กระทู้นี้มีชื่อว่า "เนียน"

[por-sim]

ต่อไปก็

 :shock:

[por-sim]

ตกใจ

[Tritti_83]

:shock:  ตกใจหมดเลย... :lol:

[por-sim]

:shock:  ตกใจหมดเลย... :lol:

แล้วก็ตามมาด้วยหัวเราะ ฮิฮิฮิ

[nuchon]

ตามด้วย  :oops: เขิน หน้าแดง

[เอ๋อ]

ตามด้วย  :oops: เขิน หน้าแดง

ท่าทางชลจะติดไวรัสบอร์ดรุ่นแล้วล่ะ
เห็นเนียนบ่อย
หลายกระทู้ด้วยน้า  :lol:

[Tritti_83]

ตามมาด้วย :roll: ทำอะไรกันเหรอ

[yungying]

:shock:  :shock:  :shock: อ่อ พี่ๆเขาเนียนกันยังงี้นี้เอง  

[nuchon]

ตามด้วย  :oops: เขิน หน้าแดง

ท่าทางชลจะติดไวรัสบอร์ดรุ่นแล้วล่ะ
เห็นเนียนบ่อย
หลายกระทู้ด้วยน้า  :lol:

555 ปกติก้อเนียนอยู่ที่เว็บอื่นอ่ะ พอรู้ว่ามีเว็บหอ ก้อต้องรีบเข้ามาเนียน เด๋วจะตามเพื่อนไม่ทัน  แล้วตามด้วย  :wink: ปิ๊ง ๆ ๆ

[Tritti_83]

:lol:  มาเนียนหัวเราะชล กับ น้องหญิง

[nuchon]

:lol:  มาเนียนหัวเราะชล กับ น้องหญิง

อ่ะนะ เนียนจิงๆเล้ย เพื่อนตริ  :x  

[veekung]

ไม่รู้ว่าจะไปโพสไว้กระทู้ไหน (หากระทู้หนูน้อยกับจิ้งจอกไม่เจอ สงสัยโดนลบไปแล้ว) ก็เลยมาเนียนที่กระทู้นี้แหละ เป็นบทความเขียนขึ้นใหม่สด ๆ ร้อน จริง ๆ แล้ว up ไว้ใน space ด้วยแต่กลัวไม่มีใครอ่านเลยมาแปะที่นี้ด้วยใครจะเมนต์เป็นการส่วนตัวเชิญได้ที่ space เรานะ ^_^  http://veejang.spaces.live.com [/size]

ทฤษฎีสัมพัทธภาพ


           จั่วหัวอย่างนี้ก็อย่าเพิ่งลุกหนีไปไหนนะลองมาอ่านดูก่อน ถ้าไม่รู้เรื่องตรงไหนค่อยลุกออกไปก็ยังไม่สาย คิดว่าใคร ๆ ก็คงรู้จักกับ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ เป็นอย่างดีแน่นอน และสิ่งที่คู่กันกับชื่อนี้ก็คือสมการบรรลือโลก E=mc2 แน่นอนใช่ไหมล่ะ แต่ที่จะพูดถึงไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็บทฤษฎีที่ก่อประโยชน์มากมายมหาศาลของไอสไตน์ที่นำเสนอทฤษฎีนี้ตอนอายุไม่ถึงสามสิบปีซึ่งก็คือ ทฎษฎีสัมพัทธภาพทั้งสองบท (ทั่วไป กับ พิเศษ) ทฤษฎีที่บอกว่าเวลาไม่ได้เป็นค่าที่สัมบรูณ์ (คือค่าที่คงที่ไม่ว่าใครจะวัดก็จะได้ค่าที่เท่ากัน) จริง ๆ แล้วโดยส่วนตัวก็ไม่ได้เป็นนักฟิสิกส์ที่จะมาเข้าใจมันหรอกนะ แต่ว่ามันอยากรู้ว่าทำไมไอ้ทฤษฎีนี้ทำให้โลกของเราก้าวกระโดดแบบชนิดที่คนสมัยก่อนคงนึกไม่ถึง ด้วยปัญญาที่มีอยู่ (ซึ่งจบ genetic มา) ก็ไปตามอ่านบทความที่พูดถึงทฤษฎีนี้ (ที่แปลเป็นภาษาไทยนะ) ก็มองตามได้เท่าที่ตามได้ อย่าง “ถ้าเรานั่งรถไฟที่เคลื่อนที่เร็วเกือบเท่าแสง เราจะเห็นว่าแสงแทบจะหยุดนิ่ง แต่ขณะที่คนอื่นที่อยู่นอกขบวนรถจะยังเห็นแสงวิ่งด้วยความสูงมากและเราที่อยู่ในรถไฟนั้นก็วิ่งเร็วจะเกือบเท่าแสง ทำไม คนสองคนจึงมองเห็นแสงวิ่งเร็วไม่เท่ากัน ในเมื่อความเร็วแสงเป็นค่าคงที่ สิ่งเดียวที่บอกได้ก็คือ เวลาของคนที่อยู่ในรถไฟนั้นกับคนที่อยู่ข้างนอกวิ่งเร็วไม่เท่ากัน” งงล่ะสิ (งงเหมือนกัน แล้วคิดว่าที่เขียนมาก็ไม่ได้ถูกต้องซะที่เดียวหรือใครคิดว่าอย่างไร) ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าไอสไตน์พิสูจน์ให้เห็นว่าในจักวาลนี้ประกอบด้วย 4 มิติ คือ มิติที่มีกว้าง-ยาว-สูง และ เวลา (ไม่ใช่มิติลี้ลับ) แล้วยังไงเหรอหลายคนอาจถามในใจ ก็ไม่ได้อะไรหรอกแล้วที่มาเขียนเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่ตั้งใจจะเขียนตั้งแต่แรก สิ่งที่ตั้งใจจะเขียนนั่นมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตของทั้งตัวเราเองและคนรอบข้างในช่วงสาม สี่ เดือนมานี้แล้วทำให้เข้าใจถึงสิ่งที่ไอสไตน์ต้องการจะบอกในอีกแง่มุมหนึ่งเท่านั้นเอง
   

