25 พฤศจิกายน 2567, 18:43:33
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 11 12 [13] 14 15 ... 29  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องดี--มาแบ่งปัน  (อ่าน 615003 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #300 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2551, 08:20:48 »

จำกันได้มั๊ยกับนายเสริม สาครราษฎร์ที่เป็นหมอฆ่าแฟนตาย
ในคดีที่นายเสริมถูกตัดสิน นายเสริมขอลดโทษโดยอ้างเหตุว่า
ตนฆ่าแฟนเพราะความรักที่ตนมี จนไม่อาจหักห้ามใจให้แฟนไปมีคนใหม่ได้
จึงขอความปราณีจากศาลให้เห็นแก่ความรักของตน

ศาลฎีกาได้ให้เหตุผลไว้อย่างงดงาม
ถึงความรักที่นายเสริมอ้างว่ามีต่อแฟนของตน

ดังฏีกาข้างล่างนี้

ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย
คดีแดงที่ 6083/2546
พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์
นางสุดา ปรัชญาภัทร โจทก์ร่วม
นายเสริม สาครราษฎร์ จำเลย


ที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า จำเลยควรได้รับโทษประหารชีวิต
ศาลล่างทั้งสองไม่ควรลดโทษให้จำเลยเพราะคดีไม่มีเหตุบรรเทาโทษนั้น
ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น
จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ร่วมฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว

ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยถูกผู้ตายข่มเหงจิตใจอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
เพราะจำเลยกับผู้ตายมีความสัมพันธ์ฉันคนรัก
แต่ผู้ตายต้องการเลิกความสัมพันธ์กับจำเลยไปมีรักกับผู้ชายคนใหม่
จำเลยจึงบันดาลโทสะฆ่าผู้ตายนั้น

เห็นว่า
ความรักเป็นสิ่งที่เกิดจากใจไม่อาจบังคับกันได้
ความรักที่แท้จริงคือความปรารถนาดีต่อคนที่ตนรักความยินดีที่คนที่ตนรักมีความสุข
การให้อภัยเมื่อคนที่ตนรักทำผิดและการเสียสละความสุขของตนเพื่อความสุขของคนที่ตนรัก 

จำเลยปรารถนาจะยึดครองผู้ตายเพื่อความสุขของจำเลยเอง
เมื่อไม่สมหวังจำเลยก็ฆ่าผู้ตาย เป็นความคิดและการกระทำที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ของจำเลยโดยฝ่ายเดียว
มิได้คำนึงถึงจิตใจและความรู้สึกของผู้ตาย หาใช่ความรักไม่
ทั้งเป็นความเห็นผิดที่เป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่ง

ดังนี้
แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยฎีกาก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
กรณีไม่มีเหตุจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้

ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต


ที่มา: Forward Mail
ตาแคม
บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #301 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2551, 10:07:07 »

เรื่องที่ 1
นิทานเรื่อง 'ตะเกียงวิเศษ'
โดยดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

กาลครั้งหนึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งขุดพบตะเกียงเก่าแก่อันหนึ่งในขณะที่เขากำลังทำสวนอยู่ พอเขาเอามือถู
ตะเกียง ก็ปรากฏว่ามีควันออกมาจากตะเกียงแล้วกลายเป็นยักษ์ตัวใหญ่ ยักษ์ตนนั้นพูดกับชายหนุ่มว่า
'ขอบใจที่ได้ช่วยให้ฉันเป็นอิสระฉันจะตอบแทนท่านโดยรับใช้ท่าน ท่านจะใช้อะไรฉันก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่า
เมื่อไรที่ท่านหยุดใช้ฉัน ฉันก็จะกินท่าน'
ชายหนุ่มก็ตกลงเพราะเขาเห็นว่าการมีคนรับใช้เป็นเรื่องที่ดีและเขาก็มั่นใจว่า เขาจะใช้ยักษ์ตนนี้ให้ยุ่ง
อยู่ตลอดเวลาได้ ดังนั้นเขาจึงตอบตกลงยักษ์นั้นจึงถามว่า 'นายต้องการให้ฉันรับใช้เรื่องใดบ้างแต่อย่า
ลืมนะถ้านายหยุดใช้ฉันเมื่อใด ฉันก็จะกินนาย'ชายหนุ่มคนนั้นตอบว่า
'ฉันต้องการวังหลังหนึ่งเพื่อฉันจะได้เข้าไปอยู่'
ทันใดนั้นยักษ์ก็เนรมิตวังหลังหนึ่งได้ ชายหนุ่มตกใจเพราะเขานึกว่ายักษ์คงใช้เวลาสักปีกว่าจะสร้างวัง
เสร็จทีนี้เขาต้องคิดอย่างรวดเร็วว่าจะขอให้ยักษ์ทำอะไรต่อไปดี เขาบอกยักษ์ให้'สร้างถนนกว้างๆ ไป
ถึงหน้าวัง' ทันใดนั้นถนนก็ปรากฏอยู่ต่อสายตาเขา'ฉันต้องการสวนล้อมรอบวัง' เขาสั่งต่อไป
ทันทีความต้องการของเขาก็ปรากฏต่อหน้าเขา'ฉันต้องการ.....'เขาก็ขอไปเรื่อยๆแต่เขาเริ่มต้นวิตก
ว่าอีกไม่ช้าเขาก็จะขอจนหมดแล้วและอีกอย่างเขาคงเข้าไปอยู่ในวังอย่างผาสุกไม่ได้เพราะเขาต้องคอย
มานั่งสั่งยักษ์ให้ทำงานตลอดเวลา
ในที่สุดเขาก็คิดหาทางออกได้ เขาขอให้ยักษ์สร้างเสาต้นหนึ่งให้สูงสุดซึ่งยักษ์ก็เนรมิตให้ทันทีทันใด เขา
ขอให้ยักษ์ปีนเสาต้นนี้ช้าๆไปถึงยอดแล้วให้ปีนลงมาช้าๆ เช่นกัน พอถึงพื้นก็ให้ปีนขึ้นไปบนยอดใหม่อีกครั้ง
แล้วให้ปีนขึ้นปีนลงเช่นนี้ตลอดเวลาไม่ให้หยุดเลย
ยักษ์ตนนั้นก็เลยต้องปีนขึ้นปีนลงตลอดเวลาตามคำสั่งของนาย
ชายหนุ่มจึงเริ่มหายใจได้ทั่วท้อง ขณะนี้เขาปลอดภัยแล้วชายหนุ่มมีเวลาที่จะเข้าไปอยู่ในวังอย่างมีความ
สุขตั้งแต่นั้นมา
ยักษ์ตนนี้เปรียบเสมือนความคิดและจิตใจของเราถ้าเรารู้จักใช้ความคิดของเรา และควบคุมความคิดของ
เราให้ดีเราจะได้รับผลดีจากความคิดของเรา
ถ้าเราต้องการจะทำอะไรให้ดีให้ถูกต้องเราต้องควบคุมจิตใจของเราให้สงบเหมือนกับชายหนุ่มในนิทานที่
สามารถควบคุมยักษ์ตนนั้นได้และสามารถทำให้ความต้องการของเขาลุล่วงสำเร็จได้
ถ้าเราควบคุมความคิดของเราไม่ได้ มันจะสร้างปัญหาให้กับเราเราจะเริ่มต้นนั่งคิดว่าจะไปซื้ออะไร จะ
ไปกินอะไรดี หรือจะไปเที่ยวไหนดี ฯลฯความต้องการจะครอบคลุมจิตใจของเรา ครอบคลุมอารมณ์ของ
เรา เราจะหวั่นไหวต่อความโลภความโกรธและความอิจฉา เป็นต้นสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นถ้าเราไม่รู้จัก
ควบคุมความคิดของเราเช่นเดียวกับยักษ์ตนนั้นที่ข่มขู่ชายหนุ่มตลอดเวลา
เราต้องควบคุมความคิดของเราตลอดเวลาชายหนุ่มคนนี้ใช้ให้ยักษ์ปีนขึ้นลงที่เสาสูงต้นนั้นเราก็สามารถใช้
ลมหายใจเข้าออกของเราซึ่งอยู่กับเราตลอดเวลานั้นเป็นเสาสูงแทน

หมายเหตุ :: นิทานเรื่องตะเกียงวิเศษนี้คัดมาจากหนังสือวิทยาศาสตร์ของการฝึกจิตของ ดร.อาจอง
ชุมสาย ณ อยุธยา

