โครงการดึง มหาวิทยาลัยที่อยู่ภายในจังหวัดใด ให้มา่ช่วยด้านวิชาการพัฒนาจังหวัดนั้น

[Samrotri2517]

                                    สกอ.คลอดชื่อมหา'ลัยดูแลจังหวัด
                        โดยเวบเดลินิวส์ วันพฤหัสบดี ที่ 06 มกราคม 2554
                    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=42&contentID=113897

                                      

                  ดร.สุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ร่วมสร้างประเทศไทยน่าอยู่ โดย

         เน้นบทบาทสถาบันอุดมศึกษาให้มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนท้องถิ่น เพื่อเป็นแกนหลักในกระบวนการสร้างความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำของสังคม ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้จัดโครงการ

                                   “1 มหาวิทยาลัย 1 จังหวัด" ขึ้นนั้น

         ขณะนี้ได้รายชื่อมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่จะดูแลแต่ละจังหวัดเรียบร้อยแล้ว โดยมี 76 จังหวัด 300 กว่ามหาวิทยาลัย และคาดว่าปลายเดือน ม.ค.นี้ จะมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกันระหว่าง ศธ. กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้
    
         ดร.สุเมธ กล่าวต่อไปว่า หน่วยงานหลักที่จะทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย คือ

กระทรวงมหาดไทย เพราะมีหน่วยงานในพื้นที่จำนวนมาก นอกจากนี้จะมีหน่วยงานในสังกัดอื่น ๆ ที่อยู่ในพื้นที่เช่นกัน อาทิ

กระทรวงสาธารณสุข  

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

กระทรวงอุตสาหกรรม

กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เป็นต้น

         โดยมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จะเข้าไปให้ ข้อมูลทางวิชาการ ให้คำปรึกษาในการทำงานด้านต่าง ๆ ซึ่งใน 1 จังหวัดอาจจะมีหลายมหาวิทยาลัยช่วยกันดูแล เช่น

         จ.เชียงใหม่ มี 8 มหาวิทยาลัยดูแล คือ ม.เชียงใหม่  ม.แม่โจ้ ม.พายัพ ม.ราชภัฏเชียงใหม่ ม.เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ม.ฟาร์อีสเทอร์น ม.นอร์ท-เชียงใหม่ และ ม.มหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นต้น.

                              

[Samrotri2517]

                          โดย : สำนักข่าวไทย วันเสาร์ 22 ม.ค.2554
          http://news.impaqmsn.com/articles.aspx?id=392038&ch=ec1
กทพ.ว่าจ้างคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ศึกษาการพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษ
                                  
          กรุงเทพฯ 22 ม.ค.- พ.ท.ทวีสิน รักกตัญญู ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า กทพ.เตรียมว่าจ้าง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นที่ปรึกษาและทำการศึกษาเพิ่มเติมในขั้นรายละเอียดของโครงการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษ หลังจากที่ได้เคยเป็นที่ปรึกษาและทำการศึกษาในเบื้องต้นมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2552 ซึ่งผลการศึกษาในเบื้องต้นเห็นควรให้มีการใช้พื้นที่เพื่อประโยชน์สาธารณะและเชิงพาณิชย์ควบคู่กันไป โดยการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจะทำการศึกษาโครงการนำร่อง จำนวน 7 โครงการ คาดว่าจะใช้เวลาในการศึกษา 6 เดือน

                

          ทั้งนี้ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ได้เป็นที่ปรึกษาโครงการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษเป็นเวลา 10 เดือน นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2552 ซึ่งต่อมาได้ดำเนินการเสร็จสิ้นและส่งผลการศึกษาแก่ กทพ. เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2553 โดยผลการศึกษาเห็นควรให้มีการใช้พื้นที่ใต้เขตทางพิเศษเพื่อประโยชน์สาธารณะและเชิงพาณิชย์ควบคู่กันไป และเพื่อให้โครงการดังกล่าวสามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์และสามารถดำเนินการได้ในพื้นที่จริง กทพ. จึงอยู่ระหว่างการพิจารณาจัดจ้าง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ทำการศึกษาเพิ่มเติมในขั้นรายละเอียด จำนวน 7 โครงการ

         ประกอบด้วยโครงการนำร่องบริเวณถนนสุขุมวิท (เพลินจิต) เนื้อที่ประมาณ 4.5 ไร่, โครงการนำร่องบริเวณถนนสีลม เนื้อที่ประมาณ 4 ไร่, โครงการนำร่องบริเวณหัวถนนรามอินทรา เนื้อที่ประมาณ 5 ไร่, โครงการนำร่องบริเวณถนนประดิษฐ์มนูธรรม เนื้อที่ประมาณ 200 ไร่, โครงการ Park and Ride บริเวณถนนอโศก 1 โครงการป้ายโฆษณาและป้ายอื่น ๆ บริเวณโครงสร้างทางพิเศษ และโครงการบริเวณสะพานพระราม 9

                

[Samrotri2517]

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์:มธ.ที่แรกนำร่อง 1มหา'ลัย1จังหวัด

มธ.เตรียมลงนาม 1 มหา'ลัย 1 จังหวัด กับ ผู้ว่าจังหวัดปทุมธานี หวังช่วยสร้างองค์ความรู้
พัฒนาผังเมือง อธิการฟุ้ง มธ.เดินหน้าทำได้เป็นรูปธรรมเป็นแห่งแรก



ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยถึง
ความคืบหน้าการดำเนินการตามโครงการ 1 มหาวิทยาลัย 1 จังหวัด ว่า
ในวันที่ 28 มีนาคมนี้ มธ. และ 11 มหาวิทยาลัยในเครือข่ายพื้นที่ จ.ปทุมธานี
จะร่วมกันลงนามกับผู้ว่าราชการ จ.ปทุมธานี เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานร่วมกัน
ซึ่งถือว่า มธ.เป็นมหาวิทายาลัยแรกๆ... read more

 http://www.ethailand.com/th/news/1-1-84851.html