22 พฤศจิกายน 2567, 03:28:37
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1] 2 3 ... 29  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องดี--มาแบ่งปัน  (อ่าน 613406 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 8 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
iamfrommoon
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2535
คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 8,396

เว็บไซต์
« เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2549, 11:32:44 »

ผมเชื่อว่า  หนังสือเล่มนี้  ดีที่สุดในโลก  คุณจะอ่านหรือไม่มันเรื่องของคุณ ขออนุญาตนำบทความบางท่อนจาก

“หนังสือหยุดความเลวที่ไล่ล่าคุณ” ของ พ.อ.(พิเศษ) ทองคำ  ศรีโยธิน,   สมคิด ลวางกูร
****************************************************

...ตัดเงินเดือน...

พอกราบคุณย่าเสร็จ  ผมก็หันมาคุยกับอาจารย์  ถามว่า….อาจารย์กำลังทำอะไรครับ
อาจารย์ตอบว่าผมกำลังตัดรายจ่ายอยู่...คุณทองคำ   ผมต้องจ่าย..ค่าแม่ครัว..คนขับรถ  คนสวน
ค่าใช้จ่ายในบ้านและให้แม่อีกเดือนละ  300 บาท ตอนนี้รายได้กับรายจ่ายมันไม่ค่อยสัมพันธ์กันต้องตัดรายจ่ายลงบ้าง ผมก็ทำหน้าที่เป็น Advisor บอกว่า  เงินเดือนที่ให้แม่ 300 นี่ตัดได้นี่ครับ
อาจารย์หันหน้ามามองผม ...แล้วยิ้ม... ทำไมล่ะ?
ผมบอกว่า อาหาร 3 มื้อ ..อาจารย์ก็จัดให้..เรียบร้อย
เสื้อผ้า..อาจารย์ก็ซื้อให้ใหม่..ปีละ 3 ชุด ..เรียบร้อย
เจ็บป่วย ไม่สบาย ..อาจารย์ก็พาหมอมาฉีดยาให้ เรียบร้อย
เพราะฉะนั้น เงินเดือน 300 นี่ ตัดได้ครับ

ท่านบอกว่า "ตัดไม่ได้เด็ดขาด”...คุณทองคำ   300 บาทนี่ สำคัญที่สุด สำคัญยังไง?
เงิน 300 บาทนี่ เป็นเงินสำหรับ…เลี้ยงหัวใจแม่…

ผมฟังแล้ว...สะอึก   โอ...นี่เป็นเงินเลี้ยงหัวใจแม่
พวกเรา เคยได้ยินไหมครับ?
ผมนึกว่า ให้อาหาร...เสื้อผ้า.. เจ็บป่วยก็เอาหมอมารักษา น่าจะพอแล้ว
ท่านบอกว่า  อาหารกินแล้วก็ไปส้วม เสื้อผ้าเก่าแล้ว ก็เป็นผ้าขี้ริ้ว หมอรักษา ก็รักษาอาการทางกาย  สิ่งต่างๆ ที่เราจัดให้ทั้งหมดนี้ เป็นอาหารกาย แต่ 300 บาทนี่  เป็นอาหารเลี้ยงหัวใจแม่
หัวใจต้องการอาหารที่มาหล่อเลี้ยงให้..เอิบอิ่ม...เบิกบาน...เป็นสุข
คุณทองคำ ลองนึกดู  คนที่ไม่มีเงินอยู่ในตัวเลยนี่ เป็นยังไง?
"หัวใจมันแฟบ หัวใจมันเหี่ยวเฉา ...เหมือนดอกไม้ยามเย็น"
ใครที่เป็นข้าราชการจะรู้  พอเลยวันที่ 25 ไปแล้วนี่ มันเหี่ยว ๆ ยังไงชอบกล
ไม่มีเงินค่ารถไม่มีเงินค่าอาหาร ไม่มีเงินซื้อข้าวสาร  มันเหี่ยวไปจนถึงสิ้นเดือน
แม่อยู่กับเรา ก็จริง  แต่ถ้าแม่ ไม่มีเงินอยู่ในมือนี่  หัวใจท่านเหี่ยว...
พอถึงวันเงินเดือนออก  ทุกคนหน้าบาน..เหมือนดอกไม้ยามเช้า
จิตใจสดชื่น...เบิกบาน...มีความสุข  รับเงินเดือนมาใหม่ๆ หน้าสดใส
สั่งกาแฟยังเสียงดังฟังชัด  ทุกสิ้นเดือน พอเงินเดือนออก
ผมเข้าไปกราบแม่  บอกแม่ว่า วันนี้เงินเดือนออกครับ
ผมนำเงินมาบูชาพระคุณแม่ 300 บาทครับ เอาเงิน 300 บาทใส่มือแม่
แม่ก็ให้ศีล ให้พร ยกหมอนขึ้น เอาเงินวาง แล้ววางหมอนทับ  มีความสุข
เดือนละ 300  สามสี่เดือน ก็เป็นพันใช่ไหมครับ
แล้วเงินนี่สำคัญยังไง  เลี้ยงหัวใจแม่อย่างไร?


... คุณย่าให้...
ท่านเล่าต่อว่า ตอนนั้นท่านมีลูก 2 คน  เป็นผู้หญิงทั้งคู่กำลังท้องคนที่ 3
วันหนึ่ง ก็พาเมียไปโรงพยาบาล  แม่ถามว่า คลอดหรือยัง?  ยังครับแม่

วันต่อมาถามอีก คลอดหรือยัง  คลอดแล้วครับแม่
ผู้หญิงหรือผู้ชาย?  ผู้ชายครับ  โอ๊ย...แม่ดีใจจังเลย  ได้หลานไว้สืบสกุล
มานี่...มานี่..  ยกหมอนขึ้น..นับเงินส่งให้ 600 บาท
เอาเงิน 600 บาทนี่ไปซื้อทอง 6 สลึง  เอามารับขวัญหลานชาย
แต่ก่อนทองคำบาทละ 400  อาจารย์รีบไปซื้อทองมาให้
วันรุ่งขึ้น แม่เขาอุ้มลูกขึ้นมาหาย่า  ย่ากอดหลานชาย... สวมสายสร้อยให้เป่าหัวให้เสร็จ
พอเด็กคนนี้โต พูดได้  มีคนถามว่าสายสร้อยนี้ใครซื้อให้  คุณย่าซื้อให้
ชี้มือไปที่คนตาบอด  คนที่ใหญ่ที่สุดในบ้าน  คือ คุณย่า  ไม่ใช่พ่อแม่
เพราะเงิน 300 บาทนี่  เสกให้คนตาบอดขลัง
ถ้าคุณย่าไม่มีเงิน  จะรับขวัญหลานได้อย่างไร ?
เห็นไหมครับ ?
ไม่ใช่ว่า..  พอโตขึ้น.. มีคนถามว่า.. คนนี้เป็นใคร.. บอกว่า ...
ยายแก่ตาบอดนี่..   มาอาศัยพ่อแม่ฉันอยู่.. เห็นหรือยังคุณทองคำ
เงินเดือนๆ ละ 300 บาทนี่ ทำให้คนแก่ตาบอด  กลายเป็นเทพเจ้า
..สร้อยนี่   คุณย่าให้...เงินเดือนมีฤทธิ์...วันดีคืนดีนะ  คุณทองคำ
แม่ครัว ล้างชามเสร็จ   คุณย่าก็บอกให้มานวดขาให้
แม่ครัวหน้ามุ่ย ทำงานเหนื่อยจะตายยังต้องมานวดให้อีก
นั่งขยำ ๆ หน้าคว่ำ  พอนวดเสร็จคุณย่าหยิบเงินให้ 30 บาท
แม่ครัวยิ้มหน้าบาน  ยกมือไหว้ขอบคุณค่ะ

วันรุ่งขึ้น พอล้างจานเสร็จรีบวิ่งมานั่งใกล้ๆ วันนี้นวด...อีกไหมคะ..คุณย่า
เห็นไหมเงินเดือน300 บาท ที่เราให้แม่เรานี่  มันมีฤทธิ์
มีคน.. มายกมือไหว้ มีคน  มาปรนนิบัติ
มีคน  มานวดให้  ถ้าไม่มีเงินเดือนๆ ละ 300 บาทนี้
แม่เราจะมีฤทธิ์ได้อย่างไร

