22 พฤศจิกายน 2567, 17:28:16
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: การบูชาพระพุทธเจ้าที่ถูกต้อง‏  (อ่าน 20306 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« เมื่อ: 08 มกราคม 2554, 08:35:14 »


โดย [http://twitter.com/narongsak] 8 ม.ค.2554▼ Mayura Su





การบูชาพระพุทธเจ้ามี 2 วิธี คือ

1.อามิสบูชา คือ การบูชาด้วยสิ่งของ อันได้แก่ ดอกไม้ ธูป เทียน ภัตตาหาร คาว หวาน
สิ่งที่เป็นวัตถุทั้งปวง เป็นการเสียสละ ฝึกตนให้ รู้จักการแบ่งปัน การบริจาค และการให้ทาน

2.ปฏิบัติบูชา คือการบูชาด้วยการกระทำ ด้วยการประพฤติปฏิบัติ ลงมือกระทำจริง
ปฏิบัติจริงทั้งทางกาย วาจา และ ที่สำคัญที่สุด คือ ทางใจ ทางจิตวิญญาณ
 
การบูชาพระพุทธเจ้าที่ถูกต้อง

พระพุทธองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า แม้จะบูชาตถาคตด้วยเครื่องสักการบูชามากมายอย่างนี้
ตถาคตจะชื่อว่าได้รับการบูชาก็หาไม่ พูดเป็นไทยๆ ก็คือ

การบูชาด้วยอามิสเหล่านี้แม้จะมากมายก่ายกอง ก็ไม่นับว่าเป็นการบูชาพระพุทธองค์

แล้วบูชาอย่างไหนล่ะจึงจะเป็นการบูชาที่ถูกต้อง

พระพุทธองค์ตรัสว่า "ดูก่อนอานนท์ ผู้ใดจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกาก็ตาม
ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม (คือปฏิบัติธรรมถูกทาง ปฏิบัติตามตรงตามเป้าหมายแท้จริง)
ปฏิบัติตามธรรม ผู้นั้นชื่อว่าสักการะ เคารพ นับถือ บูชาตถาคตด้วยการบูชาอย่างยอดเยี่ยม"


ไหว้พระทุกคน จุดธูปเทียนบูชาหมดไปเป็นพันๆเล่ม พันๆดอก ดอกไม้หมดไปเป็นสวนๆก็ดีอยู่
นับว่าเป็นผุ้บูชาพระบูชาเจ้าด้วยจิตศรัทธาเลื่อมใส แต่เพียงแค่นี้
ยังไม่นับว่าเป็นการบูชาอย่างยอดเยี่ยม ถึงจะมีผลก็มีไม่มาก แต่การบูชาที่ยอดเยี่ยมจริงๆ คือ

บูชาด้วยการปฏิบัติ

ปฏิบัติตนตามคำสอนของพระพุทธองค์อย่างน้อยมี

ศีล ๕ ธรรม ๕ ครบ

อย่างน้อยมีความเพียร ๔ ประการครบ คือ

เพียรระวังมิให้อกุศล (ความไม่ดี) เกิดขึ้นในใจ,
เพียรละความไม่ดีที่ทำแล้ว,
เพียรพยายามทำความดีที่ยังไม่ได้ทำ และ
เพียรรักษาความดีที่มีแล้วให้คงอยู่


เท่านี้นับว่าเพียงพอในระดับหนึ่งแล้วครับ

*-* คัดลอกจากหนังสือวาระสุดท้ายของพระพุทธองค์ โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
 
               รักนะ รักนะ รักนะ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1 เมื่อ: 08 มกราคม 2554, 08:48:39 »

