22 พฤศจิกายน 2567, 20:19:28
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 ... 29  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องดี--มาแบ่งปัน  (อ่าน 614431 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #250 เมื่อ: 19 กุมภาพันธ์ 2551, 19:51:12 »

เรื่องดีๆ..มีไว้แบ่งปัน..
บันทึกการเข้า
ชาร์ป
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,119

« ตอบ #251 เมื่อ: 19 กุมภาพันธ์ 2551, 23:30:29 »

 
อ้างถึง   
Subject: FW: คนรวยกับคนชั้นกลาง


ผมได้อ่านหนังสือเล่มเล็ก ๆ  เล่มหนึ่งเขียนโดย Keith Cameron Smith เรื่องความแตกต่างที่โดดเด่น  10 ข้อ ระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลาง  และเห็นว่ามันมีความเป็นจริงอยู่พอสมควรจากการสังเกตของผม   ดังนั้น  จึงขอนำมาเผยแพร่เพื่อที่ว่าเราจะได้รู้ว่าเราอยู่ในด้านไหนของสังคมและจะต้องทำอย่างไรเพื่อที่ว่าเราจะได้ย้ายจากการมีแนวโน้มที่จะเป็นคนชั้นกลางสู่การเป็นคนรวย

ความแตกต่าง


ข้อแรกก็คือ  เศรษฐีนั้นคิดยาวแต่คนชั้นกลางคิดสั้น   ว่าที่จริงคนที่คิดสั้นที่สุดก็คือคนจน  พวกเขามักจะคิดอะไรแบบวันต่อวันทำนองหาเช้ากินค่ำ   คนชั้นกลางนั้นมักจะคิดเป็นเดือนต่อเดือน  นั่นคือคิดถึงวันเงินเดือนออก   แต่คนรวยจะต้องคิดยาวเป็นปี ๆ  หรือเป็นสิบ ๆ ปี   ในใจของคนจนนั้น  เขามักคิดแต่เฉพาะเรื่องของความอยู่รอดเป็นหลัก  ในขณะที่คนชั้นกลางคิดถึงเรื่องความสุขสบายจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้า   ส่วนคนรวยนั้น   เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน   เขาต้องการความเป็นอิสระทางการเงิน      การคิดยาวนั้นมีพลังมหาศาล  เพราะมันจะทำให้เขาอดออมและลงทุนระยะยาวซึ่งจะทำให้เงินงอกเงยแบบทบต้นเป็นเวลานาน  และนี่คือสูตรสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้คนมั่งคั่ง


ข้อสอง   คนรวยพูดเกี่ยวกับเรื่องไอเดีย  คนชั้นกลางพูดเกี่ยวกับสิ่งของ  และคนจนพูดถึงเรื่องของคนอื่น    นี่คงไม่ได้หมายถึงว่าคนรวยไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งของหรือคนอื่น   แต่หมายถึงว่าคนรวยจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นน้อยกว่าคนจนและมักจะเป็นคนที่มีแนวความคิดดี ๆ  หรือมีมุมมองต่าง ๆ  มากกว่าคนชั้นกลางและคนจน    เบื้องหลังของนิสัยในเรื่องนี้คงอยู่ที่ว่า    คนรวยนั้นมักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนจนซึ่งมักจะชอบ  “ซุบซิบนินทา”  เป็นนิจสิน   ในขณะที่คนชั้นกลางอาจจะเน้นการทำงานประจำ  ชอบพูดถึงเรื่องรถยนต์  ดนตรี  การพักผ่อนหย่อนใจ  เป็นต้น


ข้อสาม  คนรวยยอมรับการเปลี่ยนแปลง   คนชั้นกลางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง    คนชั้นกลางรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจะคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนเองเคยชิน   ในขณะที่คนรวยนั้นคิดว่าการเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่า  เขาคิดว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้นมักมีโอกาสที่เขาอาจจะฉกฉวยได้   เบื้องหลังนิสัยนี้อาจจะมาจากการที่คนรวยมีความมั่นใจสูงกว่าคนชั้นกลางที่มักจะกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ ๆ  ได้


ข้อสี่   คนรวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว   คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง    นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม    คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้นจะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง     ในขณะที่คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริง ๆ  นั้นจะมีน้อยมาก       ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ   คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินที่มีความผันผวนของราคาโดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้วมันอาจจะมีความคุ้มค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก   ในอีกมุมหนึ่ง   คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง &nb


เอามาให้อ่านครับ จาก forward mail
เรื่องนี้อาจจะดีก็ได้ ...

 Cool
บันทึกการเข้า
audit
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 136

« ตอบ #252 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2551, 11:25:36 »

ดีค่ะพี่ชาร์ป แต่ว่ามันยังไม่จบข้อความป่าวคะ ดูแหว่งๆ

 :wink:
บันทึกการเข้า
ชาร์ป
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,119

« ตอบ #253 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2551, 21:08:45 »

... หุ หุ พอดี มันมีเท่านี้น่ะ ... และก็ไม่รู้ว่าจะหาได้จากที่ไหนอีก ...

 Shocked
บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #254 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2551, 00:07:19 »

หามาให้แล้วยังบ่นอีก..น้องออดิทเนี่ยะ..เดี๋ยวปั๊ดตบด้วยจมูกซะเลย..

ใครมีปัญหาอะไรว่ามา.. :lol:
บันทึกการเข้า
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
*

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 150

« ตอบ #255 เมื่อ: 23 กุมภาพันธ์ 2551, 08:14:13 »

เจ้าน้องชาร์ป....(เพิ่งรู้ว่าเป็นเด็กมัธยมโรงเรียนเดียวกัน...KKW เดี๋ยวต้องจับรับน้องใหม่..555...) ก็หาจาก Google งัย เอ้า!!... พี่มาช่วยแปะต่อให้...(เท่าที่อ่าน เหมือนข้อ 4 ยังไม่จบ)

ข้อสี่ คนรวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้นจะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง ในขณะที่คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริง ๆ นั้นจะมีน้อยมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินที่มีความผันผวนของราคาโดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้วมันอาจจะมีความคุ้มค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก ในอีกมุมหนึ่ง คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง “บ้าบิ่น” เช่นคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันเองก็ไม่ใช่นิสัยของคนรวย คนรวยนั้นจะต้องรับความเสี่ยงเฉพาะที่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว

ข้อห้า คนรวยเรียนรู้และเติบโตตลอดชีวิต คนชั้นกลางคิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียน นิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นหัวใจเศรษฐีจริง ๆ เพราะในความรู้สึกของผมเอง การเรียนรู้จากโรงเรียนเป็นเพียงพื้นฐานที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้ และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนนั้นยาวมากเป็นหลายสิบปี ดังนั้น ความรู้ส่วนใหญ่จึงควรที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน โดยนัยของข้อนี้ คนรวยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่านหรือการหาความรู้ต่อไปเรื่อย ๆ ในขณะที่คนชั้นกลางนั้น พอเรียนจบก็มักจะไม่สนใจอ่านหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ ๆ และความรู้ที่ผมคิดว่าคนชั้นกลางพลาดไปเพราะไม่มีการสอนในโรงเรียนก็คือ ความรู้ทางด้านการเงินที่คนรวยมักจะศึกษาต่อเพราะเห็นถึงความสำคัญและอาจนำไปสู่ความร่ำรวยได้

ข้อหก คนรวยทำงานเพื่อหากำไร คนชั้นกลางทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้าง คนรวยมองว่านี่คือหนทางที่จะทำให้รวยได้มากกว่าแม้ว่าจะมีความเสี่ยง ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นมักจะไม่กล้าเสี่ยงและอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่า จึงมุ่งไปที่การหางานที่จะมีรายได้แน่นอน แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเองนั้น มีน้อยคนที่จะทำให้ตนเองรวยได้

