เพิ่งได้อ่านเรื่องราวของทุกคนจนหมด (เล่นเอาเหนือยเลยครับ จนต้องหยุดเรียบเรียงความคิดอยู่เป็นวัน) ดีจริง ๆ เลยครับที่ได้เข้ามาในบอร์ดนี้ได้รู้จักทุกคน และที่สำคัญได้มาอยู่หอซีมะโด่งแห่งนี้
มาต่อดีกว่าเดี๋ยวทุกคนจะรอนาน (ไม่รู้ว่าใครบ้าง พูดอย่างกับเยอะมาก ^_^ แต่ผมก็จะมุ่งหน้าเขียนต่อไป) จากความเดิมตอนที่แล้วได้รู้พื้นหลังการกำเนิดและเชื้อสายที่มาที่ไปของพ่อแม่ ปู่ย่าตายายของผมไปเรียบร้อยแล้ว
(ใครยังไม่รู้อนุญาติให้กลับไปอ่านความเดิมในหน้าที่แล้วได้นะครับ ถ้าคุณต้องการ ^_^)
มาต่อกันที่ภาคสองเลยครับผมให้ชื่อภาคว่า "ไม่มี" ครับ สงสัยล่ะสิทำไม่ "ไม่มี" ตามมาเลยครับ
หลังจากที่ได้ถือกำเนิดในโรงพยาบาลหัวเฉียวและได้ชื่อว่าเป็นเด็กกรุงเทพฯแต่กำเนิด ก็อาศํยอยู่ในกรุงเทพฯครับ บ้านผมไม่ได้ร่ำรวยอะไร จริง ๆ แล้วอาม่า (หรือย่าของผม) ไม่อยากให้ลูก ๆ ของท่านแต่งงานเลย (ลูกท่านมีสามคนครับ คุณพ่อผมเป็นคนที่สาม) เพราะว่าอากง (ปู่ของผม) เสียตั้งแต่พ่อผมอายุยังน้อย ท่านเลยเลี้ยงลูกด้วยความยากลำบาก และอยากให้ลูก ๆ อยู่กับท่านตลอดไปครับ แต่พ่อผมบังเอิญมารักแม่ของผมเลยต้องกระเสือกกระสนหาเงินมาแต่งงาน หลังจากนั้นยังต้องหาเงินเลี้ยงดูทั้งครอบครัวอีก
ผมก็จำไม่ได้หรอกนะครับว่าคุณพ่อคุณแม่มากรุงเทพฯตอนไหน (ก็แน่ล่ะจะไปจำได้อย่างไรก็ยังไม่เป็นวุ้นเลยอ่ะตอนนั้น) แต่ท่านทั้งสองเล่าให้ฟังครับว่ามาขายก๋วยเตี๋ยวแล้วก็น้ำเต้าหู้แถว ๆวัดไผ่โรงวัว (ผมไม่รู้จักอ่ะครับใครรู้ว่าอยู่แถวไหนช่วยบอกทีครับ) แล้วเมื่อน้องชายผมคลอด พ่อกับแม่ก็เล็งเห็นแล้วว่าอยู่กรุงเทพฯ ต่อไปเห็นจะไม่ไหว ไอ้ลูกสามตัวนี่กินเก่งเหลือเกิน ก็เลยย้ายกลับบ้านเกิดของพพ่อกับแม่ครับซึ่งก็คือ อ.เบตง จ.ยะลา ครับ
และแล้วความเป็นเด็กกรุงเทพฯ ของผมก็สิ้นสุดลงตรงนั้นครับกลายเป็นว่า เกิดกรุงเทพฯ มาโตช่วงแรกที่เบตง (อย่าเพิ่งสงสัยว่าทำไมแค่ช่วงแรกตามอ่านต่อครับแล้วจะอ๋อ ^_^) ตอนอยู่เบตงนี่เริ่มจำความได้แล้วครับ
บ้านผมก็ไม่มีอะไรมากเป็นบ้านไม้สองชั้นอยู่บนเนินสูง (อย่าเพิ่งอิจฉา) แต่บ้านอยู่ตรงข้ามกับป่าช้าแขกครับ (คนแถวนั้นเรียกแบบนี้เพราะเป็นสุสานของชาวมุสลิมครับ) วันดีคืนดีก็จะมีขบวนศพแห่มาฝังครับ พวกผมจะโดนคุณพ่อคุณแม่ไล่ขึ้นชั้นบนทันทีครับ แต่เราก็แอบดูอยู่เป็นนิด พิธีศพผมไม่รู้เป็นไงแต่ที่เห็นก็คือศพจะถูกแบกมาบนแคร่ไม้ไผ่คลุมด้วยผ้าแค่นั้นครับ พอพูดถึงตรงนี้บ้านผมเนี่ยค่อนข้างจะมีสัมผัสที่หกที่แรงพอดู (อันนี้ได้รับโดยตรงมาจากพ่อรับ) (**โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เป็นความเชื่อส่วนบุคคล**) ก็จะเห็นคนเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองของบ้านเป็นประจำครับ พวกผมในบ้านชินครับไม่ได้คิดอะไรมากแต่ญาติที่มาเนี่ยะขวัญผวากันเป็นแถบ ๆ