                   เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะผู้มีพระคุณท่านหนึ่งของเรา กระทำในสิ่งที่ร้ายกาจที่ทำร้ายความรู้สึกของเราอย่างจัง หลังจากที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว แล้วหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างที่ท่านนั้นกระทำมันปรากฎชัดออกมาทำร้ายความรู้สึก ความศรัทธาที่มีต่อท่านลงไปมาก ไม่ใช่เมื่อก่อนไม่เห็น แต่ทำเป็นไม่เห็น จนเอากลับมาคิด คิด คิด และ คิด เพราะมีคำถามว่า “ทำไม” เกิดขึ้นตลอดเวลา “ทำไม....” “ทำไม...” “ทำไม...” แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีคำตอบกลับมา ได้คุยได้ปรึกษากับผู้เจนจบ ก็ได้คำตอบที่ทำให้คิดได้ แต่กระนั้นพอได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้สัมผัสถึงสิ่งที่ท่านกระทำความรู้สึกเดิม ๆ ก็กลับมา จนต้องหันเข้าหาที่พึงทางใจคือ “ธรรมะ” จนทำให้มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องตลก เรื่องน่าขบขัน จนมีคนคนหนึ่งถามว่า “ไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ เจอ+โดน มาขนาดนี้”  ทำไมจะไม่รู้ ก็ยังเป็นคน มีชีวิตและจิตใจที่หลงไหลไปในห้วงแห่งกิเลส ถามว่าเสียใจไหม “เสียใจ” ถามว่าน้อยใจไหม “น้อยใจ” ถามว่าอิจฉาไหม “อิจฉา” “แล้วไงล่ะ” นั่นคือสิ่งที่ได้กลับมาเมื่อความรู้สึกต่าง ๆ เกิดขึ้น ท้ายที่สุดแล้ว “แล้วไงล่ะ” อิจฉาไป เสียใจไป น้อยใจไปแล้วจะได้อะไรกลับมา ได้แต่ความว่างเปล่ากับความทุกข์เท่านั้นล่ะที่กลับคืนมา นอกจากนี้ยังมีโอกาสดีที่ได้ออกไปช่วยเก็บตัวอย่างในการทำงาน ได้พบ ได้เห็น ได้รู้จัก ได้สัมผัสกับความยากลำบากที่จะได้มาซึ่งตัวอย่าง ทำให้เข้าใจอะไรอีกหลายอย่างที่เมื่อก่อนไม่เข้าใจและจะไม่มีวันเข้าใจด้วยถ้าหากไม่มาเจอกับตัวเอง จนหวนกลับไปถึงใครบางคน ใครที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ใครที่ไม่ละอายแก่ใจที่ฉกฉวยสิ่งที่เค้าได้มาอย่างยากลำบาก ใครที่ไม่เข้ามาทำแต่เอาผลสุดท้ายไปเป็นผลงานตัวเอง ใครที่ไม่เห็นใจ พูดจาหรือกระทำกริยาที่ทำร้ายจิตใจคนที่เข้ามาช่วยเรา