เรื่องที่ 2
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งเป็นคนเจ้าอารมณ์และมักจะปวดศีรษะอยู่เป็นประจำ
เขาได้ประกาศว่าจะให้รางวัลอย่างงามแก่คนที่สามารถรักษาอาการปวดศีรษะของเขาได้
หลายคนรวมทั้งหมอที่เชี่ยวชาญต่างก็มาเสนอแนะวิธีรักษาโรคปวดศีรษะของเศรษฐีผู้นี้แต่ไม่มีใครสามารถ
ทำให้เขาดีขึ้นได้
อยู่มาวันหนึ่งมีฤาษีคนหนึ่งมาเยี่ยมท่านเศรษฐีเศรษฐีได้บอกเกี่ยวกับโรคประจำตัวของเขาให้ฤาษีทราบ
ฤาษีจึงบอกกับท่านเศรษฐีว่า 'โธ่เอ้ยวิธีรักษาอาการปวดหัวของเจ้ามันง่ายนิดเดียว
นั่นก็คือเจ้าจะต้องมองทุกอย่างให้เป็นสีเขียวตลอดเวลาแล้วอาการโรคของเจ้าจะหายไป'
เศรษฐีดีใจมากและคิดว่าสิ่งที่ฤาษีแนะนำเขานั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมาก
วันรุ่งขึ้นท่านเศรษฐีจึงจ้างช่างทาสีหลายร้อยคนมาช่วยกันทาสีของหมู่บ้านให้เป็นสีเขียวทั้งหมด
นอกจากนี้ด้วยความที่รวยมากยังซื้อเสื้อผ้าให้กับคนในหมู่บ้านทุกคนใส่
ในตอนนี้ไม่ว่าท่านเศรษฐีมองไปทางใดก็จะเป็นสีเขียวตลอดเวลาตามคำแนะนำของฤาษี
อาการปวดศีรษะของเขาก็เริ่มดีขึ้นๆเขาเริ่มเป็นคนยิ้มง่ายและมีความสุขมากขึ้น
สองสามเดือนถัดมาท่านฤาษีได้กลับมาเยี่ยมเศรษฐีอีกครั้งหนึ่ง
แต่ก็ต้องเผชิญกับช่างทาสีคนหนึ่งซึ่งร้องตะโกนว่า
'หยุด หยุดท่านเข้ามาในหมู่บ้านนี้ในชุดนี้ไม่ได้เดี๋ยวผมจะทาสีท่านให้เป็นสีเขียวก่อน'
ฤาษีก็รีบวิ่งและหนีเข้าไปในบ้านของเศรษฐีได้ในที่สุด
ฤาษีได้พบกับเศรษฐีในบ้านและตำหนิว่า
'ทำไมเจ้าถึงเสียเงินทองและ เวลามากมายเพื่อเปลี่ยนสิ่งต่างๆรอบตัวเจ้าเล่า
เราไม่ได้บอกให้เจ้าไปเที่ยวทาสีทุกอย่างให้เป็นสีเขียวเลย
เจ้าเพียงแค่สวมแว่นตาสีเขียวเท่านั้นเจ้าก็จะมองเห็นทุกสิ่งรอบตัวเป็นสีเขียวแล้ว'
หากเราต้องการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมรอบตัว
เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกคนหรือทุกอย่าง
เราเพียงแต่เปลี่ยนตัวของเราเองก่อน
แล้วเราจะพบว่าทุกสิ่งรอบตัวของเราก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

เรื่องจากการพัฒนาศักยภาพอย่างสมบูรณ์
โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

เรื่องที่ 3
+++... หาความสุขได้ที่ไหน...+++

ในตอนกลางดึกมีหญิงชราคนหนึ่งกำลังคลำหาอะไรอยู่สักอย่างรอบๆเสาไฟฟ้าข้างถนน
สักครู่หนึ่งมีหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา
เห็นหญิงชราผู้นั้นกำลังคลำหาอะไรอยู่
เลยถามขึ้นว่า'ยาย..ยาย ยายกำลังหาอะไรอยู่?'
หญิงชราผู้นั้นตอบว่า'ยายกำลังหาเข็มเย็บผ้าอยู่ยายทำตกหายไป
ช่วยยายหาหน่อยซิ'
พวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นจึงช่วยกันหาทั่วไปหมดแต่ก็หาไม่เจอ
ในที่สุดพวกเขาก็สงสัยจึงถามยาย
'ยาย..ยาย..ยายทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายไปที่ไหน'
ยายตอบว่า'ยายกำลังเย็บผ้าอยู่ในห้องยาย แล้วก็ทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายไป
แต่ห้องยายมันมืดยายมองไม่ค่อยเห็น
ยายก็เลยออกมาที่ถนนเพราะมีแสงสว่างจากไฟฟ้า
'...พอพวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นได้ยินเช่นนั้นก็เลยหัวเราะแล้วเดินหนีไป
เมื่อเราทำของหายเราก็ต้องไปหาในที่ๆเราทำหาย
มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะไปหาที่อื่น
เช่นเดียวกันเมื่อเราแสวงหาความสุข
เราก็ต้องหาในจุดที่เราได้สูญเสียความสุขไป
มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะหาความสุขที่ไนท์คลับหรือสถานเริงรมย์ต่างๆ
หรือไปหาที่ประเทศนั้นประเทศนี้หรือไปหาที่คนอื่น
ความสุขของเราได้สูญหายไปจากตรงไหน?
คำตอบก็คือเราได้ทำหายไปจากใจของเรา ได้สูญเสียความสุขจากตัวเรา
จากใจเรา ดังนั้นเราก็ต้องแสวงหาความสุขที่จุดนั้น คือ ในตัวเรา
แหล่งที่มา : จาก'แนวทางสู่ความสุข' โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

เรื่องที่ 4
มีสามีภรรยาคู่หนึ่งทุกๆ เช้าภรรยาจะแอบมองดูเพื่อนบ้านจากหน้าต่างชั้นบน และวิ่งกลับมารายงานให้
สามีฟัง
'เพื่อนบ้านเรานี่ซักผ้าไม่เป็นเลย เสื้อผ้าสกปรกเหลือเกินไม่รู้ใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร หรือใช้วิธีซักอย่าง
ไร'
สามีก็ตอบว่า'อย่าไปสนใจคนอื่นเขาเลย เราซักผ้าของเราให้สะอาดก็แล้วกัน'
แต่ภรรยาก็แอบไปดูเพื่อนบ้านจากหน้าต่างข้างบนบ้านและวิ่งกลับมางานสามีทุกเช้า
'เสื้อผ้าของเขาสกปรกอีกแล้ว'
อยู่มาวันหนึ่งภรรยาวิ่งลงมารายงานสามีด้วยความแปลกประหลาดใจ'ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าวันนี้เกิดอะไร
ขึ้น เสื้อผ้าของเขาขาวสะอาดอยากรู้เหลือเกินว่าเขาเปลี่ยนมาใช้ผงซักฟอกอะไร หรือใช้วิธีใดซักผ้า'
สามีหัวเราะแล้วกล่าวว่า
'นี่ฉันรำคาญเธอเหลือเกินเมื่อเช้านี้ฉันตื่นแต่เช้ามืดและไปเช็ดกระจกหน้าต่างให้สะอาด ก่อนหน้านี้
กระจกมันสกปรก เธอมองออกไปก็เห็นแต่ความสกปรก'
'ทุกข์' หรือ 'สุข' นั้น จิตใจเป็นตัวกำหนด แต่ถึงอย่างนั้น ผิด ชอบ ชั่ว ดีก็ยังถือเป็นภาระทาง
จริยธรรมของเราอยู่มิใช่หรือ
ที่สำคัญ ...(ถ้าจำไม่ผิด) หากเช็ดหน้าต่างแล้วนะคะ ถึงจะไม่สะอาดเอี่ยมแต่ก็เพียงพอที่แสงจะลอด
ผ่าน เพื่อประโยชน์แก่การ 'มอง' และ 'เห็น
โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

 win
ตาแคม
บันทึกการเข้า
iamfrommoon
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2535
คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 8,396

เว็บไซต์
« ตอบ #302 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2551, 09:17:51 »

น้องแคม...เรื่องข้างบนได้ข้อคิดดีมากเลย...ว่าแต่ว่า ช่วงนี้หันเข้าวัดเข้าวา ฤ....อิอิ
บันทึกการเข้า

@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@

Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #303 เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2551, 11:54:13 »

อ่านเรื่องนี้แล้วชอบมาก ได้แง่คิดที่ดีสำหรับการใช้ชีวิตร่วมกันระหว่างชายกับหญิงดี

ทำไมผู้ชายคุยไปดูทีวีไปไม่ได้
ผู้หญิงถนัดนักเรื่องการทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน อาทิ เขียนรายการของที่จะซื้อพร้อมกับทำกับข้าวและบอกสามีให้ดูลูกทำการบ้าน
การสแกนสมองบ่งบอกว่า สมองผู้หญิงไม่เคยว่างเปล่าแม้ยามหลับ
ในทางตรงข้าม ผู้ชายมักพบว่าเวลาถูกขอให้โทรศัพท์ระหว่างดูทีวีเป็นภารกิจที่ท้าทายอย่างยิ่ง
นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า สมองซีกซ้ายและขวาของคนเราเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันด้วยกลุ่มเส้นประสาทที่เรียกว่าcorpus callosum
โรเจอร์ กอร์สกี้ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในแอลเอ ยืนยันว่าสมองของผู้หญิงมี corpus callosum หนากว่าผู้ชาย 10%
และมีการเชื่อมต่อระหว่างสมองสองซีกมากกว่าผู้ชาย 30% ทั้งยังพิสูจน์ได้ว่า หญิง-ชายใช้สมองคนละส่วนกันเวลาทำงานอย่างเดียวกัน
สมองของผู้ชายพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้มุ่งเน้นกับงานเพียงงานเดียว
ขณะที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนของเพศหญิงกระตุ้นเซลล์สมองให้ทำการเชื่อมต่อสมองซีกซ้ายและขวามากขึ้น
ผลศึกษาหลายชิ้นระบุว่า ยิ่งสมองสองด้านเชื่อมต่อกันมากแค่ไหน คนนั้นยิ่งมีความเป็นเลิศด้านภาษามากขึ้น
และยังอธิบายได้ว่า เหตุใดผู้หญิงจึงสามารถปฏิบัติภารกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้