มีอยู่วันหนึ่งครับเจ้าหมาที่เลี้ยงไว้ดันไปคาบกระดูกที่ไหนมาก็ไม่รู้มาแทะอยู่ใต้เก้าอี้โซฟา พอแม่มาเห็นก็รู้เลยครับว่ากระดูกเข่าของคนครับ พ่อจับโยนทั้งกระดูกแล้วก็หมาไปที่ป่าช้าตรงข้ามบ้านเลยครับ (โยนหมาอ่ะล้อเล่นนะครับ แค่ดุแล้วไล่ไปสงบสติอารมณ์นอกบ้านหนึ่งคืนเท่านั้นเอง ^_^) สรุปแล้วผลจากวีรกรรมของหมาตัวนั้นทำเอาพี่ชายผมนอนซมไปหลายวันเลยครับ ไม่เอาแหละเปลี่ยน ๆ ทำไมกลายเป็นเรื่องแบบนี้ไปซะได้กลับเข้าชีวิตผมต่อครับ
พ่อกับแม่กลับมาตัดยางในที่ ๆ ขอตัวเองที่ใช้เงินที่เก็บหอมรอมริบมาซื้อไว้ ราคายางสมัยนั้นถูกมาก ๆ ครับ กิโลล่ะ 10 กว่าบาทเอง (ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ราคาสูงมาก ซึ่งเคยสูงจนเกือบร้อยบาทต่อกิโล) บ้านผมก็ค่อนข้างจะยากจนครับ ยิ่งมีลูกสามคนอีกยิ่งหนักเลยครับ พ่อกับแม่ต้องทำงานหนักมาก ๆ เวลาพ่อกับแม่ไปตัดยางจะให้เงินพวกผมสามพี่น้องคนละบาทครับไว้ซื้อขนมซึ่งพ่อกับแม่จะบอกกับร้านขนมไว้แล้วว่าเราจะมาซื้อ (คิดถึงแล้วน้ำตาไหลครับ)
และแล้วผมก็ได้เข้าโรงเรียน สมัยนั้นที่โรงเรียนยังไม่มีอนุบาลครับ (เพิ่งมีตอนน้องผมเข้าเรียน) เค้าเรียกว่า ป.เตรียมครับ หลายคนคงจำได้ว่าผมเป็นคนขี้แงมาก ๆ (เล่าไว้ตอนที่แล้ว) จำได้ว่าตอนมาโรงเรียนแรก ๆ ต้องถือกุญแจรถพ่อไว้เพื่อที่จะไม่ให้พ่อไปไหน พอรู้ว่าพ่อกลับบ้านไปแล้วร้องจนโรงเรียนแทบระเบิดเลยครับ ครูวิ่งมาดูกันหมด จนเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งมาปลอบถึงหยุดได้ (มาคิดดูตอนนี้อายมาก) อ่อลืมบอกไปว่าโรงเรียนที่ผมเรียนเป็นโรงเรียนจีนครับ (สังคมที่เบตงเป็นสังคมคนจีนซะส่วนใหญ่เลยมีโรงเรียนสอนภาษาจีนด้วย ไม่ใช่อย่าง OCA นะครับ แต่สอนวิชาอื่นเหมือนโรงเรียนทั่ว ๆ ไปเพียงแค่มีภาษาจีนเพิ่มมาเท่านั้นเอง) โรงเรียนชื่อ "จงฝามูลนิธิ" ครับเป็นโรงเรียนที่สร้างบนภูเขาที่เป็นสุสานเก่า บรรยากาศดีครับ (คิดถึง) ถ้าใครเคยดูเรื่อง "โอเคเบตง" ก็โรงเรียนที่เด็กผู้หญิงในเรื่องเรียนนั่นแหละครับ