...บันไดไปสวรรค์...
วันหนึ่งพระมาเรี่ยไร จะสร้างโบสถ์ อาจารย์นิมนต์พระเข้ามาแล้วชี้มือ ...
บอกมรรคทายก..ว่า.. โน่นไปเรี่ยไรกับคุณย่าโน่น
มรรคทายกบรรยายว่าจะสร้างโบสถ์...กว้างเท่านั้น..ยาวเท่านี้
สูงเท่าไร...สวยงามยัง...ราคาเท่าไร... คุณย่ายกหมอนขึ้น
นับเงินมา 500 พนมมืออธิษฐาน  ขอให้ศาสนาของพระองค์
ยืนยงไปอีก 5 พันปี นิพพานปัจโยโหตุ
ทำบุญ...สร้างโบสถ์ไว้เป็นมิ่งขวัญในพระศาสนา
ตกลงเงินเดือน ๆ ละ 300 ที่เราให้เป็นบันไดพาแม่ไปสวรรค์
นี่ถ้าแม่ไม่มีเงินในมือ แม่จะได้ทำบุญไหม”

...คุณยายตากผ้า...
พอพระให้พรเสร็จ ก็เดินผ่านไปบ้านถัดไป
ยายแก่บ้านโน้น  กำลังเก็บผ้าอยู่หลังบ้าน
มรรคทายก  ตะโกนข้ามรั้ว ทำบุญสร้างโบสถ์ไหม  คุณยาย
สร้างที่วัดนครนายก นี่...หลวงพ่อมาด้วย  มาบอกบุญเองเลย
เดี๋ยวอีกสักครู่  วกกลับมาใหม่ได้ไหมล่ะ ยายไม่มีเงินหรอก
ยายอาศัยลูกสาวเขาอยู่ เดี๋ยวเผื่อลูกสาวเขากลับมาทัน
จะขอเงินเขาทำบุญ ยายแก่คนนี้ ไม่มีเงิน
เพราะลูก  เอามาเลี้ยงแปะๆ  แมะๆ  ไว้ข้างรั้วบ้าน เอาไว้คอยเก็บผ้า
บันทึกการเข้า

@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@

Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #1 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2549, 23:12:11 »

ของเดิมมันเป็นเช่นนี้

 
อ้างถึง   
Mouy
เข้าร่วม: 27 Feb 2006
ตอบ: 42
ที่อยู่: Bangkhunnon BKK
 ตอบเมื่อ: Fri Mar 24, 2006 7:01 am    เรื่อง: เรื่องดีๆ มีไว้แบ่งปัน  

--------------------------------------------------------------------------------
 
เพื่อดำรงเจตนาของเจ้าแทน ผู้ที่ยังไม่กลับมาเข้า board ทั้งที่ทราบข่าวการกลับมาของ board นี้แล้ว.... เราเลยกลับมาตั้งกระทู้ที่คล้ายคลึงกันอีกครั้ง (จำหัวข้อกระทู้เก่าบ่ได่)

เมื่อวานนี้ พอดีพี่ได้เรียนหนังสือกับอาจารย์วิชัย ที่จุฬา...แล้วเกิดชอบใจในเรื่องเล่า..เลยมาเล่าสู่กันอ่าน... บางคนอาจได้อ่านแล้วใน forward mail นะ

เรื่องเล่าของเด็กขี้โมโห

ลูกชายของบ้านหลังหนึ่งเป็นเด็กที่ใจร้อน ขี้โมโห และโกรธง่าย...ซึ่งเวลาที่เค้าโมโหก็มักจะเก็บอารมณ์ไม่อยู่ต้องหาวิธีระบายออก.. วันหนึ่งเค้าจึงไปปรึกษากับพ่อ

ลูก: "พ่อครับทำอย่างไรดี เวลาผมโมโห ก็มักจะเก็บอารมณ์ไม่อยู่ ทำลายข้าวของ หรืออาจชกต่อยอยู่เรื่อยเลยครับ"
พ่อ: "งั้นเอาอย่างนี้สิ....เมื่อไหร่ที่เจ้ามีอารมณ์โกรธ อยากระบายออก เจ้าจงไปหยิบค้อนกับตะปู แล้วนำไปตอกที่รั้วหลังบ้านนะลูก"

และลูกชายก็ได้ปฏิบัติตามคำสอนของพ่อด้วยดีเสมอมา .....และแล้ว.....เมื่อตะปูหมดลง... ลูกชายก็มาบอกพ่อ และเล่าให้พ่อฟังว่า
ลูก: "พ่อครับตะปูหมดแล้ว แต่ลูกรู้สึกว่าอารมณ์ของลูกเย็นขึ้นไม่เหมือนแต่ก่อนนี้..."
พ่อ: "งั้นอย่างนี้นะลูก ถ้าหากเมื่อไหร่ที่ลูกควบคุมอารมณ์โกรธของลูกได้ เจ้าจงไปถอนตะปูออกนะ"

และแล้วตะปูที่ได้เคยตอกลงไปนั้น ก็ได้ถูกถอนออกหมด..ลูกชายจึงวิ่งมาบอกพ่อ

ลูก: "พ่อครับผมถอนตะปูออกได้หมดแล้วครับ"
พ่อ: "แล้วเจ้าเห็นอะไรบ้างล่ะ"
ลูก: "Huh?..."
พ่อ: "เจ้าตามพ่อมานี่สิ"....

เมื่อมาถึงรั้วหลังบ้าน
พ่อ: "เอาล่ะ ... ตอนนี้ลูกเห็นอะไรบ้างจากการตอกตะปูของลูก"
ลูก: "เห็นรูตะปูครับ"
พ่อ: "นั่นแหละ... ถึงแม้ว่าเราพยายามที่จะแก้ไขผลจากอารมณ์โมโห โดยการดึงตะปูออก...ผลของอารมณ์โมโหของเจ้าก็ทิ้งร่องรอยเอาไว้..เห็นมั๊ยล่ะลูก...ก็เหมือนกันเมื่อเจ้าโมโห แล้วเกิดไปทำร้ายคนหรือส่งของที่เจ้าโกรธ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือรอยแผล ไม่เกิดรอยแผลนั้นกับเจ้าก็เกิดกับคนหรือสิ่งของนั้น ดังนั้นการโมโหไม่ได้ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเราเลยนะ...ดังนั้นเจ้าจงเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ของเจ้าเถอะนะ"
บันทึกการเข้า

...
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #2 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2549, 23:14:53 »

อ้างจาก: "Mouy"
Update ไม่ให้หายไป.... อิอิ หาเรื่องใหม่มาให้อ่านจ้า...  
เพื่อน ...

มีแม่ลูกคู่หนึ่งเดินบนชายหาด แล้วลูกก็ถามแม่ว่า
"แม่ครับ ทำอย่างไรจึงจะรักษาเพื่อน ให้รักและอยู่กับเรานานๆ"
แม่คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ก้มลง เอามือทั้งสองกำทรายแล้วชูให้ลูกดู จากนั้นแม่ก็บีบมือข้างหนึ่งให้แน่น
ทันใดนั้นเองทรายก็ไหลออกจากมือข้างนั้นเรื่อยๆ แม่บีบมืออยู่พักหนึ่ง แล้วก็แบมือให้ลูกดู มือข้างที่บีบแน่น หรือทรายอยู่เพียงเล็กน้อย แต่มือข้างที่กำอย่างหลวมๆยังคงมี ทรายอยู่เต็ม
เมื่อลูกเห็นดังนั้นก็นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดกับแม่ขึ้นว่า "ผมเข้าใจแล้วครับ" แล้วคุณเข้าใจไหมว่าอะไร...
บันทึกการเข้า

...
iamfrommoon
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2535
คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 8,396

เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2549, 07:55:56 »

Thank u อีกทีนะจ๊ะ กำลังตามเจ้าของกระทู้น้องหมวยมาอยู่นะเนี่ย ไม่รู้หลงทาง แล้วกลับมาได้ยัง แต่ที่แน่ๆ อาทิตย์นี้เจอกัน แล้วจะเอารูปสวยๆ หล่อของชาวซีมะโด่งมาฝากนะ..."คืนสู่เหย้า" ย่อยๆ เลยหล่ะ ฮ่าๆๆๆ  :wink:
บันทึกการเข้า

@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@

party
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,875

« ตอบ #4 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2549, 16:14:31 »

ไม่รู้จะเป็นเรื่องดีๆ หรือ เปล่า...แต่มุขนี้ขำดีนะ..ได้ forwarded mail มาคะ

*****จดหมายจากลูกถึงพ่อ******

>> >กราบเท้าคุณพ่อคุณแม่ที่เคารพ

> >คุณพ่อคะ คุณแม่คะ

>>เป็นอย่างไรบ้างสบายดีหรือเปล่าคะ

>> >ผ่านมาเกือบครึ่งปีตั้งแต่หนูเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ

>> >หนูไม่ได้ติดต่อคุณพ่อคุณแม่เลย

>> >หนูอยู่ที่นี่สบายดี...พี่มากเค้ารักหนูและดูแลหนูเป ็นอย่างดี

>> >สงสัยหรือคะว่าพี่มากคือใคร

>> >จำได้มั้ยคะวันที่หนูจากคุณพ่อคุณแม่ที่สถานีรถทัวร์ เข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ

>> >รถทัวร์ที่หนูนั่งมาเกิดอุบัติเหตุใกล้ปั๊มน้ำมันแห่ งหนึ่งในกรุงเทพฯ

>> >หลังเกิดอุบัติเหตุ มีคนมาล้อมหน้าล้อมหลังหนูเต็มไปหมดเลยค่ะ

>> >และมีคนขโมยกระเป๋าเดินทางและกระเป๋าตังค์ไป

>> >พี่มากเค้าเป็นเด็กปั๊มที่นั่นค่ะ

>>พอรถชนกันเค้าก็เข้าไปช่วยปฐมพยาบาล

>> >เราเจอกันที่นั่นค่ะคุณพ่อเค้าเป็นคนดีมาก

>เราพูดคุยกันซักครู่ใหญ่

>>รู้สึกถูกคอกันมากคุณแม่ขา

>นี่แหละมั้งคะที่เรียกว่ารักแรกพบ

>> >พอเค้ารู้ว่าหนูยังไม่มีที่พักไม่มีญาติในกรุงเทพฯ

>> >และยังไม่รู้จะไปพักที่ไหนแถมยังบาดเจ็บจากอุบัติเหต ุ

>> >พี่มากเลยชวนหนูไปอยู่ด้วยกันที่หอพักใกล้ๆปั๊มน้ำมั นนั้น

>> >ด้วยความตกใจและไม่มีที่พึ่งทำให้หนูรับปากพี่เค้าไป โดยไม่รู้ตัว

>> >แต่ว่าคุณพ่อคะพี่มากเป็นคนดีมากค่ะ เค้าไม่เคยแตะต้องตัวหนูเลย

>> >เราอยู่ด้วยกันปร ะมาณ2เดือน พี่มากจึงขอหนูแต่งงานค่ะ

>> >หนูขอโทษที่ไม่ได้บอกคุณพ่อคุณแม่ก่อน

>> >แต่ด้วยความใกล้ชิดทำให้หนูไม่สามารถยั้งใจไว้ได้

>> >จึงได้บอกตกลงพี่มากเค้าไป

> >อภัยให้เรานะคะนึกว่าเห็นแก่เด็กตาดำๆ

>>ที่จะเกิดมาดูโลกนี้อีกไม่นานเท่าไร

>หนูกำลังมีหลานให้คุณแม่ค่ะ

>> >คาดว่าการเรียนเทอมแรกนี้คงต้องพักไว้ก่อน

>>หรือไม่ก็ต้องเลิกเรียนไปเลย

>> >เพราะว่าหนูคงต้องช่วยพี่มากหาเงินก่อนที่ท้องจะใหญ่ ไปกว่านี้

>> >พอลูกคลอดแล้วก็คงต้องอยู่เลี้ยงลูกอีก คงไปเรียนไม่ได้

>> >เงินทองก็หมดไปทุกวันๆแต่หนูก็ยังสุขใจดีค่ะ ไม่ต้องห่วง

>> >คุณพ่อคุณแม่อย่าโกรธหนูนะคะ

>มันเป็นเรื่องสุดวิสัยจริงๆ

>> >แต่หนูคิดว่าคุณพ่อคุณแม่คงจะให้อภัย

>> >เมื่อคลอดลูกแล้วหนูจะพาพี่มากและลูกไปกราบเท้าคุณพ่ อคุณแม่ที่บ้านนะคะ

>> > >ที่หนูเขียนจดหมายมาหาคุณพ่อคุณแม่วันนี้

>>มีข่าวดีและข่าวร้ายมาบอกค่ะ

>ข่าวดีก็คือที่หนูเล่ามาทั้งหมดนั่น

>>เป็นเรื่องไม่จริงค่ะหนูล้อเล่นค่ะ!!

>> >ส่วนข่าวร้ายก็คือเทอมแรกหนูสอบได้F 3 วิชาD 2 วิชา และ C อีก1วิชา

>> > >เห็นมั้ยคะ มันไม่ได้ร้ายแรงไปกว่าที่หนูเล่ามาตั้งแต่ต้นหรอก

>> >ดีกว่าซะอีกจริงมั้ยคะ ฉะนั้นอย่าโกรธหนูนะคะ

>> >ด้วยรักและเคารพอย่างสูง

> >หนูดาที่รักของคุณพ่อคุณแม่

>> >ป.ล.เงินที่คุณพ่อให้มาหมดแล้วล่ะค่ะ

>> >ถ้าคุณพ่อจะเห็นใจช่วยโอนเงินเข้าให้หนูด้วยนะคะ" >
บันทึกการเข้า

http://happinessparty.multiply.com/
<embed src=\\\"http://images.multiply.com/multiply/horizontal-headshot-badge.swf\\\" type=\\\"application/x-shockwave-flash\\\" wmode=\\\"transparent\\\" FLASHVARS=\\\"user_id=happinessparty&enc=U2FsdGVkX1.XgxV7rEZX6q1u2Jyr2y9bKY8Amx,Hc,GTybsHCwE8.8sOCJWnoHQj
party
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,875

« ตอบ #5 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2549, 16:15:49 »

จดหมายตอบกลับ


>> >--------------------------- > >สวัสดีจ้ะลูกรักของพ่อ

>> >ที่ลูกเล่ามาทั้งหมดตั้งแต่แรกนั่นน่ะ ทำเอาพ่อใจไม่ดีไปเลยเชียว

>> >พ่ออ่านจดหมายลูกได้แค่ครึ่งเดียวก็โกรธจัดจนไม่ได้อ ่านต่อ

>> >เพราะว่าบันดาลโทสะทำให้พ่อกับแม่ทะเลาะกันยกใหญ่

>> >แม่เค้าไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงเพราะเค้ารักลูกมาก

>> >คิดว่าลูกคงจะไม่ทำให้เค้าผิดหวัง

>> >แต่พ่อก็โมโหซะจนลืมตัวทะเลาะกับแม่อย่างแรง

>> >ลูกก็รู้ว่าแม่ป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่

>> >พ่อผิดเองที่ไม่รู้จักคิดรู้จักยั้งความโกรธ เราทะเลาะกันแรงมาก

>> >จนแม่เค้า......ล้มลงหัวใจวาย ยาที่เคยมีอยู่ในบ้านก็หาไม่เจอ

>> >พ่อพาแม่แกส่งโรงพยาบาลก็สายไปซะแล้ว

>> >พ่อกำลังเศร้ามากคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

>> >มันเกิดจากพ่อไม่อ่านจดหมายของแกให้จบซะก่อน

>แม่แก็เลยมีอันเป็นไป

>> > >อ้อพ่อมีข่าวดีและข่าวร้ายสำหรับลูก >

>> >ข่าวดีคือแม่แกยังอยู่สบายดีไม่มีอะไรพ่อล้อเล่น

>> >ข่าวร้ายคือแม่เค้าเสียไพ่เลยไม่มีเงินส่งไปให้ลูก

>> >แต่มันก็ยังดีกว่าที่แม่เค้าจะเป็นอะไรไปใช่ไหมล่ะ

>> >หวังว่าลูกคงอ่านจดหมายจนจบนะ

>> >ไม่ใช่ตกใจตะลีตะเหลือกไปฆ่าตัวตายซะก่อน

> >รักลูกมากจ้ะ

> >พ่อ
บันทึกการเข้า

http://happinessparty.multiply.com/
<embed src=\\\"http://images.multiply.com/multiply/horizontal-headshot-badge.swf\\\" type=\\\"application/x-shockwave-flash\\\" wmode=\\\"transparent\\\" FLASHVARS=\\\"user_id=happinessparty&enc=U2FsdGVkX1.XgxV7rEZX6q1u2Jyr2y9bKY8Amx,Hc,GTybsHCwE8.8sOCJWnoHQj
i_tan
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 78

« ตอบ #6 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2549, 14:25:25 »

 
อ้างถึง   
Mouy
เข้าร่วม: 27 Feb 2006
ตอบ: 42
ที่อยู่: Bangkhunnon BKK
ตอบเมื่อ: Fri Mar 24, 2006 7:01 am    เรื่อง: เรื่องดีๆ มีไว้แบ่งปัน  

--------------------------------------------------------------------------------
 
เพื่อดำรงเจตนาของเจ้าแทน ผู้ที่ยังไม่กลับมาเข้า board ทั้งที่ทราบข่าวการกลับมาของ board นี้แล้ว.... เราเลยกลับมาตั้งกระทู้ที่คล้ายคลึงกันอีกครั้ง (จำหัวข้อกระทู้เก่าบ่ได่)


-*- ผมกลับมาแล้วพี่ แต่แค่แอบเข้ามาเล่นเป็นนินจา แว๊บไปแว๊บมาก่อนชั่วคราวเท่านั้นเองแหละคับ
บันทึกการเข้า
i_tan
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 78