ข้อเจ็ด คนรวยเชื่อว่าพวกเขาจะต้องใจบุญสุนทาน คนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญ ข้อนี้ผมเองคงไม่มีคอมเม้นท์อะไร ส่วนหนึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนที่ไม่ค่อยบอกหรือรู้กันยกเว้นกรณีที่เป็นการบริจาคใหญ่ ๆ อย่างกรณีของบัฟเฟตต์หรือบิลเกต

ข้อแปด คนรวยมีแหล่งรายได้หลากหลาย คนชั้นกลางมีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่ง ข้อนี้ก็เช่นกัน ผมเองไม่แน่ใจว่าคนรวยมีรายได้จากหลายแหล่งเพราะรวยแล้วจึงไปลงทุนในทรัพย์สินหลาย ๆ อย่าง หรือมีทรัพย์สินหลายอย่างจึงทำให้รวย แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ คนชั้นกลางนั้น มักไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็นหลัก

ข้อเก้า คนรวยเน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งของตนเอง คนชั้นกลางเน้นการเพิ่มของเงินเดือน เป้าหมายของคนรวยนั้นอยู่ที่ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนโดยมองที่ภาพรวม ดังนั้น ถ้าเขามีหุ้นอยู่ การที่หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นโดยที่เขาไม่ต้องเสียภาษี แต่คนชั้นกลางพยายามทำงานเพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้นแต่เขาอาจจะลืมไปว่าเขาจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นด้วย สรุปก็คือ คนรวยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเอง

สุดท้าย ข้อสิบ คนรวยชอบตั้งคำถามที่เป็นบวกและสร้างกำลังใจ เช่น ฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อย่างไร? ในขณะที่คนชั้นกลางชอบตั้งคำถามที่เป็นลบและเสียกำลังใจเช่น จะหาเงินมาจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิตเดือนนี้ได้อย่างไร ?

และนั่นก็คือความแตกต่าง 10 ข้อระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลางที่มีคนตั้งข้อสังเกตไว้ ซึ่งผมเชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นจริง แน่นอน คนรวยบางคนก็มีคุณสมบัติที่เป็นแบบคนชั้นกลาง และคนชั้นกลางจำนวนมากก็มีนิสัยแบบคนรวย แต่ถ้าเราอยากรวย ผมคิดว่า การยึดนิสัยแบบคนรวยน่าจะทำให้เรามีโอกาสมากกว่า

ยกเครดิตให้กับ link นี้ ครับ..http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=apower&month=12-02-2008&group=5&gblog=23

แต่จริงๆ เดี๋ยวนี้ เวลาเปลี่ยน คนรวยที่เป็นทายาทก็ไม่ค่อยได้คิดเรื่องพวกนี้แล้ว..บางทีทำตัวกลับเหมือนเป็นคนจนเสียนั่น...เอ้ยย....ธรรมดาโลกที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา...  Sad .
บันทึกการเข้า
audit
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 136

« ตอบ #256 เมื่อ: 25 กุมภาพันธ์ 2551, 10:44:48 »

ขอบคุณมี่มั่กๆค้าบที่หามาต่อให้อ่าน

พี่โต้งกล้าตบเหรอ เด๋วเค้าฟ้องเงาดำแถวนี้ให้ไปครอบงำนะ หุหุ น่ากัวมะ

 :wink:
บันทึกการเข้า
หลิม 81
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,840

« ตอบ #257 เมื่อ: 25 กุมภาพันธ์ 2551, 11:05:12 »

นับถือน้าแครมครับ...เรื่องเวปโป๊..

แต่ว่าสงสัยน้าแครมเอาคอมบริษัทเล่น หรือ คอมคนอื่นแน่ ๆ เลย..ถึงต้องหาวิธีทำอย่างนี้
บันทึกการเข้า

@ ปีนี้ปีของผม @
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #258 เมื่อ: 25 กุมภาพันธ์ 2551, 19:44:37 »

โหย..ไม่มีกลัวอยู่แล้นเงาดงเงาดำอะไรกัน..ไร้สาระ..มามะ..มามะ

ส่วนเรื่องไอ้แครมมแน่นอน..มันต้องเล่นคอมพ์บริษัท..เวลาทำงาน 8 ชม. ไอ้นี่ดูเวปโป๊ประมาณ 5 ชั่วโมง..วาดการ์ตูนอีก 2 ชม. อีก 1 ชม.เข้าห้องน้ำบริษัท..
บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #259 เมื่อ: 26 กุมภาพันธ์ 2551, 08:00:20 »

สาดดดด เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด

ตาแคม  :cry:
บันทึกการเข้า
Mr.EggMan
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,826

« ตอบ #260 เมื่อ: 26 กุมภาพันธ์ 2551, 18:36:43 »

พรบ. ICT ฉบับเข้าใจง่าย ได้มาจาก Fwd. Mail ครับ
๑. เจ้าของไม่ให้เข้าระบบคอมพิวเตอร์ของเขา แล้วเราแอบเข้าไป … เจอคุก ๖ เดือน

๒. แอบไปรู้วิธีการเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของชาวบ้าน แล้วเที่ยวไปโพนทะนาให้คนอื่นรู้ … เจอคุกไม่เกินปี

๓. ข้อมูลของเขา เขาเก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ดี ๆ แล้วแอบไปล้วงของเขา … เจอคุกไม่เกิน ๒ ปี

๔. เขาส่งข้อมูลหากันผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบส่วนตั๊วส่วนตัว แล้วเราทะลึ่งไปดักจับข้อมูลของเขา … เจอคุกไม่เกิน ๓ ปี

๕. ข้อมูลของเขาอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ของเขาดี ๆ เราดันมือบอนไปโมมันซะงั้น … เจอคุกไม่เกิน ๕ ปี

๖. ระบบคอมพิวเตอร์ของชาวบ้านทำงานอยู่ดี ๆ เราดันยิง packet หรือ message หรือ virus หรือ trojan หรือ worm หรือ (โอ๊ยเยอะ) เข้าไปก่อกวนจนระบบเขาเดี้ยง … เจอคุกไม่เกิน ๕ ปี

๗. เขาไม่ได้อยากได้ข้อมูลหรืออีเมลล์จากเราเล้ย เราก็ทำตัวเป็นอีแอบเซ้าซี้ส่งให้เขาซ้ำ ๆ อยู่นั่นแหล่ะ จนทำให้เขาเบื่อหน่ายรำคาญ … เจอปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

๘. ถ้าเราทำผิดข้อ ๕. กับ ข้อ ๖. แล้วมันสร้างความพินาศใหญ่โตในระดับรากหญ้า งานนี้มีซวยแน่ เจอคุกสิบปีขึ้น

๙. ถ้าเราสร้างซอฟต์แวร์เพื่อช่วยให้ใคร ๆ ทำเรื่องแย่ ๆ ในข้อข้างบน ๆ ได้ … เจอคุกไม่เกินปีนึงเหมือนกัน

๑0. โป๊ก็โดน , โกหกก็โดน , เบนโลก็โดน , ท้าทายอำนาจรัฐก็โดน … เจอคุกไม่เกิน ๕ ปี

๑๑. ใครเป็นเจ้าของเว็บ แล้วยอมให้เกิดข้อ ๑0. โดนเหมือนกัน … เจอคุกไม่เกิน ๕ ปี

๑๒. ถ้าเราเรียกให้ชาวบ้านเข้ามาดูงานของศิลปินข้างถนน ซึ่งชอบเอารูปชาวบ้านมาตัดต่อ เตรียมใจไว้เลยมีโดน … เจอคุกไม่เกิน ๓ ปี

๑๓. เราทำผิดที่เว็บไซต์ซึ่งอยู่เมืองนอก แต่ถ้าเราเป็นคนไทย หึ ๆ อย่าคิดว่ารอด โดนแหง ๆ

๑๔. ฝรั่งทำผิดกับเรา แล้วมันอยู่เมืองนอกอีกต่างหาก เราเป็นคนไทย ก็เรียกร้องเอาผิดได้เหมือนกัน ( จริงดิ ?)

