน้นรับประทานผัก ผลไม้สดให้มาก ๆ
เพราะ วิตามินซีและวิตามินอีนั้นมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ผิวหนังกระชับขึ้น



เสริมสร้างการไหล เวียนของโลหิต

การรับประทานอาหารที่มีกรดไขมัน รวมทั้งน้ำมันปลา ถั่ว และเมล็ดพืช ก็ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตได้

รับประทานอาหารโปรตีน ไขมันต่ำเป็นประจำ

เซลลูไลท์เป็นเซลล์ที่สะสมของเหลวได้มากกว่าเซลล์ทั่วไป
จึงมีทั้งของเหลว ไขมัน และสารพิษอยู่ ทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตกับน้ำเหลืองไม่คล่องตัว
ซึ่งสารแอลบูมินที่มีอยู่ในอาหารกลุ่มโปรตีนไขมันต่ำจำพวกถั่ว
สามารถช่วยลด ระดับของเหลวนี้ได้ และควรจะลดอาหารเค็มควบคู่กันไปด้วย

ลดอาหารมันและหวาน

อาหารทั้งมันและหวานจะเพิ่มอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหนังหย่อนยานลง
เกิดริ้วรอย และยิ่งเป็นอาหารที่มันเยิ้มและหวานเจี๊ยบก็ยิ่งจะไปเพิ่มแคลอรีให้กับร่างกายด้วย
ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น

ถ้าไม่อยากให้ผิวมีเซลลูไลท์มากเกินไป ก็ลองหันมารับประทานอาหารที่แนะนำกันดู
บันทึกการเข้า
iamfrommoon
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2535
คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 8,396

เว็บไซต์
« ตอบ #41 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2550, 17:07:01 »

ขอบคุณเคล็ดลับล่าสุดนะคะ ถูกใจมากตรงลดอาหารมันและหวาน 2 อย่างนี้น้องโปรดเป็นที่สุด...น้องต้องพยายามเปลี่ยนตัวเองใหม่แล้วค่ะพี่ตุ่มมี่...แต่ว่าจะได้หรือไม่ได้นั้นต้องวัดผลจากน้ำหนักที่ลดลง ฮ่าๆๆ
บันทึกการเข้า

@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@

Nupu
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 266

« ตอบ #42 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2550, 10:31:54 »

รู้แล้วว่าทำไมพี่ตุ่มมี่ของเราทำไมถึงผิวสวยใสและหุ่นก็ดี ไม่เคยอ้วนขึ้นเลย ก็พี่เค้าดูแลตัวเองดีซะขนาดนั้นนั่นเอง  ขอบคุณนะคะพี่ตุ่มมี่
บันทึกการเข้า
toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« ตอบ #43 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2550, 16:30:50 »

น้องปุ๊กกี้ - น้องปู ... มีมาฝาก จ้า !!

บันทึกการเข้า
toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« ตอบ #44 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2550, 13:12:06 »

ใกล้วันแม่ .. 12 สิงหา .. มีมาฝาก

แม่.....!!! โกหกผม 8 ครั้ง ในชีวิต !!!!


1. เรื่องเริ่มขึ้นตอนเมื่อผมเป็นเด็ก ๆ ผมเกิดในครอบครัวยากจน
ครอบครัวของเราจนมากจนต้องอดข้าวบ่อย ๆ
เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อถึงเวลากินข้าว...แม่จะแบ่งข้าวมาให้ผมเพิ่มขึ้นอีก
พร้อมทั้งพูดว่า"ลูกต้องกินข้าวเพิ่มขึ้นนะ...ส่วนแม่ ่ไม่ค่อยหิว"
นี้เป็นครั้งแรกที่แม่โกหกผม


2. เมื่อผมเติบโตขึ้น คุณแม่เพียรพยายามหาเวลาว่างไปตกปลาในแม่น้ำ
เพื่อว่าผมจะได้กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของผม
แม่ต้มปลาที่ตกมาได้ทำเป็นซุปให้ผมกิน
ในขณะที่ผมกินแกงต้มปลา..แม่จะนั่งข้าง ๆผม แทะกิน เศษเนื้อปลาที่ติดอยู่ตามก้างปลา
หลังจากที่ผมได้กินเนื้อปลาไปแล้ว
ผมรู้สึกตื้นตันใจมาก..ผมพยายามแบ่งเนื้อปลาให้แม่
แต่แม่ปฎิเสธทันควันพร้อมกับกล่าวว่า "ลูกกินเถอะ...แม่ไม่ค่อยชอบกินเนื้อปลา"
นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่แม่ ..โกหกผม


