กลับมาอีกครั้ง พบกันในตอนที่ 3
วันนี้เล่าเรื่องพรหมลิขิตดีกว่า ว้าว......
3. จริงๆโดยส่วนตัวแล้วเป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องดวง โชค ฯลฯ อะไรนัก รวมถึงพรหมลิขิตด้วย
แต่ลองมาคิดพิจารณาดูแล้ว ผมว่าผมกับแฟน(ปิ๋ม) นี่ท่าจะเป็นพรหมลิขิต เป็นเนื้อคู่กันมา
แต่ชาติปางก่อนเป็นแน่แท้ ผมเชื่อว่าเรื่องของผมไม่น่าจะเหมือนใครในโลกใบนี้ (เว่อร์ไปป่ะ)
มีเพืยงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ประวัติความเป็นมาของผมกับปิ๋ม เอาล่ะ ผมจะเริ่มเล่าแล้วครับ
ผมเป็นคนโคราชโดยกำเนิด ส่วนปิ๋มเป็นคนนางรอง (บุรีรัมย์)
เราพบกันครั้งแรกที่โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย (โรงเรียนชายประจำจังหวัด) ม.ต้นชายล้วน
แต่ม.ปลายเป็นสหศึกษา ปิ๋มเข้ามาเรียนต่อที่โคราชตอนม. 4
สมัยนั้นมัธยมปลายแบ่งเป็น 14 ห้อง ห้อง 1 เป็นห้องคิง แล้วก็เรียงตามลำดับความเก่ง
ไปจนถึงห้อง 10 ห้อง 11 เป็นสายศิลป์ภาษา 12 เป็นพานิชย์ 13 เป็นห้องเกษตร กับช่าง
14เป็นห้องนักเรียนกีฬา ผมอยู่ทับ 5 ส่วนปิ๋มอยู่ทับ 3 ประมาณว่าเป็นคนเรียนปานกลาง
นักเรียนแต่ละห้องจะมีประมาณสี่สิบกว่า ห้าสิบคนได้ และแต่ละห้องจะมีผู้หญิงน้อย
ห้องผมน่าจะมีเยอะสุดในรุ่นนั้นมั้ง คือประมาณ 14 คน ถ้าจำไม่ผิด ส่วนห้องปิ๋มมีแค่ 4 คน
คนในรุ่นนั้นทั้งรุ่นไม่ค่อยมีคนหน้าตาดีเท่าไหร่ ผมมีเพื่อนสนิทอยู่ห้องปิ๋ม เพราะสนิทกัน
ตั้งแต่ม.ต้น แต่พอม.ปลายอยู่กันคนละห้อง
เรื่องมันเริ่มต้นที่เช้าวันหนึ่ง จะไปโรงเรียน
พอดีได้มีโอกาสขึ้นรถเมล์คันเดียวกับปิ๋ม ซึ่งตอนนั้นผมก็รู้ว่าคนนี้ชื่อปิ๋ม อยู่ห้อง 3 แต่ก็ไม่เคย
คุยกันเลยสักที ผมขึ้นรถก่อนหน้าเค้าหนึ่งป้าย พอถึงป้ายที่เค้าขึ้นมา เค้ามองหน้าผมด้วยสีหน้า
ที่เหมือนคนเกลียดกันมากๆ หรือโกรธอะไรกันมากๆ เจอกันมองกัน ผมก็เป็นงง ว่าเอ๊ ไม่เคย
คุยกันเลยนะ ทำไมมามองหน้าเราแบบนี้ได้ วันนั้นพอถึงโรงเรียน ก็ไปเล่าให้เพื่อนสนิทคนนั้นฟัง
เรื่องก็เริ่มมาตั้งแต่บัดนั้น มันก็มาบอกผมว่า ผมอย่างโน้นอย่างนี้ ปิ๋มว่าอย่างโน้นอย่างนี้
(อันนี้ผมจำรายละเอียดไม่ได้) ทำทีว่าเป็นการคุยกันผ่านคนกลาง อะไรประมาณนั้น หลังจากนั้น
ผมก็เริ่มสังเกตปิ๋มมากขึ้น มองบ่อยๆเข้า ก็เอ น่ารักเหมือนกันแฮะ อิอิ
จนในที่สุดความอึดอัด อัดอั้นก็มาถึงที่สุด ว่าต้องเคลียร์ซะที มีความโกรธแค้นอะไรผมก็ว่ามา
เช้าวันนั้น ผมต้องเดินทางไปแข่งกีฬาที่ต่างจังหวัด ไม่ต้องไปเรียนหนังสือ แต่เป็นวันที่ต้องไป
โรงเรียนตามปกติ ผมก็โทรไปหาปิ๋มแต่เช้าตรู่ที่หอพักเค้า เนื่องด้วยว่าผมจะไม่ต้องไปโรงเรียน
เป็นอาทิตย์ ก็คือไม่ต้องเจอกัน เคลียร์ๆให้จบๆ กลับมาจะได้จบเรื่อง
เสียงโทรศัพท์ดัง กริ๊งๆ ๆๆๆ มีคนวิ่งมารับ ผมก็ว่าขอสบายปิ๋มครับ สักพักมีคนวิ่งมารับโทรศัพท์
ด้วยอาการหอบ ปิ๋มค่ะ ตอนนั้นผมตื่นเต้นมาก เริ่มประโยคสนทนาว่า ปิ๋มเหรอ นี่โก๋นะ
ประโยคที่ตอบกลับมาคือว่า โก๋ไหน ป่อย?
?? เท่านั้นแหละคร้าบ ผมจึงถึงบางอ้อ
เพื่อนมันหลอกผมมาตลอด มันไม่เคยไปคุยอะไรกับปิ๋มเลย วัยรุ่นเซ็งครับพี่น้อง
เท่านั้นแหละ ก็ไม่รู้จะคุยอะไร ถึงกับอึ้งครับ ไม่มีอะไรให้เคลียร์ จบกัน ปิ๋มก็ว่างั้นปิ๋มขอไป
แต่งตัวไปโรงเรียนก่อนนะค่ะ ว่างหูปุ๊บ นึกถึงหน้าเพื่อนคนนั้นลอยมาพร้อมกับคำด่าสาบแช่ง
ยกหูโทรศัพท์อีกครั้งโทรไปหามันเลย ไอ้........ เอ้ย....... ม....... (เซ็นเซอร์ครับ)
ด่ามันจบก็วางหูไป ไม่ได้คิดอะไรละ คิดแต่เพียงว่า จบเรื่องละ จำได้ว่ากำลังขี้อยู่บนบ้าน
โทรศํพท์ดัง กริ๊งๆๆๆๆ น้องสาวรับ ตะโกนเรียก โกโก๋ (โก เป็นคำนำหน้าที่ใช้เรียกพี่ชาย
ในภาษาจีนแคะ) สาวโทรมาหา ผมก็วิ่งลงมารับ ฮัลโหล เสียงทางโน้นพูดมาว่า โก๋เหรอ
นี่ปิ๋มนะ ทำไมไม่บอกล่ะ เมื่อเช้า ขอให้ชนะนะ จะส่งใจไปช่วย เท่านั้นแหละครับ เป็นงง
บวกกับดีใจเล็กน้อย คิดในใจว่าอะไรวะเนี่ย สมัยนั้นยังไม่มีเพจเจอร์ โทรศัพท์มือถือ
ไม่งั้นจะโทรไปหาเพื่อนผมแล้วถามมันว่า มรึงไปพูดอะไรกับปิ๋ม(วะ) เค้าถึงโทรกลับมาพูดแบบนี้
จนผมกลับมาจากต่างจังหวัด อีกหลายวันต่อมา ผมถึงได้ถามเพื่อน มันบอกว่า มันไปบอกปิ๋มว่า
คนที่โทรหาเธอเมื่อเช้าที่ชื่อโก๋อ่ะ มันแอบชอบเธอ มันจะไปแข่งกีฬา เลยโทรมาขอกำลังใจ
ฮิ้วๆๆๆๆๆ รู้สึกตอนนั้นตัวเองหน้าแตกยังเยิน เพราะเกิดมาไม่เค้ยไม่เคยเลยจริงๆที่จะทำแบบนั้น
และไม่เคยคิดจะทำด้วย รู้สึกมันเห่ยและเชยมากๆๆๆๆ
หลังจากนั้น ก็คุยกันมาเรื่อยๆ เป็นแฟนกันตั้งแต่ม. 4 เทอมสอง จบม. 6 ก็สอบเอ็นทรานซ์
ติดที่เดียวกัน เรียนคณะเดียวกัน แถมภาควิชาเคมีเหมือนกันอีก
ที่ว่าผมเชื่อว่าเป็นพรหมลิขิตก็เพราะว่า ปกติปิ๋มไม่ใช่คนที่จะสนิทกับใครง่ายๆ โดยเฉพาะผู้ชาย
สมัยมาเรียนที่ราชสีมาใหม่ๆ จะมีนิสัยค่อยข้างวางตัวมากๆ ขนาดว่าเพื่อนผู้ชายสะกิดไหล่เรียก
ยังหันไปบอกว่า เรียกเฉยๆก็ได้ ไม่ต้องมาแตะ (อะไรจะขนาดนั้น) แต่เช้าวันนั้น ไม่รู้เธอนึกไง
ถึงได้โทรกลับมาพูดคำหวานกับคนที่เธอไม่เคยรู้จักขนาดนั้น หลังจากที่สนิทกันแล้วก็ถามปิ๋ม
เหมือนกันว่า ทำไมโทรมา ปิ๋มก็บอกว่า ไม่รู้เหมือนกัน ปกติก็ไม่ทำหรอก ก็แปลกดี
ส่วนอีกเรื่องนึงก็คือว่า เอ็นทรานซ์ติดที่เดียวกัน ทั้งๆที่เลือกกันคนละอันดับ แล้วก็เลือกจุฬาฯ
เหมือนกันอันดับเดียวด้วย สมัยนั้นเลือกคณะได้ 4 อันดับ ปิ๋มเลือกเศรษศาสตร์เกษตร
เป็นอันดับแรก แล้วก็วิทยาฯจุฬาฯ ส่วนผม เลือกวิทยาฯจุฬาฯอันดับหนึ่ง
อันดับสองวิทยาฯ เชียงใหม่ (ถ้าจำไม่ผิด) แล้วก็ไม่มีอะไรเหมือนกันอีกเลย
ขอจบแต่เพียงเท่านี้ครับ มันช่างเป็นพรหมลิขิตจริงๆ ว่าไหมครับพี่น้อง เพราะผมเชื่อเป็น
อย่างยิ่งว่า ถ้าไม่ได้สอบติดที่เดียวกัน ก็คงไม่มีวันนี้แน่นอน เพราะต่างคนคงต่างมีแฟนใหม่แน่ๆ