กฎหมายออกมาแล้ว ก็คงต้องระวังตัวกันให้มากขึ้นนะพวกเรา … จงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทครับ

ข้อ ๑๒ ถึงเอารูปคนอื่นมาตกแต่ง ลบชื่อเค้าออก ก็โดนนะจ๊ะ


ที่มา:
http://www.tddf.or.th/tddf/library/article.php?id=0000316&genreid=05&genre=%A1%AE%CB%C1%D2%C2
บันทึกการเข้า

jakkreepan@hotmail.com
Love is in the A...I...R......H
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #261 เมื่อ: 27 กุมภาพันธ์ 2551, 17:59:42 »

ไอ้แครมมม copy รูปโป๊และส่งต่อ..จำคุกกี่ปีครับ..
บันทึกการเข้า
หลิม 81
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,840

« ตอบ #262 เมื่อ: 28 กุมภาพันธ์ 2551, 17:41:32 »

คุกไงไม่สน...อย่ามาปิดแคมฟ็อกละกัน
บันทึกการเข้า

@ ปีนี้ปีของผม @
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #263 เมื่อ: 29 กุมภาพันธ์ 2551, 20:25:53 »

 
อ้างถึง   
ข้อสี่ คนรวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้นจะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง ในขณะที่คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริง ๆ นั้นจะมีน้อยมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินที่มีความผันผวนของราคาโดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้วมันอาจจะมีความคุ้มค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก ในอีกมุมหนึ่ง คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง &nb


ไอ้ที่เน่าเพราะตลาดหุ้น ก็มีไม่น้อยนะครับ!...คนพวกหนึ่งกลายเป็นคนรวย แต่อีกกลุ่มกลายเป็นคนล้มละลาย
โดยส่วนตัว ผมเลือกที่จะเป็นคนชั้นกลางต่อไปครับ
คนพวกหนึ่งเลือกจะเข้าถ้ำเสือเพื่อได้ลูกเสือ  แต่จะมีสักกี่คนที่ได้ลูกเสือมาเชยชม มากกว่าครึ่งหนึ่งโดนพ่อเสือแม่เสือกัดตายครับ
:?

อ้างจาก: "mmwindoo_79"
คนที่ฮึดขึ้นมาเปลี่ยนชีวิตจากหน้าเป็นหลังอันนั้นเค้าเรียกว่า บ้าบิ่น
คนที่บ้าบิ่นอาจประสบความสำเรจอย่างยิ่งใหญ่ แต่น้อยคน ที่เหลือเจ็บปวดและเหลือแต่คำปลอบใจตัวเอง
บันทึกการเข้า

...
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #264 เมื่อ: 29 กุมภาพันธ์ 2551, 20:58:04 »

 
อ้างถึง   
๑0. โป๊ก็โดน , โกหกก็โดน , เบนโลก็โดน , ท้าทายอำนาจรัฐก็โดน … เจอคุกไม่เกิน ๕ ปี

๑๑. ใครเป็นเจ้าของเว็บ แล้วยอมให้เกิดข้อ ๑0. โดนเหมือนกัน … เจอคุกไม่เกิน ๕ ปี

๑๒. ถ้าเราเรียกให้ชาวบ้านเข้ามาดูงานของศิลปินข้างถนน ซึ่งชอบเอารูปชาวบ้านมาตัดต่อ เตรียมใจไว้เลยมีโดน … เจอคุกไม่เกิน ๓ ปี

๑๓. เราทำผิดที่เว็บไซต์ซึ่งอยู่เมืองนอก แต่ถ้าเราเป็นคนไทย หึ ๆ อย่าคิดว่ารอด โดนแหง ๆ


ไม่ค่อยเชื่ออ่ะ?  ขนาดไอ่พวกทำ Manussaya.com(เวบโดนทำลายไปแล้ว) หรือพวกโพสข้อความหมิ่นสถาบัน... ตามเวบบอร์ดประชาไท หรือฟ้าเดียวกัน แต่ยังไม่เห็นมีใครโดนจับแม่งเลยสักคน :x
ดีแต่ขู่เท่านั้นแหละไอ้กร๊วก(หมายถึงไอ้เจ้าของข้อความดั้งเดิมนะ ไม่ได้หมายถึง eggman)
ถ้าผมจะโพสรูปโป๊ แล้วต้องโดนจับ...ผมจะด่ามันว่า ทำไมไม่มีปัญญาจับไอ้พวกนั้นล่ะ(พวกสัมภเวสีที่อยู่ตามเวบกบฏเหล่านั้น)
บันทึกการเข้า

...
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #265 เมื่อ: 03 มีนาคม 2551, 08:33:58 »

กฏหมายมันก้อตัวหนังสืออ่ะนะ
ขึ้นอยู่กับคนเอามาใช้

ถ้ากฏหมายถูกนำมาใช้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
ประเทศเราก้อคงไม่มีตัวเอี้ยอยู่ในทีวีร๊อก

ตาแคม  :x
บันทึกการเข้า
mmwindoo_79
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 254

« ตอบ #266 เมื่อ: 03 มีนาคม 2551, 11:53:15 »

ไอ้เอี้ยตัวนั้นใช่ป่ะ?
บันทึกการเข้า
หลิม 81
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,840

« ตอบ #267 เมื่อ: 03 มีนาคม 2551, 17:10:17 »

เอี้ยตัวไหน..เหยอ..หน้าตาเป็นไง
บันทึกการเข้า

@ ปีนี้ปีของผม @
too
ตู้ rcu85
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 1,281

เว็บไซต์
« ตอบ #268 เมื่อ: 10 มีนาคม 2551, 08:26:48 »

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ  

เรื่อง วนิษา เรซ  

คัดลอกจาก Post Today  


บางครั้งในชีวิตประจำวัน เรารู้สึกว่ามีหน้าที่หลายอย่างที่เรา “ ต้อง ” ทำ ทั้งๆ ที่ขี้เกียจแสนขี้เกียจ หรือเหนื่อยแสนเหนื่อยแล้วจากการทำงาน เช่น การล้างจาน  
การ ท่องหนังสือ การจดจ่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์ แถมพ่อแม่หลายท่านในปัจจุบันนอกจากทำงานเหนื่อยแล้วยังต้องมานั่งรับส่งลูก เรียนพิเศษเสาร์อาทิตย์อีก...เวลานั่งรอบางครั้งก็เหนื่อยจนลืมชื่นใจความ เก่งความน่ารักของลูก  

สิ่ง ของเหล่านี้ดูธรรมดาและดูเหมือนเป็น “หน้าที่” ที่เราต้องกระทำ ทั้งๆ ที่บางครั้งทำให้เราหงุดหงิดพอควรเลย...ตัวหนูดีเป็นคนเกลียดการล้างจานมาก เพราะไม่ชอบความเหนอะของคราบอาหารและความสากมือหลังจากล้างจานเสร็จ ถึงขนาดมีกฎประจำใจเลยว่าผู้ชายคนไหนจะมาขอหนูดีแต่งงาน หนูดีจะให้ล้างจานให้ดูก่อน...แถมอาจมีการเซ็นสัญญากันว่า หนูดียินดีทำอาหารทุกชนิดแต่ฝ่ายชายต้องรับอาสาเป็นผู้ล้างจาน...จนกระทั่ง วันหนึ่งหนูดีได้ไปปฏิบัติธรรมในวิถีเซน การไปอยู่วัดครั้งนั้น ทุกคนต้องล้างจานเอง...พระสอนว่า เวลาล้างจานเราต้องการอะไรจากการล้างจาน...คำตอบของพวกหนูดี คือ เราต้องการให้จานสะอาด (แหม ถามอะไรตอบง่ายอย่างนี้ ก็มันชัดเจนอยู่แล้วใช่ไหมคะ)...แต่ท่านบอกว่า ตอบผิดค่ะ ...อ้าว ถ้าไม่อยากให้จานสะอาดแล้วจะล้างไปทำไมคะ หนูดีงงมาก...ท่านตอบว่า จากนี้ไป ขอให้ล้างจานเพื่อล้างจานได้ไหม...  

