22 พฤศจิกายน 2567, 22:32:03
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 2 [3] 4  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องการฝึกตันเถียนโยคะ โดย ..พี่สิงห์  (อ่าน 55389 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ดร.มนตรี
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,540

« ตอบ #50 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2553, 18:45:08 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 22 ตุลาคม 2553, 14:30:42
ยายตู่ - ดร.มนตรี
มาวิจารณ์ทำไมท่าโยคะ พี่สิงห์ทำได้หมดทุกท่า  เนื้อหาที่พี่สิงห์โพสต์ต่างหาก น่าสนใจกว่า

อ่านจบแล้วครับ น่าสนใจ และได้ประโยชน์จริงๆ ครับ

ขอบคุณพี่สิงห์ และพี่ขุน มากครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #51 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2553, 20:49:41 »

สวัสดีครับ คุณน้องมีนา
                         พี่สิงห์ไม่ได้เอามาจากหนังสือ มีขายหรือไม่ไม่ทราบครับ รำกระบอง 12 ท่าพี่สิงห์เรียนมาจาก "โครงการซ่อมสร้างสุขภาพที่โรงพยาบาลจอมทอง เชียงใหม่" พยาบาลสอนให้ทำ แทนการเต้นแอโรบิค เพราะการเต้นแอโรบิค ต้องการลดน้ำหนัก แต่ข้อเข่าเสื่อมครับ เหมาะสำหรับวัยรุ่น  ผู้สูงอายุแนะนำให้รำกระบองของป้าบุญมี  ได้ผลเหมือนกันดังที่ท่านขุนบรรยายสรรพคุณมา
                          ส่วนภาพนั้น จริงๆ พี่สิงห์มีภาพของป้าบุญมี รำกระบอง แต่ทางพนังงานปูนซิเมนต์ไทยทุ่งสง  ขอยืมไปยังไม่ส่งคืน ก็เลยหาภาพได้จากทางเวบที่ท่านขุนโพสต์ ครับ ทีแรกตั้งใจจะรำด้วยตัวเอง แต่ติดขัดที่ยังหาช่างภาพไม่ได้ และตอนนี้คอระบมมาก ขอพักครับ
                          ส่วนเนื้อหาอื่นๆที่เขียนนั้น เขียนเองตามสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวพี่สิงห์ และบุคคลใกล้ตัวต่างๆ ที่เป็นโรค เพื่อหาทางแก้ ทำอย่างไร?จะอยู่อย่างไร้โรค  โดยพี่สิงห์เอาตัวเองเป็นหนูตะเภา ทดลอง ก็เขียนขึ้นมาเอาไว้ไปสอนทุกท่านที่หยากอยู่อย่างไร้โรค ให้เข้าใจก่อน จึงจะสอนโยคะและรำมวยจีนให้ เพราะเราต้องเป็นหมอดูแลตัวเราให้ได้ก่อนที่จะเจ็บป่วย
                          นอกจากนี้ข้อมูลบางส่วนได้จากการฟังรายการ "พลังชีวิต" ของคุณอำมร  บรรจง ทางคลื่น FM100.5 คลื่นข่าว Net work เวลา 05:00-06:00 น. ครับ
                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #52 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2553, 20:56:03 »

สวัสดีครับท่านขุน
                          หายไปหลายวันกลับมาอ่านคงงง  เพราะพี่สิงห์เอาอะไรมาใส่เสียมากมาย และขอขอบคุณที่อุตส่าห์ไปตามหาทางเวบมูลนิธิแพทย์แผนไทย นำข้อมูลที่ป้าบุญมีค้นพบ ทำประสพผลสำเร็จกับตัวเอง เอามาเผยแพร่ให้ทุกท่านได้ทำตามเพื่อสุขภาพที่ดี  ไม่ต้องลงทุนมาก เพียงมีเวลาหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งปกติผู้สูงอายุ มีเวลาอยู่แล้ว  เพียงแต่ใจมันไม่หยากทำเท่านั้นครับ
                          พี่สิงห์หวังว่าใครผ่านมาทางนี้ได้อ่านตั้งแต่หน้าแรกจนจบหน้าที่สอง คงมีใจหยากจะดูแลตัวเองบ้างครับ
                          เอาไว้พี่สิงห์นัดคุณอดิสร  ได้ จะนำภาพการทำโยคะ  TAICHI รำกระบอง ด้วยตัวของพี่สิงห์มาลงให้ครับ
                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #53 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2553, 20:59:54 »

สวัสดีครับ ดร.มนตรี
                          พี่สิงห์หวังว่าสิ่งที่พี่สิงห์เขียนไว้นั้นจะมีประโยชน์นะครับ นั่นคือ สิ่งที่พี่สิงห์ได้จากการกระทำกับตัวของพี่สิงห์เอง และนำไปเผยแพร่ต่อให้กับองค์กร ต่างๆ ฟรี ก่อนที่จะสอนโยคะ และ TAI  CHI ให้ครับ
                          เอกสารต่างๆ พวกนี้พี่สิงห์แจกไปเป็นพันชุดแล้วครับ ทำด้วยใจรักที่จะเห็นผู้อื่นมีสุขภาพที่ดี ไปอบรมให้มาแล้วหลายที่ครับ
                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
ดร.มนตรี
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,540

« ตอบ #54 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2553, 21:46:41 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 24 ตุลาคม 2553, 20:59:54
สวัสดีครับ ดร.มนตรี
                          พี่สิงห์หวังว่าสิ่งที่พี่สิงห์เขียนไว้นั้นจะมีประโยชน์นะครับ นั่นคือ สิ่งที่พี่สิงห์ได้จากการกระทำกับตัวของพี่สิงห์เอง และนำไปเผยแพร่ต่อให้กับองค์กร ต่างๆ ฟรี ก่อนที่จะสอนโยคะ และ TAI  CHI ให้ครับ
                          เอกสารต่างๆ พวกนี้พี่สิงห์แจกไปเป็นพันชุดแล้วครับ ทำด้วยใจรักที่จะเห็นผู้อื่นมีสุขภาพที่ดี ไปอบรมให้มาแล้วหลายที่ครับ
                          สวัสดี

ผมยังจำได้เลย ตอนไปลาว พี่สิงห์ทักว่าให้ผมดูแลสุขภาพ เพราะมีพุงแล้ว ... กลับมาผมฟิตเนส ซะพุงหาย ตอนนี้ร่างกายเฟิร์มมากครับ ...

จะลองจัดโปรแกรมเล่นโยคะ ดูบ้างนะครับ ได้ผลอย่างไร จะมาเรียนให้ทราบครับ

อ้อ ... พี่ิสิงห์ครับ ลูกชายผมฝากผม ให้เรียน ลุงสิงห์รักษาสุขภาพ ด้วยนะครับ ...








      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #55 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2553, 08:31:15 »

วิธีเจริญสติ ของหลวงพ่อเทียน   จิตตฺสุโภ
เพื่อสร้าง
อ.อารมณ์ ไม่ให้เจ็บปวด หรือป่วยทางใจ
และนำไปสู่นิพพาน(ความสงบ)



















      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #56 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2553, 08:52:38 »

วิธีเจริญสติ

การปฏิบัติธรรม คือ การปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติออกจากทุกข์

การปฏิบัติธรรมนั้น ถึงแม้จะปฏิบัติโดยวิธีใดนานเท่าใดก็ตาม
 ถ้ายังไม่ได้เข้ามาจับจุดที่จิตใจที่กำลังปรากฏอยู่นี้ ก็แสดงว่าเรายังไม่เห็น - ไม่รู้ - ไม่เข้าใจ  กล่าวคือ ยังไม่เข้าใจในหลักของการปฏิบัติธรรมตามแบบคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่นั่นเอง. พระองค์ได้ตรัสบอกเอาไว้ว่า เพราะพระองค์บำเพ็ญทางจิตกล่าวคือปฏิบัติทางจิต จึงได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมื่อใดมองเห็นจิตใจของตัวเองในขณะที่มันนึกมันคิด แสดงว่าได้เห็นสมุฏฐานหรือต้นเหตุของความคิด (ทุกข์), พระพุทธเจ้าท่านทรงชี้ให้เราเอาสติเข้ามาดูความคิด แต่อย่าเข้าไปอยู่ในความคิดนั้น