« ตอบ #7 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2549, 14:58:02 »

จดหมายตอบกลับ (อีกที)

คุณพ่อคะ คุณแม่คะ

หนูได้อ่านจดหมายของพ่อแล้วนะคะ
ข่าวดีคือหนูอ่านจดหมายตั้งแต่ต้นจนจบเลยคะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะว่าหนูจะฆ่าตัวตาย หนูไม่กล้าหรอกคะ อีกอย่างคือหนูกลัวบาปอ่ะคะ กลัวมั๊กๆด้วย T.T
ส่วนข่าวร้ายคือตอนนี้หนูโดนมาเฟียจับตัวอยู่คะ หนูเอาเงินที่คุณพ่อคุณแม่ให้มาไปแทงพนันฟุตบอลจนเป็นหนี้เค้าหลายแสนบาทเลยค่ะ เค้าบอกว่าถ้าไม่หาเงินมาใช้หนี้ เค้าจะตัดแขนขาหนูแล้วส่งหนูไปนั่งขอทานหาเงินใช้หนี้ให้เค้าอะคะ เรื่องจิงนะคะ!! ถ้าคุณพ่อคุณแม่จะเห็นใจช่วยโอนเงินเข้าให้หนูด้วยนะคะ ด่วนเลยนะคะ หนูไม่อยากถูกส่งกลับบ้านแบบแพ๊คใส่ลัง เหลือแต่หัวโผล่ออกมานอกลังอ่ะคะ Y.Y

เห็นมั้ยคะ มันไม่ได้ร้ายแรงไปกว่าที่หนูเล่ามาตั้งแต่ต้นหรอก

ด้วยรักและเคารพอย่างสูง
หนูดาที่รักของคุณพ่อคุณแม่
บันทึกการเข้า
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #8 เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2549, 22:28:53 »

อัพเดตสักหน่อย เดี๋ยวกระทู้ตาย Sad

อ้างจาก: "Mouy"
ไม่สนใจ โจ้แล้ว... ชอบชักใบให้เรือล่มมมมม.... เรามาอ่านเรื่องใหม่กันต่อดีกว่า... อันนี้มอบให้สำหรับคนทำงานหนักนะจ๊ะ....  

คนตัดไม้...

มีคนตัดไม้คนหนึ่ง นำฟืนไปขายให้แก่ร้านขายฟืน ซึ่งร้านขายฟืน ก็ปฏิบัติต่อคนตัดไม้ดีมาก ดังนั้นคนตัดไม้จึงคิดอยากตอบแทน โดยการจะตัดไม้ให้ได้เป็นจำนวนมากๆ
ในวันแรกคนตัดไม้ตัดไม้ได้ 20 ต้น
แล้วนำมาให้ร้านขายฟืนซึ่งร้านขายฟืนก็ชมเชยและปฏิบัติต่อ คนตัดไม้อย่างดี
แต่พอในวันที่ 2
คนตัดไม้ก็ตั้งใจจะตัดให้ได้มากขึ้นแต่ปรากฏว่ากลับตัดได้เพียง 18 ต้น
ในวันรุ่งขึ้นก็กะว่าจะตัดให้ได้มากยิ่งขึ้นแต่ก็กลับเหลือ 16 ต้น ยิ่งนับวันผ่านไปเรื่อยๆก็ตัดได้น้อยลงเรื่อยๆ จนในที่สุดคนตัดไม้ก็รู้สึกละอายใจ
จึงไปกล่าวคำขอโทษกับทางร้านขายฟืน
แต่เจ้าของร้านขายฟืนก็กลับถามคนตัดไม้ว่า คุณลับขวานครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่"
คนตัดไม้ตอบว่า ผมไม่มีเวลาหยุดลัดขวานเลย เพราะขนาดไม่หยุดยังตัดไม้ได้น้อยขนาดนี้" ซึ่งเจ้าของร้านก็บอกแก่คนตัดไม้ว่า
คุณลองคิดดูสิว่าหากคุณหยุดลับขวานให้คม โดยเสียเวลาเพียงเล็กน้อย คุณอาจตัดไม้ได้มากกว่านี้ก็ได้ เปรียบได้กับการทำงาน
ถ้าคุณก้มหน้าก้มตาทำโดยไม่หยุดพักหยุดคิด ก็เปรียบได้กับคนตัดไม้ คุณก็จะล้าลงไปเรื่อย..
บันทึกการเข้า

...
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #9 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2549, 18:10:08 »

ล้วงเอากระทู้เก่ามารวมร่างกับกระทู้นี้เลยดีกว่า...
ขี้เกียจตั้งใหม่ เดี๋ยวต้องคอยอัพเดตอยู่เรื่อยๆ ทุกเจ็ดวัน(รึเปล่านะ?) :?

ความรู้สึก ระยะห่างระหว่างคน...

ตอบเมื่อ: Sat Mar 04, 2006 10:37 pm    

วันเวลาที่ผ่านมา ชั่วระยะเวลาหนึ่งของชีวิต
ผู้คนมากมายผ่านเข้ามา บางคนผ่านมาเพียงเพื่อจะผ่านไป
แต่กลับบางคนกลับไม่เป็นเช่นนั้น จากคนแปลกหน้า
กลายเป็นคนรู้จัก คนคุ้นเคย ล่วงเลย ไปถึงกลายเป็นคนรักกัน

เวลาเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน
สถานภาพทางความรู้สึกของเราก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
บางคนยังคงความเป็นคนแปลกหน้า
ยังรักษาระยะห่างของการเป็นคนรู้จักคนคุ้นเคย
หรือ คนรักกันไว้ได้อย่างคงที่…

บางคน เปลี่ยนแปลงจากคนแปลกหน้า กลายเป็นคนคุ้นเคย…
จากคนเคยคุ้น กลายมาเป็น คนรักกัน ....
ทำลายระยะห่างของความรู้สึกให้สั้นลงอย่างรู้สึกได้ …
และเมื่อนั้น เรื่องราวดี ๆ สวยงามทางความรู้สึกจึงเกิดขึ้น ...

แต่ในทางกลับกัน...
ระยะห่างของบางคน อาจห่างไกลออกไปจนสุดหูสุดตา
จากคนเคยรัก คนเคยคุ้น ....กลายเป็นแค่คนเคยรู้จัก ...

กลายเป็นคนแปลกหน้าทางความรู้สึกไป ...
แน่นอนว่า ระยะห่างของคนรู้จัก กับ คนรัก ย่อมไม่เท่ากันเป็นแน่
แต่นั่นแหละ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ...

ฉันเชื่อในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงของเวลา
พอ ๆ กับเชื่อในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงของความรู้สึก...
ไม่มีมาตราวัดใด ๆ ที่จะใช้วัดระยะห่างของความรู้สึกได้
และระยะห่างในแต่ละสถานภาพทางความรู้สึกในแต่ละคนก็คงจะไม่เท่ากัน...

เราระบุชัดไม่ได้ว่า 1 เท่ากับ 1 ในความรู้สึกของอีกคน 1
ในความรู้สึกของคนหนึ่ง อาจจะเป็น 100 ในความรู้สึกของอีกคนก็เป็นได้ ...
และในเมื่อการคบหากันเป็นปฏิสัมพันธ์ของคนสองคน ....
เราจึงมองเห็นความไม่ลงตัว
เห็นระยะห่างที่ไม่เท่ากันของคนสองคนได้เสมอ…

กับคนบางคน เราอยากเป็นมากกว่าคนรู้จัก
เราก็จะพยายามที่จะทำให้ระยะห่างของเรามันสั้นลง
กับคนบางคน เราอยากเป็นน้อยกว่าที่เป็นอยู่ . .......
เราก็จะพยายามที่จะทำให้ระยะห่างของเรายาวไกลออกไป...

แต่กลับบางคนเรากลับอยากจะรักษา ระยะห่าง ตรงกลาง ไว้ให้คงที่
ไม่ให้ห่างหาย จางหนี หรือ เข้ามาใกล้จนเรารู้สึกอึดอัด....
เคยรู้สึกใช่ไหมว่า ...
ขณะที่เราเดินเข้าหา บางคนกลับกำลังเดินหนี
กับบางคนเรากำลังเดินหนี บางคนกลับเดินตาม…
กับบางคนเราก็ต้องการระยะห่างประมาณหนึ่ง ไม่ต้องใกล้มาก
แต่ไม่ต้องการห่างหายไปไหน...