ด้วยเหตุนี้ เวลาที่ผู้หญิงจะขอให้สามีทำอะไรให้ ควรเลือกจังหวะให้ดีและมอบหมายภารกิจให้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ทำไมผู้ชายโกหกไม่สำเร็จ
การศึกษาภาษากายพบว่า ในการสื่อสารแบบเผชิญหน้า สัญญาณที่ไม่ใช่คำพูดมีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ของสาส์นถึง 60%
อีก30% เป็นหน้าที่ของน้ำเสียง และ 10% ที่เหลือถึงเป็นถ้อยคำ
ผู้หญิงมีทักษะในการเลือกสรรและวิเคราะห์ข้อมูลนี้มากกว่าผู้ชาย โดยสมองสองซีกจะส่งผ่านข้อมูลระหว่างกันอย่างรวดเร็ว
ทำให้สามารถรวบรวมและถอดรหัสถ้อยคำ ภาพที่เห็น และสัญญาณอื่น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
และนี่คือคำอธิบายว่า เหตุใดผู้ชายจึงโกหกผู้หญิงซึ่งหน้าไม่สำเร็จ แต่ผู้หญิงกลับทำพฤติกรรมแบบเดียวกันนี้ได้ง่ายดายและเนียนเหลือเกิน

ข้อแนะนำสำหรับเรื่องนี้ก็คือ ถ้าคิดจะตุกติก หนุ่มควรใช้วิธีโทรศัพท์ ส่งจดหมาย ปิดไฟ หรือคลุมโปงคุยกับแฟนมากกว่า

ทำไมผู้หญิงมีปัญหาเวลาจอดรถขนานฟุตบาต
งานวิจัยที่มีบริษัทสอนขับรถเป็นสปอนเซอร์แสดงให้เห็นว่า ผู้ชายอังกฤษมีความแม่นยำ 82%
ในการถอยรถคนอื่นเข้าจอดขนานกับขอบถนน และ 71% ทำได้ตั้งแต่ครั้งแรก
ขณะที่ผู้หญิงได้คะแนนเพียง 22% และ 23% ตามลำดับ ทั้งที่เวลาสอบใบขับขี่ผู้หญิงจะได้คะแนนในส่วนนี้ดีกว่าผู้ชาย
สาเหตุเป็นเพราะผู้หญิงเก่งกว่าผู้ชายในการเรียนรู้ภารกิจและทำซ้ำภายใต้สภาพแวดล้อมและเงื่อนไขที่เหมือนเดิม
ทว่า ในสถานการณ์จริงที่การจราจรหมายถึงชุดข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ประสิทธิภาพของผู้หญิงจึงด้อยลง
ขณะที่ผู้ชายมีทักษะด้านมิติสัมพันธ์สูงกว่าซึ่งเหมาะสมต่อภารกิจนี้ รวมถึงการจดจำแผนที่ในหัวและรู้ว่าต้องเลือกเส้นทางไหน
ถ้าต้องกลับไปที่เดิม ผู้ชายไม่จำเป็นต้องพึ่งแผนที่ เพราะพื้นที่สมองส่วนมิติสัมพันธ์จะบันทึกข้อมูลไว้ครบถ้วน
ด้วยเหตุนี้ผู้ชายจึงลุกจากที่นั่งบนอัฒจรรย์เพื่อลงไปซื้อเครื่องดื่มและกลับมาโดยไม่หลง
ขณะที่เรามักคุ้นตากับภาพนักท่องเที่ยวหญิงยืนทำหน้างงใส่แผนที่ตามสี่แยก

ทำไมผู้หญิงใส่ใจความรู้สึก-ผู้ชายหมกมุ่นกับงาน
ผู้ชายมักตีค่าตัวเองจากหน้าที่การงานและความสำเร็จ ขณะที่ผู้หญิงมองตัวเองมีค่าโดยพิจารณาจากความสัมพันธ์กับคู่ครอง
ในอดีตกาล ผู้ชายเป็นผู้หาอาหารและแก้ปัญหา ซึ่งหมายถึงภารกิจสูงสุดอยู่ที่ความอยู่รอดเฉพาะหน้า
ส่วนผู้หญิงมีหน้าที่ดูแลบ้านและสร้างหลักประกันการอยู่รอดของลูก ๆ แม้แต่ในยุคนี้
ผลศึกษาหลายชิ้นระบุว่า ผู้ชาย 70-80% ยังบอกว่าส่วนสำคัญที่สุดในชีวิตคืองาน และผู้หญิงในจำนวนเท่า ๆ กันยกให้ครอบครัวมีความสำคัญที่สุด

ผลลัพธ์คือ ถ้าผู้หญิงไม่มีความสุขกับชีวิตคู่จะไม่มีสมาธิกับงาน แต่ถ้าผู้ชายไม่มีความสุขกับงานจะปล่อยปละละเลยชีวิตคู่

เมื่อเครียดหรือรู้สึกกดดัน ผู้หญิงจะมองว่าการได้พูดคุยกับสามีเป็นรางวัลอันมีค่า
แต่ผู้ชายกลับรู้สึกว่าการกระทำแบบเดียวกันรบกวนกระบวนการแก้ปัญหา ผู้หญิงอยากคุยและให้สามีกอด
แต่สิ่งที่ผู้ชายอยากทำมากที่สุดคือนอนดูฟุตบอล
สำหรับผู้หญิง สามีดูจะไม่ใส่ใจเลยสักนิด แต่สำหรับผู้ชาย ภรรยาช่างเซ้าซี้กวนใจหรือบางครั้งอวดรู้มากไปหน่อย
เมื่อรู้แบบนี้ สามี-ภรรยาควรหาทางสายกลางเพื่อประคับประคองชีวิตคู่ให้ราบรื่น


ทำไมผู้หญิงมีสัมผัสที่ 6
เมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว ผู้หญิงเคยถูกเผาทั้งเป็นเพราะมี 'อำนาจเหนือธรรมชาติ'
ซึ่งหมายถึงความสามารถในการทำนายแนวโน้มความสัมพันธ์และความจริงที่ซ่อนเร้น
ในการทดลองหนึ่งพบว่า ภายในห้องที่มีสามี-ภรรยาอยู่ 50 คู่ ผู้หญิงใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของแต่ละคู่
โดยความสามารถนี้วิวัฒนาการมาจากหน้าที่การดูแลบ้านในอดีตกาล ทำให้ผู้หญิงสามารถฟันธงได้ว่าคู่ไหนรักกันดี คู่ไหนมีปัญหา
และผู้หญิงคนไหนน่าคบหรือว่าต้องระวัง ขณะที่ผู้ชายกลับกวาดสายตาทั่วห้องเพื่อหาทางเข้า-ทางออก
ซึ่งมาจากสัญชาติญาณในอดีตในการประเมินแนวโน้มการถูกโจมตีและทางหนีทีไล่
หลังจากนั้น จึงค่อยมองหาคนรู้จักหรือคนที่อาจเป็นศัตรู แล้วค่อยพินิจพิเคราะห์โครงสร้างห้องเพื่อหาจุดที่มีปัญหาและต้องการการซ่อมแซม

ทำไมผู้หญิงชอบสับสนซ้าย-ขวา
ความที่ใช้สมองทั้งสองด้านไปพร้อมกัน ผู้หญิงหลายคนจึงมีปัญหาเรื่องมือขวา-มือซ้าย
ในการศึกษาพบว่า ผู้หญิงราว 50% นึกไม่ออกว่ามือซ้ายหรือมือขวาถ้าไม่ได้เหลือบตาลงมอง
ทว่า ผู้ชายที่ใช้สมองทีละซีกตอบโจทย์นี้อย่างง่ายดาย
ด้วยเหตุนี้ ผู้หญิงทั่วโลกจึงมักถูกเพศตรงข้ามบ่น เพราะชอบบอกให้เลี้ยวขวาทั้งที่จริง ๆ แล้วหมายถึงเลี้ยวซ้าย