ทำไม ต้อง “ล้างจานเพื่อล้างจาน” กว่าหนูดีจะเข้าใจและทำได้ก็ผ่านไปจากนั้นนานแสนนาน และทุกวันนี้หนูดีก็ยังฝึกเป็นประจำ...เคล็ดอยู่ตรงนี้เองค่ะ หากเราล้างจาน  
เพื่อ ต้องการให้จานสะอาด ก็เหมือนกับเราโยนทิ้งปัจจุบันแล้วรอให้ความสุขเกิดขึ้นในอนาคต แต่ปัจจุบันคือความทุกข์ที่ต้องอยู่กับจานสกปรก  
เราจะมีความสุขก็ต่อเมื่อจานสะอาดแล้วเท่านั้น ... สรุปว่าใช้ชีวิตแค่กับเป้าหมาย รอให้เป้าหมายเป็นผลแล้วค่อยยอมปล่อยใจให้เป็นสุข แต่หากเราเปลี่ยนมาเป็นทำใจ  
ให้ สุขในขณะล้างจาน จิตจดจ่ออยู่กับน้ำ ฟองน้ำและจาน...เป็นสุขอยู่ตรงนั้น ซึ่งหลังจากครั้งแรก พระท่านก็สอนที่สูงขึ้นไปอีกว่า จินตนาการดูสิว่า  
จาน เป็นพระพุทธรูปและเรากำลังชำระล้างท่านให้สะอาดอยู่...น่ารักมากเลยค่ะ ไม่เห็นต้องรอวันสงกรานต์แล้วค่อยสรงน้ำพระ ถ้าคิดอย่างนี้ได้ ความสุขเล็กๆ ก็เกิดขึ้นได้ตลอดวัน  

ใน การใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและมีความสุข...หนูดีคิดว่า เราต้องแยกให้ออกระหว่างวิถีและเป้าหมายก่อน ...คนส่วนใหญ่มักเอาความสุขไปผูกไว้กับ “เป้าหมาย” แต่หลงลืมว่า เวลาเกือบทั้งหมดในชีวิตอยู่ที่ “วิถี” ในการไปถึงเป้าหมายนั้น เหมือนเมื่อก่อนหนูดีตั้งเป้าไว้ว่า จะเรียนให้ได้คะแนนดีๆ ให้ได้เกียรตินิยม...และระหว่างภาคเรียนจะต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหนหนูดีไม่ มีหวั่น เพราะเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก...พอสอบเสร็จโล่งอกสบายใจ ได้เกรดดีๆ ก็ดีใจอยู่แผล็บเดียวเดี๋ยวก็เปิดเทอมอีกแล้ว...จะเป็นจะตายต่อไปอีกเทอ ม...พอมาดูจริงๆ แล้วเรียนปริญญาตรีเราจะได้เห็นเกรดตัวเองหลักๆ ก็ 8 ครั้ง โอ้โห เวลา 4 ปี จะยอมให้ตัวเองมีความสุขใหญ่ๆ แค่ 8 ครั้ง ก็ดูเป็นชีวิตที่เศร้าสร้อยไปหน่อยนะคะ  

ดัง นั้น การกลับมาปรับ “วิถี” ให้เรามีสุขขึ้นในระหว่างทางกลับทำให้ดัชนีความสุขมวลรวมของชีวิตเราพุ่ง สูงขึ้นอีกมาก เมื่อหารเฉลี่ยแล้วทั้งชีวิตเราน่าจะมีความสุขขึ้นอีกมากนะคะ ...เดี๋ยวนี้หนูดีเลยมีกฎในการใช้ชีวิตว่า “ วิถีคือเป้าหมาย ” พูดง่ายๆ ว่า การทำใจให้สุขเป็นประจำวัน มีสุขในวิถี  นั่น แหละคือเป้าหมายของหนูดี ส่วนเป้าหมายใหญ่ๆ ภายนอกก็ยังมีอยู่ค่ะ ไม่ได้ทิ้งหายไปไหน หนูดียังคงวางแผนชีวิตและมีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่เช่นเดิม...อาจจะดีกว่า เดิมด้วยซ้ำ เพราะเป้าหมายเหล่านั้นไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะตัวหนูดีคนเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่ยังรวมคนอื่นๆ ในสังคมเข้ามาอีกด้วย และหนูดีไม่รอให้“เป้าหมายสำเร็จ” แล้วค่อยเป็นสุข...ไม่มีกฎอะไรกำหนดนี่คะว่าต้องรอ ก็เลยขอเป็นสุขเรื่อยๆ ดีกว่า  

ท่าน ติช นัท ฮันท์ พูดเรื่องนี้ไว้ดีมาก...หนูดีเอามาเขียนเตือนใจตัวเองหน้าหนังสือ “ขอบคุณสรรพสิ่ง” ที่เขียนก่อนนอนเลยค่ะว่า “ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ แต่ปาฏิหาริย์คือการเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว”  หนู ดีเห็นด้วยอย่างมาก เพราะชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง “ธรรมดา” เช่น ตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน ขับรถไปทำงาน กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆ ตอนเย็นกลับมาก็เห็นหน้าภรรยาหรือสามีคนเดิมๆ ใส่ชุดธรรมดาๆ...หน้าตาเราหรือก็ธรรมดาๆ...ใช่ค่ะ เราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดาๆ มีชีวิตธรรมดาๆ กันทั้งนั้น  

แต่ ถ้าความ “ธรรมดา” นี้หมดไปล่ะคะ เช่น อยู่ดีๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือสามีเราถูกรถชนตาย หรือเราถูกไล่ออกจากงานที่เราเบื่อแสนเบื่อ...เรื่องก็จะ “ไม่ธรรมดา” ไปในทันที และในเวลานั้นเอง เราจะหวนมาคิดเสียดายความ “ธรรมดา” จนใจแทบจะขาด...หนูดีไม่ได้พูดเองเออเองนะคะ  

แต่ เพราะหนูดีอยู่ในอาชีพที่ได้เห็นความพลัดพรากสูญเสียในครอบครัวมาเยอะมาก จนเกิดเป็นกฎประจำใจเลยว่า ให้เรารีบชื่นชมกับความ “ธรรมดา” ที่เรามีและใช้ชีวิตประหนึ่งว่า สิ่งนั้นคือสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล เพราะสิ่งธรรมดาๆ แท้จริงแล้วคือ สิ่งที่พิเศษที่สุดแล้วค่ะ  
บันทึกการเข้า
Max
Hero Cmadong Member
***

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,435

« ตอบ #269 เมื่อ: 11 มีนาคม 2551, 18:48:04 »

ไม่รู้เคยอ่านรึยังนะครับ

บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #270 เมื่อ: 13 มีนาคม 2551, 07:55:09 »

เก็บเล็กผสมน้อยเอามาฝาก
มีคนเคยบอกว่า

ถ้าอยากจะทำอะไรซักอย่างให้ติดเป็นนิสัย
เช่น อยากซิทอัพทุกวันเพื่อลดหน้าท้อง
ให้อดทน และ พยายามทำติดต่อกัน 20 วัน
หลังจาก 20 วันแล้ว จะรู้สึกว่าขาดไม่ได้ ต้องทำเป็นประจำทุกวัน

แต่ถ้า เราเลิกทำอะไรไปซักอย่าง 7 วันติดต่อกัน
มันก้อจะไม่รู้สึกว่า ต้องทำทุกวันอีกแล้ว
 :wink:

และสำหรับคนขี้ลืม เช่น ปิดประตูรถ ล็อครถเสร็จ เดินไปได้สองสามก้าว
ก้อลืมไปแล้วว่า เอ... ตรู ล็อครถแล้วหรือยัง

ให้ลองทำอย่างนี้ดู
เวลาจะทำอะไรที่กลัวลืม เช่น กลัวลืมว่าจะล็อคประตูรถ
พอล็อคเสร็จ ให้ยืนจับประตูอยู่ และกำหนดจิตซักครู่
โดยกำหนดจิตว่าล็อคประตูนะ ยืนอยู่ซักพัก
ค่อยเดินออกมา

ทำแบบนี้ประจำ เท่านี้ เราก้อจะมีสติอยู่ตลอดเวลา
ว่าอะไรทำแล้ว อะไรยังไม่ได้ทำ

ลองดู
 :wink:

ตาแคม
บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #271 เมื่อ: 03 เมษายน 2551, 08:55:15 »

บทเรียนดี ๆ ของกบ...