ปฏิบัติบูชา ที่ว่า พี่น่ะกระพร่อง กระแพร่งพิกลพิการพอควร ที่ยากและขาดบ่อยๆ ก็ศีล ๕  ข้อ ๑  นี้แหละ ยุงมันกวนน่ะ พี่ใช้ไม้ช๊อตยุงบ่อย ปล่อยไว้เวลานอนมันก็กวนที่หูหวี่ๆๆๆ  จะละก็กวนจัง ตะไคร้หอมไล่แล้วก็ไม่ไป ลองไม่ฆ่าแต่sprey ด้วยน้ำยาบ้วนปากตามเขาแนะนำมาแล้วก็ไม่ได้ผล เลยต้องกลับไปใช้วิธีเดิม แต่ก็จะพยายามไล่ให้ออกไปนอกบ้านแทน เพื่อจะครบ ๕ ข้อบ้าง แล้วหวังว่าการให้คนมาฉีดปลวกทุก ๓  เดือนไม่เข้าข่ายนะคะ อ้างได้ว่าไม่ได้เจตนาฆ่าได้ไหมเอ่ยคิดแค่ไล่ออกไปนอกบริเวณบ้านไม่รู้โกหกตัวเองเกินไปหรือเปล่า ปุจฉาแล้ว นะคะ มีใครจะวิสัจฉนา หากทางให้ได้บ้าง มียุงกับปลวกนี่แหละ พ้นข้อ ๑  ก็รอด
      บันทึกการเข้า
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #2 เมื่อ: 08 มกราคม 2554, 09:32:55 »

อ่านของพี่เอมอร แล้ว ไม่มีคำตอบ ใครตอบได้ช่วยตอบทีนะครับ
แต่ว่าที่พี่เอมอรทำอยู่ ถือศีล 4-5ข้อได้ เป็นประจำ ก็ยอดเยี่ยมแล้วครับ ปิ๊งๆ

ผมถือศีลไม่ได้เลยซักข้อเดียว(ไม่น่าเชื่อเลย) ยกเว้นตอนนอนหลับอาจถือศีล 5 ได้เป็นบางครั้ง เหนื่อย

พี่เอมอร mail คุยกับพี่สิงห์ บ่อยๆ น่าจะได้ข้อคิดข้อปฏิบัติ มากขึ้น

      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #3 เมื่อ: 08 มกราคม 2554, 09:47:55 »

ขอบคุณนะคะ สำหรับคำตอบ
      บันทึกการเข้า
jitwang
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 37

« ตอบ #4 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2554, 10:17:58 »

                 ศีลห้าหรือความดีนั้นถ้าตนเองนั้นปฏิบัติบ่อยๆจนเป็นนิสัยแล้ว ความหยาบของกิเลสจะเข้ามาในใจยาก
เพราะว่าเรากระทำดีจนชินจนเป็นธรรมดา แต่ถาเรากระทำไม่ดีจนชินแล้วเราก็จะกระทำไม่ดีเป้นธรรมดาเช่นกัน เพราะฉนั้นจึงควรปฏิบัติธรรมและกุศลบ่อยๆ แล้วความชั่วจะเข้ามาเยือนใจตนนั้นยากหรือจะเข้ามาได้เราก็จะวางเฉยในความไม่ดี
      บันทึกการเข้า
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #5 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2554, 13:28:03 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 08 มกราคม 2554, 08:48:39
ปฏิบัติบูชา ที่ว่า พี่น่ะกระพร่อง กระแพร่งพิกลพิการพอควร ที่ยากและขาดบ่อยๆ ก็ศีล ๕  ข้อ ๑  นี้แหละ ยุงมันกวนน่ะ พี่ใช้ไม้ช๊อตยุงบ่อย ปล่อยไว้เวลานอนมันก็กวนที่หูหวี่ๆๆๆ  จะละก็กวนจัง ตะไคร้หอมไล่แล้วก็ไม่ไป ลองไม่ฆ่าแต่sprey ด้วยน้ำยาบ้วนปากตามเขาแนะนำมาแล้วก็ไม่ได้ผล เลยต้องกลับไปใช้วิธีเดิม แต่ก็จะพยายามไล่ให้ออกไปนอกบ้านแทน เพื่อจะครบ ๕ ข้อบ้าง แล้วหวังว่าการให้คนมาฉีดปลวกทุก ๓  เดือนไม่เข้าข่ายนะคะ อ้างได้ว่าไม่ได้เจตนาฆ่าได้ไหมเอ่ยคิดแค่ไล่ออกไปนอกบริเวณบ้านไม่รู้โกหกตัวเองเกินไปหรือเปล่า ปุจฉาแล้ว นะคะ มีใครจะวิสัจฉนา หากทางให้ได้บ้าง มียุงกับปลวกนี่แหละ พ้นข้อ ๑  ก็รอด