ทำไมผู้ชายไม่ชอบถามทาง
เรื่องนี้เกี่ยวกับทัศนคติที่ฝังรากมาแต่ดึกดำบรรพ์ที่ผู้ชายต้องออกสำรวจภูมิประเทศรอบ ๆ ถ้ำเพื่อจะได้กลับบ้านถูก
เวลาออกไปล่าสัตว์หาอาหารมาเลี้ยงครอบครัว ลูกเมียต่างหิวโหยแต่เชื่อมั่นว่าพ่อบ้านจะปฏิบัติภารกิจสำเร็จเหมือนเช่นทุกครั้ง
ดังนั้นผู้ชายจึงไม่สามารถแสดงอาการกลัวออกมาให้ครอบครัวเห็น และมองว่าการขอความช่วยเหลือหมายความว่าการปฏิบัติภารกิจล้มเหลว
ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกว่าเวลาผู้ชายขับรถออกไปนอกบ้านคนเดียว เขาอาจจอดถามทาง
แต่การทำแบบนี้ต่อหน้าผู้หญิง จะทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว
ด้วยเหตุนี้ ผู้หญิงจึงต้องระวังไม่ทำให้ผู้ชายรู้สึกผิดเวลาคุยปัญหากัน
ขณะเดียวกัน ผู้ชายก็จะต้องเข้าใจว่าผู้หญิงไม่ได้มีเจตนากล่าวโทษ แต่ต้องการช่วยแบ่งเบา จึงไม่ควรเก็บปัญหาไว้หนักอกคนเดียว


-----------------
ชอบๆ
ตาแคม
บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #304 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2551, 21:50:27 »

save ไว้คอยแก้ตัว..

แล้วทำไมผู้ชายถึงเมื่อยกล้ามเนื้อมากกว่าผู้หญิง...
บันทึกการเข้า
phraisohn
บักสน
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


บักสนแคมโบ้
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu89 (ปี 2549)
คณะ: วิทยาศาสตร์
กระทู้: 9,557

เว็บไซต์
« ตอบ #305 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2551, 22:07:30 »

ชอบมากครับ สุดยอดมาก เอาอีกๆๆๆ
บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #306 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2551, 07:32:45 »

อ้างถึง
ข้อความของ ppornson เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2551, 21:50:27
แล้วทำไมผู้ชายถึงเมื่อยกล้ามเนื้อมากกว่าผู้หญิง...

โรคชอบนวดอ่ะเหรอ อันนี้ต้องถามหลิม หุหุ

ตาแคม
บันทึกการเข้า
ชาร์ป
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,119

« ตอบ #307 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2551, 11:13:34 »

 ปิ๊งๆ
 
อ้างถึง   
เตือนหน้าหนาวก๊งสุราอาจถึงตาย
 
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 20 พฤศจิกายน 2551 06:55 น.

 
 
 
การดื่มเหล้าโต้ลมหนาวหรือเชื่อว่าเหล้าจะช่วยให้หายหนาวได้เป็นความเชื่อที่ผิดและอันตรายถึงชีวิต (ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต)
 
 
       รองอธิบดีกรมแพทย์เตือนประชาชนผู้มีความเชื่อในเรื่องการคลายหนาวด้วยการดื่มสุรา เพราะเชื่อว่าฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะทำให้ร่างกายอบอุ่น คลายหนาวได้ ว่า เป็นสิ่งที่อันตราย ไม่ได้ผล แถมอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
       
       นอ.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ในช่วงนี้ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวอากาศเย็น ซึ่งประชาชนมีความเชื่อในเรื่องการคลายหนาวด้วยการดื่มสุรา เพราะเชื่อว่าฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะทำให้ร่างกายอบอุ่น คลายหนาวได้ แต่นั่นเป็นความเชื่อและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและอันตราย เนื่องจากใช้ไม่ได้ผล ไม่ได้ช่วยแก้ความหนาวเย็นได้ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็น หรือนักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวแล้วดื่มสุราเพื่อคลายหนาวอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้
       
       ทั้งนี้ การที่ประชาชนมีความเชื่อ ว่า การดื่มสุราช่วยคลายหนาวได้นั้น เนื่องจากหลังดื่มแอลกอฮอล์จะเข้าสู่กระแสเลือด ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะทำให้หลอดเลือดฝอยทั่วร่างกายขยายตัว เกิดความรู้สึกร้อนวูบวาบ หน้าแดง ทำให้ผู้ดื่มถอดเสื้อกันหนาวออกหรือใส่เพียงเสื้อผ้าบางๆ แทน โดยที่ไม่รู้ว่าความร้อนที่เกิดขึ้นหลังดื่มเหล้า ทำให้ร่างกายสูญเสียความร้อนออกไปเร็วขึ้น และหากดื่มมากๆ ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะกด ที่ประสาทส่วนกลาง ทำให้ง่วง งง ซึม อาจทำให้หมดสติ
       
       ที่สำคัญคือ หากอยู่ในที่ที่มีอากาศหนาวเย็นยิ่งอันตราย เนื่องจากความเย็นจะทำให้เลือดในร่างกายมีความหนืดขึ้น การไหลเวียนยากลำบาก อวัยวะต่างๆ ขาดออกซิเจน หัวใจต้องทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย ทำให้ช็อกและเสียชีวิตได้ง่ายขึ้น
 
 

ดีนะที่เรากินแต่เบียร์  เหนื่อย
บันทึกการเข้า
หลิม 81
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,840

« ตอบ #308 เมื่อ: 27 พฤศจิกายน 2551, 22:53:05 »

ดูรายการเจาะใจเกี่ยวกับเด็กจุฬา ฯ ที่เป็นมะเร็งกระดูก...เศร้ามากครับ และเป็นน้องโรงเรียนผมและรู้จักกันด้วย เห็นว่าน้องเค้ามีกำลังใจดีมากด้วยสุดท้ายก็ไม่รอด...ดูแล้วเศร้า อยากร้องไห้เลย  sorry

ไม่น่าเชื่อ เพราะเคยเห็นแต่ในทีวีที่เป็นเรื่องคนอื่น คราวนี้มันคนใกล้ตัวเราเอง
บันทึกการเข้า

@ ปีนี้ปีของผม @
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #309 เมื่อ: 27 พฤศจิกายน 2551, 22:55:10 »

น่าเสียใจมากครับ
บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #310 เมื่อ: 28 พฤศจิกายน 2551, 07:20:16 »

เมื่อก่อนเคยไปแต่งานศพคนอายุเยอะกว่า
เดี๋ยวนี้เริ่มไปงานศพคนอายุไม่ห่างกันมากนัก
ทั้งมากกว่า และน้อยกว่า
เริ่มมีคนใกล้ตัว มีส่วนไปทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต

ไงก็ขอให้ทุกคนรู้ตัวเองไว้เสมอล่ะกันนะครับ

ตาแคม
บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #311 เมื่อ: 28 พฤศจิกายน 2551, 18:23:40 »

ไปแบบมีบุญที่สุดแล้วล่ะครับ..ท่าน ว.วชิระเมธีมาเทศน์ให้..
บันทึกการเข้า
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #312 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2551, 16:10:34 »

 emo45:(เพื่อนผมที่เรียน ป. โทด้วยกัน..พึ่งตายด้วยมะเร็งลำไส้...รู้ข่าวว่าเป็นเมื่อเดือนก่อน....เสียไปเสียแล้ว....เฮ้อ..ภัยเงียบจริงๆๆ
บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #313 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2551, 11:29:23 »

ทำไมที่มันเสนอหน้าหน้าทีวีหลายๆตัวมันไม่ไปแบบกระทันหันแบบนั้นมั่งเนอะ..
บันทึกการเข้า
หลิม 81
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,840

« ตอบ #314 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2551, 13:36:37 »

อ้างถึง
ข้อความของ ppornson เมื่อ 18 ธันวาคม 2551, 11:29:23
ทำไมที่มันเสนอหน้าหน้าทีวีหลายๆตัวมันไม่ไปแบบกระทันหันแบบนั้นมั่งเนอะ..