จงพอใจในวาสนาของท่าน เรามิอาจเป็นเลิศในทุกสิ่งได้
คนไม่พอใจในตัวเองจะเป็นทุกข์ตลอดไป...

.....นานมาแล้วมีกบตัวหนึ่งอาศัยใกล้กุฎิพระ

ตอนเช้าเห็นพระบิณฑบาตได้อาหารมาอย่างสบายทุกวัน เจ้ากบก็ปรารถนา
อยากเป็นพระกับเขาบ้าง คงจะดีนะ ต่อมาเมื่อพระฉันเสร็จก็เอาข้าวสุกโปรยให้ไก่กิน
เจ้ากบก็คิด เป็นไก่ดีกว่าไม่ต้องออกแรงเลย ไม่อยากเป็นพระอีกแล้ว ขณะนั้นเอง
หมาตัวหนึ่งแย่งไก่กินอาหาร ไก่กลัวหมามากจึงหนีเอาตัวรอดอย่างน่าอนาถ เจ้ากบก็คิด
เป็นหมาดีกว่าดูเป็นวีรบุรุษดี ไม่อยากเป็นไก่แล้ว มีชายคนหนึ่งเห็นเข้าจึงเอาไม้ไล่ตีหมา
จนหมาวิ่งหนีร้องลั่นไป เจ้ากบจึงคิดว่าทำไมเราไม่เกิดเป็นคนหนอ สามารถขับไล่หมาไปได้
จากนั้นเอง ชายผู้นี้ ก็มานั่งริมสระน้ำ แล้วเจ้าแมลงวันก็บินมาตอมจนชายผู้นั้นรำคาญ
และลุกหนี พร้อมบ่นว่า "รำคาญแมลงวันจริงโว้ย" เจ้ากบได้ยินเสียงดังนั้น ก็นึกคิดว่า
เกิดเป็นแมลงวันดีกว่านะ เพราะเก่งมากจนทำให้คนรำคาญได้ บังเอิญแมลงวันบินมาเกาะ
ที่จมูก มันจึงแลบลิ้นแผลบกินแมลงวัน เจ้ากบจึงค้นพบสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ ว่า
เป็นอะไรก็ไม่ดีเท่าตัวเราเอง ความทุกข์จึงเกิดจากความไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่
"เราแทบไม่คิดว่า เรามีอะไรบ้าง แต่เราคิดเพียงว่า เราขาดอะไรบ้างเท่านั้น"

ฉันเป็นกบ อบ...อบ ในกะลา
ภูมิใจว่าตัวเองช่างยิ่งใหญ่
มาวันหนึ่งแล้วกะลาก็พลิกไป
ความภูมิใจสลายลงในพลิบตา
จากที่เคยคิดว่าตัวช่างยิ่งใหญ่
หลงภูมิใจอย่างโง่เขลาเบาปัญญา
แท้ที่จริงโลกนี้กว้างยิ่งกว่า
ทั่วโลกาหาใครใหญ่จริงไม่

ที่มา: Forwarded Mail

ตาแคม  :arrow:
บันทึกการเข้า
audit
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 136

« ตอบ #272 เมื่อ: 03 เมษายน 2551, 11:31:50 »

เรื่องดีๆจาก Fw mail ที่น่าอ่าน
ถึงจะยาวหน่อย แต่ดีจริงๆนะ

 
อ้างถึง   
อายุ 28 ทำงานมา 3 ปี ย้ายงานมา 6 บริษัท

 

จบวิศวะ เครื่องกล พระจอมเกล้า พระนครเหนือ ตอนนี้อายุ 28 ทำงานมา 3 ปี ย้ายงานมา ทั้งหมดก็ 6 บริษัท เสต็ปเงินเดือนนะครับ

-         8,000 โรงงานคนไทย (Design Engineer) สิบเดือน

-         15,500 บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น (Design Engineer) สี่เดือน เลื่อนตำแหน่งไปหนึ่งครั้ง

-         30,000 บริษัทฝรั่ง A (Design Engineer) หนึ่งปีเงินเดือนขึ้นสองรอบ

-         35,000 โรงงานฝรั่ง (Design Engineer) สามเดือน

-         40,000 บริษัทฝรั่ง B (Project Engineer) สี่เดือน เลื่อนตำแหน่งไปหนึ่งครั้ง

-         6x,xxx บริษัทฝรั่ง C (Project Engineer) สามเดือน

-         1xx,xxx บริษัทฝรั่ง C (Project Manager) เพิ่งเลื่อนตำแหน่งเมื่อวาน

 

อยากจะบอกว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เวลาที่ทำงาน จะต้องคอยสังเกตและศึกษาอยู่ตลอดว่า งานที่เรารับมาทำนั้น มันมาจากไหน มาจากใคร และ ไปไหนต่อ ไปยังไง ใครตรวจสอบ เพื่อดูว่าตำแหน่งที่สูงกว่าเรานั้น เค้ารับผิดชอบเรื่องอะไร พยายามเรียนรู้ให้ได้ว่าเรายังขาดอะไรอีกในการเลื่อนตำแหน่ง มันไม่ยากอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจนะครับ

 

เหมือนคนจีนว่า อย่าถามว่าเมื่อไรจึงจะได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ให้ถามว่า หากได้เลื่อนตำแหน่งวันนี้ เรามีความสามารถพร้อมกับตำแหน่งนั้นๆ หรือยัง

 

ผมเองก็ทำตามที่กล่าวมาข้างต้น พอมีโอกาสให้รีบเสนอตัวทันทีไม่ต้องรอ ถ้าคิดว่าพร้อม โดยส่วนมากจะได้ตามที่เสนอ แต่ต้องย้ำว่าพร้อมจริงๆ นะครับ

 

คิดว่าคงเป็นประโยชน์บ้างนะครับ สำหรับคนจบใหม่ หรือ กำลังทำงานอยู่

 

อธิบายเพิ่มเติมให้แล้วกันนะครับ เผื่อเป็นแนวทาง

 

-         8,000 โรงงานคนไทย (Design Engineer) สิบเดือน
อันนี้ไม่มีอะไร ปรกติ เพิ่งจบ กำลังเรียนรู้ระบบ ลาออกเพราะเงินเดือนน้อย

-         15,500 บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น (Design Engineer) สี่เดือน เลื่อนตำแหน่งไปหนึ่งครั้ง
เดินเข้าไปคุยกับญี่ปุ่น ว่าผมทำงานตำแหน่ง senior design engineer ได้ เพราะว่าพร้อม และอธิบายเค้าว่า พร้อมยังไง เค้าก็โอเค ลาออกเพราะได้ที่ใหม่ เงินเดือนเยอะกว่า ที่สำคัญ เป็นบริษัทฝรั่ง

-         30,000 บริษัทฝรั่ง A (Design Engineer) หนึ่งปีเงินเดือนขึ้นสองรอบ
ขึ้นรอบแรกตอนผ่านโปรสามเดือน หลังจากนั้นอีกหกเดือนเงินเดือนขึ้นอีกรอบ เพราะว่า เดินเข้าไปคุยกับหัวหน้า เสนอตัวเองรับหน้าที่เพิ่มเติมจาก job description และอธิบายอีกครั้งว่าพร้อมยังไง เค้าก็โอเค ลาออกเพราะหัวหน้างานเริ่มงี่เง่ามาก ทนไม่ไหว

-         35,000 โรงงานฝรั่ง (Design Engineer) สามเดือน
อันนี้ปรกติ ออกเพราะว่ามันไกลบ้านมาก เดินทางไม่ไหว