ใครที่ทำสิ่งเหล่านี้แล้วได้ดี “ทำไม...” “ทำไม...” เกิดคำถามมากมาย แต่ก็เหมือนเดิม เป็นคำถามที่ไร้คำตอบ จนไปอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเข้า “แรงบันดาลใจจาก ไอสไตน์” ที่ยืมเคมาอ่าน (Thanks มาก ๆ) ไปเจอบทความที่จิตแพทย์คนหนึ่งเขียนถึงทฤษฎีสัมพัทธภาพในอีกแง่มุมหนึ่งที่ไม่เคยคิดที่จะมองมาก่อน (จริงแล้วหลาย ๆ คนก็เขียนในแง่มุมนี้แต่อันนี้โดนใจที่สุด) ก็จำเนื้อหาแท้ ๆ ไม่ได้หรอกแต่พอจะสรุปใจความได้ว่า ที่เราไปให้ค่าว่า คนนี้เก่ง คนนี้โง่ คนนี้เห็นแก่ตัว คนนี้ตอแหล คนนี้ใกล้บ้า หรือคำถามที่ว่า ทำไมทำแบบนี้คนถึงชอบ ทำไมไม่ทำตัวให้สมกับสิ่งที่เป็น ฯลฯ มันก็เป็นการให้ค่าโดยอาศัยบรรทัดฐานของเราเป็นที่ตั้งซึ่งบรรทัดฐานที่ว่านี้ก็อาจจะมาจาก ตำรา วัฒนธรรม จารีต กฎหมาย หรือะไรก็แล้วแต่ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพราะเราเองต่างหากที่ไปให้ค่าแบบนั้น สรุปแล้วก็คือเพราะ “เรา” เลยเป็นอย่างนั้น ถ้า “เรา”หายไปสิ่งต่าง ๆ ก็หมดความหมาย ตรงกับแก่นของพระพุทธศาสนาซึ่งก็คือ “นิพพาน” นิพพานไม่ใช่ตาย ไม่ใช่ความว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย แต่นิพพานคือความว่าง ว่างจาก “เรา” ต่างหาก เคยฟังพระรูปหนึ่งท่านว่า “ไอสไตน์มีสติปัญญาเห็นถึงนิพพาน แต่ไม่รู้ว่าจะเอานิพพานมาใช้ให้เกิดประโยชน์มาใช้ได้อย่างไร” ตอนแรกที่ฟังก็ไม่เข้าใจ แต่พอผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ บวกกับบทความที่จิตแพทย์คนนั้นเขียนก็พอมองเห็นคร่าว ๆ ได้ว่า ไอสไตน์คงพิจารณาเห็นเข้าไปถึงความไม่มี  “เรา” แต่ยังจำเป็นต้องมี “เรา” และใช้หลักการนี้มาสโคปแนวคิดจนได้ความคิดที่ว่า เวลาขึ้นอยู่กับผู้สังเกตุ (“เรา”) ดังนั้นจึงให้ชื่อทฤษฎีนี้ว่า “สัมพัทธภาพ” มาถึงตรงนี้เข้าใจเลยว่าทำไมต้อง “สัมพัทธภาพ” และต้องขออนุโมทนากับท่านผู้มีพระคุณท่านนั้นและผู้ที่ “เรา” ให้ค่าว่า เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ไม่ดี ที่ชี้ทาง (โดยอ้อม) ให้เข้าใจในสิ่งนี้ขึ้นมาบ้าง