วิธีปฏิบัติ การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว นั้น นั่งก็ทำได้ ยืนก็ทำได้ เดินก็ทำได้ หรือนอนก็ทำได้ จะนั่งเหยียดแข้งเหยียดขา นั่งขัดสมาธิ นั่งห้อยเท้า หรือนั่งพับเพียบ ก็ทำได้หมด

ไม่เลือกสัญชาติ ไม่เลือกศาสนา ใคร ๆ ก็ทำได้ และไม่ต้องรู้ธรรมะ มาก่อนก็ปฏิบัติได้ เพียงแต่มี “ความเชื่อมั่น”เท่านั้น

ตามตำราบ่งไว้ ให้มีสติเข้าไปรู้อิริยาบถทั้งสี่ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ให้มีสติเข้าไปรู้ และให้มีสติเข้าไปรู้ในอิริยาบถย่อย เช่น คู้ เหยียด เคลื่อนไหว กะพริบตา หายใจ อ้าปาก จะเคลื่อนไหวโดนวิธีใดก็ให้มีสติเข้าไปรู้

ให้มีสติเข้าไปรู้ หมายความว่า “ให้มีสติเข้าไปรู้ความคิด”

วิธีปฏิบัติ ไม่ต้องนั่งหลับตา เพราะถ้าหลับตาแล้วมันจะเป็นอุปาทานเป็นมายา ถูกความคิดหลอกลวง ติดอยู่ในความคิด  ลืมตัว นั่งหลับ
ความคิดมันแวบเข้า-แวบออก มันไวที่สุด เมื่อเราคิดไปไหนมาไหน ไม่มีใครจะมาเห็นความคิดเราได้ มันจึงตรงกับหลักธรรมที่ว่า “สันทิฏฐิโก อันผู้รู้จะพึงเห็นเอง” “อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยเวลา” ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้าตอนสาย กลางค่ำกลางคืน เราก็รู้ได้ เพราะคนเรามันคิดอยู่เสมอ เมื่อมีสติเข้าไปรู้ความคิด จะเห็นว่าความคิดนี้ก็เป็น “ทุกข์”

ปกติคนเราจะมีสติอยู่กับมือ และเท้าเป็นส่วนใหญ่ ในอิริยาบถการใช้ชีวิตประจำวัน

การสร้างจังหวะเคลื่อนไหวด้วยมือให้เป็นขั้นเป็นตอนนั้น จะช่วยให้มีสมาธิเกิดขึ้นได้ง่าย หมายความว่า เพื่อเป็นเป้าล่อให้สติและจิตของเรามาอยู่รวมกันกับการเคลื่อนไหวที่มือ ถึงแม้จิตจะไปไหน คิดอะไรอยู่ก็ตาม เดี๋ยวจิตก็จะกลับมารวมกับสติที่มือ เป็นสมาธิขึ้นมาใหม่ได้

สมาธิที่เกิดขึ้นสามารถอยู่ได้นานเช่นเดียวกับการเดินจงกรม

“สติ” รวมกับ “จิต” เป็นหนึ่งเดียว  ก็คือ “สมาธิ”

การอยู่ในอิริยาบถเดิมเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้รูป-นาม ทุกข์หนัก จนหมดกำลังใจที่จะปฏิบัติต่อ ผลคือไม่เป็นห่วงโซ่ หรือเลิก ลาไปเลย
ทุกข์ที่เกิดจากรูป จะทำให้ร่างกายพิการ ก่อนที่เราจะพ้นทุกข์

ถ้ารูปมีการเปลี่ยนอิริยาบถ (ยืน เดิน นั่ง นอน) จะทำให้เหลือเพียงทุกข์ทางนาม คือจิตเท่านั้น ซึ่งความเพียร และปัญญา สามารถจะเอาชนะได้ ดังที่พระพุทธองค์ทรงใช้โพชฌงค์ ๗ อย่างมากก่อนตรัสรู้

ดังนั้นหลวงพ่อเทียน ท่านจึงบอกว่า การเจริญสติแบบที่ท่านให้ทำนั้น เป็นทางลัดที่สุดที่จะนำเราไปสู่นิพพาน (ความสงบ) ได้

การพิจารณา “ธรรม”

“ธรรม” ก็คือตัวเรานี้เอง วิธีเจริญสติ ให้พิจารณาตัวเราเองนี่แหละ  พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ทั้งรูป – นาม   อนิจจัง  ทุกขัง อนัตตา ตามจริง เราจะรู้และเข้าใจด้วยตัวเอง ไม่ต้องพะวงว่าเราไม่มีความรู้เรื่อง “ธรรมะ” มาก่อน เพราะมันจะคิด เกิดขึ้นเอง จากการเจริญสติ

การ “เห็นธรรม” ไม่อาจจะเห็นได้ด้วยการคิดไปตามเหตุผล แต่ต้องเห็นแจ้ง ด้วยความรู้สึกภายในที่แท้จริง เช่นพิจารณาเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ทำความเจ็บปวดให้แก่ตน ที่เข้าไปหลงใหลอย่างสาสม อาศัยการที่ได้กระทบจริงๆ จนเกิดเป็นความรู้สึกแก่จิตใจขึ้นมาจริงๆ แล้วเกิด ความเบื่อหน่าย เกิดความสลดสังเวชขึ้นมา อย่างนี้จึงจะเรียกว่าเห็นธรรม หรือเห็นแจ้ง (ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ)
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #57 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2553, 08:58:03 »

วิธีเจริญสติ
การปฏิบัตินี้เราต้องเรียนด้วยตัวของเราเอง เราต้องสอนตัวเราเอง เราต้องเห็นด้วยตาเราเอง เราต้องรู้ด้วยตัวของเราเอง เราต้องเข้าใจด้วยตัวของเราเอง เราต้องทำด้วยตัวของเราเอง

ดังนั้นเธอไม่จำเป็นต้องสนใจบุคคลอื่น เพียงปฏิบัติการเคลื่อนไหวนี้ให้มาก ทำเฉย ๆ ไม่รีบร้อน ไม่ลังเลสงสัย ไม่คาดคิดล่วงหน้า และทำโดยไม่คาดหวังผล ให้ง่าย ๆ และเพียงแต่เคลื่อนไหว  เคลื่อนไหวทีละครั้งและรู้ เมื่อเธอไม่รู้ปล่อยมันไป  เมื่อเธอรู้ ปล่อยมันไป บางครั้งเธอรู้ บางครั้งเธอไม่รู้ มันเป็นเช่นนั้น แต่ให้รู้ เมื่อร่างกายเคลื่อนไหว รู้มันเมื่อจิตใจเคลื่อนไหว รู้มัน

การปฏิบัตินี้เป็นการปฏิบัติตลอด ๒๔ ชั่วโมง ดังนั้นให้ผ่อนคลายและให้เป็นธรรมชาติเป็นปกติธรรมดา จงตั้งใจปฏิบัติจริง ๆ  และปฏิบัติอย่างสบาย ๆ

ถ้าเธอเจริญสติอย่างถูกต้อง การปฏิบัติอย่างนานที่สุดไม่เกิน ๗ ปี อย่างกลาง ๑ ปี และอย่างเร็วที่สุด ๑ วัน ถึง ๙๐ วัน เราไม่จำต้องพูดถึงผลของการปฏิบัตินี้  ความทุกข์ไม่มีจริง ๆ

จงอย่าเชื่อถือ ตามที่กำหนดไว้ใน “กาลามสูตร”
จงเชื่อถือด้วย “ปัญญา” และผลการปฏิบัติ รู้แจ้งด้วยตัวของเธอเอง


                   “กาลามสูตร”

      อย่าเชื่อถือโดยการฟังตามกันมา                                    
      อย่าเชื่อถือโดยเห็นทำตามกันมา                                    
      อย่าเชื่อถือโดยมีการเล่าลือกันมา                                            
      อย่าเชื่อถือโดยการอ้างตำรา                            
      อย่าเชื่อถือโดยนัยหรือความคาดหมาย                                    
      อย่าเชื่อถือโดยตรรกคือตรึกคิดเอาเอง                                    
      อย่าเชื่อถือโดยคิดตามอาการเป็นไป                    
      อย่าเชื่อถือโดยชอบใจว่าตรงตามหลักของตน
      อย่าเชื่อถือโดยเห็นว่าเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ
      อย่าเชื่อถือโดยเห็นว่าเป็นครูอาจารย์ของเรา
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #58 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2553, 09:08:14 »

พุทธพจน์  “สูตรว่าด้วยราตรีเดียวที่ดี”  

พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ท่ามกลางหมู่สงฆ์สาวก ทรงตรัสแสดงอธิบาย “เกี่ยวกับบุคคลผู้มีราตรีเดียวอันดี” โดยใจความคือ ไม่ให้ติดตามเรื่องล่วงมาแล้ว ไม่ให้หวังเฉพาะเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ให้เห็นแจ้งปัจจุบัน ให้รีบเร่งทำความเพียรเสียในวันนี้ ใครจะรู้ว่าความตายจะมีในวันพรุ่ง เพราะจะผัดเพี้ยนต่อมฤตยูผู้มีเสนาใหญ่ ย่อมไม่ได้ คนที่มีความเพียรอย่างนี้ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันกลางคืน เรียกว่า มีราตรีเดียวอันดี(เจริญ)

การไม่ติดตามอดีต การไม่หวังเฉพาะอนาคต ตรัสอธิบายว่า ไม่ให้มีความยินดี เพลิดเพลินในอดีตและอนาคต นั้น

ทำไม ?
จึงต้องมีสติอยู่กับ ณ ปัจจุบัน







ขณะที่รู้กับปัจจุบันจะพบว่ามีความสุขอย่างยิ่ง
เมื่อมีสติอยู่กับปัจจุบันต่อเนื่อง ความทุกข์ก็มากล้ำกรายอีกไม่ได้ อดีตกับอนาคตต่อกันไม่ได้
เพราะความรู้ในปัจจุบันเข้ามาแทนที่เต็มไปหมด
*****
พุทธพจน์
บาทแรกในปฏิจจสมุปบาท หรือ วงจรแห่งทุกข์
อวิชา ปัจจยา สังขารา
ความไม่รู้ เป็นปัจจัยให้เกิด ความคิดปรุงแต่ง (แล้วเป็นชนวนให้เกิดความทุกข์)

ขณะที่คิด = ไม่รู้
ถ้าจิตมันคิด  เราจะไม่รู้สึกตัว(สติ)
***
ขณะที่รู้ = ไม่คิด
ถ้าเรารู้สึกตัว(รู้ความคิด)  จิตมันจะไม่คิด(ปรุงแต่ง)
ดังนั้น
หลวงพ่อเทียนสอนให้ปลุกธาตุรู้ หรือบางทีท่านเรียกว่าเขย่าธาตุรู้ให้ตื่นอยู่กับ ณ ปัจจุบันให้มากไว้
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #59 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2553, 09:12:37 »

ความคิดเหมือนหนู ความรู้ตัวเหมือนแมว
คิด = หนู
รู้ = แมว
คิดปั๊ป  รู้ปั๊ป  ตะปบ  หยุด ๆ ๆ

การที่จะรู้ต้นเหตุของการเกิดความโกรธ ความโลภ ความหลงนี้, เราต้องมาคอยเฝ้าดูจิตดูใจของเราทำเหมือนแมวคอยจ้องตะครุบหนู พอจิตใจมันคิดขึ้นมาเราคอยจ้องคอยมองให้รู้ทัน. คิดขึ้นมาปุ๊บ-รู้ทัน- ตัดไปเลย, อย่าให้มันปรุงแต่งต่อไป. คิดขึ้นมา - ตัดไปเลย, คิดขึ้นมา - ตัดไปเลย, ทำอย่างนี้บ่อยๆ  ความคิดจะลดน้อยลงไป  สติจะเพิ่มมากขึ้น ๆ

ปรกติเราคิด เราเป็นเหยื่อความคิด ถูกความคิดพาไปกับมันร่วมทุกข์ร่วมสุขกับมัน แต่เราไม่รู้ความคิด ท่านจึงสอนว่า ให้รู้ความคิด หรือให้ดูความคิด หรือให้เห็นความคิด มันจะคิดดีคิดร้ายก็ปล่อยให้มันคิด ไม่ต้องไปเกร็งที่จะห้ามคิด แต่อย่าเป็นเหยื่อถูกมันพาไปไหน ๆ โดยไม่รู้ ให้รู้ โดยดูมันหรือเห็นมันเหมือนมีคนอีกคนหนึ่งมายืนมองว่า  อ้อ กำลังคิดไอ้นี่   อ้อ กำลังคิดไอ้นั่น

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #60 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2553, 09:16:47 »

อารมณ์สัมผัสทาง
อายาตนะ ๖
( ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ )

ขันธ์ ๕
( รูป  เวทนา สัญญา  สังขาร  วิญญาณ )

ทำให้เกิด
นิวรณ์ ๕
( กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจฉะ วิจิกิจฉา )

ผลคือมนุษย์เกิดทุกข์
โลภะ  โทสะ  โมหะ กิเลส  ตัณหา  อุปาทาน

การเจริญสติ
เพื่อ
ละนิวรณ์ ๕ ด้วย โพชฌงค์ ๗
( สติ  ธัมมวิจยะ วิริยะ ปีติ  ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา )

มนุษย์เสวยทุกข์ สุข มาตั้งแต่เกิด จนเป็นความเคยชิน
( ติดอยู่ในความคิดของตัวเอง )

ผลจากการเจริญสติ
คือ

เกิดปัญญาญาณ
(ปัญญาญาณ เกิดจากการทำความเพียรทางจิตเท่านั้น)

คือ
ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง

มีแต่
ความสงบ นั่นคือ นิพพาน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #61 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2553, 09:20:40 »

สวัสดีครับ ชาวเวบที่รักทุกท่าน
                         พี่สิงห์ป่วยกาย  แต่จิตไม่ได้ป่วย เช้านี้ก็เลยมานั่งนำสิ่งที่พี่สิงห์เขียนไว้ใน Power Point ไว้สอน เอามาลงในกระทู้นี้ให้พวกเราได้อ่าน เกิดปัญญา และทดลอง "เจริญสติ" แบบเคลื่อนไหวของ หลวงพ่อเทียน  จิตตฺสุโภ ดูบ้างเป็นทางเลือกในการบริหารจิตให้ผ่องใสปราศจากกิเลส(ความเศร้าหมอง) คือ "อ.อารมณ์" เพื่อไม่ให้เจ็บป่วย หรือบรรเทาอาการเจ็บป่วยทางกาย ด้วยจิตที่สงบ ยอมรับตามธรรมชาติ ครับ
                         ถ้าจิตของเราสงบจริงแล้ว ความเจ็บปวดทางกาย คือ เวทนาที่เราได้รับ ไม่สามารถจะทำอะไรเราได้ครับ เพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น(เป็นนาม) มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมสลาย และดับไปได้ด้วยตัวของมันเอง เป็นธรรมชาติ คือมันเป็นเช่นนี้ มันไม่ได้เจ็บปวดตลอดเวลา มันปวดตามอารมณ์ที่เรานึก เราคิด ถ้าเรามีจิตที่สงบ คอยดูมัน มันปวดเราก็รู้ มันจะทำให้เราทุรนทุราย เราก็รู้ รับทราบ เฉยเข้าไว้ แล้วมันก็ดับไป เราก็รู้ เราก็สงบจิตเข้าไว้หรือวางเฉย(อุเบกขา) เข้าไว้ เราก็จะเป็นผู้ป่วยทางกายที่ไม่ป่วยใจไปด้วยครับ ความกระวนกระวายใจก็จะไม่เกิดขึ้นกับเรา เราก็ทนทุกข์ที่เกิดขึ้นกับกายของเราได้ พี่สิงห์คิดอย่างนี้จะถูกหรือผิดไม่ทราบครับ
                         พี่สิงห์ขอเป็นผู้ป่วยทางกาย  แต่จิตใจไม่ได้ป่วยตามไปด้วยครับ
                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #62 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2553, 07:47:41 »

สวัสดีครับชาวเวบ วันนี้พี่สิงห์ขอนำ Power Point ที่ทำไว้สอนเรื่องการเจริญสติ ที่รวบรวมมาจากพระไตรปิฎก เอามาให้อ่านกัน เพื่อนเตือนสติ ครับ


กฎไตรลักษณ์

อนิจจัง แปลว่าไม่เที่ยง หมายความว่าสิ่งทั้งหลายมีลักษณะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอไป ไม่มีความคงที่ตายตัว

ทุกขัง แปลว่าเป็นทุกข์ มีความหมายว่า สิ่งทั้งปวงมีลักษณะที่เป็นทุกข์มองดูแล้วน่าสังเวชใจ ทำให้เกิดความทุกข์ใจแก่ผู้ที่ไม่มีความเห็นอย่างแจ่มแจ้งในสิ่งนั้นๆ

อนัตตา แปลว่าไม่ใช่ตัวตน หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน ไม่มีลักษณะอันใดที่จะทำให้เรายึดถือได้ว่าเป็นตัวเราของเรา ถ้าเห็นอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนถูกต้องแล้ว ความรู้สึกที่ว่า "ไม่มีตัวตน" จะเกิดขึ้นมาเองในสิ่งทั้งปวง แต่ที่เราหลงเห็นไปว่าเป็นตัวเป็นตนนั้น ก็เพราะความไม่รู้อย่างถูกต้องนั่นเอง

พุทธพจน์
“ไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  ไม่ใช่ตัวตน”

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ตา เป็นของไม่เที่ยง (คืออนิจจัง) สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ (คือทนอยู่ไม่ได้) สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตน (คืออนัตตา). สิ่งใดไม่ใช่ตัวตน สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา เราไม่ได้เป็น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา. ข้อนี้ท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้”

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ ก็เป็นของไม่เที่ยง     สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ (คือทนอยู่ไม่ได้) สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตน. สิ่งใดไม่ใช่ตัวตน สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา เราไม่ได้เป็น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา. ข้อนี้ท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้”

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! อริยะสาวก ผู้ได้สดับ เมื่อเห็นอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ. เมื่อเบื่อหน่ายก็คลายกำหนัด (หมายถึงความติดใจ) . เพราะคลายความกำหนัด ก็หลุดพ้น ก็มีญาณรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว. เธอย่อมรู้ว่า ชาติ (ความเกิด) สิ้นแล้ว. พรหมจรรย์ได้จบแล้ว, กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว, กิจอื่นเพื่อความอย่างนี้ (เพื่อเกิดอีก) ไม่มี

“ไม่เที่ยง” หมายความว่า ไม่สามารถคงสภาพ หรือตั้งอยู่ได้  เช่นร่างกายมนุษย์ย่อมเสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา ตามกฎไตรลักษณ์  คืออนิจจัง   ทุกขัง   อนัตตา
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #63 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2553, 07:51:22 »

พุทธพจน์ “ความเกิด  ความดับ  แห่งทุกข์”

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิดปรากฏแห่งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่ต้องได้) ธรรมะ (สิ่งที่รู้ด้วยใจ) คือความทุกข์ ความตั้งอยู่แห่งโรค ความปรากฏแห่งความแก่และความตาย”

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ความดับ ความระงับ ความตั้งอยู่ไม่ได้ แห่งตา หู เหล่านั้น คือความดับแห่งทุกข์ ความระงับแห่งโรค ความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งความแก่และความตาย”

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #64 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2553, 07:57:01 »

อริยสัจ ๔

                          ทุกขอริยสัจ  สภาวะที่ทนได้ยาก คือเกิด แก่ ตาย โศก ร้องไห้ร่ำไรรำพัน ทุกข์ใจ คับแค้นใจ พบสิ่งไม่เป็นที่รัก พลัดพรากจากสิ่งที่รัก  รวมก็คือ ยึดมั่นในขันธ์ ๕ 

                          ทุกขสมุทัยอริยสัจ  เหตุให้เกิดทุกข์  คือความทะยานอยาก  ความกำหนัด  ความเพลิดเพลิน  ความยินดีในอารมณ์ต่างๆ  คือ กามตัณหา  ภวตัณหา  วิภวตัณหา 

                          ทุกขนิโรธอริยสัจ  ความดับโดยสิ้นกำหนัด  โดยไม่มีเหลือตัณหา  ความสละตัณหา    ความวางตัณหา  ความปล่อยตัณหา  ความไม่พัวพันแห่งตัณหานั้น 

                          ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ (มรรค ๘)      ความเห็นชอบ  ความดำริชอบ พูดชอบ  ทำชอบ  เลี้ยงชีวิตชอบ  เพียรชอบ  ระลึกชอบ  ตั้งจิตชอบ

อุปมาอริยสัจ ๔ 
 
      ๑.  ทุกข์     เปรียบเหมือนภาระที่หนัก
     ๒.  สมุทัย  เปรียบเหมือนกับผู้แบกภาระที่หนักนั้น
     ๓.  นิโรธ    เปรียบเหมือนกับปลงภาระหนักออกจากบ่า
     ๔.  มรรค   เปรียบเหมือนกับอุบายที่ปลงภาระนั้น
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #65 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2553, 07:59:27 »

พุทธพจน์

“สุขทุกข์ ใครทำให้ ?”

                “เพราะ “อวิชชา”(ความไม่รู้) เป็นปัจจัย บุคคลจึงปรุงแต่งกายสังขาร ...วจีสังขาร  ...มโนสังขาร ขึ้นเองบ้าง...เนื่องจากตัวการอื่นบ้าง...โดยรู้ตัวบ้าง...ไม่รู้ตัวบ้าง”

                “วิชชา” คือความรู้

                “อวิชชา” คือความไม่รู้

                 “ปัญญา” คือความรู้แ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #66 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2553, 08:04:36 »

กิเลส คือสิ่งที่แฝงอยู่ในใจแล้วทำให้ใจเศร้าหมอง ขุ่นมัว (เป็นทุกข์)

                          อโนตตัปปะ    ความไม่รู้สึกตื่นกลัวต่อการทุจริต

                          โทสะ    ความโมโห  โกรธ  ความไม่พอใจ

                          โมหะ    ความหลงไหล  ความโง่

                          อุทธัจจะ    ความฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ นา ๆ

                          ทิฏฐิ    ความเห็นผิดเป็นชอบ

                          วิจิกิจฉา    ความเคลือบแคลงใจ  สงสัย  ไม่แน่ใจ  ลังเลใจ ในสิ่งที่ควรเชื่อ

                          โลภะ    ความพอใจ  ชอบพอ  เต็มใจ  ในโลกีอารมณ์ต่าง ๆ

                          ถีนะ    ความหดหู่  เงียบเหงา

                          อหิริกะ    ความไม่ละอายต่อการกระทำผิด  ทุจริต

                          มานะ    ความทะนงตน  ถือตัว  เย่อยิ่ง  ความเป็นตัวตน
 
อาสวะกิเลส คือ กิเลสที่นอนเนื่องในสันดาล
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #67 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2553, 08:11:04 »

พุทธพจน์

“ผู้ชื่นชมทุกข์”

                      “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ผู้ใดชื่นชมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ชื่นชมรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่ต้องได้) ธรรมะ (สิ่งที่รู้ด้วยใจ) ผู้นั้นชื่อว่าชื่นชมทุกข์ ผู้ใดชื่นชมทุกข์ ผู้นั้นเรากล่าวว่า ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ได้”

พุทธพจน์

“เรื่องที่ตรัสบอกคืออะไร ?”
                     
                         “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ก็เรื่องอะไรเล่าที่เราบอก ? เราบอกว่า นี้ทุกข์      นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เหตุไรเล่า เราจึงบอกเรื่องนี้ ? ก็เพราะว่า เรื่องนี้ประกอบไปด้วยประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับทุกข์ ความสงบระงับ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ เป็นไปเพื่อนิพพาน เราจึงบอกเพราะเหตุนั้น.
                          เพราะเหตุนั้นแล จึงควรกระทำ “ความเพียร” (เพื่อให้รู้อริยสัจจ์ ๔ ตามเป็นจริง) ว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้ทุกข์เกิด นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #68 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2553, 08:19:15 »

พุทธพจน์

“ใบไม้ขนาดเล็กที่ห่อน้ำหรือห่อใบตาลไม่ได้”

                        “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! คนที่กล่าวว่า ตนไม่ต้องตรัสรู้อริยสัจจ์คือทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ตามเป็นจริง ก็จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ (พ้นทุกข์) นั้นมิใช่ฐานะที่มีได้ เปรียบเหมือนคนที่กล่าวว่า ตนจะเอาใบตะเคียน ใบทองกวาว หรือใบมะขามป้อม (ซึ่งเป็นใบไม้ใบเล็ก) มาทำเป็นกระทงใส่น้ำหรือใส่ใบตาล  ย่อมมิใช่ฐานะที่มีได้นั้น”

                         สรุป คือต้องทำความเพียร (ทางจิต) ด้วยตัวเองเท่านั้น จึงจะพ้นทุกข์ได้
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #69 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2553, 08:23:16 »

พุทธพจน์

“ธรรมที่เป็นใหญ่แห่งการตรัสรู้”

                         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมที่เป็นใหญ่แห่งการตรัสรู้มีอะไรบ้าง ?
                         ธรรมที่เป็นใหญ่ คือความเชื่อ (สัทธินทรีย์) เป็นธรรมที่เป็นไปในฝ่ายแห่งการตรัสรู้ ย่อมเป็นไปเพื่อความตรัสรู้
                         ธรรมที่เป็นใหญ่ คือความเพียร (วิริยินทรีย์) ความระลึกได้ (สตินทรีย์) ความตั้งใจมั่น (สมาธินทรีย์) และปัญญา(ปัญญินทรีย์) เป็นธรรมที่เป็นไปในฝ่ายแห่งการตรัสรู้ ย่อมเป็นไปเพื่อความตรัสรู้

พุทธพจน์

"ธรรมที่เป็นใหญ่คือปัญญา เทียบด้วยราชสีห์”

                      “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! สัตว์ดิรัจฉานเหล่าใดเหล่าหนึ่งก็ตาม ราชสีห์ผู้เป็นพญาเนื้อ ย่อมกล่าวได้ว่าเลิศกว่าสัตว์เหล่านั้นโดยกำลัง โดยฝีเท้า และโดยความกล้า. ธรรมที่เป็นไปในฝ่ายแห่งการตรัสรู้ เหล่าใดเหล่าหนึ่งก็ตาม ปัญญินทรีย์ (ธรรมที่เป็นใหญ่ของตนในหน้าที่ คือปัญญา) ย่อมกล่าวได้ว่าเลิศกว่าธรรมเหล่านั้น ในทางเป็นไปเพื่อความตรัสรู้
                      “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมที่เป็นไปในฝ่ายแห่งการตรัสรู้ เหล่าใดเหล่าหนึ่งก็ตาม ปัญญินทรีย์ (ธรรมที่เป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน คือปัญญา) ย่อมกล่าวได้ว่าเลิศกว่าธรรมเหล่านั้น ในทางเป็นไปเพื่อความตรัสรู้”
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #70 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2553, 08:31:44 »

พุทธพจน์

“ธรรมที่มีอุปการะมาก”

                         คำว่า “อุปการะมาก” คือ ธรรมที่มีคุณค่ามาก     หมายความถึง ผู้ใดเจริญสตินี้มีอานิสงส์มาก
                         ธรรมที่มีอุปการะมาก มี ๒ อย่างคือ
                         สติ คือ ความระลึกได้
                                    ต้องมี ความระลึกได้ก่อนที่จะคิด ก่อนที่จะทำ ก่อนที่จะพูด
                         สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัว (รู้ความคิดตัวเอง)
                                    ต้องมี ความรู้ตัวก่อนที่จะคิด ก่อนที่จะทำ ก่อนที่จะพูด



เราปุถุชนธรรมดา ต้องทำมาหากิน เวลาทำงาน ทำกิจวัตรประจำวันในทุกอิริยาบถ ขอให้มีสติ ณ ปัจจุบัน เสมอ
สมาธิ และปัญญา จะเกิดเองโดยอัตโนมัต
เพราะจิตท่านว่าง สงบ รู้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #71 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2553, 08:42:06 »

มหาสติปัฏฐานสูตร
สูตรว่าด้วยการตั้งสติอย่างใหญ่


                         พระผู้มีประภาคประทับ ณ นิคม ชื่อกัมมาสธัมมะ แคว้นกุรุ ตรัสสอนภิกษุทั้งหลายว่า หนทางเป็นที่ไปอันเอกเพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ เพื่อก้าวล่วงความโศก ความคร่ำครวญ เพื่อให้ความทุกข์กายทุกข์ใจตั้งอยู่ไม่ได้ เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน คือการตั้งสติ ๔ อย่าง ได้แก่:-
                          ตั้งสติกำหนดพิจารณา กายในกาย
                          ตั้งสติกำหนดพิจารณา เวทนาในเวทนา
                          ตั้งสติกำหนดพิจารณา จิตในจิต
                          ตั้งสติกำหนดพิจารณา ธรรมในธรรม

                                    การพิจารณากาย แบ่งออกเป็น ๖ ส่วน

                  พิจารณากำหนดลมหายใจเข้าออก (อานาปานบรรพ)
                  พิจารณาอิริยาบถของกาย เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน (อิริยาปถบรรพ)
                  พิจารณารู้ตัวในความเคลื่อนไหว เช่น ก้าวไป ก้าวมา คู่แขน เหยียดแขน กิน ดื่ม เป็นต้น (สัมปชัญญบรรพ = ความรู้ตัว)
                  พิจารณาความน่าเกลียดของร่างกาย ซึ่งแบ่งออกเป็นส่วนย่อยต่าง ๆ มีผม ขน เป็นต้น (ปฏิกูลมนสิการบรรพ)
                  พิจารณาร่างกายโดยความเป็นธาตุ (ธาตุบรรพ)
                  พิจารณาร่างกายที่เป็นศพ มีลักษณะต่างๆ ๙ อย่าง (นวสีวถิกาบรรพ)
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #72 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2553, 08:47:51 »

พุทธพจน์

"อานิสงส์สติปัฏฐาน ๔”

                        ครั้นแล้วทรงสรุปผลของการปฏิบัติ ในการตั้งสติ ๔ อย่างนี้ว่า  จะเป็นเหตุให้ได้บรรลุอย่างใดอย่างหนึ่ง คือบรรลุอรหัตตผลในปัจจุบัน ถ้ายังมีเชื้อเหลือก็จะบรรลุความเป็นพระอนาคามี(ผู้ไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีก) ภายใน ๗ ปี หรือลดลงมาโดยลำดับถึงภายใน ๗ วัน.
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #73 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2553, 07:46:58 »

สวัสดีครับ ชาวเวบที่รักทุกท่าน
                         เราปุถุชนธรรมดา ยังมีความโลภ(โลภะ)  ความโกรธ(โทสะ)  ความหลง(โมหะ) กิเลส(ทำให้จิตใจเศร้าหมอง) ตัณหา(ความอยาก) อุปาทาน(ยึดมั่นถือมั่น) จิตใจยังร่องรอยคิดปรุงแต่ง(สังขารา)ไปในเรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้วไม่หวนกลับ วิตกกังวงไปในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ไม่อยู่กับปัจจุบัน
                         พี่สิงห์มีข้อแนะนำที่จะทำให้เรามีจิตใจที่สงบ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นคือ
                         ก่อนนอนหาเวลาสักหนึ่งชั่วโมง สวดมนต์ บทอิติปิโส เสร็จแล้วแผ่เมตตา และเจริญสติแบบเคลื่อนไหวของหลวงพ่อเทียน ทำเท่าที่ใจอยากทำ หรือง่วง ก่อนหลับตานอน กำหนดจิตอยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออก จนหลับ จะทำให้นอนจิตไม่ฟุ้งซ่านเพราะจิตสงบจะฝันดี หรือไม่ฝันเลย
                         หลังจากนั้นไม่ว่าเราจะทำกิจวัตรประจำวัน กิน เดิน นั่ง นอน หรือทำงาน ให้อยู่กับปัจจุบัน คือ มีสติ(ระลึกได้) เพียงแค่นี้จริงๆ แล้วท่านจะรู้ว่า เราก็มีจิตที่สงบ มีปัญญาในการแก้ปัญหาการทำงานของเราได้ ไม่คิดไปในอดีต-อนาคต เพียงแค่นี้จริงๆ นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้า ต้องการให้ปฏิบัติ ครับ ถ้าท่านปฏิบัติได้ ท่านจะประสพผลสำเร็จในการทำงาน และความโลภ  ความโกรธ  ความหลง จะค่อยๆ หมดไป เพราะว่าเวลาท่านมีสติ(ระลึกได้) ความหลงมันจะไม่บังเกิดกับท่าน  แต่ถ้าเมื่อใดท่านไม่มีสติ ความหลงจะบังเกิดกับท่าน เพราะท่านจะเป็นทาษของความคิดของท่าน ความหลงหรือโมหะ  นี้ เป็น"มาร"ตัวสำคัญที่สุดที่ทำให้จิตใจเราทุกข์หรือเศร้าหมอง ซึ่งสามารถขจัดได้ด้วยการมี "สติ" ครับ
                          สวัสดียามเช้าทุกท่านครับ อย่าลืม มี"สติ" อยู่กับปัจจุบัน ณ ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #74 เมื่อ: 28 ตุลาคม 2553, 16:36:38 »

สวัสดีครับ
                      มีคนส่งมาให้เกี่ยวกับอาหารมื้อเย็นที่เรารับประทาน หรือบางคนรับประทานเป็นอาหารมื้อหลักจนเคยชิน ขอให้แวะมาอ่านหน่อยครับ
                      สวัสดี

มื้อเย็นเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง

 
1. ทำอย่างไรจึงจะไม่แก่ และอายุยืน
คำตอบคือ กินสายกลาง   
กินสายกลาง คือ  กินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง   +   งดมื้อเย็น
เปรียบตัวเราเป็นรถยนต์   ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อน  หรือกินมื้อเช้า  รถจึงจะวิ่งได้  ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมด   เติมอีกครั้ง   ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมดพิสูจน์ได้ดังนี้   
สมมุติกินไข่ลวก 1 ฟองโตๆ  มีไข่แดงหนัก 50 กรัม   ในไข่แดงมีคลอเลสเตอรอล 1 กรัม   ให้พลังงาน 9  แคลอรี่  ฉะนั้น 50 กรัม  ให้พลังงาน 450 แคลอรี่  จะต้องออกกำลังกายเพื่อใช้พลังงานนี้   โดยขี่จักรยานตั้งแรงต้านไว้  1.3  ก.ก..  ความเร็วที่ปั่นบันไดจักรยาน  60  รอบต่อนาที  ขี่อยู่นาน60 นาที  จะเหนื่อยหอบ   เหงื่อไหลท่วมตัว   แต่ใช้พลังงานไปเพียง  300 แคลอรี่    ไข่ใบเดียวใช้ไม่หมด   
ฉะนั้นถ้ากินมื้อเช้า  มื้อเที่ยง  จนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก เพราะเวลานอนร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่างๆ  โดย ตับ เป็นผู้ทำงานนี้ ถ้าพลังงานเหลือมาก   การเอาไปเก็บในที่ต่างๆ ก็มากทำให้อ้วน  และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมดโดยเฉพาะพวกไขมันตัวโตๆ  จะต้องค้างอยู่ในหลอดเลือด ถ้าค้างสะสมมากเท่าใด รูหลอดเลือดก็จะเล็กลงทุกวัน เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้น้อยลง อวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือแก่เร็วขึ้น ถ้าวันไหนอุดตัน เช่น  ถ้าตันที่สมอง  จะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก   ถ้าอุดตันที่ไต  ต้องล้างไต  เปลี่ยนไต   ถ้าตันที่ขา อาจต้องตัดขาทิ้ง  ถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ   ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร     
การกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการเสื่อมถึงเสียชีวิตให้เร็วขึ้นไปอีก มื้อเย็นจึงเป็นมื้ออันตราย  เป็นมื้อตายผ่อนส่ง ยิ่งกินมื้อเย็นมาก ยิ่งผ่อนส่งมาก ตายเร็ว  ถ้าไม่กินมื้อเย็น ก็จะแก่ช้า เสื่อมช้า อายุยืน
การไม่กินอาหารมื้อเย็น เป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมาก ถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส  สุขภาพดี   อายุยืน  และมีสมาธิดี ความมุ่งมั่นสูง ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ  แต่ท่านต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน     
  วิธีฝึกมี 4 วิธี
1. ค่อยๆ ลดปริมาณอาหารมื้อเย็นทีละน้อยๆ  เช่นลดกินข้าวจาก 2 จาน  เหลือ1 1/2 จาน สัก 3-4 เดือน  โดยมีข้อแม้ว่าหลังอาหารเย็น แล้ว ห้ามกินอาหารใดๆ ทั้งนั้นยกเว้นน้ำเปล่า   พอกระเพาะชินแล้วลดเหลือ 1 จาน ต่อไปครึ่งจาน ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ   ต่อไปกินผักผลไม้   สุดท้ายงดอาหารเย็น
 
2. ร่นเวลากินอาหารเย็น   เช่นจาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม  ต่อไปเลื่อนเป็น 6 โมงเย็น  5 โมงเย็น  4 โมงเย็น  สุดท้ายงดอาหารเย็น
 
3. กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น  ใช้เม็ดแมงลัก 2  ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันที   ดื่มน้ำตามอีก 4-5  แก้ว
 
4. กินมังสะวิรัตมื้อเย็น   การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษ  ร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์    พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูกตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้  ร่างกายมีเวลาถึง 18  ช.ม.  กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า  มื้อเที่ยงได้ทัน
ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็น  จึงเป็นเวลาที่ตับ ไต  จะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมด  ร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน   
 
2. โรค Attention Deficit Trait   โดย ผศ. ดร. พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.th
ท่านผู้อ่านเป็นผู้หนึ่งที่ชอบทำงานในลักษณะของ Multitasking หรือไม่ครับ?
คนกลุ่มนี้จะเป็นพวกที่สามารถหรือชอบที่จะทำงานหลายๆ อย่างไปในเวลาเดียวกัน  เช่น ในขณะที่กำลังเช็คอีเมล์ทางคอมพิวเตอร์  ก็กำลังคุยโทรศัพท์สั่งงานกับลูกน้อง พร้อมทั้งดื่มกาแฟไปพร้อมกัน  หรือในขณะที่กำลังนั่งประชุม ก็สั่งงานพร้อมทั้งหาข้อมูล  และตัดสินใจผ่านทางเครื่องโน้ตบุ๊คที่ตั้งอยู่ข้างหน้า    ในอดีตผมก็เคยชื่นชมคนพวกนี้นะครับว่า มีความสามารถมาก สามารถทำงานได้หลายอย่างในขณะเดียวกัน สามารถทำงานได้ออกมาเยอะ  และดูยังสงบไม่ตื่นเต้นโวยวายเท่าใด   
แต่ท่านผู้อ่านทราบไหมครับ ว่า การทำงานในลักษณะ **Multitasking**  นั้น กลับเป็นสาเหตุประการหนึ่งของโรคร้ายใหม่ในที่ทำงาน  ที่เราเรียก **Attention Deficit Trait** หรือ **ADT**   โรคนี้เป็นโรคที่เราจะเจอมากขึ้นเรื่อยๆ  ในที่ทำงาน   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะแวดล้อมที่บังคับให้คนทำงานจะต้องทำงานด้วยความรวดเร็วมากขึ้น  ทำงานหลายอย่างพร้อมๆ กัน จะต้องตื่นตัวตลอดเวลา   ไม่มีเวลาหรือโอกาสได้สงบพัก
ท่านผู้อ่านลองพิจารณาตัวท่านเองหรือบุคคลรอบข้างนะครับว่า เป็นโรคนี้หรือไม่?  ผมอ่านพบเจอโรคนี้จากวารสาร Harvard Business Review ฉบับเดือนมกราคม 2548 ในบทความชื่อ  Why Smart People Underperform เขียนโดย Edward M. Hallowell ซึ่งเป็นจิตแพทย์ซึ่งเป็นผู้ เชี่ยวชาญในโรคที่เกี่ยวกับสมองและสมาธิทั้งหลาย  คุณหมอท่านนี้ทำการรักษาอาการ Attention Deficit Disorder หรือ ADD มากว่า 25 ปี และ โรค ADD นี้เราเริ่มรู้จักกันมากขึ้นในเมืองไทย โดยเฉพาะผู้ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน  เรามักจะเรียกโรคนี้ว่าเป็นโรคสมาธิสั้น
ผู้ที่เป็นโรค ADT นั้น มักจะมีอาการสมาธิสั้น   ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานใดงานหนึ่งได้นานๆ   ก็จะถูกดึงดูดด้วยงานอย่างอื่น   มีความวุ่นวายอยู่ข้างใน (แต่มักจะไม่แสดงออกมาให้ผู้อื่นเห็น )  ไม่ค่อยอดทน มีปัญหาในการจัดระบบต่างๆ (Unorganized) การจัดลำดับความสำคัญ  และการบริหารเวลา
โรค ADT นี้  มักจะเริ่มเกิดขึ้น เมื่อเราก้าวขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ   การที่มีความ รู้สึกว่ามีงานด่วน   หรือ สิ่งที่จำเป็นและเร่งด่วนที่จะต้องทำเข้ามาเรื่อยๆ  และท่านพยายามที่จะจัดการกับงานด่วนเหล่านั้นให้สำเร็จ  จะเป็นบ่อเกิดที่สำคัญของโรค ADT เพราะเมื่อเรามีงานที่เร่งด่วน  หรือจำเป็นเข้ามาเรื่อยๆ   เราก็มักจะรับภาระความรับผิดชอบต่องานเหล่านั้น  อีกทั้งไม่บ่นไม่โวยวายต่อภาระงานที่เพิ่มขึ้น  เราจะก้มหน้าก้มตาพยายามทำให้งานสำเร็จ ทั้งๆ ที่กำลังความสามารถ  และเวลาของเราไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับปริมาณของงานที่เข้ามา  ดังนั้นเมื่อเจอกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นและเร่งด่วนขึ้น  เราก็มักจะอยู่ในอาการของความรีบร้อนตลอดเวลา  พยายามทำงานให้เสร็จโดยเร็วการทำงานหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน และขาดสมาธิต่อการทำงานๆ หนึ่ง (Unfocused)  แต่ในขณะเดียวกัน   บุคคลเหล่านี้ก็จะไม่บ่นไม่โวยวาย  ดูจากภายนอกแล้วเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
ทีนี้ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยครับว่าโรค ADT จะก่อให้เกิดปัญหาอะไรขึ้น ?  ง่ายๆก็คือ ทำให้สมองเราสูญเสียความสามารถในการคิด วิเคราะห์และทำงานอย่างละเอียดลึกซึ้ง  จะส่งผลให้งานที่ออกมาเป็นงานที่เร็วแต่ไม่ลึก  จะทำให้ความสามารถในการทำงานของเราลดน้อยลง    การที่สมองเราจะต้องรับ วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลต่างๆเพิ่มมากขึ้น   ความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ก็ลดลง อีกทั้งความผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้มากขึ้น
โรคนี้ถือเป็นโรคใหม่ในที่ทำงานอย่างหนึ่งครับ  เกิดขึ้นเนื่องจากสภาวะแวดล้อมในการทำงาน ที่ต้องการความรวดเร็ว   และมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น สมองเราจะต้องรับและประมวลผลข้อมูลต่างๆ   มากขึ้นกว่าเดิม วัฒนธรรมในการทำงานในปัจจุบัน   ก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเกิดโรคนี้   โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำคัญของความเร็วในการทำสิ่งต่างๆ  ในปัจจุบันดูเหมือนว่าเราต้องการความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ เรา มักจะคิดว่า ในเมื่อคนทุกคนมีเวลาเท่ากัน  ดังนั้น ผู้ที่มีความเร็วมากกว่าจะทำงานได้มากกว่า
ท่านผู้อ่านลองสังเกตซิครับเวลาท่านขึ้นลิฟต์  ปุ่มไหนที่ท่านจะกดบ่อยที่สุด  ปุ่มนั้นก็คือปุ่ม " ปิดประตู" เพราะทุกคนเป็นทาสของความเร็ว    ไม่สามารถรอให้ลิฟต์ปิดได้เอง
 
3. ดื่มน้ำน้อยมีผลร้ายที่คุณคิดไม่ถึง
เมื่อเร็วๆ นี้ได้อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง   ซึ่งลงบทสัมภาษณ์ของดาราสาวสวยระดับนางเอกท่านหนึ่ง เกี่ยวกับร่างกายของเธอที่มีการผิดปกติ เธอมีอาการอุจจาระไม่ออก,  เมนส์ไม่มา  แถมเธอยังเข้าใจว่าการที่เมนส์มาบ้างไม่มาบ้าง แล้วแต่อารมณ์นั้นเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงซะอีก   เธอบอกว่าไม่ชอบดื่มน้ำเพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย  ส่วนใหญ่พวกดาราก็มักเป็นอย่างนี้ เพราะต้องอยู่แต่ ในกองถ่ายจะหาห้องน้ำสะอาดๆยาก   เลยต้องอั้นอุจจาระปัสสาวะเอาไว้  หรือแก้โดยการไม่ดื่มน้ำจะได้ไม่ต้องปัสสาวะ  พฤติกรรมดังกล่าวนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะดาราหรอก  มีอีกหลายอาชีพที่เป็นกันอย่างนี้   อาจจะเป็นเพราะภาวะสังคมที่รีบเร่งแข่งขันกัน ท่านที่ทำงานนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์หรือพนักงานทำบัญชีด้วยแล้ว  ไม่ค่อยอยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำกัน  กลัวจะเสียเวลาทำงานหรือลืมเข้าห้องน้ำก็มี  พอทำอย่างนี้ไปนานๆ เข้าร่างกายเราก็สร้างความคุ้นเคยว่าไม่ต้องอุจจาระไม่ต้องปัสสาวะกันเลย
โดยร่างกายเข้าใจว่าวิธีการนี้ถูกต้อง  ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซนต์ เลือดเราประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซนต์   กระดูกเราก็ประกอบด้วยน้ำ 22 เปอร์เซ็นต์   ร่างกายเราเสียน้ำวันละ 2 ลิตรเศษ แล้วรับน้ำเข้าไป เพียงพอหรือไม่  ถ้าไม่พอเราก็ถือว่าขาดน้ำ ร่างกายและอวัยวะภายในจะรวนผิดปกติไปหมด เลือดเราจะข้นหนืด  ยากที่หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายส่วนต่างๆ  ของร่างกาย หัวใจเองนั่นแหละจะตีบตันเสียก่อน ต้องทำบายพาสกันวุ่นวาย  ความจำก็จะเสื่อมหรือเป็นอัลไซเมอร์ เพราะเลือดเลี้ยงสมองไม่พอ เส้นเลือดก็จะตีบตันหมดหรือไม่มีเลือดจะขึ้นไปเลี้ยง
จากประสบการณ์ที่พบคนไข้ที่เป็นโรคความจำเสื่อม เป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่ๆ ก็หลายท่าน ดื่มน้ำวันละ 2-3 แก้ว ไม่เกิน 500  ซี.ซี. เลือดก็ข้นหนืด เต็มไปด้วยไขมัน สังเกตได้หัวตาเหมือนกับเอาพู่กันป้ายสีขาวไว้ และฟันธงได้เลยว่าทุกรายถ้าดื่มน้ำอย่างนี้คลอเรสเทอรอลสูงทุกคน รอเส้นเลือดอุดตันได้เลย
เมื่อไปหาหมอ หมอก็จะจ่ายยาละลายลิ่มเลือดให้กิน  มันก็เหมือนเราเอาสารส้มแกว่งในตุ่มน้ำเพื่อให้น้ำใส  ตะกอนเมื่อมันนอนก้นน้ำก็จะใส แต่ถ้าเอาอะไรไปแกว่งทำให้น้ำกระเทือน ตะกอนก็ยังจะลอยขึ้นมาทำให้น้ำขุ่นอีกอยู่ดี เช่นเดียวกัน  เมื่อเรากินยาเลือดก็จะใส แค่ตะกอนในร่างกายมันยังไม่ออกยังนอนก้นอยู่ในร่างกายเรา  ดังนั้นเราต้องใช้น้ำพาตะกอนเหล่านั้นออกมาให้ได้  ไม่อย่างนั้นมันก็จะกลับไปอุดตันเส้นเลือดเราอีก   เมื่อร่างกายขาดน้ำลำไส้ก็แห้ง ไม่มีน้ำที่จะพอเอาอุจจาระออกมาได้ ของเสียก็จะสะสมอยู่ในลำไส้  และลำไส้ก็ดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าร่างกายอีกเลือดเราก็ยังสกปรกและข้น หนืดมากขึ้นไปอีก และลองพิจารณาดูครับว่า เลือดที่เสียเมื่อเข้าไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายแล้วนั้น จะให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมายเพียงใด  ที่ถูกแล้วเราควรจะอุจจาระ 1-3 ครั้งทุกๆ วัน ออกมาเป็นเส้นไม่เล็กนัก
ปริมาณพอสมควรกับอาหารที่   เราทานเข้าไป ไม่ใช่ทานเข้าไป 1 กิโลกรัม ถ่ายออกมา 1 ขีด ที่เหลือหายไปไหนหมด มันเข้าไปบำรุงร่างกายเราทั้งหมดหรือ  ถ้าเป็นอย่างนั้นเราคงตัวโตเท่าช้างแน่   การที่รอบเดือนหายไป 5-6 เดือนหรือมาๆ หยุดๆ แล้วแต่อารมณ์นั้น ไม่ใช่เรื่องปกติของผู้หญิงทั่วไป  ที่ถูกสำหรับดาราสาวท่านนี้ ดื่มน้ำน้อยมาก เลือดคงจะข้นหนืด ผนังมดลูกคงจะแห้งไม่ลอกหลุดออกมาเมื่อมีไข่ตกและไม่ได้รับการผสมพันธุ์  เลือดนั้นก็ยังสะสมเป็นของเสียอยู่ที่ผนังมดลูกเดือนแล้วเดือนเล่า เมื่อช่องทางการขับของเสียดำเนินไม่ได้ตามธรรมชาติร่างกายก็จะสร้างรั้วขอบเขตเป็นถุง เป็นเนื้องอก มาหุ้มห่อของเสียนั้นไว้ ของเสียก็จะค่อยๆกลายเป็นเนื้องอกและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด
ช่องทางในการขับของเสียออกจะมีอยู่ 5 ช่องทางด้วยกันคือ
1. ไต   ขับออกมาทางปัสสาวะ                               
2. ลำไส้ใหญ่   ขับออกมาทางอุจจาระ
3. ปอด   ขับออกมาทางลมหายใจ                           
4. ผิวหนัง  ขับออกมาทางเหงื่อ
5. รอบเดือน   ขับออกมาทางประจำเดือน
 
เมื่อช่องทางการขับของเสียไม่สมบูรณ์ หรือถูกปิดกั้นมันก็จะต้องพยายามหาทางออกให้ได้ เช่น ออกมาเป็น   สิว ฝ้า กระ  ฝี ริดสีดวง สิ่งเหล่านี้เป็นของเสียที่ร่างกายพยายามขับออกมาทั้งนั้น ดังนั้นถ้าเรามีอาการดังที่กล่าวมา ก็ขอให้เราจงเข้าใจด้วยว่าร่างกายเรามีของเน่าเสียอยู่ภายในแล้ว มันเป็นสัญญาณเตือนภัย   ที่เราไม่ควรมองข้าม หรือกินแต่ยา ฉีดยากดอาการเหล่านี้ไว้ไม่ให้แสดงออก เพราะนั่นไม่ใช่วิธีการรักษา หรือบำบัดโรคต่างๆให้หายไป แต่กลับเป็นการทำให้โรคหรืออาการนั้นรุกคืบไปเรื่อยๆ
เหมือนรุกใต้ดิน   โดยที่เราไม่รู้สึกอะไร จะรู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อสายเสียแล้ว...
 
4. เส้นโลหิตในสมองบกพร่อง – เคล็ดลับการวินิจฉัยอาการโรค Apoplexy
เพื่อนคนหนึ่ง หกล้ม ในงานบาร์บีคิวปาร์ตี้ เพื่อนในงานแนะให้หาหมอ   แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นไร เพียงแต่ใส่รองเท้าใหม่แล้วสะดุดเท่านั้น  อิงอิงดูยืนไม่ค่อยมั่นคง   เพื่อนช่วยปัดเป่าเสื้อผ้าให้แล้วยกอาหารจานใหม่ให้ร่วมสนุกกันต่อ  หลังจากนั้น  ผู้สามีแจ้งมาว่า อิงอิงถูกส่งเข้าโรงพยาบาล  แต่แล้วก็เสียชีวิตตอน6 โมงเย็น  ถ้าหากเพื่อนๆ รู้จักวินิจฉัยอาการโรค  ป่านนี้อิงอิงอาจยังมีชีวิตอยู่กับเพื่อนๆ บางคนเส้นโลหิตในสมองแตก อาจไม่ตาย  แต่ก็อาจเป็นอัมพฤตหรืออัมพาด
แพทย์ทางประสาทวิทยากล่าวว่า หากผู้ป่วยถึงมือแพทย์ภายใน 3 ชม.ก็ จะมีโอกาสรอด หากคน
ข้างเคียงไม่รู้จักวินิจฉัยอาการ สมองผู้ป่วยก็จะถูกทำลายอย่างร้ายแรง แพทย์แนะว่า คนข้างเคียงเพียงแค่ทดสอบผู้ป่วยด้วย 3 ข้อ  โปรดจำเคล็ดลับ STR ดังต่อไปนี้
S:  (smile) ให้ผู้ป่วยยิ้ม
T:  (talk) ให้ผู้ป่วยพูดประโยคที่มีสาระสมบูรณ์  เช่น  วันนี้อากาศสดใสดีจัง
R:  (raise) ให้ผู้ป่วยชูแขนสองข้าง
 
อาการอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม
ให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออก ถ้าลิ้นม้วนหรือเบี้ยวไปข้างหนึ่ง  ใช่แล้ว ส่ออาการอันตราย !!!
ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปรกติข้อใดข้อหนึ่ง  ให้รีบติดต่อแพทย์  ส่งร.พ.โดยด่วน
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 2 [3] 4  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><