-         40,000 บริษัทฝรั่ง B (Project Engineer) สี่เดือน เลื่อนตำแหน่งไปหนึ่งครั้ง
อันนี้เข้ามาเป็นตำแหน่งใหม่เป็นครั้งแรก หลังจากทำงานในตำแหน่ง design engineer มาหลายที่แล้ว เลยสมัครเป็น project engineer เพื่อดูภาพรวมของ project หลังจากนั้น บังเอิญที่บริษัทมี project นึง ที่ติดค้างส่งมอบให้ลูกค้ามานานมาก และไม่มีใครอยากรับไปทำต่อ ลูกค้าโกรธมากๆ ผมก็เลยเสนอตัวเองรับงานนี้ไปดู พร้อมกับข้อเสนอ (ตำแหน่งใหม่ เป็น Project manager แต่เงินเดือนเท่าเดิม เพราะว่าต้องการ referent ในตำแหน่ง project manager ไว้หางานใหม่)
ลาออกเพราะว่าหัวหน้าเป็นฝรั่ง ลูกค้าเป็นคนไทย ลูกน้องก็เป็นคนไทย น่าเบื่อมาก

-         6x,xxx บริษัทฝรั่ง C (Project Engineer) สามเดือน
งานที่นี่มันส์มาก ลุยกันสุดๆ ลูกค้าส่วนากอยู่ที่ต่างประเทศ ต้องเดินทางไปประกอบและติดตั้ง setup โรงงานตามไซด์งานต่างๆ

-         1xx,xxx บริษัทฝรั่ง C (Project Manager) เพิ่งเลื่อนตำแหน่งเมื่อวาน
และเช่นเคย มีงานใหม่เข้ามา project ใหญ่พอสมควร แต่ว่างานล้นมือกันทุกคน PM ที่มีอยู่ก็ติดงานอื่น เลยคุยกับเจ้าของบริษัท บอกว่าเราทำได้ ขอทำ เค้าก็คุยกับ PM ที่เหลือ ทุกคน OK ก็เลยเพิ่งเลื่อนนี่แหละครับ

 

คนไม่เชื่อทำยังไงก็ไม่เชื่อ ลองมองดูรอบๆ ที่ทำงานสิครับ เห็นคนอายุน้อยตำแหน่งสูงบ้างมั้ย ลองไปถามดูสิครับว่าเค้าทำยังไง ดีกว่าคอยนั่งนินทา แล้วก็อิจฉาเค้าไปวันๆ

 

ที่ผมอยู่ที่แรก เงินเดือน 8,000 ได้ตั้งปี เพราะว่าผมได้ทำงานอยู่ในห้องเดียวกับผู้จัดการโรงงาน เห็นเค้าว่างเมื่อไรผมถามแหลก ว่าแกขึ้นตำแหน่งนี้มาได้ยังไง ต้องรู้อะไรบ้าง บุคลิคจำเป็นมั้ย บลา บลา บลา แล้วสุดท้ายผมก็ได้แกเป็นต้นแบบ ทำตามที่แกแนะนำทุกอย่าง ทุกวันนี้ยังโทรคุยกับแกอยู่แลยครับ

 

ที่บริษัทญี่ปุ่นนั้น เสต็ปมันจะไม่เหมือนกันครับ ผมทำได้สองเดือนแรก ผมยื่นใบลาออก ทนไม่ไหว กลับดึกเงินเดือนน้อย ตามสไตล์ญี่ปุ่น หัวหน้าคนไทยกับคนญี่ปุ่นเรียกมาคุยบอกว่าไม่อยากให้ออก ยูทำงานเร็วมาก ผมบอกไอ้คนที่เข้ามาพร้อมกัน มันทำช้า ไม่เห็นใครว่าไร เงินเดือนเท่ากัน ไม่แฟร์ เค้าบอกทนๆไปก่อนเดี๋ยวสิ้นปีจะเลื่อนให้เป็น senior เค้าจะ support ให้ ผมบอกไม่ไหว นานไป ก็เลยถามเค้า senior เงินเดือนเท่าไร เค้าบอกมา ผมก็ว่าใช้ได้ 2x,xxx ก็เลยถามเค้าว่า senior ต้องทำอะไรได้บ้าง เขียนมาเลยเป็นข้อๆ แล้วผมจะรีบศึกษา ถ้าทำได้ตามนี้เมื่อไร ยูต้องปรับไอขึ้นนะ เค้าโอเค หลังจากนั้น หัวหน้าญี่ปุ่นเค้าก็เริมโยนงานของ senior มาให้ทำมากขึ้นเรื่อยๆ ครบสองเดือนก็เลื่อนครับ แต่พอดีที่ใหม่เค้ายื่นมา 30,000 เลยออกทันทีเลยครับ ผมถือว่าทำงานเพื่อเงิน เวลาของผมมีค่าที่สุด เรื่องความภักดีต่อองค์กรมันก็ส่วนหนึ่ง แต่ผมเลือกเงินไว้ก่อน เป็นฐานเงินเดือนดีกว่า

 

วิศวกรหลายๆ คนคงรู้ว่า เวลาหางานใหม่ ขอเงินเดือนเยอะไม่ได้ มันติดฐานเงินเดือนเก่า ใช่มั้ยครับ นั่นแหละครับ เหตุผลที่ผมเปลี่ยนงานบ่อยๆ

 

งานที่สุดท้ายเป็นลักษณะงานแบบเป็น Project ๆ ไป แล้วแต่ลูกค้า ส่วนมากจะอยู่ที่ต่างประเทศ ระยะเวลาก็แตกต่างกันออกไป มีตั้งแต่ 4 เดือน ถึง 1 ปี คนที่คุมงานโดยรวม Project Manager ท่านอื่นๆ ก็จะรับงานไปดูแลส่วนมากไม่เกิน 3 งาน ในเวลาเดียวกัน ทีนี้ โดยนิสัยฝรั่ง ถ้าเรากล้าขอ มันก็กล้าให้ (ถ้าไม่เสี่ยงมาก) ถ้าทำได้ก็ทำต่อไป ถ้าขอแล้วทำไม่ได้ อันนี้ลาออกสถานเดียวนะครับ พอดีจังหวะงานใหม่ที่เข้ามา ผมเป็นคนไปประชุมพร้อมกับเจ้าของมาแล้วหลายๆ ครั้ง รู้ที่มาที่ไปเกือบทั้งหมด

 

งานในส่วนที่ผมรับผิดชอบมันเริ่มล้าช้า ผมเลยถามว่าทำไมช้อมูลมันมาช้า ผมทำงานต่อไม่ได้ เจ้าของก็บอกว่าคนอื่นๆ เค้างานยุ่งกันหมด ไม่มีใครรับเป็นเจ้าภาพงานนี้เลย ผมเลยกลับมาคิด ดูรอบๆ ด้านแล้วน่าจะเอาอยู่ เลยเข้าไปคุยกับเจ้าของ อธิบายว่า ถ้าให้เราคุม เราจะทำอย่างไร ขั้นตอน แผนงาน เป็นยังไง เค้าขอเวลาคุยกับ Project Manager ท่านอื่นๆ ก่อน (มีอีก 2 คน) ระหว่างนั้นผมก็รีบโทรหาทั้งสองท่านทันที บอกเค้าว่าเราทำได้ อยากให้ช่วยสนับสนุนหน่อย ทั้งสองท่านก็บอกว่ามันเหนื่อยนะ แต่ถ้ายูอยากลอง ไอคิดว่ายูพอได้ แล้วเจ้าของเค้าก็บอกว่าโอเค ลุยได้เลย แล้วก็ยื่นเงินเดือนใหม่มาให้ เท่านี้อ่ะครับ ตอนนี้ก็เหนื่อยเหมือนกัน ใครทำงานกับฝรั่ง ลองดูก็ได้ครับ

 