อ้างถึง
ข้อความของ jitwang เมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2554, 10:17:58
                 ศีลห้าหรือความดีนั้นถ้าตนเองนั้นปฏิบัติบ่อยๆจนเป็นนิสัยแล้ว ความหยาบของกิเลสจะเข้ามาในใจยาก
เพราะว่าเรากระทำดีจนชินจนเป็นธรรมดา แต่ถาเรากระทำไม่ดีจนชินแล้วเราก็จะกระทำไม่ดีเป้นธรรมดาเช่นกัน เพราะฉนั้นจึงควรปฏิบัติธรรมและกุศลบ่อยๆ แล้วความชั่วจะเข้ามาเยือนใจตนนั้นยากหรือจะเข้ามาได้เราก็จะวางเฉยในความไม่ดี


สวัสดี คุณอร ตามข้อความเสนอแนะ ของ คุณ jitwang เป็นพื้นฐาน ขั้นต้นที่พึงเตือนตนอยู่อย่างสมํ่าเสมอ ถูกต้องแล้ว
                   อย่าเพิ่งไปสนใจ Details ให้มาก (บาป -บุญ) เมื่อจิตเราคุ้นเคย กับ ศีล 5 แล้ว เขาจะพาเราเดินไปในทาง
                   สว่างเอง การฆ่า( สัตว์เล็ก สัตว์น้อย)?  เขาจะสร้างวิธีการ (ไม่ฆ่า) หลีกเลี่ยง ขึ้นมาเอง ตราบใดที่เรารู้ตัว
                   ว่าทำอะไรอยู่ (รู้ปัจจุบัน) และ ทำไปพร้อมกับใจที่มีเมตตาจิตอยู่ตลอดเวลา  ถ้าถึงกับต้องตาย ก็ ต้องตาย
                   เราเองอยู่ในภพภูมิที่สูงกว่าสัตว์เหล่านั้น  ก็ควรจะอุทิศให้ ส่วนบุญ ส่วนกุศล  แด่ดวงวิญญาณ เล็ก ดวง
                   วิญญาณน้อย เหล่านั้นด้วย เพื่อเขาอาจจะได้ไปเกิด ในภพภูมิที่ดีกว่าเดิม  1ชีวิต = 1 ดวงจิต  เมื่อไม่มี
                   ร่าง เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวแล้ว ศักดิ์ศรีจะเ่ท่ากัน จะต่างกันก็อีตรงที่จะไปเ่ท่านั้น ชอบจังเลย คำว่า " ไปสู่ที่
                   ชอบๆ" ชอบอย่างไรก็ไปอย่างนั้น ชอบนี้ไม่ใช่คำว่าชอบในความคิดนะ (เมื่อมีร่างอยู่) ชอบในเวลานี้ หมาย
                   ถึง จิตที่ได้สะสม(ภาษาโลกๆ)เรืองราวไว้เป็นเวลายาวนาน ข้ามภพข้ามชาติ สิ่งที่เขาชอบเขาคุ้นเคย เขา
                   ก็จะไปทีนั้นแหละ ตามข้อมูลเดิมที่สะสมไว้.......ชักจะพูดมากแล้ว...จบ....ขอให้เพื่อนหาย เจ็บ-ป่วย เร็ววัน   
 
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #6 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2554, 22:36:11 »

ขอบคุณ สำหรับความเห็นคะปี๊ด
ก็กำลังพยายามอยู่
เพราะรู้ว่าเวลาของเราที่จะทำก็น้อยลงทุกวัน ทุกวัน  ยังไม่ไปไหนเลย
จนอายพี่สิงห์เต็มที เพราะสอนแล้วเราก็ยังพยายามไม่พอ
ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
แต่ยังไม่ท้อนะ
ยังทำอยู่อย่างสม่ำเสมอ
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
      บันทึกการเข้า
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #7 เมื่อ: 19 กุมภาพันธ์ 2554, 12:43:17 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2554, 22:36:11
ขอบคุณ สำหรับความเห็นคะปี๊ด
ก็กำลังพยายามอยู่
เพราะรู้ว่าเวลาของเราที่จะทำก็น้อยลงทุกวัน ทุกวัน  ยังไม่ไปไหนเลย
จนอายพี่สิงห์เต็มที เพราะสอนแล้วเราก็ยังพยายามไม่พอ
ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
แต่ยังไม่ท้อนะ
ยังทำอยู่อย่างสม่ำเสมอ
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