สามเกลอ หัวเกรียนหรือ... เหนื่อย
บันทึกการเข้า

@ ปีนี้ปีของผม @
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #315 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2551, 21:54:25 »

 emo46หน้าก้อ..คอสั้น...เลวได้ใจจริงๆๆ....บวกลูกพี่มันที่ไร้แผ่นดินด้วย...เง้อ
บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #316 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2551, 07:33:29 »

ใกล้ฤดูกาล ยื่นภาษี + ขอภาษีคืนแล้น
update ข่าวคราวกันหน่อย

เบี้ยสุขภาพ-อุบัติเหตุหมดสิทธิลดหย่อนภาษี
   
กรมสรรพากรยัน ผู้เสียภาษีไม่สามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพและอุบัติเหตุมาหักลดหย่อนภาษีได้เหมือนเดิม
อ้างกฎหมายไม่อนุญาต แต่ที่ผ่านมาถือว่าอนุโลม หวั่นรายได้หดหลังประกาศเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีจากเบี้ยประกันจาก 5 หมื่น เป็น 1 แสนบาท

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : รายงานข่าวจากกรมสรรพากรยืนยันว่า ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่สามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพและอุบัติเหตุ
มาหักเป็นค่าลดหย่อนทางภาษีเหมือนช่วงที่ผ่านมาได้ ซึ่งมีผลตั้งแต่ปีภาษีนี้ หรือผู้ที่จะยื่นตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม 2552
โดยที่ผ่านมากรมสรรพากรอนุโลมให้นำมาหักลดหย่อนภาษีได้ แต่ปีภาษีนี้จะดำเนินการตามตัวบทกฎหมาย ที่ระบุว่า
เฉพาะเบี้ยประกันชีวิตที่มีกรมธรรม์ อายุ 10 ปีขึ้นไปเท่านั้น สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้

ทั้งนี้ ความสับสนเกิดขึ้น หลังจากที่กรมสรรพากร ได้ประกาศเพิ่มค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิต ที่มีอายุกรมธรรม์ 10 ปีขึ้นไป
จากเดิม 5 หมื่นบาท เป็น 1 แสนบาท โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นปี 2551 เป็นต้นไป แต่กรมสรรพากรได้เปิดเผยรายละเอียดในภายหลังว่า
เบี้ยประกันที่จะนำมาหักลดหย่อนทางภาษีได้ จะเป็นเบี้ยประกันชีวิตเท่านั้น
ในส่วนของเบี้ยประกันสุขภาพและเบี้ยประกันอุบัติเหตุ ที่ถือเป็นอนุสัญญาของกรมธรรม์ประกันชีวิต ไม่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้
แหล่งข่าวกล่าวว่า ในระยะที่ผ่านมา ผู้เสียภาษีที่ยื่นแบบเสียภาษีประจำปี ได้นำเบี้ยประกันชีวิตมาขอลดหย่อนภาษี โดยรวมเอาเบี้ยประกันสุขภาพ
และเบี้ยประกันอุบัติเหตุ รวมเข้ามาขอหักค่าลดหย่อนทางภาษีด้วย ถือเป็นการอนุโลม แต่ปีภาษีนี้กรมจะดำเนินตามตัวบทกฎหมาย
ที่ระบุว่าเฉพาะเบี้ยประกันชีวิตที่มีกรมธรรม์ อายุ 10 ปีขึ้นไปเท่านั้น ที่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้

"แม้กรมสรรพากรจะไม่อนุญาตให้นำเบี้ยประกันสุขภาพและอุบัติเหตุมาหักลดหย่อนภาษีได้นับตั้งแต่ปีภาษีนี้ แต่ว่า
เราก็จะไม่ดำเนินการหักภาษีย้อนหลังกรณีที่ได้มีการขอลดหย่อนไปแล้ว" แหล่งข่าวกล่าว

แหล่งข่าวรายเดิม กล่าวต่อว่า เมื่อกรมสรรพากรเพิ่มวงเงินในการนำเบี้ยประกันมาหักลดหย่อนเป็น 1 แสนบาท
จะทำให้กรมสรรพากรต้องเสียรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ รายได้จากภาษีที่กรมสรรพากรจัดเก็บถือเป็นรายได้สำคัญของประเทศ
ซึ่งรายได้จากกรมสรรพากรในปีงบประมาณ 2552 ที่ตั้งเป้าไว้ที่ 1.318 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณก่อนหน้า 9.1%
และคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 74.5% ของรายได้รวมของรัฐบาล
โดยผลการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร ในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณ ปรากฏว่า ยังสามารถจัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมาย 6.6%
แหล่งข่าวรายเดิม กล่าวต่อว่า หากมองในภาพรวมของผลการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในเดือนดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่า เก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายถึง 9.4%
ทำให้กรมสรรพากร จำเป็นต้องปิดช่องโหว่ในทุกทางเพื่อเพิ่มเม็ดเงินภาษี มาชดเชยกับรายได้ที่หดหายไปจากส่วนอื่นๆ
ทั้งนี้ รัฐบาลมีภาระที่จะต้องใช้นโยบายการคลัง เพื่อป้องกันการถดถอยของภาวะเศรษฐกิจโดยเฉพาะในช่วงปีหน้า ซึ่งก่อนหน้านี้
รัฐบาลได้ประกาศเพิ่มการขาดดุลอีก 1 แสนล้านบาท ไปแล้ว ทำให้ปีงบ 2552 รัฐบาลขาดดุล เป็น 3.49 แสนล้านบาท
บันทึกการเข้า
Mr.EggMan
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,826

« ตอบ #317 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2551, 20:48:51 »

 ปิ๊งๆ


 ข้อปฏิบัติในการดูแล Notebook ของคุณ

คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าการใช้งานโน๊ตบุ้กเริ่มมีบทบาทสำคัญในการทำงานในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าราคาโน๊ตบุ้กในปัจจุบันจะมีราคาไม่สูงเท่าสมัยก่อน จนทุกท่านสามารถหาซื้อเป็นเจ้าของได้ไม่ยากนัก แต่ทุกท่านก็คงอยากจะรักษาโน๊ตบุ้กของตัวเองให้สามารถใช้งานได้ดีให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เพื่อให้คุ้มค่ากับการลงทุนของคุณมากที่สุด ซึ่งโดยปกติโน๊ตบุ้กจะมีอายุการใช้ระหว่าง 3 – 5 ปี

การดูแลรักษาโน๊ตบุ้กก็คล้ายๆกับการดูแลรักษาสุขภาพของเรา ซึ่งจะต้องมีแนวทางในการปฏิบัติที่ถูกต้อง และปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ โดยในที่นี้ผมจะขอแนะนำข้อควรปฏิบัติเพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานให้กับโน๊ตบุ้กสุดรักของคุณเป็นข้อๆจำนวน 7 ข้อดังต่อไปนี้

1. ระบายค วามร้อนใต้เครื่องให้ดี

ความร้อนสะสมภายในเครื่องเป็นศัตรูตัวฉกาจของโน๊ตบุ้ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร้อนบริเวณใต้เครื่อง ซึ่งปกติตัวเครื่องจะเกือบถูกวางแนบไว้กับพื้นโต๊ะ ซึ่งทำให้มีช่องว่างเพียงนิดเดียวที่อากาศเย็นจากภายนอก จะสามารถไหลเวียนเข้าไปเพื่อพาอากาศร้อนใต้เครื่องให้ออกมาได้ จึงทำให้ความร้อนสะสมภายในเครื่อง สูงขึ้นตามลำดับ
ซึ่งจะมีผลโดยตรงการอายุการใช้งานของชิ้นต่างๆภายในเครื่องในระยะ ผมจึงขอแนะนำให้หาฐานวางโน๊ตบุ้กมาใช้ เพื่อช่วยเพิ่มความไหลเวียนของอากาศบริเวณใต้เครื่อง ถ้าเป็นรุ่นที่มีพัดลมระบายอากาศได้ด้วยยิ่งดี และหลีกเลี่ยงการใช้งานโน๊ตบุ้กบนเตียงหรือบนเบาะนุ่มๆอย่างเด็ดขาด เพราะนั่นจะเป็นการตัดระบบการระบายความร้อนใต้เครื่องอย่างสิ้นเชิง



2. อย่าเพิ่งปิดฝาเลยทันทีที่เลิกใช้

ถึงแม้คุณจะได้ปฏิบัติตามข้อที่หนึ่งที่ช่วยลดความร้อนสะสมในตัวเครื่อง ในระหว่างที่ใช้งานไปแล้ว การระบายความร้อนในช่วงที่ปิดเครื่องใหม่ๆก็มีความสำคัญเช่นกัน การปิดฝาเครื่องทันทีที่เลิกใช้จะทำให้ความร้อนที่เกิดระหว่างที่เปิด ใช้งานสะสมอยู่ในเครื่องนานกว่าที่ควรจะเป็นเพราะตัวมีเวลาไม่พอที่จะคลายความร้อนทั้งหมดออกมา
ดังนั้นผมจึงขอแนะนำว่าหลังจากที่คุณใช้งานเสร็จ ให้คุณดึงปลั้กหม้อแปลงชาร์ตไฟออกตามปกติ แต่เปิดฝาเครื่องทิ้งไว้ประมาณ 3 – 5 นาที เพื่อให้เครื่องมีเวลาในการระบายความร้อนในช่วงที่เปิดใช้งานให้หมดก่อน จากนั้นจึงค่อยปิดฝาเครื่องเพื่อป้องกันฝุ่นละอองต่างๆลงบนเครื่อง