มีอยู่คนนึง ผมนั่งสัมภาษณ์เค้าเข้าทำงาน นั่งกับ PM อีกคน คุยไปคุยมา พอถามเรื่องเงินเดือน พี่แกหันมาพูดไทยกับผมเฉยเลย ถามว่าผมได้เท่าไร ประมาณว่า กะว่าฝรั่งมันคงฟังไทยไม่รู้เรื่องมั้ง ผมก็บอก คุณอยากได้เท่าไรล่ะครับ ว่ามาเลย เค้าก็ย้ำอีก ถามว่าผมได้เท่าไรล่ะ กะว่าจะได้เรียกให้ใกล้เคียงกันมั้ง เลยบอกเค้าว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมให้คุณ 1 ล้าน คุณเอามั้ย เค้าบอกเอาครับ พี่ล้อเล่นรึเปล่า ผมบอกเปล่า พูดจริงๆ แต่ต้องตอบคำถามพี่ข้อนึงนะ เค้าบอก ถามมาเลยครับ ผมถาม "ไหนลองอธิบายให้ฟังหน่อยว่า คุณจะทำเงินให้บริษัท มากกว่าเดือนละ 1 ล้าน ได้ยังไง" เค้าบอก งั้นผมขอเงินเดือน 17,000 พอคับ ผมเข้าใจแล้ว

 

ผมทำ EPCM ครับ แนวปรึกษา, ออกแบบ, วางระบบ, สร้าง, Setup ระบบ เกี่ยวกับ Gas ทุกชนิด เพื่อปั่นไฟฟ้าตามไซด์งานลูกค้าครับ

 

แถมให้หน่อย เจ้าของบริษัทเค้าเคยบอกผมว่า คุณรู้มั้ย มืออาชีพต่างกับมือสมัครเล่นตรงไหน?

ผมบอกไม่รู้ครับ

เค้าบอกว่า มือสมัครเล่นจะทำงานไม่สำเร็จแม้ว่าเค้าอยากจะทำงานนั้นมากแค่ไหนก็ตาม และมีเหตุผลร้อยพันว่าทำไมมันถึงไม่สำเร็จ ส่วนมืออาชีพนั้นจะทำงานสำเร็จเสมอ แม้ว่าเค้าจะไม่อยากทำงานนั้นๆ เลยก็ตาม ไม่ว่าจะเบื่อหน่าย เหนื่อย ใดๆ ก็ตามแต่ งานจะเสร็จเสมอ แม้ว่าบางครั้งเค้าก็บอกเหตุผลไม่ได้เหมือนกัน

 

น่าจะมีประโยชน์ครับ เอามาแชร์

 

ตอนทำงานที่แรก (8,000)

จริงๆ แล้วเป็นบริษัทคนไทยร่วมทุนกับญี่ปุ่น เพื่อผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ส่งให้กับโรงประกอบรถยนต์ยี่ห้อต่างๆ มีตั้งแต่ อีซูซุ ไปถึง เบนซ์ เยอะแยะไปหมด แต่ว่าที่โรงงานนี้เค้าเน้นการสร้างเครื่องจักรใช้เองมากกว่าซื้อมาจากต่างประเทศ เพราะมันแพงมาก ผมเองเข้ามารับหน้าที่ตรงนี้ครับ แต่น แตน แต้น "ออกแบบเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต" ว่าแล้วทั่นหัวหน้าก็โยนชิ้นงานมาให้ดู เป็นตัวอย่างจากลูกค้า เราต้องผลิต xx,xxx ชิ้นต่อเดือน ออกแบบเครื่องให้หน่อย ให้เวลา 1 เดือน เอาล่ะสิครับทั่น ความระทึกมาเยือน เพราะต้องทำคนเดียว วิศวกรท่านอื่นๆ ก็ออกแบบเครื่องของแต่ละคน แยกจากกัน ไม่ได้ทำงานกันเป็นทีม ประมาณว่า All in one เหมือนรีจอยส์ น่ะครับ ฮา

 

ก่อนอื่น ก็ไปนั่งอ่านแคทตาลอกอุปกรณ์ไฟฟ้า เซ็นเซอร์ นิวเมติกส์ และอื่นๆ 2 วันเต็มๆ ในห้องเก็บเอกสาร เพื่อดูว่าโลกนี้เค้าใช้อะไรกันมั่ง ตอนนั้นรู้น้อยมากครับ อาศัยอ่านแคทตาลอกเอา รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้บ้าง อ่านๆ ไปก่อน ฮา หลังจากนั้น ก็มานั่งบ้าอยู่คนเดียวในห้องประชุม เขียนไวท์บอร์ดไปเรื่อยๆ ว่าเครื่องมันหน้าตาควรจะเป็นยังไง จนได้ข้อสรุปที่คิดว่า นี่แหละ คำตอบสุดท้าย (Conceptual Design) เพื่อสรุปให้หัวหน้าเค้าฟังก่อนเริ่มลงมือทำ ต่อมาก็คือขั้นตอนการออกแบบรายละเอียดของตัวเครื่องในแต่ละชิ้น ขั้นตอนนี้หินที่สุด ปวดหัวมาก เพราะโจทย์มันครอบจักรวาล

 

เครื่องนี้จะต้อง

-         ราคาไม่แพง

-         ทำงานได้ดี

-         ทนทาน

-         ปลอดภัย

-         ดูแลรักษาง่าย

-         ประกอบง่าย

-         มีความรวดเร้วในการทำงานสูง

-         ประหยัดเนื้อที่ (ขนาดเล็ก) เพื่อไม่ให้เปลืองพื้นที่ในไลน์การผลิต

-         และ อื่นๆ อีกมากมาย

เอาล่ะสิครับ หัวฟูเลย คิดแล้วคิดอีก เพราะว่ามันต้องตอบโจทย์ทั้งหมดในเวลาเดียวกัน คิดอยู่สองวัน งานไม่เดิน จนทนไม่ไหว ขอลาช่วงเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อกลับสถาบัน เตรง เตร่ง เตร๊ง (ลิเกไปมั้ยวะเนี่ย)

 

พอเจอทั่นอาจารย์ที่เคารพ (อ.ที่ปรึกษา) ก็เค้าไปคุยเพื่อขอคำชี้แนะ ผมก็เล่าให้ท่านฟังว่าเราไปไม่ถูก ตัวแปรมันเยอะเกิน คิดพร้อมกันมันปวดหัว ไปไม่เป็นเลยครับทั่น อาจารย์ท่านก็หัวเราะ แล้วก็ส่ายหัว (เราก็นึกในใจ สงสัยเราจะโง่มากเลยใช่มั้ยครับ) แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ช้าๆ ว่า

 

"คุณรู้มั้ยว่า textbook ที่คุณเรียนน่ะ ไอ้ที่มันหนาๆ เป็นร้อยๆ หน้าอ่ะนะ เวลาเค้าเขียนขึ้นมาเค้าเขียนยังไง"

ผมตอบทันควันด้วยความมั่นใจ "ไม่ทราบครับ"

ท่านกล่าวต่อ (ประโยคอมตะสำหรับผมเลยครับ จะจำจนวันตาย) "เวลาเค้าเขียนน่ะ เค้าเขียนทีละตัวอักษร ทีละตัว ทีละตัว จนเป็นคำ"

"จากคำ เป็นประโยค เป็นย่อหน้า เป็นหน้า หลายๆ หน้า ก็เป็นเล่ม"

"คุณกำลังทำอะไรอยู่ เขียนทีละคำ หรือเขียนทีละเล่ม?"

 

วาบ วาบ แปล๊บ แปล๊บ (เอ็ฟเฟ็กส์) เหมือนมีแสงวาบๆ ในหัวทันที มันโล่งบอกไม่ถูก พูดแล้วน้ำตาซึม เรามีอาจารย์ดีอย่างนี้ เป็นบุญจริงๆ แล้วท่านก็กล่าวต่อว่า "เราเป็นวิศวกรแล้วนะ วิศวกรที่ดี จะต้องไม่ทำอะไรที่ดูแล้ว ไม่ฉลาด เข้าใจมั้ย" หลังจากนั้นมาก็ลื่นเลยคับ คิดทีละเรื่อง อย่างอื่นช่างมัน ดูน็อตทีละตัว ค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ แก้ไขปรับแต่งไปเรื่อยๆ ไม่เครียดแล้วคราวนี้รู้สึกสนุกมาก เครื่องเสร็จเรียบร้อย ทำงานได้ดี ไม่มีปัญหา คิดว่าคำสอนของท่านอาจารย์ผมน่าจะมีประโยชน์กับหลายๆ คน

 

เล่าสู่กันฟังครับ

 

กระผมเองมีจุดประสงค์ที่จะแบ่งปันประสบการณ์ผ่านพบมากับตัวเอง แน่นอนว่า พื้นฐานของแต่ละคน เติบโตมาไม่เหมือนกัน ผมเองนั้น ทำงานที่บริษัทใหญ่ๆ มาแค่สองที่แรกเท่านั้นเองครับ ที่เหลือเป็นบริษัทขนาดกลาง ถึงเล็กด้วยซ้ำ เพราะผมรู้ว่า บริษัทใหญ่ มันเงินเดือนน้อย โตยาก (จากที่กล่าวไปข้างบนแล้ว) ผมรู้สึกว่ามันช้าไม่ทันใจ เลยออกมาเข้าบริษัทเล็กๆ ดีกว่า เริ่มตั้งแต่บริษัทที่สาม ที่ทำงานมา ถึงรู้ว่า บริษัทเล็กๆ นั้น ส่วนมากไม่ค่อยมี HR หรอกครับ คนที่สัมภาษณ์เรา เป็นหัวหน้าเราโดยตรง ไม่ก็เจ้าของบริษัทเลย ดังนั้น คนเหล่านี้จะไม่เหมือน HR ที่มานั่งดูว่าคุณเคยทำอะไรมา แต่คนเหล่านี้จะถามซ้ำไป-ซ้ำมา ว่าคุณทำอะไรได้บ้างนับจากนี้เป็นต้นไป ถ้าตอบคำถามเหล่านี้ได้ พร้อมกับสร้างความมั่นใจในเชิงบวกได้แล้ว เงินเดือนที่เราเรียกร้องย่อมเป็นไปได้ ตราบเท่าที่ยังอยู่ในจุดคุ้มของบริษัท ผมย้ำไว้ข้างบนสุดละ หลายๆ ทีว่า ต้องพร้อมจริงๆ ถึงจะทำได้

 

ความพร้อมที่ว่านี้ หมายถึงความพร้อมที่จะรับทั้งผิด และ ชอบ ต้องยอมรับงานที่หนัก กดดัน เหมือนขึ้นที่สูง และพร้อมยอมรับ ถ้าถูกไล่ออกเมื่อทำไม่ได้ (แน่นอนว่า บริษัทใหญ่ๆ จะใช้ระบบเป็นตัวรับผิดชอบแทน คุณไม่ต้องมารับความเสี่ยงตรงนี้ ดังนั้น การอยู่บริษัทใหญ่ๆ จะมั่นคงกว่า) ใครก็ตามที่คิดจะเลียนแบบวิธีการของผม ผมกลับคิดว่ามันเป็นประโยชน์ต่อบริษัทที่เค้า/เธอ ทำงานอยู่ ณ. ปัจจุบันนี้ซะอีก เพราะนั่นหมายความว่า เขา/เธอ เหล่านั้น จะไม่ทำงานแบบซังกะตายอีกต่อไป หากแต่จะรีบทำงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนอย่างรวดเร็ว เพื่อจะได้มีเวลาเหลือสำหรับการของานที่นอกเหนือหน้าที่ตนเองมาทำ เพื่อศึกษามัน ย่อมส่งผลให้ประสิทธิถาพการทำงานของเขา/เธอ สูงขึ้น ขณะเดียวกัน หลังเลิกงาน กลับไปที่บ้าน แทนที่จะไปนั่งดูละคร หรืออะไรก็ตาม ที่มันไร้สาระ กลับใช้เวลาที่ยังพอมีก่อนนอนมานั่งศึกษา หาหาความรู้ใส่ตัว เพื่อทำให้ตัวเองพร้อมมากที่สุด สำหรับตำแหน่ง - เงินเดือน ที่ต้องการ

 

ในที่ทำงาน เมื่อเจอเจ้านาย/หัวหน้า/ลูกค้า/เพื่อนร่วมงาน งี่เง่า เขา/เธอ จะไม่บ่นหรืออารมย์เสียอีกต่อไป หากแต่จะคิดทันทีว่า เมื่อใดที่เธอได้ทำงานในตำแหน่ง-เงินเดือน (ที่วางเป้าหมายไว้) เขา/เธอ จะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร

 

เสต็ปถัดไป

เขา/เธอ เริ่มศึกษาหาโอกาสทันที โดยไม่ต้องรอให้ใครมาสั่ง เริ่มมาดูโครงสร้างบริษัท รายได้ รายจ่าย รายชื่อลูกค้า กำไรต่อปี นโยบาย ภาพรวมตลาด เมื่อ เขา/เธอ พร้อมแล้วที่จะท้าลองก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้น ความมั่นใจตรงนี้มาจากการทำการบ้านมาดี ว่าแล้วก็เริ่มคิดแผนการณ์ อัพตัวเองทันที บ้างก็วางแผนจะเสนอตัวเป็นหัวหน้าแผนกใหม่ บ้างก็เสนอให้บริษัทเจาะตลาดใหม่ๆ โดยให้ เขา/เธอ เป็นหัวหน้าทีมบุกเบิก บ้างก็รอจังหวะงานเข้ามากๆ แล้วรีบเข้าไปเสนอตัว บ้างก็เสนอตัวเข้าแก้ปัญหาที่เรื้อรังมานานขององค์กร เมื่อโอกาสมาถึง + ดวงสักเล็กน้อย ย่อมเป็นไปได้ครับ

 

ผมไม่เห็นมันจะเสียหายตรงไหน ที่จะเสี่ยง ถึงแม้มันไม่ได้ตามที่ เขา/เธอ คาดหวัง แต่อย่างน้อย มันก็ทำให้ เขา/เธอ พร้อมมากขึ้นในการยื่นข้อเสนอครั้งต่อไป ในเมื่อคนเรามีเวลาจำกัด ทำงานไม่กี่ปีก็แก่ ผมเห็นว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ เลยมาแบ่งปัน

 

หลายๆ คนที่เข้ามาอ่าน อาจจะพร้อมมากกว่าผมก็ได้ แต่ไม่มีเส้นสาย หรือไม่กล้าเข้าไปคุย ผมก็แนะนำ หรือบางคนทำงานไปแกนๆ งั้นๆ สิ้นปีก็มานั่งบ่น เงินเดือนน้อย โบนัสน้อย ผมก็แนะนำ ให้แก้ปัญหาให้ตรงจุด

บันทึกการเข้า
Max
Hero Cmadong Member
***

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,435

« ตอบ #273 เมื่อ: 03 เมษายน 2551, 11:56:36 »

ดีครับน้องออดิท

อ่านแล้วเป็นกำลังใจได้มากทีเดียวครับ
บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #274 เมื่อ: 18 เมษายน 2551, 12:19:53 »

1900 222 200
บริจาค 9 บาทได้ไหม เพื่อผู้ป่วยโรคเอดส์ทุกคน ให้วัดพระพุทบาตรน้ำพุ
สายทานบารมี

จะใช้บริจาคได้กับโทรศัพท์ทุกระบบยกเว้นฮัทช์
สำหรับท่านที่โทรจากโทรศัพท์พื้นฐานของ TOT จะได้บริจาคให้กับทางวัด 9 บาทเต็มๆ
แต่ถ้าเป็นระบบอื่นไม่ว่าจะจากมือถือหรืออะไรก็ตามทาง 1900 จะให้วัดพระบาทน้ำพุ 7.50 บาท

เวลาโทรไป เค้าจะบอกให้กด 1 เพื่อยืนยันการบริจาค

ทดสอบแล้วครับ
กดกันเรื่อยๆ บ่อยๆ ก้อได้นะ

ตาแคม  Cool
บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 ... 29  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><