ขณะที่บางคนวิ่งตาม ล้มลุกคลุกคลาน…
เจ็บปวดกับระยะห่างของอีกคนที่ทิ้งไว้ตรงหน้า
ขณะเดียวกันกับที่อีกคนก็วิ่งหนี
โดยไม่คิดจะหันกลับมามองความเจ็บปวดของอีกคน
อะไรก็เกิดขึ้นได้ กับความรู้สึกคน...
เหนื่อยแสนเหนื่อย ล้าแสนล้า ....
แต่สุดท้ายก็ยังพยายาม พยายามที่จะยื้อยุดฉุดดึงอยู่เช่นนั้น

บางคนปล่อยความรู้สึกของอีกคนไว้ บนความห่าง ห่างจนลับตา ...
ไม่เคยหันกลับมามองหรือรับรู้ความเป็นไปของอีกคน
ไม่เคยรับรู้ว่า ...
ระยะห่างที่เขาทิ้งไว้อีกคนมันสร้างความเจ็บปวดได้ประมาณไหน
แต่ก็มีบางคนที่เหนื่อยล้ากับระยะห่างที่พยายามรักษาไว้เพียงแค่นั้น
ไม่ต้องห่างไป แต่ เข้าใกล้กว่านี้ไม่ได้ ...
ต้องการเพียงเส้นขนานที่ไม่มีทางมาบรรจบ  :roll:
การทำลายระยะห่างของคนสองคนอาจไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ก็ไม่ได้ง่ายดายนักสำหรับอีกหลาย ๆ คน…
บางคนพยายามมาเกือบทั้งชีวิต....
ระยะห่างที่ว่าก็ยังคงห่างอยู่เช่นเดิม....  

ขณะที่บางคนอยู่นิ่ง ๆ ไม่วิ่งหนี ไม่วิ่งตาม
ปล่อยทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ของเวลา
ไม่เรียกร้องให้เกิดความคาดหวัง ไม่ปล่อยละเลยจนเหมือนชาเฉย…
ระยะห่างนั้นกลับขยับเข้ามาใกล้ราวปฏิหาริย์...
เอาใจช่วยสำหรับคนที่กำลังพยายามเดินเข้าหา...
ให้อีกคนหันกลับมามองบ้าง
ระยะห่างจะได้สั้นลง พยายามต่อไป
เพราะวันหนึ่งคุณอาจรู้สึกว่าความพยายามของคุณมิได้ไร้ค่า …
ร้องขอสำหรับคนที่กำลังเดินหนี
ให้หันกลับมามองความรู้สึกของอีกคนบ้าง
เพราะบางทีคุณอาจจะสูญเสียอะไรดี ๆ ไป
เพราะระยะห่างที่คุณทิ้งไว้ให้อีกคน

เห็นใจกับการรักษาระยะห่างให้คงที่สำหรับบางคน
เพราะบางทีมันก็ทรมานมากกว่า
การพยายามเดินเข้าใกล้หรือห่างหนี...เสียอีก... :?  

แล้วคุณ ๆ เล่า …
เคยนึกย้อนกลับมามอง ระยะห่าง ของคุณกับผู้คนรอบตัวกันบ้างไหม...
เคยรู้สึกไหมว่า…บางที ความห่างไกล
กับ ระยะห่างของความรู้สึกเป็นกลับเป็นตัวแปรผกผันกัน

เคยรู้สึกได้ถึงระยะห่างทั้งที่ตัวอยู่ใกล้ๆ
หรือรู้สึกใกล้กันแล้วทางความรู้สึกทั้งที่ตัวอยู่แสนไกล กันบ้างไหม....
เคยคิดกันบ้างไหมว่า …
ระหว่างคนพยายามเดินหนี
คนที่พยายามเดินตาม
และคนที่พยายามยังไงระยะห่างกลับเท่าเดิม

คนไหนเจ็บปวดไปกว่ากัน... :|
บันทึกการเข้า

...
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #10 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2549, 18:20:32 »

อ้างจาก: "Max"
เราเหนื่อยอ่ะ

ไม่เดิน ไม่วิ่งตามใครแล้ว ตอนแรกก็นั่ง ยองๆ รอมีแรงแล้วค่อย เดิน

ได้ที่แล้วก็ค่อยวิ่งอ่ะ แต่ตอนนี้ นั่งขัดสมาธ แล้ว สักพักก็ว่าจะนอนหงาย

มองทองฟ้าแล้วอ่ะ เหนื่อยแล้ว ใครจะทำอะไรก็ช่างเค้าเถอะ

ใครคิดถึงเรา เดี๋ยวก็คงเดินมาหา แล้วก็ชะโงกหน้ามาขัดจังหวะตอนเรามองท้องฟ้า

ว่า " ทำอะไรอยู่อ่ะ" :wink:


อ้างจาก: "apirat"
เรื่องบางเรื่อง การยืนรอนั้นเร็วกว่าการวิ่งตาม
แต่ จงอย่าคิดว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอ
บางครั้ง เราก็ต้องออกแรงวิ่งบ้าง แม้จะไม่ได้อะไรเลย ก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายล่ะกัน หุ หุ


อ้างจาก: "ppornson"
ก่อนจะวิ่งก็ต้องดูทิศด้วยนะโว้ย...


อ้างจาก: "ป๋าบอล"
อือ..ไอ้ MAX มันนอนอยู่เดี๋ยวไปเหยียบมันเข้า


อ้างจาก: "Max"
นั่นดิ วิ่ง ๆ กันเนี่ย

ระวังเหยีบบ ข้าพเจ้าเข้านะ

พักเหนื่อยเดี๋ยวค่อยวิ่ง ต่อ :wink:


อ้างจาก: "apirat"
มันนอนอยู่คนเดียว
หรือมีคนนอนอยู่ข้างล่างมันอีกคนวะ

ตาแคม


อ้างจาก: "Max"
มีคนนอนอยู่ข้างล่าง

ดีกว่ามีคนนอนอยู่ข้างบนว่ะ ตาแคม


อ้างจาก: "sharp"
ตอบเมื่อ: Sat Mar 18, 2006 9:49 pm      
ห่างก็คือห่าง ใกล้ก็คือใกล้
เดี๋ยวห่างเดี๋ยวใกล้ ... ให้ใจคอยวุ่นวายสับสน

ไม่รู้ว่าควรห่างเท่าไร ไม่รู้ว่าต้องเข้าไกล้เท่าไร
รู้แต่ว่า อยากมองข้าง ๆ แล้วยังเห็นว่ายังอยู่ ...

บางครั้งก็อยากเดินคนเดียว บางครั้งก็อยากมีเพื่อนเดิน
บากครั้งอยากพาใครเดิน แต่หลายครั้งที่อยากอยู่เฉย ๆ มองชีวิตคนอื่นเดินไป

ชีวิต มันต้องมีแรงดันให้ก้าวเดิน ทำเพียงแค่ตัวเอง แรงอาจจะไม่พอ แต่ถ้าทำเพื่อใครคนหนึ่ง
แรงมันมากมายมหาศาล ทำให้ทุกก้าวของชีวิต นั้นเปี่ยมด้วยพลังแห่งความมุ่งมั่น และความหมาย

ความรู้สึก มันอาจห่างเหินไป แต่ความทรงจำมันยังอยู่ ... รอจังหวะเพียงสักครั้งให้ได้แว่บขึ้นมาให้ระลึกถึง

เมื่อห่างเหิน มองข้างก็ห่างหายไป แรงผลักดันของชีวิตก็เหือดหายไป ...
เมื่อได้เข้าใกล้ มองข้างก็อุ่นใจ แรงผลักอันมหาศาลก็ได้ขับเคลื่อนชีวิตต่อไป ... Shocked


อ้างจาก: "tem"
เราคิดว่า หากเราได้มีกิจกรรมใหม่ๆ หรือพัฒนาสิ่งเดิมที่เคยทำร่วมกันอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอแล้ว ก็จะเป็นสื่อเบื้องต้นที่ทำให้เราได้ใกล้ชิดกัน แต่ทุกอย่างย่อมต้องมีการพักบ้างนะคะ มีระยะห่างเล็กน้อยก็ยังดี เพื่อให้สายใยที่มีความผูกพันทำงานแทนน่ะ หากยังสามารถทำงานได้ก็เกิดความรู้สึกคิดถึงกัน ก็เป็นอารมณ์ที่มีความสุขอย่างหนึ่งนะคะ


อ้างจาก: "Iamfrommoon"
น้อง Sharp ขอยกนิ้วให้...มัน "โดนใจ" มาก...ซึ้งมาก ถึง มากที่สุด...

แล้วจะรออ่านเรื่อยๆ นะคับ

อ้างจาก: "ppornson"
มีอยู่ช่วงนึง ผมมักจะเขียนใส่ในสมุดประจำตัวแต่ละคนตอนจบค่าย สำหรับคนที่มีแฟนอยู่แล้วตอนนั้น JIB JIB น่าจะเคยอ่าน...

......ความรัก..หาใช่แต่เพียงการยอมรับความเป็น "ปัจเจกชน" ของแต่ละฝ่ายเท่านั้น หากแต่เป็น

การเปิดโอกาสให้อีกฝ่าย ได้มีโอกาสพัฒนาความเป็น "ปัจเจกชน" ของตนเอง ถึงแม้ว่าการทำ

อย่างนั้น จะเสี่ยงต่อการอยู่"ห่างกัน" ก็ตาม...

อ่านจากหนังสือประวัติส่วนตัวของคุณนฤมล..(ไม่รู้เขียนถูกรึเปล่า..)ที่เป็นพิธีกรรายการทุ่งแสงตะวันน่ะ..
บันทึกการเข้า

...
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #11 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2549, 08:27:39 »

จาย์โอ ข้อความของกระผมไม่ต้อง post ก้อได้นะ
รู้สึกผมจะเป็นพวกชอบออกนอกประเด็นเรื่อยอ่ะ หุหุ

ตาแคม  :lol:
บันทึกการเข้า
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #12 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2549, 22:57:43 »

อัพเดตครับ :wink:
อ้างจาก: "ผู้เยี่ยมชม"
เรื่อง: เจ้าหญิงก้อนหินกับเจ้าชายน้ำหยด
ที่มา: ไม่ระบุ

หลังจากผิดหวังในความรัก เจ้าหญิงก็เสียใจ นั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว
จนร่างกายค่อยๆ กลายเป็นหิน
ชายใดสามารถทนกอดก้อนหินได้ด้วยความรักจริง
ก้อนหินจะกลับมาเป็นเจ้าหญิงงดงามดั่งเดิม
เจ้าชายน้ำหยดอ่านแผ่นป้ายหน้าก้อนหินรูปทรงประหลาดอย่างสนใจ
"ต้องกอดนานเท่าไหร่" เจ้าชายถามคนเฝ้าก้อนหิน
"ไม่รู้... เพราะยังไม่มีใครทนกอดได้สำเร็จสักคน"
คนเฝ้าก้อนหินตอบโดยไม่เงยหน้า
"เราจะกอดเจ้าหญิงเอง" แล้วเจ้าชายก็ค่อยๆ
นั่งลงบรรจงกอดก้อนหินอย่างทะนุถนอม
..........

หนึ่งปีผ่านไป เจ้าชายน้ำหยดยังกอดก้อนหินอยู่ "นี่ท่านยังกอด
ก้อนหินอยู่อีกหรือ" คนเฝ้าก้อนหินรู้สึกทึ่งกับความอดทนของเจ้าชาย
"ท่านทำได้อย่างไร"
"เพราะข้าอยู่กับปัจจุบัน" เจ้าชายเห็นคนเฝ้าก้อนหินงง
เจ้าชายจึงอธิบายต่อ "ถ้าท่านกอดก้อนหิน หนึ่งวัน ท่านทำได้หรือไม่"
"สบายมาก" คนเฝ้าก้อนหินตอบโดยไม่ต้องคิด
"แล้วถ้ากอด สองวัน ล่ะ"
"อาจเริ่มเบื่อนิดๆ"
"แล้วถ้า สามวัน สี่วัน หรือสิบวันล่ะ"
"ไม่เอา ข้าไม่มีความอดทนขนาดนั้นหรอก"
"นั่นเพราะท่านไม่อยู่กับปัจจุบัน... ท่านคิดไปก่อนล่วงหน้าว่าไม่ไหว"
"ไม่เข้าใจ"
"ในเมื่อท่านบอกว่ากอดก้อนหินหนึ่งวันได้สบายมาก พรุ่งนี้หรือวันต่อไป
มันจะต่างกันตรงไหน มันก็เป็นแค่ หนึ่งวัน ที่ผ่านไปเช่นเดียวกัน"
เจ้าชายลูบก้อนหินราวกับมีชีวิต
"ในสายตาท่าน อาจจะเห็นว่าข้ากอดก้อนหินนี้มาเป็นเวลาหนึ่งปี
แต่ในความรู้สึกข้า ข้าเพิ่งกอดเจ้าหญิงผ่าน 'หนึ่งวัน' มาแค่ 365
ครั้งเท่านั้นเอง"
"ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี แต่ช่างมันเถอะ ข้าต้องการรู้แค่ว่า
ที่ท่านกอดก้อนหินเพราะท่านรักเจ้าหญิงจริง ๆ หรือเพราะต้องการเอาชนะ"
"ข้ารักจริง" ปากเจ้าชายตอบโดยมือยังไม่คลายกอดจากก้อนหิน
"เอาอย่างนี้ละกันท่าน... นั่นน่ะมันแค่ก้อนหิน ส่วนข้าสิ 'เจ้าหญิง' ตัวจริง"
คนเฝ้าก้อนหินลุกขึ้นยืน ถอดเสื้อผ้าชุดมอมแมมออก
"ข้าว่า... ท่านมากอดข้าดีกว่า"

......... ตกลงเลยไม่รู้ว่าจะให้เจ้าชายดีใจ หรือกระโดดเตะเจ้าหญิงดี
บันทึกการเข้า

...
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #13 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2549, 22:59:58 »

อ้างจาก: "ป๋าบอล"
ตอบเมื่อ: Fri Apr 21, 2006 12:02 pm    

นี่มันแค่ภาคแรกเอง
ภาคแรก..สอนให้รู้ว่า
1.ผู้ชายบอกว่ารักได้ เมื่อเห็นแค่หน้าตา
2.ผู้หญิงสวย จะเอาแต่ใจ เย็นชาและเรื่องมาก เลยจำเป็นต้องเลือกผู้ชายโดยดูที่ความอดทน

- - - - - - - - - - -
อ่ะ..แต่งต่อให้ เนื้อเรื่องภาคสอง
เจ้าชายกะเจ้าหญิงอยู่กันอีก 1 ปี ก็เลิกกัน เจ้าชายพบว่าเจ้าหญิงไม่ได้ดีอย่างที่คิด
เจ้าชายตัดสินใจบอกข้อเสียของเจ้าหญิงให้เธอฟัง
แล้วบอกเธอว่า ถ้าเธอไม่แก้ไข เจ้าชายคงทนไม่ไหว
เจ้าหญิงตัดพ้อว่าเจ้าชายเปลี่ยนไปไม่อดต่อเธอเหมือนเมื่อก่อน
เมื่อเจ้าหญิงไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง..เจ้าชายจึงเดินทางจากไป
เจ้าหญิงเสียใจกลับไปนั่งเฝ้าที่หน้าก้อนหินเหมือนเดิม

ภาคสอง..สอนให้รู้ว่า
1.ความรักของผู้ชาย ที่เกิดจากการมองแค่ภายนอก อาจจะไม่ยั่งยืนนัก
2.รอคอยให้ได้มาซึ่งรัก ทำให้เราทรมาน แต่การต้องอยู่กับความรักที่ทำให้เราเจ็บ มันทรมานกว่า
เราอดทนกับอย่างแรกได้ แต่อาจทนกับอย่างที่สองไม่ได้
3.เค้าทนข้อเสียเราได้ ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะทนตลอดไป
เมื่อรู้ข้อเสียของตัวเอง ควรพยายามลดมันลงเพื่อให้คนที่คุณรักอยู่กับคุณนานๆ
4.แต่ไม่มีใครสามรถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ 100% มันมากเกินไป
เราขอให้เค้าเปลี่ยนเพื่อเราได้ แต่เราเองก็ควรเปิดใจยอมรับความเป็นตัวเค้าเช่นกัน

เด๋ว ว่างๆจะมาแต่งภาคสามต่อนะ
บันทึกการเข้า

...
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #14 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2549, 12:53:05 »

เมื่อชัยอายุ 6 ขวบ ขณะที่นั่งรถไปกับพ่อ ถูกตำรวจจับเพราะขับรถเร็วเกินกำหนด
พ่อแอบยื่นเงิน 500 บาทให้ตำรวจ และได้รับอนุญาตปล่อยตัวไป
พ่อหันมาพูดกับชัยว่า "ไม่เป็นไรลูก เงินแค่นี้ซื้อเวลา ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ"

เมื่อชัยอายุ 8 ขวบ ป้าพาไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเป็นเงิน 75 บาท
เมื่อป้าไปชำระเงิน ยื่นธนบัตรร้อยบาทให้พนักงาน ได้รับเงินทอน 55 บาท เพราะลูกค้ามาก
และเข้าใจว่าธนบัตร 50 บาทคือ 20 บาท ป้ารับเงินทอนและใส่กระเป๋าทันที
แทนที่จะบอกพนักงานว่าทอนเงินผิด
เมื่อออกจากร้านป้าก็พูดกับชัยว่า "ไม่เป็นไรหลาน ความผิดของเขาเองใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ"