3. ห้ามถอดแบตเตอรี่อย่างเด็ดขาด

หลายๆ ท่านคงเคยได้ยินคนบอกว่า ควรถอดแบตเตอรี่ออกจากเครื่องในระหว่างที่ใช้อยู่ในบ้าน เพื่อเป็นการถนอมอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ แต่ผมขอบอกว่านั่นเป็นความคิดที่ผิดมากๆ จริงอยู่การทำเช่นนั้นจะทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ยาวขึ้น แต่นั่นก็เป็นการทำให้อายุการใช้งานของเครื่องโดยรวมสั้นลงเช่นกัน เพราะเมื่อมีเหตุการณ์ไฟตกหรือไฟดับ
ตัวเครื่องก็จะหยุดการทำงานในทันทีโดยไม่มีการปิดเครื่องอย่างถูกต้องซึ่ง นอกจากจะทำให้คุณสูญเสียงานที่กำลังทำอยู่แล้วยังเป็นอันตรายต่อชิ้นส่วน อย่างฮาร์ดดิสก์ในระยะยาวเป็นอย่างมาก ผมจึงขอแนะนำให้ห้ามถอดแบตเตอรี่อยู่เป็นประจำอย่างเด็ดขาด และเสียบใช้ไฟผ่านหม้อแปลงทุกครั้งที่มีโอกาสใช้ไฟจากปลั้ก


4. การเสียบแจ๊ตชาร์ตจากหม้อแปลงไฟฟ้าให้ถูกต้อง

บางท่านอ่านที่หัวข้อแล้วจะงงๆว่าการเสียบแจ๊ตชาร์ตไฟมีวิธีที่ถูกต้องและไม่ถูกต้องด้วยหรือ ผมบอกได้เลยว่ามี และถ้าไม่ระวังให้ดีจะมีผลให้ไฟช๊อตเมนบอร์ดของเครื่องได้ด้วย ซึ่งคงจะไม่ได้ทำให้เสียในทันที แต่จะมีผลในระยะยาวอย่างแน่นอน ไฟซ๊อตจะเกิดขึ้นตอนที่คุณเสียบแจ๊ตเนี่ยล่ะครับ คุณเคยสังเกตตอนที่คุณเสียบแจ๊ตชาร์ตไฟ
กับตัวเครื่องมั้ยครับว่า บางครั้งจะเกิดประกายไฟขึ้นตอนที่เสียบ ? ั่นเป็นเพราะคุณเสียบไม่ถูกต้องนั้นเอง วิธีที่ถูกต้องคือ ตอนเปิดใช้ ให้เสียบแจ๊ตที่ชาร์ตไฟจากหม้อแปลงไฟฟ้าที่เครื่องก่อน แล้วค่อยเสียบปลั้ก และตอนเลิกใช้ให้ถอดปลั้กไฟ และรอให้ไฟที่ตัวหม้อแปลงไฟฟ้าดับก่อน แล้วค่อยถอดแจ๊ตออกจากตัวเครื่อง
ด้วยวิธีการนี้จะทำให้ตัดโอกาสไฟช๊อตอันเกิดจากประกายไฟตอนที่เสียบหรือถอด แจ๊ตได้อย่างเด็ดขาด

5. ก่อนเคลื่อนย้ายให้ปิดฝาเครื่องก่อน

ปัญหาบานพับโน้ตบุ้กหักเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ผู้ใช้โน๊ตบุ้กต้องปวดหัวกันมาก ส่วนใหญ่จะโทษบริษัทผู้ผลิตที่ใช้วัสดุไม่ดี หรือออกแบบมาไม่ดีพอ แต่จริงๆแล้วปัญหาบานพับหักนี้มักจะเกิดจากการใช้งานไม่ถูกต้องเองมากกว่า เช่น การเปิดฝากหน้าจอไว้ในขณะยกเคลื่อนย้าย , การใช้มือเปล่าถือเครื่องไปโดยไม่ได้ใส่กระเป๋าให้เรียบร้อยก่อน เป็นต้น
ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้ข้อต่อบานพับมีการขยับเขยือนมากกว่าที่ควรจะเป็น และเมื่อนานวันเข้าก็จะเริ่มแตกร้าวและหักได้ในที่สุด คุณสามารถป้องกันได้ง่ายๆด้วยตัวเอง ด้วยการปิดฝาเครื่องทุกครั้งก่อนที่จะยกเคลื่อนย้าย และหากต้องเคลื่อนย้ายไปไกลๆก็แนะนำให้เก็บเครื่องใส่กระเป๋าให้เรียบร้อยก่อน
จะเป็นการป้องกันการแตกหักของบานพับได้ดีที่สุด

6. ใช้งานช่องพอร์ต USB และ PCMCIA ในเครื่องเท่าที่จำเป็น

ปกติ การใช้งานช่องพอร์ต USB และ PCMCIA สำหรับการใช้งานอุปกรณ์เสริมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น USB Drive, TV Tuner Card, Wireless Network Card หรือ FireWire Card จะทำให้ซีพียูต้องทำงานมากกว่าปกติ และเมื่อซีพียูมีการทำงานมากขึ้น ความร้อนที่เกิดจากการทำงานของซีพียูที่มากขึ้นก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนี้ความร้อนที่เกิดจากอุปกรณ์เสริมเหล่านี้ยังทำให้ความร้อนสะสมภายในเครื่องเพิ่มสูงขึ้นไปอีกด้วย ซึ่งความร้อนสะสมที่มากกว่าปกติจะมีผลโดยตรงทำให้อายุการใช้งานของชิ้นส่วนต่างๆในเครื่องสั้นลงกว่าที่ควรจะเป็น ผมจึงขอแนะนำให้ใช้งานอุปกรณ์เสริมต่างๆเท่าที่จำเป็น ดึงออกทันทีที่ใช้เสร็จ
และหลีกเลี่ยงการเสียบทิ้งไว้ตลอดเวลาที่เปิดเครื่องใช้งาน



7. อย่าทิ้งแผ่นซีดี/ดีวีดีไว้ในเครื่องอย่างเด็ดขาด

ผม เชื่อว่าคงมีหลายๆท่านที่ชอบเผลอลืมใส่แผ่นซีดี/ดีวีดีทิ้งไว้ในเครื่องโดยไม่รู้ตัวว่านั่นเป็นการทำให้ไดร์ฟซีดี/ดีวีดีต้องทำงานมากกว่าปกติ เพราะต้องมีการอ่านข้อมูลทุกเครื่องที่มีการเปิดเครื่องขึ้นมา และต้องอ่านแผ่นเพิ่มขึ้นในหลายๆครั้งที่คุณเปิด Windows Explorer ซึ่งจะทำให้หัวอ่านของไดร์ฟซีดี/ดีวีดีต้องทำงานมากกว่าปกติ
ซึ่งจะมีผลทำให้อายุการใช้งานของไดร์ฟซีดี/ดีวีดีสั้นลง ด้วยเหตุนี้ผมจึงขอแนะนำให้เอาแผ่นซีดี/ดีวีดีออกจากเครื่องทุกครั้งที่คุณใช้งานจากแผ่นเสร็จ และปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอ

ข้อปฏิบัติที่ผมกล่าวมาทั้งหมดในข้างต้นอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆที่หลายท่านมัก จะมองข้ามไป แต่ถ้าคุณสามารถปฏิบัติได้และปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ผมเชื่อแน่เลยว่าโน๊ตบุ้กของคุณจะอยู่รับใช้คุณไปได้อีกนาน ไม่ต้องไปพาไปเที่ยวที่ศูนย์ซ่อมเป็นประจำเหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับหลายๆคนอย่างแน่นอน


บันทึกการเข้า

jakkreepan@hotmail.com
Love is in the A...I...R......H
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #318 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2551, 08:12:50 »

^
^
คำแนะนำ ก่อนจะซื้อโน๊ตบุ๊ค
หากงานที่คุณจะต้องทำเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องเคลื่อนย้ายบ่อยๆ
ก็อย่าไปซื้อเลยโน๊ตบุ๊ค
เพราะที่ราคาเท่ากัน คุณสามารถซื้อ PC ที่สเป็คสูงกว่าโน๊ตบุ๊คได้

ตอนนี้ผมจะได้ยินคนซื้อคอม เอะอะ เอะอะ ก็จะซื้อโน๊ตบุ๊ค
แต่งานที่ตัวเองทำ ไม่เห็นจะต้องหิ้วไปทำงานที่ไหนเลย
จะซื้อให้มันเปลืองทำไม
บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #319 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2551, 11:22:26 »

ประหยัดที่วางไง..แต่มันก็พิมพ์ไม่ค่อยมันส์เนอะ..ยังไงๆคีย์บอร์ดก็มันส์กว่า..
บันทึกการเข้า
MahDee
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,081

« ตอบ #320 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2551, 14:08:52 »

แบงค์ปลอมระบาด

http://vdo.palungjit.com/video/975/สอน-วิธีตรวจแบ้งค์ปลอม
บันทึกการเข้า

RCU 2541>> ปะกาโด่ง 81
----------------------------
http://www.facebook.com/MrMahD
ชาร์ป
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,119

« ตอบ #321 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2551, 14:57:12 »

พระพุทธเจ้า, ผู้ประกาศศักยภาพมนุษย์ .
.
ภาพการบำเพ็ญตนของพระพุทธเจ้าหลังการศึกษาจากทุกสำนัก
ก่อนการปล่อยวางจนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
http://www.kammatthana.com/Picture_034.jpg
 