  สวัสดี เช้าวันเสาร์ ครับ   คุณอร ในภาคปฏิบัติทางศาสนา / ถ้ามีเปรียบเทียบ / ถ้ามีจงใจ / ถ้ามีตั้งใจ / ถ้ามีบังคับ/
           จะไม่เกิดผลแห่งการเปลี่ยนแปลง เพราะเรากำลัง Due กับจิต  (ไม่มีตัวตน)    เหตุที่กล่าวเช่นนั้น  เพราะว่า
            การกระทำทุกอย่างที่เกิดจาก /ถ้ามี/  จะอยู่ภายใต้ ความ" อยาก "ทั้งหมด  มันเป็น  ธง  ที่ จิต  เราปักไว้แล้ว
            เพียงแต่  ร่างกายตอบสนอง  ให้ถึง ธง เท่านั้น ?? ถามว่า ถ้าเราทำได้ แต่จิต เรียนรู้อะไรไหม? เปลียนแปลง
           ไหม?? เปล่า......คำว่า " อยาก " เป็น ฐาน รวม  ของ  โลภะ โทสะ โมหะ ( ราคะ ก็ คือ"โคตรอยาก" นั้นแหละ )
            อ้าว....... แล้วจะทำอย่างไร? มันต้องคิดก่อนทำไม่ใช่หรือ ? ใช่ คำถามนี้เกิด กับทุกคนที่เริ่ม    ปฏิบัติธรรม
            แน่นอน คิด มาก่อน เพราะเราเกิด มาพร้อมสมอง และ จิตใช้สมองตลอด   เราคุยกับตัวเอง   อยู่ตลอดเวลา
            ตั้งแต่จำความได้ จน ปัจจุบัน มีสักกี่ครั้งที่เราเกิดคำว่า" ชนะใจตนเอง "  คงจำลำบาก เพราะมีไม่มากครั้งนัก
            เราเอาตรงนี้มาวิเคราะห์ ดู ภาษา โลกๆ ก็คือ มีแพ้-มีชนะ ใช่ไหม ?  อีตรง ชนะ นี่แหละคือ ช่องว่าง ทีเราจะ
            สามารถ ที่จะ ใส่ Input ที่ต้องการจะฝึก  จิต    
            ข้อมูล Input ที่มีอยู่ รอบๆเรา มีทั้ง + และ - แล้วจะยึดอะไร? เป็นแนว ทาง ที่น่า่จะถูกต้อง ก็ ศีล 5 นั้นแหละ
            คือพื้นฐาน ประกอบเหตุผล   เมื่อจิตเราคลุกเคล้า อยู่กับ Input ดีๆ จนชิน มันก็จะย้อนกลับ มาสั่ง คิด ตัดสิน
            ใจ และให้เหตุผลแต่สิ่งที่ดีๆ
             พอสรุปเป็น ข้อได้ว่า
                                        1. ชนะใจตัวเอง ด้วยเหตุผลประกอบที่เป็น บวก
                                        2. ทำทุกอย่างให้เป็นธรรมชาติ ไม่มี บังคับ ไม่มีอยาก ทำให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
            พอถึงเวลา จิต เขาจะ ตื่นเอง

                                                       เหนื่อย รักนะ gek
            
            
            
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #8 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2554, 13:56:17 »

ขอบคุณมากปี๊ด
อ่านหลายรอบๆๆๆๆๆๆ มาก
ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก
จะลองทำความเข้าใจใหม่
ปี๊ดมีความรู้มากกว่าที่เราจะเข้าใจได้ง่ายๆ
ว่างๆเข้ามาให้ความรู้ใหม่นะ
      บันทึกการเข้า
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #9 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2554, 14:16:45 »