เมื่อชัยอายุ 9 ขวบ ครูให้การบ้านปลูกต้นหอมแดงในกระบะ 2 สัปดาห์ แล้วนำไปส่งที่โรงเรียน
แม่ลืมซื้อหัวหอมแดงมาให้ชัย เมื่อครบกำหนดวันส่ง แม่ให้พ่อไปซื้อต้นหอมแดงที่ตลาด
และฝังลงในกระบะให้ชัยนำไปส่งครู
และพูดว่า "ไม่เป็นไรลูก ครูไม่รู้หรอก มีส่งก็ดีแล้ว ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ"

เมื่อชัยอายุ 12 ขวบ ชัยทำแว่นตาใหม่ราคาแพงของลุงแตก ลุงจึงนำใบเสร็จไปอ้างกับบริษัทเครดิต
ที่ลุงใช้บริการอยู่ว่าแว่นตาถูกขโมยได้รับเงินชดใช้มา 15,000 บาท เต็มราคาที่ซื้อมา
ลุงพูดกับชัยอย่างภาคภูมิใจว่า "ไม่เป็นไรหรอกหลาน สิทธ์ของเราใครใครเขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละ"

เมื่อชัยอายุ 15 ปี ได้เป็นนักฟุตบอลของโรงเรียน ครูฝึกได้สอนวิธีกลั่นแกล้ง
ฝ่ายตรงข้ามให้บาดเจ็บโดยไม่ผิดถือว่าอยู่ในเกม
ครูฝึกบอกว่า "ไม่เป็นไรหรอก ได้เปรียบไว้ก่อนเป็นดี ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ"

เมื่อชัยอายุ 16 ปี ได้ไปทำงานระหว่างปิดเทอมที่แผนกซูปเปอร์มาร์เก็ต ของห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อแห่งหนึ่ง
หัวหน้าแผนกให้ชัยจัดกระเช้าผลไม้ โดยแนะนำให้จัดวางผลไม่สวยจวนจะเน่าอยู่ก้นตะกร้า
คัดผลสวย ใบโตสีสด จัดวางอยู่ส่วนบน
หัวหน้าแผนกสอนว่า "ไม่เป็นไรหรอก ผู้ซื้อไม่ได้ใช้เอง แต่นำไปฝากคนอื่น ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ"

เมื่อชัยอายุ 18 ปี ได้สมัครสอบเพื่อเข้าขอรับทุนของมหาวิทยาลัย ปรากฏผลทราบเป็นการภายในว่ามาเป็นอันดับ 2
เมื่อพ่อรู้เข้าจึงไปพูดกับกรรมการซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ในที่สุดชัยก็ได้รับทุน
พ่อพูดกับชัยว่า "ไม่เป็นไรลูก เป็นโอกาสของเรา ใครใครถ้ามีโอกาส เขาทำกันทั้งนั้นแหละ"

เมื่อชัยอายุ 19 ปี เพื่อนเอาข้อสอบปลายปีที่ขโมยมาขายกับชัยเป็นเงิน 1,500 บาท ชัยลังเลใจและตัดสินใจซื้อในที่สุด
เพราะเพื่อนพูดว่า "ไม่เป็นไรหรอกชัย เกรดมีผลกับอนาคตนะ ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ"

เมื่อชัยอายุ 24 ปี ชัยถูกจับข้อหายักยอกเงินบริษัท 700,000 บาท และต้องติดคุก
พ่อกับแม่ไปเยี่ยมและตัดพ้อต่อว่า "ทำไมลูกทำอย่างนี้กับพ่อแม่
ที่บ้านเราไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนขี้โกงเลยนะ"


แนวคิดจาก It' s ok , son , everybody does it.
ที่มา Forward Mail

ตาแคม  :arrow:
บันทึกการเข้า
audit
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 136

« ตอบ #15 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2549, 13:47:38 »

โอ๊ะ โอ พี่แคมก็มีสาระกะเค้าเป็นด้วยแฮะ

นึกว่าคิดแต่เรื่องแบบนั้นเป็นอย่างเดียว 555

 :wink:
บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #16 เมื่อ: 24 พฤศจิกายน 2549, 12:43:39 »

จริงๆ แล้วพี่เป็นคนดีมีสาระนะน้องออดิท
แต่ไม่แสดงออก ฮ่าๆ

ตาแคม  :lol:
บันทึกการเข้า
MahDee
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,081

« ตอบ #17 เมื่อ: 24 พฤศจิกายน 2549, 16:09:08 »

คติสอนใจ จากโน๊ต อุดม

ความรู้มาก ๆ บางทีเหมือนกำแพงอิฐที่เรียงตัวสูง ความรู้สูง กำแพงสูง ความรู้รอบด้าน ก็เหมือนกำแพงสูงรอบตัว บางครั้งมันอาจทำให้มองออกไปไม่เห็นอะไร นอกจากอิฐที่ตนเองก่อขึ้นมา

กลิ่นของความรัก ก็เช่นเดียวกับห้องน้ำ เข้าไปแรก ๆ จะรู้สึกว่าได้กลิ่น อยู่ในนั้นนาน ๆ ไปจะเคยชิน จนลืมว่ามีกลิ่นนั้นอยู่ จนกว่าจะออกมาจากบริเวณนั้นและกลับเข้าไปใหม่

ถ้าเรารักใครสักคน เราควรเปิดโอกาสให้เขาได้ทำผิดหลาย ๆ ครั้ง เพราะเราเองก็ต้องการโอกาสอย่างนั้นเช่นกัน อย่าบอกเลยว่าเป็นคนดี ความหยิ่งยโส ก็มีอยู่ในคนถ่อมตัว ครูที่สอนนักเรียน ก็มีความโง่ ซ่อนอยู่ ความขลาดกลัว ก็มีอยู่ในนักมวยแชมป์โลก ความเบื่อหน่าย ก็มีอยู่ในพนักงานต้อนรับที่กระตือรือร้น ความเห็นแก่ตัว ก็มีอยู่ภายในใจของนักสังคมสงเคราะห์ มันอยู่คู่กัน รอวันปรากฏตัวออกมา

ถ้าสันดานห่วย ๆ มันเป็นกระดาษ เรามีแค่หินทับกระดาษคนละก้อน ลมกิเลสพัดมา ก็ขึ้นกับว่าก้อนหินของใครก้อนใหญ่พอที่ทับมันไว้ ไม่ให้ปลิวเพ่นพ่านเท่านั้นเอง..
บันทึกการเข้า

RCU 2541>> ปะกาโด่ง 81
----------------------------
http://www.facebook.com/MrMahD
MahDee
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,081

« ตอบ #18 เมื่อ: 24 พฤศจิกายน 2549, 16:17:03 »

มีเรื่องเล่าว่า...

มีพระองค์หนึ่ง...ชอบทำอะไรแปลกๆ...
วันหนึ่ง...พวกกรุงเทพฯ...เอากฐินไปทอดที่วัด...

จัดงานกันใหญ่โต...มีหนัง...มีลิเก...มีดนตรี...ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน...
ก่อนทอดกฐิน..ผู้คนมารวมกันเต็มศาลา...

หลวงพ่อเรียกเด็กวัดมา...

บอกให้ไปเอาเนื้อจากโรงครัวมาก้อนหนึ่ง...แล้วเอาเชือกมาด้วย...
หลวงพ่อจัดการ...เอาเนื้อ...ผูกติดกับหลังหมา
 
ผูกเสร็จ...ก็ปล่อยหมา ...

หมาเห็นเนื้ออยู่บนหลัง...ก็ไล่งับ...
พอหัวโดดงับ...ตัวก็ขยับหนี...
เพราะหมามันกัดหลังตัวเองไม่ถึง...

ยิ่งโดดงับเร็ว...ก้อนเนื้อก็หนีเร็ว...
โดดไม่หยุด...เนื้อก็หนีไม่หยุด...น่าสงสารหมามาก...  
 
หมาโดดอยู่นาน...งับเท่าไหร่...เนื้อก็ไม่เข้าปากสักที...

ผู้คนบนศาลา...พากันหัวเราะชอบใจ...
หัวเราะเยาะหมา...ว่าทำไมมันถึงโง่ยังงี้...
ไล่งับ...จะกินเนื้อ...ที่ตัวเองไม่มีทางไล่ตามทัน ตลอดชีวิต...  
 
หลวงพ่อ...มองดูด้วยความสนุกสนานจนหนำใจแล้ว...

ก็แก้เชือกออกมากหลังหมา...
แล้วหันมาพูดกับญาติโยมว่า...

 
มนุษย์เรา...มีความรู้สึกว่า...ตัวเองพร่อง...ตัวเองยังไม่เต็ม...
ต้องเติมตลอดเวลา...เติมไม่หยุด...เพื่อให้ตัวเองเต็ม...
 
เราอยากสวย...อยากทันสมัย...