.
.
ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@thaiappraisal.org)
.
.
พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ได้อวตาร หรือถูกสวรรค์ส่งมายังโลกนี้ นี่คือความจริงที่ไม่อาจบิดเบือน แต่ในภายหลังพระพุทธเจ้ากลับถูกยกฐานะให้แปลกแยกไปจากความเป็นมนุษย์ พระพุทธเจ้าในฐานะที่เป็นมนุษย์สามารถบรรลุธรรมสูงสุดได้ มนุษย์คนอื่น ๆ ก็สามารถถือพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างในการบรรลุธรรมได้เช่นกัน
.
           ผมเขียนข้อคิดต่างนี้จากการอ่านหนังสือ คือเมฆสีขาว ทางก้าวเก่าแก่ วรรณกรรมพุทธประวัติในทัศนะใหม่ ที่แปลมาจากหนังสือ Old Path White Clouds: Walking in the Footsteps of the Buddha ซึ่งเป็นหนังสือพุทธประวัติที่เขียนโดยภิกษุ ติช นัท ฮันห์ และได้รับการถ่ายทอดเป็นภาษาไทยโดย คุณรสนา โตสิตระกูล และคุณสันติสุข โสภณสิริ จัดพิมพ์โดยมูลนิธิโกมลคีมทอง
.
.
ฝึกฝนเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า
.
           มนุษย์ผู้กลายเป็นศาสดานี้ ศึกษาจนรอบรู้ทั้งศาสตร์และศิลปอย่างกว้างขวางลึกซึ้ง สมัยที่ยังเป็นเด็กนั้นศึกษาจนเก่งคณิตศาสตร์อย่างหาใครเทียบไม่ได้ มีความตั้งใจเรียนด้านภาษาและประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังฝึกฝนกีฬาจนชนะเลิศในการแข่งขันทุกประเภท ทั้งยิงธนู ฟันดาบ ขี่ม้า และยกน้ำหนัก พระพุทธเจ้าพยายามอย่างยิ่งยวดในการแสวงหาความรู้ในทุกด้าน
.
           ก่อนตรัสรู้ พระพุทธเจ้ายังศึกษาคัมภีร์ศาสนาอื่นจนหมดสิ้น น้อมใจเป็นศิษย์ในหลายสำนักโดยพำนักแห่งละ 3 เดือนบ้าง 6 เดือนบ้าง จนพลังภาวนาและพลังสมาธิแก่กล้ายิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถค้นพบสัจธรรมที่แท้จริงได้ในช่วงแรก นี่แสดงชัดว่าผู้ที่จะบรรลุธรรมได้ต้องศึกษาอย่างจริงจังต่อเนื่องจนรอบรู้และรู้แจ้ง เพื่อนำความรู้มาสังเคราะห์ด้วยตนเองในที่สุด
.
           ความจริงข้อนี้ชี้ให้เห็นว่า ลำพังการบำเพ็ญเพียรในที่ลับตาคน หรือการยึดถือแต่คัมภีร์ ไม่ใช่หนทาง (เดียว) ที่จะบรรลุธรรมได้ หากต้องมีความรอบรู้อย่างยิ่งยอดในความเป็นจริงที่เอนกอนันต์ของชีวิต
.
.
ผู้ตื่นรู้จากความเชื่อเดิม
.
           พระพุทธเจ้าหมายถึงบุคคลผู้ตื่น และมีความรู้แจ้งว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลง ความเป็นเอกภาพของสรรพสิ่งมีทั้งความเกื้อหนุน ความขัดแย้งและความสัมพันธ์ต่อกันและกัน พระพุทธเจ้าบรรลุถึงหนทางไปสู่การดับทุกข์ในระดับต่างๆ ตามศักยภาพของมนุษย์แต่ละคน พระพุทธเจ้าสอนว่าบุคคลไม่สามารถข้ามพ้นจากอวิชชาโดยการสวดอ้อนวอนและยัญบูชาอย่างงมงาย และไม่อาจกำจัดความโกรธความกลัวได้ด้วยการเก็บกดความรู้สึก ต้องใช้ปัญญาให้เกิดการรู้จริงถึงต้นเหตุปัญหา
.
           พระพุทธเจ้ายังกล่าวว่า คำสอนเป็นวิธีการเพื่อบรรลุความจริง แต่มิใช่เป็นตัวความจริงเอง เป็นมรรควิธีแห่งการปฏิบัติ มิใช่เป็นคัมภีร์หรืออะไรที่มีไว้สำหรับยึดถือหรือบูชา ดังนั้น ใครก็ตามแม้อ่านและจำพระไตรปิฎกได้ทั้งหมด แต่ไม่ปฏิบัติ ก็ไม่อาจรู้แจ้ง คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่สิ่งลี้ลับยากเย็น เพราะแม้แต่เด็ก ๆ วรรณะจัณฑาลผู้ไม่มีการศึกษา ก็ยังฟังเข้าใจ
.
           พระพุทธเจ้าเน้นความเป็นวิทยาศาสตร์โดยกล่าวว่า หากการหมายรู้ของบุคคลถูกต้องแม่นยำ (ด้วยการใช้ข้อมูล ความรู้ และปัญญา) ความจริงก็จะปรากฏ พระพุทธเจ้าสอนให้เชื่อและยอมรับสิ่งที่สอดคล้องกับมโนธรรมสำนึก สิ่งที่บัณฑิตผู้มีคุณธรรมและปัญญายอมรับและสนับสนุน และสิ่งที่เมื่อปฏิบัติแล้วสามารถยังประโยชน์และความสุขแก่ทุกฝ่าย คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่อิงกับศรัทธาความเชื่อที่ห้ามโต้แย้ง พระพุทธเจ้า สอนให้เคารพเสรีภาพทางความคิดอย่างแท้จริง
.
.
ความเป็นมนุษย์ของพระพุทธเจ้า
.
           พระพุทธเจ้าก็มีความรู้สึกส่วนบุคคลเหมือนคนทั่วไป เช่น โปรดประทับภาวนาในป่าประดู่ลาย เคยดุว่าพระราหุล หรือรู้สึกสลดในยามที่ภิกษุกลุ่มหนึ่งไม่ใส่ใจรับฟังคำชี้แนะ พระอรหันต์ เช่น พระสารีบุตรก็รู้สึกสลดนับแต่พระโมคคัลลานะถูกฆาตกรรม จึงเก็บตัวอยู่แต่ในกุฏิ จนพระพุทธเจ้าไปเยี่ยมปลอบใจ เป็นต้น
.
           ในด้านศิลป พระพุทธเจ้าเป่าขลุ่ยได้ ชื่นชมสิ่งอันสุนทรีย์โดยไม่ถูกครอบงำด้วยความสวยงามหรือความน่าเกลียด นอกจากนี้ ยังเคยฝึกเลียนเสียงช้างจนเหมือน ครั้งหนึ่งในยามคับขันเมื่อช้างดุร้ายเชือกหนึ่งวิ่งตรงเข้ามา พระพุทธเจ้าเปล่งเสียงช้างออกมาดังสะท้านจนช้างเชือกนั้นหยุดชะงักทันที แต่เรื่องนี้ เราก็อาจตีความเป็น “พุทธานุภาพ” ซึ่งก็สุดแต่จะตีความกันในยุคหลัง
.
           พระพุทธเจ้าเคยแก้ไขคำพูดของพระองค์ให้ถูกต้อง กล่าวคือ ครั้งหนึ่งแนะนำให้พระอหิงสกะ (องคุลิมาล) บอกแก่หญิงผู้หนึ่งว่า ตั้งแต่พระอหิงสกะเกิดมา ไม่เคยประทุษร้ายชีวิตใด พอพระอหิงสกะทักว่า ถ้ากล่าวเช่นนั้นอาจตีความเป็นการพูดเท็จ พระพุทธเจ้าจึงแนะให้พระอหิงสกะกล่าวใหม่ให้ชัดเจนว่า นับแต่วันที่ตนถือกำเนิดในอริยธรรม ไม่เคยประทุษร้ายชีวิตใดเลย เป็นต้น
.
.
ต่อครอบครัวและความรัก
.
           พระพุทธเจ้ากล่าวสัจพจน์สำคัญว่า “ที่ใดที่รัก ที่นั่นมีทุกข์” เพราะหากสูญเสียสิ่งที่ผูกพันไป ก็เสียดาย โดยเฉพาะความรักและความยึดมั่นที่มีราคะ ตัณหา และความยึดติด เป็นสาระสำคัญ แต่ก็ยังมีความรักอีกประเภทหนึ่งที่ประกอบไปด้วยความปรารถนาดีและต้องการให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ หรือที่เรียกว่า เมตตาและกรุณา ซึ่งถือเป็นความงามประเภทเดียวที่ไม่จางหายและไม่ก่อให้เกิดความทุกข์
.
           พระพุทธเจ้าแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับส่วนรวมเป็นอย่างดี เช่น การระมัดระวังในการปฏิบัติต่อสงฆ์กลุ่มที่เป็นญาติโดยไม่ให้สิทธิพิเศษใด การเข้มงวดแม้กระทั่งภิกษุณีมหาปชาบดี หรือพระโอรส คือ พระราหุลก็ไม่เคยนอนในกุฏิเดียวกับพระพุทธเจ้า พระราหุลยังเคยปรารภว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยปฏิบัติต่อท่านอย่างชื่นชอบเป็นพิเศษ แต่พระอหิงสกะ (องคุลิมาล) กลับได้รับคำยกย่องอย่างสูงยิ่งในฐานะโจรกลับใจผู้มีความอดทนสูงส่ง เป็นต้น
.
.
มองในสิ่งที่เคยเชื่อด้วยมุมมองใหม่
.
           ปกติเราเชื่อว่าภิกษุไม่ควรสัมผัสสตรี แต่องค์ทะไล ลามะ และท่านภิกษุ ติช นัท ฮันท์ สัมผัสมือกับสตรี เมื่อพระพุทธเจ้าไปหาพระนางยโสธรา ก็ยังสัมผัสมือกัน หรือพระราหุลสมัยเป็นสามเณรก็ยังเคยสวมกอดพระมารดา เป็นต้น ข้อนี้เป็นกรณีตัวอย่างที่แตกต่างระหว่างพุทธศาสนาแบบไทยกับแบบอื่น ซึ่งแสดงว่าเราควรใช้วิจารณญาณศึกษาเชิงเปรียบเทียบ ไม่ใช่เชื่อแต่สิ่งที่เคยได้ยินมา
.
           กรณีอดีตชาตินั้น มีกล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าทรงเห็นการเกิดและตายทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งกรณีนี้คงขึ้นอยู่กับการตีความ หากตีความอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ก็หมายถึงว่า “สสารไม่สูญหายไปไหน” พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า “ก่อนที่ตถาคตจะเกิดมาเป็นมนุษย์ ตถาคตเคยเป็นดินและก้อนหิน เคยเป็นต้นไม้ เป็นนก และในชาติปางก่อน พวกเราล้วนเคยเกิดเป็นตะไคร่ หญ้า ต้นไม้ ปลา เต่า นก” เป็นต้น ดังนั้น พระพุทธเจ้าคงหมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่เป็นวัฏจักรของสรรพสิ่งเป็นสำคัญ
.
.
ปัญหาสังคมในมุมมองใหม่
.
           ในสมัยพุทธกาล ความยากจนของชาวนา ปัญหาเด็กพิการ ขอทาน การเจ็บป่วย เป็นปัญหาที่แม้แต่กษัตริย์ก็ไม่มีอำนาจที่จะแก้ไข อำนาจของกษัตริย์เปราะบางและมีอยู่อย่างจำกัด ในสมัยนั้น แม้พระเจ้าสุทโธทนะจะทราบว่าขุนนางละโมบและฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่ก็จำต้องอาศัยพวกขุนนางทุจริตเหล่านี้ค้ำจุนบัลลังก์ ขุนนางเหล่านี้ต่างก็ขับเคี่ยวกันเพื่อมุ่งปกป้องและสร้างฐานอำนาจของตนเอง ไม่ใช่มุ่งขจัดความทุกข์ยากให้ผู้ยากไร้ พระพุทธเจ้าได้เห็นความเป็นจริงข้อนี้จึงไม่คิดที่จะเป็นกษัตริย์
.
           อาจกล่าวได้ว่า การทำทานก็ช่วยบรรเทาทุกข์ผู้ยากไร้ได้บ้าง แต่ไม่ใช่ทางออกที่ดีจริง อาชญากรรมและความรุนแรง เป็นผลพวงของความอดอยาก ยากจน วิธีที่ดีที่สุดในการช่วยเหลือประชาชน และช่วยให้ประชาชนมั่นคงปลอดภัยดี ก็คือการมุ่งสร้างเศรษฐกิจที่พูนสุข โดยการจัดสรรทรัพยากร ทุน และจัดการภาษีอย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นต้น
.
.
สร้างความเท่าเทียมในหมู่ชน
.
           ในอินเดียโบราณ ประชาชนถูกครอบงำกดขี่จากพวกนักบวชศาสนาอื่น โดยประชาชนที่ยากจนก็ต้องยอมเสียเงินให้นักบวชเหล่านั้น เพื่อรับการทำพิธีศาสนาตามแบบแผน แต่พระพุทธเจ้ากลับทรงมุ่งสร้างความเท่าเทียมกันในหมู่ชน โดยแสดงออกด้วยการดื่มน้ำแก้วเดียวกับเด็กชายวรรณะจัณฑาลทั้งยังให้เด็กคนนั้นดื่มก่อน และยังรับคนจัณฑาลเข้ามาอยู่ในคณะสงฆ์ แต่ทำไมในทุกวันนี้ พุทธศาสนากับศาสนาดังกล่าวกลับแยกกันแทบไม่ออก ใครทำให้เกิดภาวะเช่นนี้ ใครเป็นคนเสริมต่อ และใครได้ประโยชน์จากการนี้
.
           การช่วงชิงผลประโยชน์ทางการเมือง และการสงครามของกษัตริย์นครต่าง ๆ ในสมัยนั้น ทำให้ประชาชนเดือดร้อน พระพุทธเจ้าก็เคยห้ามศึกแย่งน้ำทำนากันในหมู่ญาติ นี่แสดงว่าหากกษัตริย์หรือข้าราชการไม่ได้รับการควบคุมที่ดี ประเทศไม่ได้เป็น “ประชารัฐ” ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยของคนส่วนใหญ่ ก็ย่อมก่อสงครามจนประชาชนได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
.
.
คำราชาศัพท์กับพระพุทธเจ้า
.
           ในการเขียนถึงพระพุทธเจ้า เรามักใช้คำราชาศัพท์ พระพุทธเจ้าก็เคยเป็นเจ้าชายมาก่อน และหากครองราชย์ก็ย่อมเป็นมหาจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ของโลก แต่พระพุทธเจ้าไม่ต้องการอยู่ในวรรณะนี้ และยังประสงค์จะใช้ภาษาและคำพูดธรรมดา ดังนั้นการใช้คำราชาศัพท์กับพระพุทธเจ้า แม้ในแง่หนึ่งถือเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงสุด แต่ในอีกแง่หนึ่งก็อาจเป็นการไม่นำพาต่อความตั้งใจของพระพุทธเจ้าในการสละวรรณะกษัตริย์ การใช้คำราชาศัพท์ก็เท่ากับการผูกพันพระพุทธเจ้าไว้กับวรรณะนี้
.
           โปรดสังเกตว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ไม่ถือตน โดยสมัยที่ลาจากวรรณะเดิมมาบำเพ็ญเพียร เด็กชายวรรณะจัณฑาลให้หญ้ามาใช้ปูนั่ง ก็ยกมือไหว้ขอบคุณ สมัยตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็พนมมือ น้อมกายเป็นการตอบรับเป็นการขอบคุณ พระพุทธเจ้าเคยช่วยเด็กวรรณะจัณฑาลตัดหญ้าด้วย หรือร่วมกับพระอานนท์ช่วยกันอุ้มภิกษุที่อาพาธขึ้นเตียงและเปลี่ยนจีวรให้ แล้วยังช่วยขัดถูพื้นกุฏิและซักจีวรที่เกรอะกรังดินของภิกษุดังกล่าวอีกด้วย
.
.
           การที่มนุษย์ผู้หนึ่งสามารถบรรลุธรรม จนประกาศศาสนาให้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจมานับได้ 2551 ปีเช่นนี้ ทำให้เห็นชัดถึงศักยภาพของมนุษย์ที่สามารถพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าทั้งทางวัตถุและจิตใจอย่างอเนกอนันต์ได้ เราจึงต้องเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่สามารถเป็นอิสระจากอวิชชาด้วยการศึกษาอย่างจริงจังและเป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อนำมาสังเคราะห์ด้วยปัญญาให้รู้จริง
.
.
           พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ที่เราเข้าถึงได้ และเราพึงระลึกว่า “บุคคลไม่สามารถข้ามพ้นจากอวิชชาโดยการสวดอ้อนวอนและยัญบูชา”
บันทึกการเข้า
Mr.EggMan
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,826

« ตอบ #322 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2551, 06:37:05 »


^
^
^
^
^

 งง งง
มีเส้นที่คั่นระหว่าง ความจริง กะ ความเชื่อ
บันทึกการเข้า

jakkreepan@hotmail.com
Love is in the A...I...R......H
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #323 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2551, 13:18:41 »

โอ้..บักชาร์ป..บรรลุโลด
บันทึกการเข้า
telek78
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2538
กระทู้: 1,924

เว็บไซต์
« ตอบ #324 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2551, 12:17:46 »

ธรรมะอยู่ที่ใจ เหตุใดต้องร้อนรน

ว่าแล้วเข้า google ไปหาดูรูปนางอัปสรเพิ่มเติมดีกว่า
บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 11 12 [13] 14 15 ... 29  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><