ถ้าใครเคยเรียนภาษาจีนจะรู้เลยว่ามันยากตรงที่ต้องท่องจำ และการบ้านภาษาจีนเนี่ยะจะเยอะเป็นพิเศษ คือเค้าจะใช้วิธีเขียนจนมันฝั่งเข้าไปในสมองเลยอ่ะครับทั้งคัดเหมือนคัดไทย แล้วก็เขียนด้วยพู่กัน (ta kai กับ xiao kai) แล้วด้วยความที่เป็นคนขี้แง ก็จะร้องทุกครั้งที่ทำการบ้าน พ่อแม่ต้องจับมือเขียนผมก็ร้องไปเขียนไป จนหลัง ๆ พ่อกับแม่ไม่จับมือแล้ว ผมก็นั่งเขียนไปร้องไห้ไปด้วย (แต่ไม่เคยไม่ทำนะ มาคิดดูตอนนี้ไม่รู้จะร้องทำไม) แล้วก็เวลาตื่นนอนตอนเช้าสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ (ให้ทายครับว่าจะทำอะไรก่อน คิดออกม่ะ) ร้องไห้ครับ ไม่รู้ไม่มีเหตุผลแต่ต้องร้องครับ (งงตัวเองเหมือนกัน) เพราะด้วยอย่างนี้เวลาพ่อบอกว่าตอนคลอดออกมาร้องหนึ่งร้อยวันไม่มีหยุดนี่ก็เริ่มเชื่อครับ :lol:
ตอนที่แม่ท้องผมนั้นทุกคนเชียร์เหลือเกินครับว่าคนนี้ต้องเป็นผู้หญิงแน่ ๆ เลย พอคลอดออกมาดันเป็นผู้ชาย แถมยังขี้แง แล้วก็ขี้โรคแถมมาด้วยครับ สมัยเด็ก ๆ ผมผอมมาก จนพ่อแม่ต้องซื้ออาหารเสริม น้ำมันตับปลามาบำรุง(เหมือนเด็กขาดสารอาหาร) หลายคนคงไม่เชื่อ ไอ้วีที่น้ำหนักเคยถึง 84 kg จะเคยผอมจนต้องบำรุง (สงสัยไอ้ยาบำรุงที่กินตอนเด็กจะมาออกผลตอนโต) ญาติ ๆเลยตั้งฉายาว่า " tao fu mui" หรือที่แปลเป็นภาษาไทยตรง ๆ ว่า "เด็กหญิงเต้าหู้" เพราะช่างอ่อนแอ ขี้แง ขี้โรคเหลือเกิน ยิ่งตอนไปเที่ยวบ้านญาติแล้วร้องไห้นะเค้าก็ล้อคำเนี่ยะอ่ะครับ (แม้แต่ตอนนี้เวลาแพ้อากาศตอนกลับบ้านที่ไรแม่ยังล้ออยู่เลย)
ตอนที่อยู่เบตงนี่เป็นช่วงที่ไม่คิดอะไรเลยครับคงเหมือนกับหลาย ๆ คนที่วิ่งไล่ตามท้องนา แต่ผมวิ่งเล่นตามสวน(ของญาติ)ครับ ไม่มีเกมกด ไม่มีห้างให้เดิน ไม่มีความทุกข์ถึงแม้จะไม่สุขเท่าไหร่ตอนเห็นพ่อกับแม่ทำหน้าเวลาต้องจ่ายค่าเทอมลูก ๆ ) ไม่มีแม้กระทั่งความคิดถึงว่าโตไปจะเป็นอะไร เหมือนอนาคตมันไม่มีซะงั้นเลยครับ ตอนเรียนก็เกาะกลุ่มแนวหน้าของห้องตลอดทั้งภาษาไทยและภาษาจีน แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเอาความรู้มาทำงาน โลกทั้งใบมีแค่ เบตงเท่านั้นไม่มีความคิดที่จะก้าวออกจากเบตงแม้แต่น้อย
พอแค่นี้ก่อนดีกว่าครับ ผมเริ่มไม่ไหวแล้วอดีตที่ลืมไปนานมันกลับมาเป็นฉาก ๆ ครับ (อย่างกับพระเอกหนังแฮะ ^_^) หลังจากชีวิตจะพลิกผลันจากเด็กที่ไม่มีอะไรเลยแม้แต่ความฝันที่อยากเป็น มาเป็นผมในปัจจุบัน เหตุการณ์จะเป็นแบบไหนคอยติดตามนะครับ
ป.ล. ชีวิตผมอาจจะไม่มีอะไรน่าสนใจเหมือนกับหลาย ๆ คนที่มีอะไรน่าสนใจเยอะมาก (กว่าจะไล่อ่านของทุกคนหมดแทบแย่) มีข้อคิดในการดำเนินชีวิต แต่ผมคิดว่าการที่เรารู้ชีวิตของใครจะซักคนหนึ่งมันยาก และมันคงมีประโยชน์กับใครบ้างคน ซึ่งผมก็หวังว่าเรื่องราวของผมจะพอมีประโยชน์กับใครบางคนเช่นเดียวดันครับ
ป.ล.2 ผมสนับสนุนให้รวมเรื่องราวที่น่าสนใจเป็นเล่มครับ
:roll: