"How to be number one ?" คำถามสำหรับเบอร์หนึ่งอย่าง "สิงห์" กับเรื่องเล่าของผู้แพ้ที่ไม่ยอมแพ้
How to be number one ? เป็นคำถามสำหรับถามผู้ที่เป็น เบอร์หนึ่งเท่านั้น หากพูดถึงธุรกิจเบียร์เบอร์หนึ่งในวงการธุรกิจในประเทศไทยตอนนี้ต้องพูดถึง ตรา "สิงห์" บริษัทในเครือ บุญรอดบริวเวอรี่แน่นอน หลังจากที่ต่อสู่ฝ่าฟันจนกลับมาประสบความสำเร็จอย่างงดงาม วันนี้สิงห์สามารถยืนอยู่บนบัลลังก์อย่างสง่างาม
คุณฉัตรชัย วิรัตน์โยสินทร์ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด กล่าวในงานสัมนา "SCG Paper Business Seminar 2010" ในหัวข้อ "อยู่อย่างสิงห์ การตลาดพลิกวิกฤติเป็นโอกาส" ว่า สำหรับเรื่องการเป็นเบอร์หนึ่งคิดว่าเฉยๆเพราะเราเป็นที่หนึ่งทุกปี แต่ถ้าเปลี่ยนคำถามว่าที่หนึ่งแล้วกำไรไหม ตรงนี้ต่างหากเป็นสิ่งที่ทำให้สะดุ้ง เพราะ 10 ปี ที่แล้วตราสินค้าของสิงห์เป็นอันดับหนึ่ง แต่บริษัทกลับใกล้เจ๊ง
หากพูดถึงการเป็นที่หนึ่งต้องมีส่วนประกอบ 3 อย่างคือ ตราสินค้า ยอดขาย และกำไร ซึ่งวันนี้อาจพูดได้ว่า "สิงห์" เป็นอันดับหนึ่งเพราะ มีทุกอย่างเป็นอันดับหนึ่ง แต่ถ้าถามอีกว่าตอนนั้นที่บอกว่าใกล้เจ๊งแล้วกลับมาได้อย่างไร พวกเราคงไม่ได้ชนะเพราะเรื่องพวกเครื่องมือการตลาด การขนส่งพวกนี้ แต่คำตอบคือ เพราะวัฒนธรรมองค์กรของสิงห์ วัฒนธรรมมีทุกที่ บริษัทจะเล็กจะใหญ่ก็ต้องมีบุคลิกที่ไม่เหมือนองค์กรอื่น จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ถ้าถามว่าจบโรงเรียนอะไร มันก็จะมีบุคลิกลักษณะแบบนี้ติดอยู่ ตัวนี้แหละที่จะทำให้เราไปได้ไกล ถ้าพัฒนาได้ดี
ถ้าลองย้อนกลับไปเทียบสิงห์กับช้างเมื่อกว่า 10 ปี ดูยอดและส่วนแบ่งการตลาดตอนนั้น "สิงห์" ลดเหลือแค่ 20% แพ้ต่อการขาย "เหล้าพ่วงเบียร์"
คุณสันติ ภิรมย์ภักดีหัวเรือใหญ่ของบริษัทบอกให้เราหาสาเหตุที่ล้มเหลว ซึ่งพบว่าในตำราการตลาดที่บอกสาเหตุของความล้มเหลว เราแทบไม่ต้องเลือกเลย เราคัดมาหมดอย่าง ประมาท เลินเล่อ ล่าช้าต่อการตอบสนอง, เมินเฉยต่อความต้องการของลูกค้า, ไม่ ประเมินศักยภาพของคู่แข่ง, ไม่จัดทำแผนธุรกิจเพื่อ รองรับการเปลี่ยนแปลง, เสียเปรียบเรื่องต้นทุน, บริหารสินทรัพย์ไม่มีประสิทธิภาพ และพนักงานขาดการมีส่วนร่วม แต่คุณสันติเพิ่ม 2 ข้อ ที่สำคัญคือ
"หยิ่ง หลงตัวเอง และจมปลักกับความสำเร็จในอดีต อันนี้ต้องด่าผม คุณมาด่าผมไม่ได้เดี๋ยวพวกคุณจะโดนไล่ออก" คุณฉัตรชัยเล่าคำพูดของคุณสันติ
แต่พอมาในช่วงปี 45 "สิงห์" เริ่มพลิกสถานการณ์จี้ก้น"ช้าง" คนมักเริ่มถามเสมอว่าแพ้แล้วกับมาชนะได้อย่างไร ?
คุณยุพา ฝ่ายบุคคลของบริษัทบอกว่า ถ้าจะหาคำเดียวที่อธิบายคำตอบของคำ ถามได้ดีที่สุดคือ "สันติวิถี" เริ่มต้นจากการ ยอมรับความจริง วันที่เราเหลือส่วนแบ่งการตลาดแค่ 20% คุณสันติกล่าวว่า "ผมยอมรับว่าแพ้ แต่ผมไม่ยอมแพ้ พวกคุณจะสู้กับผมไหม อย่าไปโทษเรื่องกฎหมายขายพ่วง เรามีชีวิตแบบนี้ก็ต้องสู้แบบนี้ เลิกแก้ตัวเรื่องขายพ่วง"
การสู้ของเราคงไม่อยากเป็นแบบ "ลีโอไนดัส" กษัตริย์ของชาวสปาร์ตันในภาพยนต์เรื่อง "300" ที่สู้ถวายหัว ประวัติศาสตร์จารึกชื่อ แต่ตอนท้ายตาย ไม่เหลือชื่อในโลกความเป็นจริง หรือ "แม็กซิมัส" จากเรื่อง "กลาดิเอเตอร์" ที่เก่งคน เดียวสุดท้ายก็ตาย หรือแม้แต่เราก็ไม่ใช่ "ซุปเปอร์แมน" ที่สู้แบบไม่มีวันตาย
คุณสันติบอกให้เราสู้แบบ "นิค วอยจิค" (Nick Vujicic) ชายที่ไม่มีแขนและไม่มีขาแต่หันหน้าสู้ความจริง เอาอีโก้ออกไป หากแม้ว่ามีต้องมีให้เยอะเพียงต้องคุมให้อยู่ บางคนมีมากจนนึกว่าตัวเองเป็นพระเจ้า แต่เมื่อเสียหายแล้วก็โทษคนอื่นโดยไม่รู้ตัว
"อีโก้เยอะทำให้ทีมเวิร์คเสีย ท่านต้องให้คนอื่นเตือน เมื่อเตือนแล้วอย่าโกรธ ท่านต้องฟัง ตื่นเช้ามาไปส่องกระจกให้เห็นว่ามีสองหูหนึ่งปาก หมายความว่าฟังให้เยอะๆ พูดให้น้อยๆ"
แต่เดิมเราไม่เคยไปเยี่ยมลูกค้า คิดว่าเราเป็นเทพ แต่จงไปเยี่ยมลูกค้า อย่าเย่อหยิ่ง เมื่อลองไปเยี่ยมแล้วคนที่พบหน้าเขามีแต่มาสมน้ำหน้า ไม่มีมาสนใจ แต่เราไปเยี่ยมบ่อยๆก็เริ่มดีขึ้น ลูกค้าเริ่มเห็นเราดีขึ้น
ต่อไปคือการพุ่งเป้าหรือโฟกัสไปที่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่ตรงไหนให้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น ใช้การคิดง่ายๆ หากลองคิดดูว่าคนกำลังจะจมน้ำตายขอความช่วยเหลือ คงไม่มีใครวิเคราะห์ว่า "คุณจมน้ำเพราะอะไรขอเวลาวิเคราะห์ก่อน" เราต้องกระโดดลงไปช่วยทันที โดยใช้หลักการ "Kiss" ซึ่งย่อมาจาก "Keep it simple stupid" หมายความว่าให้ทำอะไรง่ายๆ ให้คนทั่วไปเข้าใจได้ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นเราไม่มีเวลามานั่งทำวิจัย วิเคราะห์อะไรมากมายนัก ต้องแก้ปัญหาด้วยวิธีที่เข้าใจได้ง่าย เมื่อง่ายก็เกิดความรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้เกิดความมั่นใจในตัวเองต่อมา
ทั้งนี้ เมื่อเกิดความมั่นใจในตัวเองแล้ว หลักการดังกล่าวจะทำให้เกิดความเป็น "ธุรกิจแบบครอบครัว" ซึ่งเป็นหลักการที่บริหารได้มีประสิทธิภาพหลักการหนึ่งโดย "บริหารพวกมืออาชีพแบบ ครอบครัว และบริหารครอบครัวแบบมืออาชีพ"
นอกจากนี้ ความเป็นผู้นำเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ แต่ปัญหาคือนิยามของคำว่า "ความเป็นผู้นำ" คืออะไร หรือคือ คุณธรรม ปัญญา ความเป็นผู้ใหญ่ หรือ การรู้แพ้ รู้ชนะ หัดฟังผู้อื่น
สิ่งที่จะเป็นเครื่อง วัดผู้นำ มีหลัก 5 อย่าง คือต้องมี "พลัง บวก" สามารถเป็นผู้นำทั้งในเวลาที่แพ้และชนะ ซึ่งพิสูจน์ได้จากประโยคของคุณสันติข้างต้นแล้วว่า "ผมยอมรับว่าแพ้ แต่ผมไม่ยอมแพ้"
เมื่อมีพลังบวกก็ต้องมี "พลัง" ท้าทายความสามารถของตัวเอง พร้อมกับการค้นหาความสามารถสูงสุด และเชื่อมั่นตัวเอง เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าตัวเองทำอะไรได้จนกว่าจะลองทำ อย่างเช่น การตั้งเป้ากับดีลเลอร์ว่าถ้าขายได้เกินยอดที่ตั้งเอาไว้จะให้ลิตรละล้าน ซึ่งปีที่เริ่มพูดเล่นๆ สิงห์จ่ายไป 90 ล้าน !!