ไปหาซื้อเสื้อผ้าที่สวยที่สุด...ทันสมัยที่สุดใส่...
ดีใจได้เดือนเดียว...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...สวยกว่า...ทันสมัยกว่า...
อยากได้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่...
ซื้อเสร็จ ๓ เดือน...รุ่นใหม่ก็โผล่มาอีกแล้ว...  
 
ซื้อคอมพิวเตอร์ทันสมัยที่สุด...

๒ เดือนต่อมา...มีรุ่นใหม่กว่าออกมา...ของเราตกรุ่น...

ซื้อรถเบนซ์...ทันสมัยที่สุด...แพงมาก...
ขับได้ ๖ เดือน...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...
ทันสมัยกว่า...แพงกว่า...ของเรากลายเป็นเชย...
 
เราต้องก้มหน้าก้มตา...ทำงานทั้งวัน ทั้งคืน...หาเงินมา...

เพื่อมาทำให้ตัวเองทันสมัย...
ซื้อเสื้อผ้าใหม่...มือถือใหม่...คอมพิวเตอร์ใหม่...รถยนต์คันใหม่...
เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส...
เพื่อไม่ให้ตัวเองตกรุ่น...
 
ปัจจุบัน...

เรากำลังไล่งับความทันสมัย...เหมือนหมาที่ไล่งับเนื้อบนหลังของมัน...
ทั้งที่รู้ว่า...ต่อให้ไล่งับทั้งชีวิต...ก็ไม่มีทางตามทัน...
น่าสงสารไหมโยม...  
 
คนเต็มศาลา...เมื่อกี้หัวเราะครึกครื้น...

ด่าว่า...หมามันโง่...
ตอนนี้เงียบสนิท...เหมือนไม่มีคนอยู่...  
 

ไม่รู้ว่า...กำลังสงสารหมา...
หรือ...กำลังทบทวนความโง่...ตัวเอง
บันทึกการเข้า

RCU 2541>> ปะกาโด่ง 81
----------------------------
http://www.facebook.com/MrMahD
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #19 เมื่อ: 27 พฤศจิกายน 2549, 18:30:49 »

เรื่องแบบนั้นของน้องออดิทมันเป็นเรื่องแบบไหนหว่า..

ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับทุกท่าน..ช่วงนี้ขอเก็บข้อมูลอย่างเดียวก่อนนะ..
บันทึกการเข้า
party
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,875

« ตอบ #20 เมื่อ: 29 พฤศจิกายน 2549, 11:12:45 »

Tongue  Tongue  Tongue

บันทึกการเข้า

http://happinessparty.multiply.com/
<embed src=\\\"http://images.multiply.com/multiply/horizontal-headshot-badge.swf\\\" type=\\\"application/x-shockwave-flash\\\" wmode=\\\"transparent\\\" FLASHVARS=\\\"user_id=happinessparty&enc=U2FsdGVkX1.XgxV7rEZX6q1u2Jyr2y9bKY8Amx,Hc,GTybsHCwE8.8sOCJWnoHQj
party
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,875

« ตอบ #21 เมื่อ: 06 ธันวาคม 2549, 11:34:40 »

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ไปซื้อหนังสือชุด เรื่อง "มิเกะเนะโกะ โฮล์มส์ แมวสามสียอดนักสืบ" เป็นเรื่องแนวสืบสวน สอบสวนของญี่ปุ่น อ่านเรื่องย่อแล้วน่าสนใจ (มากกก)เลยไปหามาอ่านปรากฎว่าตอนนี้ไปถึงเล่มที่ 9 แล้วจะอ่านเล่ม 9 เลยก้อกลัวไม่ได้อรรถรส เลยเริ่มอ่านตั้งแต่เล่ม 1 ตอน..ปริศนาศพนักศึกษาสาว...ผลปรากฎว่า...

สนุกมากกกก..อ่านแล้ววางไม่ลง..จะจบเล่ม 1 แล้ว..plotเรื่องจะเป็นแนวแบบ เรื่อง "โคนัน" คะ สนุกจริงๆ หรือว่า พี่คนไหนอ่านแล้วบ้างคะ ถ้ายังขอแนะนำให้อ่าน เผื่อบางท่านจะเป็นยาแก้เหงาได้คะ :lol:
บันทึกการเข้า

http://happinessparty.multiply.com/
<embed src=\\\"http://images.multiply.com/multiply/horizontal-headshot-badge.swf\\\" type=\\\"application/x-shockwave-flash\\\" wmode=\\\"transparent\\\" FLASHVARS=\\\"user_id=happinessparty&enc=U2FsdGVkX1.XgxV7rEZX6q1u2Jyr2y9bKY8Amx,Hc,GTybsHCwE8.8sOCJWnoHQj
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #22 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2549, 21:54:13 »

ลองอ่านเรื่องเครียดๆดูหน่อย  :shock:
http://www.cmadong.com/community/board/viewforum.php?f=10
บันทึกการเข้า

...
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #23 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2549, 14:48:32 »

อันนี้ขอวิจารณ์ค่านิยมที่ถือสืบๆกันมา เพราะโลกแห่งประชาธิปไตย ทุกคนย่อมมีสิทธิ์ตั้งคำถามและโต้แย้งความเชื่อเดิมๆได้
พระพุทธเจ้ายังสอนหลักกาลามสูตรไว้ ทำไมเราจะวิพากษ์ความเชื่อเดิมๆไม่ได้ล่ะ


การบริจาคแบบพระเวสสันดร ผมมองว่าเป็นการบริจาคที่งี่เง่า :twisted:

เหตุผลคือ เมื่อมีคนที่บริจาคแบบไม่หวังผล ไม่ตรวจสอบผล หวังเพียงให้ทานแล้ว
จะมีคนอีกประเภท คือ พวกกาฝากสังคม เกิดขึ้นตามมาด้วย
บางคนอาจมองว่าไม่เกี่ยวกัน แต่ผมเห็นว่า มันเกี่ยวข้องกันอย่างมาก!

ผมเคยอ่านบทความของคุณประภาส ชลสรานนท์(ขวัญใจคุณ ppornson) เค้าเขียนวิจารณ์เปรียบเทียบสังคมทั้งสอง
เขากล่าวว่า สังคมไทยมีการเอาเปรียบกันบ่อยครั้งกว่าสังคมอเมริกัน ไม่ใช่ว่าคนอเมริกันมีความเคารพกันมากกว่า แต่คนอเมริกันเวลาถูกเอาเปรียบเค้าจะต่อสู้เพื่อสิทธิอันชอบธรรมของตน ในขณะที่คนไทยหลายคนมักทำทองไม่รู้ร้อน ถือว่าทำบุญทำทาน!?! :x และพวกฝรั่งเวลาเสียภาษีหรือบริจาคเงินให้มูลนิธิอะไรแล้ว เค้ามักจะตรวจสอบด้วย ว่าภาษีหรือเงินบริจาคที่เสียไปนั้น ถูกนำไปใช้ตามเจตนารมณ์ของเขาหรือเปล่า? ในขณะที่คนไทยปล่อยเลยตามเลย ทำให้พวกสิบแปดมงกุฏจอมเรี่ยไรทั้งหลายถือกำเนิดขึ้นมากมาย
ถ้าไม่มีคนอย่างพระเวสสันดร คนอย่างชูชกก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เช่นกัน เมื่อไม่มีคนให้(อย่างไร้เหตุผลอันควร)ย่อมไม่มีคนที่เอาแต่ขอ(โดยไม่พึ่งพาตนเอง)
บันทึกการเข้า

...
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #24 เมื่อ: 27 ธันวาคม 2549, 21:51:15 »

เราว่ามันเป็นเชิงปรัชญา โดยมีนัยเรื่องการบริจาคขั้นสูงสุดมากกว่านะ AJ O..

เพราะอยู่ใน10ชาติที่บำเพ็ญบารมีต่างๆ จนครบ10 ประการ..(พระพุทธเจ้าของเราพระองค์นี้ทรงเป็น ปัญญาธิกพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญพระบารมีโดยทรงใช้ปัญญาอย่างแรงกล้า โดยกำหนดระยะเวลาการบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขย กับ ๑oooo กัป..)

ดังนั้น..การบริจาคในชาติสุดท้าย คือพระเวสสันดอนนั้น คงเอาตรรกะทางสังคมปัจจุบันไปรองรับไม่ได้..เนื่องจากเป็นการบรรยายการตัดทิ้งทุกอย่างถึงขั้นสูงสุด..

ดังเช่นในปัจจุบันที่เราแปลคำว่า..สันโดษ..ผิดกันซะส่วนมาก..ซึ่งเราเอาตรรกะในปัจจุบันไปรองรับเช่นกัน..

เป็นนามธรรมมากกว่านะ..AJ.O
บันทึกการเข้า
  หน้า: [1] 2 3 ... 29  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><