3. เมื่อผมเรียนอยู่ชั้นมัธยม เราต้องใช้เงินเพิ่มมากขึ้น
แม่ต้องหารายได้พิเศษด้วยการรับงานเล็ก ๆน้อยจากโรงงานมาทำที่บ้าน
บางครั้งผมตื่นขึ้นมาตอนตี 1 หรือตี 2...ผมยังเห็นแม่กำลังทำงาน
"แม่ครับ...นอนเถอะครับมันดึกมากแล้ว พรุ่งนี้แม่ต้องไปทำงานอีก"
แม่ยิ้มกับผมพูดว่า "ลูกนอนต่อก่อนนะ...แม่ยังไม่เหนื่อย...นอนไม่หลับ"
ครั้งที่ 3 แล้วที่แม่โกหกผม


4. ตอนเมื่อใกล้จบชั้นมัธยมผมต้องไปสอบเป็นวันสุดท้าย
แม่อุตส่าห์หยุดงานไปเป็นเพื่อนและเพื่อเป็นกำลังใจให้ผม
มันเป็นวันที่แดดร้อนมาก ๆ...แม่ต้องรอผมอยู่หลายชม.
เมื่อผมทำข้อสอบเสร็จ...รีบออกมาหาแม่
เห็นแม่ผมมีเหงื่อออกท่วมตัว..
แต่ท่านกลับรินน้ำเย็นที่เตรียมมาให้ผมดื่ม
ผมเห็นแม่รู้สึกเหนื่อยและร้อนจึงขอให้แม่ดื่มน้ำก่อน
แม่พูดขึ้นว่า "ลูกดื่มเถอะ....แม่ยังไม่กระหายน้ำ"
นั่นเป็นครั้งที่ 4 ที่แม่โกหกผม


5. หลังจากที่พ่อผมล้มป่วยและเสียชีวิต
คุณแม่ที่น่าสงสารต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหารายได้มา
จุนเจือครอบครัว
แต่ก็ยังไม่ค่อยเพียงพอไม่ว่าคุณแม่จะพยายามมากขึ้นเพียงไร
คุณลุงที่อยู่ข้าง ๆบ้านท่านเป็นคนดี
พยายามมาช่วยเหลือครอบครัวเราเสมอ....เช่นซ่อมแซมบ้านที่ผุพัง..ฯลฯ
เพื่อนบ้านเห็นครอบครัวลำบากมากก็แนะนำให้แม่แต่งงาน ใหม่
แต่แม่ยืนกรานไม่เห็นด้วย แม่พูดกับผมว่า
"แม่มีลูกอยู่ทั้งคน...แม่ไม่ต้องความรักอีก"
แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ 5 แล้ว


6. ในทื่สุดผมก็เรียนจบและมีงานทำ
ผมอยากให้แม่ซึ่งตรากตรำทำงานหนักมาตลอดได้พักผ่อนบ้าง
แต่แม่ไม่ยอม.....กลับไปตลาดทุกเช้า
ขายผักที่หามาได้เพื่อเลี้ยงชีพทั้ง ๆที่ผมพยายามส่งเงินมาให้แม่
(ผมต้องไปทำงานในเมืองที่ห่างไกล)
แม่ผมไม่ค่อยยอมรับเงินผม..บางครั้งยังส่งเงินกลับคืนให้ผมอีก
แม่พูดกับผมว่า "แม่มีเงินพอใช้แล้ว...ลูกควรเก็บเงินไว้สร้างฐานะ"
แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ 6


7. เพื่ออนาคตที่ก้าวหน้า..
ผมตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทด้วยทุนของมหาวิทยาลัยที่มีีชื่อเสียงในอเมริกา
เมื่อผมเรียนจบก็ได้งานทำที่นั่น   และมีเงินเดือนค่อนข้างสูง
เมื่อทำงานไปได้สักพัก...ผมอยากให้แม่ผมมาอยู่กับผมที่ี่อเมริกา
เพื่อว่าแม่จะได้หยุดทำงาน...พักผ่อนให้สบายในบั้นปลายของชีวิต
แต่แม่ผมไม่อยากรบกวนผม...บอกผมว่า "แม่ไม่คุ้นเคยกับชีวิตต่างแดน"
ครั้งที่ 7 แล้วซินะที่แม่โกหกผม


8. เมื่อแม่แก่ตัวลงไปเรื่อย ๆ..
ในที่สุดแม่ก็เป็นมะเร็งและต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาล
ผมลางานแล้วรีบบินกลับมาหาแม่สุดที่รักทันที
แม่ผมนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงเมื่อผมไปถึง
น้ำตาผมไหลอาบแก้มเมื่อเห็นแม่ซึ่งผ่ายผอมและดูทรุดโทรมลงอย่างมาก
แม่รู้สึกดีใจมากที่เห็นผม....พยายามยิ้มอย่างสดชื่น ด้วยความลำบาก
ผมรู้ดีว่าแม่ได้ฝืนความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างสุดฝืน
จากโรคมะเร็งร้ายที่ลามไปทั่วทั้งตัว
ผมโอบกอดแม่พร้อมกับร้องไห้ด้วยความสงสาร
หัวใจผมในขณะนั้นเศร้าหมองและเจ็บปวดอย่างที่สุด
แม่พยายามปลอบผมด้วยเสียงที่แหบพร่าและสั่นเครือ
"ลูกรักของแม่...เห็นหน้าลูกแม่ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว"
นี่เป็นครั้งที่ 8 ที่แม่โกหก
และเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของแม่ที่โกหกผม !!!


แม่ที่ผมรักและบูชามาตลอดชีวิตได้ปิดตาลงและจากผมไปอย่างไม่มีวันกลับ
หลังจากที่เธอกล่าวคำโกหก ครั้งที่ 8 จบลง.........


แปลและเรียบเรียงจาก English Forward Mail -"mother's 8 lies"

บันทึกการเข้า
toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« ตอบ #45 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2550, 17:00:19 »

บทความจาก Mr. PeeTai
http://www.peetai.com

......................................................................................

ส่วนใหญ่แล้ว geek ทางคอมพิวเตอร์จะไม่ใส่ใจในกฎหมายครับ
สงสัยคงเป็นเพราะอ่านแล้วเข้าใจยาก สำบัดสำนวนเยอะเหลือเกิน
แต่พอดีว่ามันมีผลกระทบกับเราครับ เราก็เลยจำเป็นต้องรู้มันหน่อย สืบเนื่องจาก
 
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐
ได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2550

 
พวกเราเลยต้องมารับรู้กันซะหน่อย ว่าทำอะไรผิดบ้างถึงจะถูกกฎหมายนี้ลงโทษเอาได้
พวกเราจะได้ระวังตัวกัน ไม่เผลอไผลให้อารมณ์พาไปจนทำผิดเน้อะ!!!
ผมจะถอดความโดยสรุปเลยก็แล้วกันนะครับ ว่าทำอะไรผิดแล้วจะโดนลงโทษบ้าง


1.เจ้าของไม่ให้เข้าระบบคอมพิวเตอร์ของเขา แล้วเราแอบเข้าไป … เจอคุก 6 เดือน

2.แอบไปรู้วิธีการเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของชาวบ้าน แล้วเที่ยวไปโพนทะนาให้คนอื่นรู้ … เจอคุกไม่เกินปี

3.ข้อมูลของเขา เขาเก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ดี ๆ แล้วแอบไปล้วงของเขา … เจอคุกไม่เกิน 2 ปี

4.เขาส่งข้อมูลหากันผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบส่วนตั๊วส่วนตัว แล้วเราทะลึ่งไปดักจับข้อมูลของเขา … เจอคุกไม่เกิน 3 ปี

5.ข้อมูลของเขาอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ของเขาดี ๆ เราดันมือบอนไปโมมันซะงั้น … เจอคุกไม่เกิน 5 ปี

6.ระบบคอมพิวเตอร์ของชาวบ้านทำงานอยู่ดี ๆ เราดันยิง packet หรือ message หรือ virus หรือ trojan

หรือ worm หรือ (โอ๊ยเยอะ) เข้าไปก่อกวนจนระบบเขาเดี้ยง … เจอคุกไม่เกิน 5 ปี

7.เขาไม่ได้อยากได้ข้อมูลหรืออีเมลล์จากเราเล้ย เราก็ทำตัวเป็นอีแอบเซ้าซี้ส่งให้เขาซ้ำ ๆ อยู่นั่นแหล่ะ

จนทำให้เขาเบื่อหน่ายรำคาญ … เจอปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

8.ถ้าเราทำผิดข้อ 5. กับ ข้อ 6. แล้วมันสร้างความพินาศใหญ่โตในระดับรากหญ้า งานนี้มีซวยแน่ .. เจอคุกสิบปีขึ้น

9.ถ้าเราสร้างซอฟต์แวร์เพื่อช่วยให้ใคร ๆ ทำเรื่องแย่ ๆ ในข้อข้างบน ๆ ได้ … เจอคุกไม่เกินปีนึงเหมือนกัน

10.โป๊ก็โดน, โกหกก็โดน, เบนโลก็โดน, ท้าทายอำนาจรัฐก็โดน … เจอคุกไม่เกิน 5 ปี

11.ใครเป็นเจ้าของเว็บ แล้วยอมให้เกิดข้อ 10. โดนเหมือนกัน … เจอคุกไม่เกิน 5 ปี

12.ถ้าเราเรียกให้ชาวบ้านเข้ามาดูงานของศิลปินข้างถนน ซึ่งชอบเอารูปชาวบ้านมาตัดต่อ เตรียมใจไว้เลยมีโดน … เจอคุกไม่เกิน 3 ปี

13.เราทำผิดที่เว็บไซต์ซึ่งอยู่เมืองนอก แต่ถ้าเราเป็นคนไทย หึ ๆ อย่าคิดว่ารอด โดนแหง ๆ
 
14.ฝรั่งทำผิดกับเรา แล้วมันอยู่เมืองนอกอีกต่างหาก เราเป็นคนไทย ก็เรียกร้องเอาผิดได้เหมือนกัน (จริงดิ?)
บันทึกการเข้า
toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« ตอบ #46 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2550, 08:16:49 »

4 ฤดูกาลที่แตกต่าง  สวยมากกกก..







บันทึกการเข้า
toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« ตอบ #47 เมื่อ: 27 สิงหาคม 2550, 16:59:54 »

อยากจะเตือนเพื่อนๆ เข้าห้องน้ำมอเตอร์เวย์ ระวัง!!!

จุดพักรถมอเตอร์เวย์ต้องระวัง แม้กระทั่งผู้ชาย
เคยเจอแบบนี้ไหมครับ จุดพักรถมอเตอร์เวย์ ตอนตีสอง
ผมกำลังขับรถกลับบ้านคนเดียว ปวดขี้สุดๆ เลยแวะเข้าห้องน้ำ ปิดประตูปัง !!!!
สักพักมีคนเดินมาเข้าห้องน้ำ ห้องข้างๆผม แล้วมีเสียงลอดออกมา

ชายนิรนาม : “สวัสดี เป็นไงบ้าง สบายดีไหม”
ผม : นึกในใจ อืม อะไรของมันว่ะ แต่ทำใจดีสู้เสือ เอาไงเอากันว่ะ
เลยตอบกลับไป “ เอ่อ สวัสดีครับ สบายดีครับ”
ชายนิรนามถามต่อ : “ แล้วทำอะไรอยู่ล่ะ”
ผม : นึกในใจ มึงจะให้กูทำ อะไร ฟะ นั่งอยู่ในส้วม “ เอ่อ คือ ขี้อยู่ อะครับ”
ชายนิรนามถามอีก : “นอนดึกนะเนี่ย ป่านนี้ ยังไม่หลับไม่นอน จะไปไหนเนี่ย”
ผม : อืม แปลกดีวุ้ย มีคนชวนคุย คงกำลังหาเพื่อนคุย
 “ เออ กลับบ้านที่จันทน์ ครับ ต้องไปงานแต่ง ตอนเช้า”

สำหรับประโยคสุดท้ายของชายนิรนาม ที่ทำให้ผมขนลุก
ชายนิรนาม : “ เฮ้ยๆ! กูวางหูแค่นี้ก่อนนะ ห้องข้างๆเป็นเอี้ยอะไรไม่รู้ พูดตอบมาตลอดเลย”
ผม : Huh?!!!!!!!!?Huh???!!!!!!!!!!!!!
บันทึกการเข้า
toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« ตอบ #48 เมื่อ: 06 กันยายน 2550, 08:32:04 »

บันทึกการเข้า
toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« ตอบ #49 เมื่อ: 04 ธันวาคม 2550, 16:19:07 »

เป็นสองมือ อุ้มชู เลี้ยงดูลูก          
เป็นสายใย พันผูก คอยห่วงหา
เป็นอ้อมกอด อบอุ่น ค้ำจุนมา            
เป็นสายตา ห่วงใย ใคร่อาทร

ยามเจ็บไข้ เฝ้าดูแล ด้วยชีวิต        
ยามพลั้งผิด ท่านอบรม คอยบ่มสอน
ยามเหนื่อยหน่ายกำลังใจไม่สั่นคลอน  
ยามใดใด ยังอาทร ไม่เปลี่ยนแปร

ด้วยความรัก ของพ่อ ที่ยิ่งใหญ่      
ด้วยหัวใจ สะอาดใส เป็นแน่แท้
ด้วยชีวิต เพื่อลูก .. เฝ้าดูแล                
ด้วยสองมือ ไม่ผันแปร เป็นอื่นใด



บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 [2] 3  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><