 ช่วงนี้ พี่ใหญ่ไม่อยู่ เราพอรู้บ้าง นิดๆหน่อยๆ ก็เลย คุยไปคุยมา เล่าสู่กันฟัง วันนี้พี่สิงห์กลับมาแล้ว นั้นตัวจริง
          ของเราต้องใช้กระซิบเอา เพราะแนว ทางการปฏิบัติ ย่อมมีให้เลือกมากมาย  แต่เป้าหมายไปที่เดียวกัน หลั่นล้า หลั่นล้า รักนะ
        
          
      บันทึกการเข้า
jitwang
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 37

« ตอบ #10 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2554, 07:32:19 »

             ขออนุญาติพี่ใหญ่ทั้งสองท่านครับ คุณpete15 และ คุณเอมอร
ในมุมที่ผมกระทำอยู่ที่พิจารณาอาจจะแตกต่างจากหลายท่านคือ
การพิจารณาในธรรมและการปฏิบัติที่กระทำอยู่นั้น กระผมจะไม่ได้พิจารณา
ว่าแพ้ หรือ ชนะ เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้ถ้าเราไปใส่อุปทานเช่นเมื่อมีขาว
ก็มีดำ เมื่อมีแพ้ก็มีชนะผมจะพิจารณาว่าสิ่งต่างๆอยู่ตามธรรมชาติของสิ่งนั้น
ไม่พยายามเอาชนะเราก็ไม่แพ้ ไม่พยายามให้ขาวก็ไม่ดำพิจารณาว่าสิ่งต่างๆ
มันอยู่ของมันเช่นนั้นผัสสะที่รับรู้ได้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย อาจเป็นเหตุในการสัมผัส
แต่ที่สำคัญเมื่อสัมผัสแล้วถ้าใจไม่ไปยึด มันจะเกิดก็ช่าง ไม่เกิดก็ช่าง ไม่เกี่ยวกับเรา ใจรับรู้ได้
แต่ไม่ยึดปล่อยวาง พึงรู้พึงวาง เมื่อวางก็ว่าง เพราะสิ่งรอบตัวมันก็อยู่ของมันแบบนั้นไม่ต้องเก้บมาใส่ใจ
เพราะเมื่อเก็บมาใส่ใจแล้วก็ย่อมหนักใจทุกใจเป็นธรรมดา อย่างตัวอย่างที่ผมให้ดู {ลิงแบกแดด}
อย่างเช่นยุงหรือปลวกเราอาจจะคิดว่ามันมารบกวนเรา แต่ลองมองอีกมุมเราอาจจะไปรบกวนมัน
มันอาจอยู่มาก่อนเราก็ได้ ทราบครับถ้าถามว่าแล้วถ้าเราไปอยู่แล้วมันมารบกวนเราทางแก้คือ
บ้านไม่ต้องการให้ยุ่งเข้าก็ปิดให้มิดชิด หรือปลวกเราเองที่อาจจะลืมคิดหาทางป้องกันก่อนที่
จะเข้าไปอยู่ แต่มีอีกอย่างที่สรรพสิ่งย่อมเป็นเช่นนั้นเป็นไปตามธรรมชาติคือ ที่ไดมีอาหารก็ย่อม
มีผู้บริโภคอาหาร อย่างเช่นเราที่ทำงานที่เราทำอยู่ทุกวันนี้เองเมื่อมีงานเพื่อทำเงินเราก็ย่อมเลือก
ที่เราสามารถหาเพื่อมาจุนเจือครอบครัว แต่ยุ่งหรือปลวกก็ทำงานของมันตามหน้าที่ ที่สัตว์เหล่านั้นกระทำได้
เพื่อดำรงค์ชีวิตอยู่ ผมมองว่าทุกอย่างเกิดมาในโลกนี้ล้วนเกิดมาแบบเบียดเบียนกันหรือถ่อยที่ถ่อยอาศัย
อยู่ที่มุมเราคิดแค่นั้น อย่างเราก็เช่นกันเราอาจจะคิดว่าเราก็ไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร แต่คิดอีกมุมแค่เราสตาร์ท
เครื่องยนต์มลพิษที่เกิดขึ้นก็เป็นการเบียดเบียนแล้ว   ขอบคุณครับ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><