ผู้นำต้องมีความ "เชื่อ มั่น" คุณสมศักดิ์ยกตัวอย่าง พอล พ็อตต์ หนุ่มอาชีพเซลล์ขายโทรผู้ชนะบริติช กอต ทาเลนต์ แต่เดิมที่เคยคิดว่าเป็นแค่ผู้แพ้ โดนเพื่อนแกล้งบ่อยๆ เมื่อถูกเพื่อนแกล้งก็มานั่งร้องไห้ แต่ตอนที่ร้องไห้บังเอิญได้ฟังเพลง "โอเปร่า" จนรู้สึกว่าชอบจึงไปฝึกฝนอยู่เรื่อยๆด้วยความคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ช่วยคลาย อารมณ์ได้ เมื่อมีโอกาสก็เดินทางไปแข่งรายการเรียลริตี้โชว์จนได้รางวัลกลับมา
(ชมคลิปโอเปร่า ของหนุ่มเซลล์แมน
http://www.youtube.com/watch?v=1k08yxu57NA ที่คุณสมศักดิ์แนะนำว่ามีผู้ชมเกือบ 70 ล้านคนนับตั้งแต่ปี 2007 )
เชื่อมั่นแล้วก็ต้อง "กล้า ตัดสินใจ" คุณสันติ เคยพูดในช่วงวิกฤติว่า "เราจะขาวก็ขาว จะดำก็ดำ ต้องลงมือทำแล้วสันติจะรับผิดชอบเอง" ซึ่งหน้าที่ของผู้บริหารต้องตั้งคำถามให้ถูกต้องเท่านั้น และแบ่งงานให้ลูกน้องทำ จำไว้เสมอว่าตำแหน่งยิ่งสูง งานยิ่งน้อย
"คนเราไม่กล้าตัดสินใจเพราะกลัวล้มเหลว"
"บริหารจัดการองค์กร" บริหารคนให้เป็น บริหารการเปลี่ยนแปลงต้องรู้ว่าโลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ประเทศไทยมีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 20 ของโลก แต่คนเกือบครึ่งของประเทศไม่ช่วยทำงาน มองแค่ว่าอีกเมื่อฝ่ายหนึ่งทำงาน เราจะไม่ทำ หนำซ้ำยังแกล้งฝ่ายที่ทำงานด้วย นอกจากนี้ยังบอกว่า" รอเวลาที่กูจะบริหารบ้างแล้วกัน"
"ที่สำคัญคืออย่านั่งรอ เปลี่ยนแปลงเพราะกลัวจะเสี่ยง แต่จริงๆแล้วการไม่เปลี่ยนแปลงคือการเสี่ยง ดังนั้น การไม่เสี่ยงคือการเสี่ยงนั่นเอง ถ้าไม่ต้องการเสี่ยงก็ต้องเสี่ยงเปลี่ยนแปลง ทุกคนมีโอกาสเท่ากันเหมือนการซื้อล็อตเตอรี่ สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดง่ายกว่าที่คิดอยู่ที่ใครเห็นโอกาสก่อนกัน เมื่อได้โอกาสแล้วจะบริหารกันอย่างไร"
การเล่นไพ่ที่ดีคือวางกลยุทธ์เล่นให้ได้แต้มมากกว่าเจ้ามือ อย่าเล่นให้ได้แต้มสูงสุด ได้แต้มเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ใช่จั่วตลอด
แต่ในเวลาที่เราทำสำเร็จ คนมักจะบอกว่าเรา "คิดบวก" เมื่อล้มเหลวก็มักจะเป็น "ประมาท" เส้นบางๆที่กั้นทั้งสองอย่างคือ "สติ" การที่จะคิดนอกกรอบได้ต้องคิดในกรอบให้เป็นก่อน
คุณสมศักดิ์กล่าวก่อนจบการบรรยายว่า ตอนนี้การค้าเสรีเปิดแล้ว เหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นได้เสมอ จงย้ำตัวเองเสมอว่าแม้จะเป็นผู้ชนะ แต่ไม่ใช่ "ผู้นำ" ตลอดไป