[ป.ปลา]

โอ้ววววว  จริงด้วยวี

จริงๆ ทฤษฎีสัมพันธภาพ นี่ มันก็คือ "เรา" นี่แหล่ะ
ไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งอื่นใด ที่ซับซ้อน หรือชวนให้สงสัยงุนงงเลยนะ

เราเคยอ่านหนังสือของ สตีเฟ่น ฮอฟกิ้น (พิมพ์ถูกป่าววะ)
ที่เค้าว่าอ่านง่ายนักหนา แต่เรากลับอ่านไม่เข้าใจ (นี่หยิบๆ วางๆ มา 4 ปีแล้วก็ยังไม่เข้าใจ)

แต่... ที่วีเขียนนี่ เราจำไม่ได้เหมือนกันว่าเคยอ่านที่ไหน "หนังสือแรงบันดาลใจฯ " น่ะ แต่จำได้ว่าเคยอ่านแล้ว

มันทำให้รู้สึกว่า โอ้ววววววว มันเป็นอย่างนี้นี่เอง




แล้วตอนนี้วีเป็นไงมั่ง คงสบายใจขึ้นเยอะแล้วใช่ไหม (ถึงจะไม่รู้ว่าแกเป็นอะไรมาก็เถอะนะ)
ยังไงก็สู้ๆ นะเพื่อน เรื่องแบบนี้นี่ มันเหนื่อยใจ+กาย จริงๆ เนาะ
ตอนนี้ชั้นเองก็กำลังต่อสู้กับตัวเองอยู่ น่ะ เฮ้อ......

[veekung]

โอ้ววววว  จริงด้วยวี

จริงๆ ทฤษฎีสัมพันธภาพ นี่ มันก็คือ "เรา" นี่แหล่ะ
ไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งอื่นใด ที่ซับซ้อน หรือชวนให้สงสัยงุนงงเลยนะ

เราเคยอ่านหนังสือของ สตีเฟ่น ฮอฟกิ้น (พิมพ์ถูกป่าววะ)
ที่เค้าว่าอ่านง่ายนักหนา แต่เรากลับอ่านไม่เข้าใจ (นี่หยิบๆ วางๆ มา 4 ปีแล้วก็ยังไม่เข้าใจ)

จักวาลในเปลือกนัท กับประวัติย่อของกาลเวลา ใช่ม่ะ เราอ่านจบแล้วทั้งสองเล่ม แต่เข้าใจแค่บางส่วนอ่ะ มันเข้าไม่ถึงจริง ๆ อ่ะ

แต่... ที่วีเขียนนี่ เราจำไม่ได้เหมือนกันว่าเคยอ่านที่ไหน "หนังสือแรงบันดาลใจฯ " น่ะ แต่จำได้ว่าเคยอ่านแล้ว

มันทำให้รู้สึกว่า โอ้ววววววว มันเป็นอย่างนี้นี่เอง



แล้วตอนนี้วีเป็นไงมั่ง คงสบายใจขึ้นเยอะแล้วใช่ไหม (ถึงจะไม่รู้ว่าแกเป็นอะไรมาก็เถอะนะ)
ยังไงก็สู้ๆ นะเพื่อน เรื่องแบบนี้นี่ มันเหนื่อยใจ+กาย จริงๆ เนาะ
ตอนนี้ชั้นเองก็กำลังต่อสู้กับตัวเองอยู่ น่ะ เฮ้อ...... [/color]

ช่วงที่หนัก ๆ มันผ่านมาแล้วอ่ะ ตอนนี้ก็ชิว ชิว :lol:  :lol:

[nuchon]

ไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะ แต่ขอให้วีสู้ๆ  

[ป.ปลา]

ยังเนียนได้อีก

เพราะเราต้องไม่ทิ้งคอนเซ็ปกระทู้  :lol:  :twisted:  :twisted:

[ป.ปลา]

เพื่อนๆ มาช่วยกันเนียนซะดีๆ ไม่งั้นแม่จะตีให้ก้นลาย  :twisted:  :twisted:  :twisted:

[nuchon]

ช่วยเนียน

[Tritti_83]

รีบมาเนียนเลยกลัวก้นลาย.... :oops:

[nuchon]

รีบมาเนียนเลยกลัวก้นลาย.... :oops:

เราว่าคงไม่ทันแล้วมั้งตริ

[yungying]

ช่วยพี่ๆเนียนด้วยคน

[Tritti_83]

น้องหญิงกลัวพี่ป.ปลาจะตีเอาละสิ :lol:

[เอ๋อ]

น้องหญิงกลัวพี่ป.ปลาจะตีเอาละสิ :lol:

แล้วตริจะเนียนไม่มาเอาซีดี
ไม่มาจ่ายตังค์เราเลยใช่มั้ยเนี่ย  :?

ไม่โทรมา งั้นเสาร์-อาทิตย์นี้ เจอกันเอาไหมล่ะ
ที่หอก้ได้ แต่จะให้ดีเจอกันตามสถานี BTS ดีกว่า
ขี้เกียจต่อรถเข้าไปในหอ

[Tritti_83]

:cry:  :oops:

[ป.ปลา]

:cry:  :oops:

5555555555
รู้ฤทธิ์ เจ๊เอ๋อ แล้วล่ะสิ อิอิ
 :twisted:  :twisted:  :twisted:  :twisted:  :twisted:  :twisted:  :twisted: