22 พฤศจิกายน 2567, 22:12:33
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 [2] 3 4  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องการฝึกตันเถียนโยคะ โดย ..พี่สิงห์  (อ่าน 55370 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #25 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 11:26:02 »

สาเหตุหลักของการเจ็บป่วย
***
อาหารที่รับประทานอยู่ทุกวัน
ไม่ออกกำลังกาย - ไม่อยู่ในอิริยาบถ - ผักผ่อนน้อย
อารมณ์ขุ่นมัว วิตกกังวล ฟุ้งซ่าน เพราะขาดสติ
การป้องกันรักษา คือ “ให้ทำตรงกันข้าม”
***
การ“นอนเร็ว ตื่นเช้า”
 และ
 หลัก“ 3อ.”
เพื่อ
การดำรงชีวิตให้มีความสุข และ อยู่อย่างไร้โรค
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #26 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 11:37:16 »

ตัวอย่าง
ตรวจ-วินิจฉัย-รักษา
เชิงป้องกัน  ก่อนที่จะเจ็บป่วย

โรคที่เกิดจาก
อาหารที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวัน
“กินอย่างไร  ได้อย่างนั้น”
•   วินิจฉัย สาเหตุเกิดจาก วัฒนธรรมการกินของคนไทยเปลี่ยนไป คือ  กินไม่ครบ 3 มื้อ กินอาหารขยะ กินมากเกินไป กินตามใจอยาก ไม่กินผักกินของทอด-ปิ้ง  กินจุบจิบ  กิบน้ำผสมน้ำตาล และกินแล้วนอนเร็ว
•   เป็นกลุ่มโรคที่ต้องเสียเงินมากในการรักษาพยาบาล ณ ปัจจุบัน   เช่น   โรคกรดไหลย้อน อ้วน ข้อเสื่อม ความดัน เบาหวาน หลอดเลือดหัวใจ
•   รักษา ให้“ทำตรงกันข้าม”คือรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ถูกต้องตามหลักอนามัย-โภชนาการ ครบทั้ง 3 มื้อ ในปริมาณเหมาะสมตรงเวลา ไม่กินจุบจิบ ไม่ดื่มน้ำอัดลมและมื้อเย็นต้องกินเสร็จก่อนนอน 2.5ชั่วโมง


โรคที่เกิดจาก
การอยู่ในอิริยาบถเดิมเป็นเวลานาน หรือท่าทางการทำกิจวัตรประจำวันที่ไม่ถูกสุขลักษณะ หรือการยกของหนักที่ไม่ถูกท่า
•   วินิจฉัย สาเหตุเกิดจาก การยืน การเดิน การนั่ง การนอน และการยกของหนัก  ไม่ถูกสุขลักษณะหรืออยู่ในท่านั้นนาน ๆ  ผล คือ โครงกระดูกบิดเบี้ยว  เกิดโรคตามมาภายหลังหรือเมื่ออายุมากขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยชรา
•   ได้แก่กลุ่มโรคเกี่ยวกับโครงกระดูกบิดเบี้ยว กระดูกทับเส้นประสาท ปวดเหมื่อยตามร่างกาย เป็นกลุ่มโรคที่ทรมาน  รักษาอยาก และไม่หายขาด
•   รักษา ให้ “ทำตรงกันข้าม” คือทุกอิริยาบถ ต้องทำให้ถูกสุขลักษณะ ตามหลักสรีระวิทยา ไม่สะพายหรือถือกระเป๋าด้วยไหล่-แขนข้างเดียว ถ้ายกของหนักต้องให้ถูกท่า และต้องเริ่มดูแลร่างกายตั้งแต่ยังหนุ่ม - สาว


โรคที่เกิดจาก
การใช้ร่างกายทำงานหนักเกินไป พักผ่อนไม่เพียงพอ
•   วินิจฉัย สาเหตุเกิดจาก พักผ่อนหลับนอนไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ภูมิต้านทานโรคลดลง เชิ้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย
•   กลุ่มโรคตระกูลไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ แพ้อากาศ โรคเครียด     ปวดหัว มายเกรน  โรคตับอักเสบ  โรคไตเสื่อม และโรคติดเชื้อต่าง ๆ
•   รักษา ให้ “ทำตรงกันข้าม” คือไม่ทำงานหักโหม หรือทำงานเกินกำลัง หรือเมื่อรู้สึกว่าร่างกายทำงานต่อไปไม่ไหวแล้วต้องหยุดพักทันที นอนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทำอารมณ์ให้แจ่มใส  ไม่นอนดึกเกินสี่ทุ่ม หลับให้สนิท กรณีทำงานเป็นคาบต้องนอนให้เพียงพอ


โรคที่เกิดจาก
อารมณ์
•   วินิจฉัย สาเหตุเกิดจาก “อาสวะกิเลส”  คือความโลภ(รวมราคะ)  ความโกรธ ความหลง ที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาลเป็นปัจจัย พอประสพเหตุการเดิม ๆ นั้นอีกก็ “ขาดสติ” การไม่รู้จักการปล่อยวาง  ยังยึดมั่นถือมั่นตามอารมณ์ และการทำงานไม่ประสบความสำเร็จ
•   กลุ่มโรคเครียด วิตกกังวล ปวดหัว ปวดมายเกรน และนอนไม่หลับ
•   รักษา ให้ “ทำตรงกันข้าม” คือให้ “มีสติ” รู้ตัวก่อนที่จะคิด ก่อนที่จะทำ ก่อนที่จะพูด   ทำอารมณ์ให้แจ่มใส  พักผ่อนให้เพียงพอ   ออกกำลังกาย ไม่นอนดึก หลับให้ลึก สวดมนต์และเจริญสติก่อนนอนทุกคืน และยึดหลัก “พุทธธรรม” ในการดำรงชีวิตประจำวัน


โรคที่เกิดจาก
อุบัติเหตุ
•   วินิจฉัย สาเหตุเกิดจาก การ “ขาดสติ”ในการกระทำ เช่น
–   ทำงานใจลอย ขาดการระมัดระวัง   
–   โทรศัพท์ขณะขับรถ ง่วงนอน ใจลอย ขาดการระมัดระวัง
–   เมาสุราขณะขับรถ หรือ ขับรถด้วยการขาด “สติ” เป็นต้น
•   รักษา ให้ “ทำตรงกันข้าม” คือ ให้มี “สติ”ในการกระทำเสมอ เช่น
–   ไม่โทรศัพท์ขณะขับรถ ถ้าดื่มสุราต้องไม่ขับรถ ขับรถด้วยการมี“สติ”รู้ตัวตลอดเวลา ถ้ารู้สึกว่าง่วงให้จอดพักทันที
–   ทำงานด้วยการมี “สติ” ตลอดเวลาให้รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่


โรคที่เกิดจาก
ภูมิแพ้ และ กรรมพันธุ์
•   วินิจฉัย สาเหตุ ให้พบว่า “เรามีโอกาสที่จะเป็นบ้างไหม ?”(ถามตัวเอง)
•   กลุ่มโรค อ้วน เบาหวาน หัวใจ ภูมิแพ้ มะเร็ง
•   รักษา ให้ “ทำตรงกันข้าม” (ทำไม่ได้ เพราะ พ่อ – แม่ ให้มา)
•   แต่เราสามารถ “ป้องกันได้” ด้วยตัวของเราเอง ถ้าตั้งใจจริงและให้ “ความสำคัญ” กับมัน
•   ใช้หลัก การ “นอนเร็ว ตื่นเช้า” และ หลัก “ 3อ. ” มาปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง  เหมือนเป็นหน้าที่  ที่จะต้องกระทำเป็นประจำทุกวัน
•   แต่ถ้าแพ้ใจตัวเองไม่สามารถกระทำได้ ให้ยึดหลัก“อิทธิบาท ๔”


สรุป
โรคที่มีโอกาสเป็นแน่ ๆ ถ้าไม่ป้องกันให้ถูกวิธี
•   โรคไข้หวัดชนิดต่าง ๆ
•   โรคทางเดินอาหาร เช่นโรคกรดไหลย้อน โรคกระเพาะ โรคลำไส้
•   โรคปวดหัว หรือ ปวดมายเกรน
•   โรคปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดหลัง  หมอนรองกระดูกทรุด
•   โรคข้อเสื่อม ปวดตามข้อ  ลุก-นั่ง-ยืน-เดินลำบากและปวดเหมื่อย
•   โรคเครียด นอนไม่หลับ วิตกกังวล ผลสุดท้าย คือเป็นมะเร็ง
•   โรคตับอักเสบ โรคไตวาย และโรคนิ่ว
•   โรคอ้วน  โรคความดันโลหิตสูง-ต่ำ  โรคเบาหวาน
•   โรคชาตามแขน ขา นิ้วมือ นิ้วเท้า เพราะขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง
•   โรคหลอดเลือดหัวใจ ตีบ ตัน กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #27 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 11:44:25 »

การ
“นอนเร็ว ตื่นเช้า”
ช่วยซ่อมร่างกายได้จริงๆ

ประโยชน์
ของ การ “นอนเร็ว ตื่นเช้า”
•   มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ ร่างกายของมนุษย์สามารถซ่อมแซมส่วนต่างๆ ของร่างกายที่สึกหรอ สูญเสีย เสื่อมโทรม จากการถูกใช้งานไปในแต่ละวันให้กลับมาสมบูรณ์ได้ใหม่ดังเดิม ถ้าได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ คือ การนอนหลับในช่วงเวลากลางคืน ที่ธรรมชาติกำหนดให้ต้องนอน   การนอนแต่หัวค่ำ นอนให้หลับเป็นตาย หลับให้ลึก ในช่วงเวลาสี่ทุ่ม ถึง ตีหนึ่ง นั้น เป็นช่วงที่ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายจะซ่อมแซมด้วยตัวของมันเอง สังเกตได้ พอเราตื่นขึ้นมาในตอนเช้า จะรู้สึกสดชื่นมาก ๆ
•   การนอนดึก ตื่นสาย นอกจากร่างกายไม่ได้พักผ่อน ไม่สามารถซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ได้แล้ว ยังทำให้อ้วน ไม่สดชื่น และแก่เกินวัย
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #28 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 11:50:08 »

“อ. อาหาร”

“You are what you eat”
“กินอะไรเข้าไปก็จะส่งผลต่อชีวิตของเราอย่างนั้น”

อ. อาหาร
แนะนำคือ

•   รับประทานอาหาร สูตร 2:1:1 ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข คือ ผักสองส่วน : แป้งหนึ่งส่วน : โปรตีนหนึ่งส่วน  เฉลี่ยให้ได้ทุกวัน หรือทุกมื้อ และยุทธวิธี “กินร้อน ช้อนกลาง”
•   โปรตีนขอให้เป็นเนื้อปลา เป็นส่วนใหญ่
•   หลีกเลี่ยงอาหารที่ต้องทอด หรือผัดด้วยน้ำมัน และงดอาหารขยะ
•   หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัด เช่น เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม และเผ็ด
•   งดน้ำชา กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มรสปรุงแต่งผสมน้ำตาล ขนมหวาน
•   งดเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ทุกชนิด และไม่กินจุกกินจิก
•   รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ตามหลักโภชนาการ
•   รับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ ตรงเวลา ในปริมาณที่พอเหมาะ
•   อาหารต้องสะอาด ถูกหลักอนามัย และเป็นผัก – ผลไม้ ท้องถิ่น
•   มื้อเย็น ให้รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย หรือรับประทานสลัดผัก หรือผลไม้ แทนก็ได้ ผลไม้แนะนำให้เป็นฝรั่ง หรือชมพู่ ได้ยิ่งดี
•   ภายหลังรับประทานอาหารเสร็จ แนะนำให้เดินจงกรมสิบนาที
•   มื้อเย็นควรรับประทานอาหารก่อนเข้านอนอย่างน้อย 2.5 ชั่วโมง


พุทธพจน์
ทรงแสดงอานิสงส์ในการเดินจงกรม (เดินกลับไปกลับมา) ๕ ประการ
•   อดทนต่อการเดินทางไกล
•   อดทนต่อความเพียร
•   มีอาพาธน้อย
•   อาหารที่กิน,  ดื่ม,  เคี้ยว,  ลิ้มรสแล้ว ย่อมย่อยไปด้วยดี
•   สมาธิที่ได้ในขณะจงกรม ย่อมตั้งอยู่นาน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #29 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 11:55:14 »

อ. ออกกำลังกาย


•   ออกกำลังกายทุกครั้ง ต้องให้ต่อเนื่อง อย่างน้อย 30 นาที ขึ้นไป เพื่อให้หัวใจได้ทำงานสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และปอดทำงาน ได้เต็มที่ (เป็นการออกกำลังของหัวใจและปอด)
•   ความถี่  ให้ออกกำลังกายอย่างน้อย 3 - 4 ครั้งต่อสัปดาห์
•   ก่อนออกกำลังกาย 3 ชั่วโมง ไม่ควรรับประทานอาหารหนัก
•   ผู้ที่เป็นโรคอ้วน  เบาหวาน  ไขมันสูง  ความดันโลหิตสูง แนะนำให้ ฝึกไท้จี๋และรำกระบอง 12 ท่า ให้เหงื่อออก เพื่อเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ทำให้หัวใจ – ปอด ทำงานได้เต็มที่  ช่วยให้ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ

การออกกำลังกาย แบบตะวันตก
•     เดิน  วิ่ง  เต้นแอโรบิค  ฟิตเนส  SPACE SKY WALKER
•     เต้นรำ  เล่นกีฬาตามที่ถนัด หรือชอบ

การออกกำลังกาย แบบตะวันออก
•     ฝึกไท้จี๋ หรือชี่กง หรือรำมวยจีน
•     ฝึกโยคะ
•    รำกระบอง 12 ท่าของป้าบุญมี หรือรำไทย


เลือกการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับวัย หรือโรคเรื้อรังที่เราเป็นอยู่

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #30 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 12:02:13 »

“ อ. อิริยาบถ ”

•   ในชีวิตประจำวันคนเรา ต้องทำงานอยู่ในท่าต่าง ๆ แตกต่างกัน บางคนนั่งทำงานท่าเดียวนาน ๆ บางคนยืนและเดินตลอดทั้งวัน หากเราอยู่ในท่าเดียวนานๆ แล้วไม่มีการยืดเส้นยืดสาย หย่อนคลายจะทำให้การหด / ยืด ของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ ซึ่งนำไปสู่การโดนรัดของเส้นประสาท / เส้นเลือดในที่สุด ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่ออวัยวะต่าง ๆ ตามมาภายหลังได้ ดังนั้นจึงควรรู้อิริยาบถที่ถูกต้อง ดังต่อไปนี้

การยืน
•   ต้องยืนให้หน้าตรง  คางไม่ยื่น ยืดอก ไม่ยกไหล่ แขม่วพุง มองด้านหน้าไม่คด มองด้านข้างไม่ค่อม ไม่พุ่งยื่น

การเดิน
•   ต้องเดินหน้าตรง ไม่เดินหลังค่อม ไม่เดินเอียง

การนอน
•   การนอนหงาย ต้องนอนให้หู – ไหล่ – สะโพก อยู่ในแนวเดียวกัน
•   การนอนตะแคง ต้องมีหมอนรองศีรษะเสมอขนาดใหญ่เท่าช่วงไหล่ หาหมอนแน่น ๆ รองเข่าท่อนบน และปลายเท้าไม่ให้สะโพกหุบและบิด
•   คนที่มีรูปร่างอ้วน ควรหลีกเลี่ยงการนอนตะแคง เพราะทำให้กระดูกสันหลังคด หรือที่เรียกว่า “ตกท้องช้าง

การนั่ง
•   ถ้าเก้าอี้สูงเกินไป เข่าจะอยู่ต่ำกว่าสะโพก ทำให้หลังตึง
•   ถ้าเก้าอี้ต่ำเกินไป เข่าอยู่สูงกว่าสะโพก จะเมื่อยต้นขาบริเวณขาหนีบ
•   ควรนั่งเก้าอี้ขนาดพอดี ใช้มือสอดบริเวณท้องขาใกล้หัวเข่าได้ เก้าอี้ตัวใหญ่ เบาะนุ่ม พิงสบายก็มีปัญหาเวลาลุกต้องก้มตัว ถ้านั่ง-ลุกบ่อย ๆ มีปัญหาที่หลังได้
•   ควรหาหมอนมารองหลังช่วงล่างบริเวณเว้าเหนือก้น
•   โต๊ะก็มีความสำคัญ โดยโต๊ะกับเก้าอี้ต้องมีความสูงสัมพันธ์กัน ถ้าโต๊ะสูง ต้องยกไหล่ทำให้ปวดบริเวณกล้ามเนื้อสะบักไหล่ อาจทำให้ปวดศีรษะตามมาได้ ถ้าโต๊ะต่ำ ต้องก้มตัวเขียน ทำให้ปวดหลังได้
•   การยกของหนัก ห้ามก้มตัวลงเพื่อยกของหนัก น้ำหนักตัวและของขณะก้มจะทำให้ความดันในหมอนรองกระดูกสันหลังสูงขึ้น เป็นผลให้หมอนรองกระดุกสันหลังเคลื่อนไปกดทับเส้นประสาทได้ ทำให้ปวดร้าวลงขา หรือมากถึงขั้นอัมพาดได้ ดังนั้นควรย่อเข่าเพื่อเก็บ / ยกของ

หลักการในการใช้งานร่างกาย
•   ทำงานในอิริยาบถที่ถูกต้อง และไม่อยู่ในอิริยาบถนั้นนาน ๆ
•   หากมีการล้า / ตึง / เกร็ง ให้เปลี่ยนอิริยาบถ เช่นนั่งพิมพ์งานแล้วรู้สึกเมื่อย ให้ยืดตัว เหยียดมือ หรือลุกเดินสักครู่
•   ถ้ายืนนาน ๆ อาจหาที่พักเท้ามาวางเท้า เพื่อให้กล้ามเนื้อหลังหย่อน ไม่ตึง
•   ต้องไม่รู้สึกเกร็ง / ฝืน / ขัด / ตึง ขณะใช้ร่างกาย ควรเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกสบาย
•   ต้องหมั่นยืดบ่อย ๆ  ร่างกายคนเรา ถ้าอยู่ในท่าเดียวนาน ๆ จะหด / ยืด         ถ้าไม่ใช้งานเลย ข้อจะติด เพราะฉะนั้นต้องหมั่นยืดร่างกายทุกส่วน ทั้งส่วนที่ใช้บ่อยและส่วนที่ไม่ค่อยได้ใช้

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #31 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 12:07:37 »

ไท้จี๋ – ชี่กง
TAICHI – CHI GONG

•   แพทย์แผนจีน แบ่งระบบอวัยวะภายในร่างกายตามหน้าที่ คือ
–   ห้าอวัยวะหยิน(yin organs) ได้แก่ หัวใจ ปอด ม้าม ไต ตับ
–   หกอวัยวะหยาง(yang organs) ได้แก่ กระเพาะ ถุงน้ำดี กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้เล็ก  ลำไส้ใหญ่ ซันเจียว(บริเวณช่องอกทั้งหมด)
•   เส้นลมปราณ (meridians) เป็นเส้นที่ใช้ถ่ายทอดพลัง ของเหลว และเลือดไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เส้นลมปราณนี้ได้ยึดโยงอวัยวะภายในทุกอวัยวะ จึงทำให้อวัยวะภายในทั้งหมดมีความเกี่ยวโยงถึงกันและกัน ช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายเกิดการสมดุล
•   เส้นลมปราณ เป็นเส้นที่แพทย์แผนจีนใช้เป็นจุดฝังเข็ม รักษาโรค
•   ชี่ หรือชิ (Chi) หมายถึงการหายใจ หรือพลังชีวิต ที่ทำให้มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ชี่ หรือชิ เป็นพลังงานที่ไหลวนเวียนอยู่ภายในร่างกายของมนุษย์ หรือสัตว์ ไปตามเส้นลมปราณ
•   กง (Gong) หมายถึง ทักษะการออกกำลังกาย หรือการฝึกทักษะ
•   ชี่กง หรือชิกง หมายถึง การฝึกฝนร่างกายเพื่อให้พลังชี่ หรือชิ ไหลวนเวียนไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยสะดวก
•   ไท้จี๋ (TAI CHI) หรือไท้จี๋ชวน (Tai Chi Chuan) ภาษาแต้จิ๋วเรียกว่า “ ไท้เก๊ก” ส่วนภาษาไทยจะเรียกว่า “มวยจีน” เป็นการออกกำลังกายควบคู่กับการหายใจ และสมาธิ โดยเรียนแบบท่าทางมาจากการเคลื่อนไหวของสัตว์ รำต่อเนื่องเป็นชุด
•   ไท้จี๋ และชี่กง อาศัยความคิดตามปรัชญาเต๋าที่ว่า  ร่างกายคนเราจะต้อง  มีการไหลเวียนของพลังชี่ ที่ดี หากพลังชี่ ติดขัดก็จะทำให้ไม่สบาย หรือเจ็บป่วยได้
•   ชาวจีนเชื่อว่า  เทคนิคนี้เป็นวิธีการรักษาโรคเรื้อรังต่าง ๆ ให้หายได้ เช่น             โรคกระเพาะอาหาร  ความดันโลหิตสูง  วิตกกังวล  หูอักเสบ  มะเร็ง      โรคโลหิตจาง โรคเบาหวาน และยังเพิ่มปริมาณของสารสื่อประสาท
•   ไท้จี๋ หรือชี่กง เป็นการปฏิบัติสมาธิแบบเคลื่อนไหว   เป็นการออกกำลังกายด้วยการหายใจร่วมกับการปฏิบัติสมาธิ  มีการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลสวยงาม  เป็นธรรมชาติแบบจีน  ภายหลังฝึกจะรู้สึกสดชื่น  หายใจโล่ง

หลักในการฝึกไท้จี๋ หรือชี่กง หรือรำมวยจีน
•   ในระหว่างการฝึก ต้องผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ
•   การผ่อนคลายร่างกาย   ทำได้โดยการจินตนาการตามท่ารำ ให้นิ่มนวล สวยงาม เป็นธรรมชาติ และรู้สึกสบาย
•   การผ่อนคลายทางจิตใจ ให้เคลื่อนไหวตามท่ารำอย่างมีสมาธิ จิตจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจเข้า – ออก และการเคลื่อนไหวของร่างกาย เท่านั้น
•   ฝึกการหายใจให้สอดคล้องกับท่ารำ ให้หายใจเข้าช้า ๆ ยาว ๆ หายใจออกให้ช้า ๆ ยาว ๆ และหายใจให้เป็นธรรมชาติ ไม่กลั้นหายใจขณะฝึก
•   การฝึกจะต้องตั้งใจทำ และฝึกอย่างต่อเนื่องทุกวันจึงจะได้ผล

ประโยชน์ของการฝึกไท้จี๋ หรือชี่กง หรือรำมวยจีน
•   ช่วยทำให้ระบบหายใจดีขึ้น  หายใจเต็มปอด และสามารถหายใจได้ลึก
•   ช่วยให้ระบบน้ำเหลือง และเลือด ไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น ทำให้ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ  หัวใจเต้นช้าลง
•   ช่วยให้ระบบอวัยวะภายในสมดุล ทำงานเป็นปกติ
•   ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับข้อต่อต่าง ๆ ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้ดี
•   ทำให้ร่างกายแข็งแรง เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค ไม่เจ็บป่วย และยังรักษาโรค
•   ช่วยผ่อนคลาย ทำให้สมาธิดีขึ้น  มีสติในการทำงาน และเป็นคนใจเย็น
•   ข้อสังเกต  ใบหน้าของผู้ที่ฝึกจะมีเลือดฝาด ปรากฏให้เห็น  เช่นที่แก้ม



"ตันเถียนโยคะ" เท่ากับ TAI CHI SALEE YOKA

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #32 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 13:33:02 »

โยคะ
YOKA

                       คือการออกกำลังกายแบบหนึ่ง ที่ช่วยคลายกล้ามเนื้อ ข้อต่อ เส้นเอ็น ต่างๆ ไม่ให้ยึดติด โดยมีหลักการ คือ ค้างท่าโยคะสัก สิบวินาที ในแต่ละท่า หรือนับหนึ่งถึงสิบช้าๆ ยาวๆ และจิตมีสมาธิ
                       ส่วนการหายใจนั้น ถ้าฝึกมามากแนะนำให้หายใจแบบโยคะ คือ ให้ใจเข้าท้องป่อง (ค้างไว้สักอึดใจเพื่อให้กระบังลมเปิด รับอ๊อกวิเจน) หายใจออกท้องแฟบ


ประโยชน์ของการฝึกโยคะ
•   ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น
•   ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับข้อต่อ  ทำให้ข้อต่อสามารถเคลื่อนไหวได้ระยะหรือมุมการเคลื่อนไหวที่มากกว่าเดิม
•   ช่วยผ่อนคลาย และลดความตึงเครียด ที่เกิดจากการทำงาน ในชีวิตประจำวัน
•   ช่วยแก้ไขทรวดทรงให้ดูดีขึ้น
•   ช่วยทำให้สมาธิดีขึ้น
•   เพิ่มความมีสติ
•   ช่วยบรรเทาอาการปวดเหมื่อย ที่เกิดจากการเล่นกีฬา หรือการทำงานในชีวิตประจำวัน
•   โยคะช่วยลดอาการปวดประจำเดือน
•   โยคะมีผลในทางบำบัดรักษา โรคต่าง ๆ ที่มีสาเหตุมาจากความเครียด เช่นไมแกรน หรือกล้ามเนื้อเกร็งและตึง ปวดไหล่ ปวดต้นคอ ปวดหลัง
•   ช่วยเพิ่มความสามารถในการทรงตัว
•   ช่วยทำให้ใจเย็นลง

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #33 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 13:35:28 »

รำกระบอง 12 ท่า
ของ
ป้าบุญมี  เครือรัตน์

ประโยชน์ของการรำกระบอง 12 ท่า
ของ
ป้าบุญมี   เครือรัตน์
วันหลังผมจะรำถ่ายรูปมาให้ดูครับ

•   ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วย
•   เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ไขมัน เบาหวาน และความดัน
•   ถ้าฝึกทำท่าละอย่างน้อย 30 ครั้ง หรือต่อเนื่องเกิน 30 นาที ขึ้นไปผลที่ได้รับ คือ มีอานุภาพเท่ากับการเต้นแอโรบิก 60 นาที โดยที่ข้อเข่า หรือข้อสะโพกไม่เสื่อมสำหรับผู้สูงอายุ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #34 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 13:46:52 »

“อ. อารมณ์”

•   ไม่เครียด ไม่ขุ่นมัว ในขณะทำงาน หรือทำกิจวัตรประจำวัน
•   ทำจิตใจให้ผ่องใส่อยู่เสมอ โดยยึดหลัก “พุทธธรรม” เช่น ละนิวรณ์ ๕
•   เลือก “พุทธธรรม” นำไปสู่ความสำเร็จในการกระทำ มาปฏิบัติ
•   สวดมนต์และปฏิบัติสมาธิ ก่อนนอนทุกคืน
•   แนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบเคลื่อนไหวของ “หลวงพ่อเทียน”
•   ข้อควรระวัง ก่อนปฏิบัติสมาธิ - วิปัสสนากรรมฐาน ควรศึกษา
•   ขันธ์ ๕,  นิวรณ์ ๕,  อายาตนะ ๖,  โพชฌงค์ ๗,  และอริยะสัจ ๔
•   เพื่อป้องกันไม่ให้จิต คิดไปในทาง “อกุศลธรรม” หรือ “จิตวิปลาส”

“พุทธธรรม”
ที่ทำให้อารมณ์ดี  แจ่มใส  ไม่ขุ่นมัว
และ
ประสบความสำเร็จในการกระทำ

ภัทเทรัตตสูตร  สูตรว่าด้วยราตรีเดียวที่ดี
•   พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ตรัสแสดงอธิบาย “เกี่ยวกับบุคคลผู้มีราตรีเดียวอันดี” โดยใจความคือ ไม่ให้ติดตามเรื่องล่วงมาแล้ว ไม่ให้หวังเฉพาะเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ให้เห็นแจ้งปัจจุบัน ให้รีบเร่งทำความเพียรเสียในวันนี้ ใครจะรู้ว่าความตายจะมีในวันพรุ่ง เพราะจะผัดเพี้ยนต่อมฤตยูผู้มีเสนาใหญ่ ย่อมไม่ได้ คนที่มีความเพียรอย่างนี้ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันกลางคืน เรียกว่า มีราตรีเดียวอันดี(เจริญ)
•   การไม่ติดตามอดีต การไม่หวังเฉพาะอนาคต ตรัสอธิบายว่า ไม่ให้มีความยินดี เพลิดเพลินในอดีตและอนาคต นั้น

อย่ายึดติดกับ “ อายตนะ ๖ ”
1.   รูป
2.   เสียง
3.   กลิ่น
4.   รส
5.   โผฏฐัพพะ (สิ่งที่ถูกต้องกายทั้งหลาย)
6.   ธรรมารมณ์ (สิ่งทั้งหลายที่ใจรู้ ใจคิด)

                                               ละนิวรณ์ ๕ ด้วย โพชฌงค์ ๗
                                                                 เพื่อ
                                       อารมณ์ดี ไม่ขุ่นมัว ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วิตกกังวล

นิวรณ์ ๕
นิวรณ์ อธิบายเป็นพุทธพจน์ มีความว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการเหล่านี้   เป็นเครื่องปิดกั้น (กุศลกรรม)  เป็นเครื่องห้าม (ความเจริญงอกงาม)  ขึ้นกดทับจิตใจไว้  ทำปัญญาให้อ่อนกำลัง” 
   “เป็นอุปกิเลสแห่งจิต (สนิมใจ  หรือสิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมอง)          ทำปัญญาให้อ่อนกำลัง”   
   “ธรรม ๕ ประการเหล่านี้ เป็นนิวรณ์  ทำให้มืดบอด   ทำให้ไร้จักษุ ทำให้ไม่มีญาณ (สร้างความไม่รู้)  ทำให้ปัญญาดับ    ส่งเสริมความคับแค้น  ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน”
นิวรณ์ ๕ ประกอบด้วย
1.   กามฉันท์   ความอยากได้อยากเอา
2.      พยาบาท   ความขัดเคืองแค้นใจ
3.      ถีนมิทธะ   ความหดหู่และเซื่องซึม
4.      อุทธัจจกุกกุจจะ   ความฟุ้งซ่านและเดือดร้อนใจ
5.      วิจิกิจฉา   ความลังเลสงสัย

“ โพชฌงค์ ๗ ”
•   มีพุทธพจน์จำกัดความหมายของโพชฌงค์ไว้สั้น ๆ ว่า “เพราะเป็นไปเพื่อโพธะ (ความตรัสรู้) ฉะนั้นจึงเรียกว่า โพชฌงค์”
•   “ภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ ประการเหล่านี้ ไม่เป็นเครื่องปิดกั้น ไม่เป็นนิวรณ์ ไม่เป็นอุปกิเลสแห่งจิตเมื่อเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งผล คือวิชชา และวิมุตติ”
•   “ภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ ประการเหล่านี้ เป็นธรรมให้มีจักษุ           ทำให้มีญาณ ส่งเสริมความเจริญแห่งปัญญา ไม่เป็นข้างความคับแค้น เป็นไปเพื่อนิพพาน”
“ โพชฌงค์ ๗ ” มีความหมายรายข้อ ดังนี้
•   สติ ความระลึกได้ หมายถึง ความสามารถทวนระลึกนึกถึง  หรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่จะพึงเกี่ยวข้อง หรือต้องใช้ ต้องทำในเวลานั้น            ในโพชฌงค์นี้ สติมีความหมายคลุมตั้งแต่การมีสติกำกับตัว ใจอยู่กับสิ่งที่กำลังกำหนดพิจารณาเฉพาะหน้า จนถึงการหวนระลึกรวบรวมเอาธรรมที่ได้สดับเล่าเรียนแล้ว หรือสิ่งที่จะพึงเกี่ยวข้องต้องใช้ต้องทำ มานำเสนอต่อปัญญาที่ตรวจตรองพิจารณา
•   ธัมมวิจยะ หรือธรรมวิจัย  ความเฟ้นธรรม หมายถึง การใช้ปัญญาสอบสวนพิจารณาสิ่งที่สติกำหนดไว้  หรือธรรมที่สติระลึกรวมมานำเสนอนั้น ตามสภาวะ เช่น ไตร่ตรองให้เข้าใจความหมาย จับสาระของสิ่งที่พิจารณานั้นได้ ตรวจตราเลือกเฟ้นเอาธรรม หรือสิ่งที่เกื้อกูลแก่ชีวิตจิตใจ หรือสิ่งที่ใช้ได้เหมาะดีที่สุด ในกรณีนั้น ๆ หรือมองเห็นอาการที่สิ่งที่พิจารณานั้นเกิดขึ้น ตั้งอยู่  ดับไป  เข้าใจตามสภาวะที่เป็นไตรลักษณ์ ตลอดจนปัญญาที่มองเห็นอริยสัจ
•   วิริยะ ความเพียร หมายถึงความแกล้วกล้า เข้มแข็ง กระตือรือร้นในธรรมหรือสิ่งที่ปัญญาเฟ้นได้ อาจหาญในความดี มีกำลังใจ สู้กิจ บากบั่น รุดไปข้างหน้า ยกจิตไว้ได้ ไม่หดหู่ ถดถอย หรือท้อแท้
•   ปิติ ความอิ่มใจ หมายถึงความเอิบอิ่ม ปลาบปลื้ม ปรีย์เปรม ดื่มด่ำ ซาบซึ้ง แช่มชื่น ซาบซ่าน ฟูใจ
•   ปัสสัทธิ ความสงบกายใจ หมายถึงความผ่อนคลายใจ สงบระงับ เรียบเย็น ไม่เครียด ไม่กระสับกระส่าย เบาสบาย
•   สมาธิ ความมีใจตั้งมั่น หมายถึงความมีอารมณ์หนึ่งเดียว จิตแน่วแน่ต่อสิ่งที่กำหนด ทรงตัวสม่ำเสมอ เดินเรียบ อยู่กับกิจ ไม่วอกแวก ไม่ส่าย ไม่ฟุ้งซ่าน
•   อุเบกขา ความวางทีเฉยดู หมายถึงความมีใจเป็นกลาง สามารถวางทีเฉย นิ่งดูไป ในเมื่อจิตแน่วแน่อยู่กับงานแล้ว และสิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปด้วยดีตามแนวทางที่จัดวางไว้ หรือที่มันควรจะเป็น         ไม่สอดแส่ ไม่แทรกแซง


“ อิทธิบาท ๔ ”
ธรรมที่เป็นเหตุให้ประสบความสำเร็จ มี ๔ อย่างคือ
•   ฉันทะ   ความพอใจ ได้แก่ ความมีใจรักในสิ่งที่กระทำ และพอใจใฝ่รักในจุดหมายของสิ่งที่ทำนั้น
•   วิริยะ   ความเพียร ได้แก่ ความอาจหาญ แกล้วกล้า บากบั่น ก้าวไป ใจสู้   ไม่ย่อท้อ ไม่หวั่นกลัวต่ออุปสรรคและความยากลำบาก
•   จิตตะ   ความคิดจดจ่อ หรือเอาใจฝักใฝ่ ได้แก่ ความมีจิตผูกพัน จดจ่อ    เฝ้าคิดเรื่องนั้น ใจอยู่กับงานนั้น ไม่ปล่อย ไม่ห่างไปไหน
•   วิมังสา   ความสอบสวนไตร่ตรอง ได้แก่ การใช้ปัญญาพิจารณา             หมั่นใคร่ครวญตรวจตรา หาเหตุผล และตรวจสอบข้อยิ่งหย่อน เกินเลยบกพร่องหรือขัดข้องเป็นต้นในกิจที่ทำ รู้จักทดลองและคิดค้นหาทางแก้ไขปรับปรุง


“ พรหมวิหาร ๔ ”
ธรรมเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ  ธรรมประจำใจที่ประเสริฐสุทธิ์ หรือคุณธรรมประจำตัวของท่านผู้มีจิตใจกว้างขวางยิ่งใหญ่ หรือ ผู้นำ
•   เมตตา   ความรัก คือ ปรารถนาดี มีไมตรี อยากให้มนุษย์ สัตว์มีสุขทั่วหน้า
•   กรุณา   ความสงสาร คือ อยากช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์
•   มุทิตา   ความพลอยยินดี คือ พลอยมีใจแช่มชื่นเบิกบาน  เมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุขและเจริญงอกงาม ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นไป
•   อุเบกขา   ความมีใจเป็นกลาง คือ วางจิตเรียบสงบ สม่ำเสมอ เที่ยงตรงดุจตราชั่ง มองเห็นมนุษย์สัตว์ทั้งหลายได้รับผลดีร้าย          ตามเหตุปัจจัยที่ประกอบ   ไม่เอนเอียงไปด้วยชอบ หรือชัง


ข้อแนะนำ
ขณะทำงาน หรือทำกิจวัตรประจำวัน
ต้องมี
สติ และ เกิดความผ่อนคลาย
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #35 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 13:50:22 »

ระวัง! ท่านอาจจะเป็นผู้หนึ่งที่จะเป็นแบบคุณแม่ของพี่สิงห์
คุณเตรียมตัว เตรียมใจ ไว้บ้างหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนี้(ในภาพ)

คุณสามารถป้องกันได้  ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองเท่านั้น ว่าจะกระทำหรือไม่
อย่าคิดว่าปล่อยไปเถอะ จะได้ตายเร็วๆ
คนเราเวลาหยากตายมันก็ไม่ตาย  แต่ทรมารก่อนตาย มีแต่ทุกข์รอบตัว ทั้งตัวเรา และคนที่เรารัก

เรายังมีสติ มีปัญญา มีหนึ่งสมอง สองแขน สองขา ยังทำอะไรได้ทั้งนั้น ทำไม? เราไม่ดูแลร่างกาย-จิตใจของเราบ้างล่ะ
จริงไหม?



พี่สิงห์ หวังว่าใครผ่านมาทางกระทู้นี้  คงได้อ่าน นำไปปฏิบัติ จะได้

"อยู่อย่างไร? ให้ไร้โรค"

ไม่เป็นภาระของลูกหลานเมื่อยามชรา

นี่แหละชีวิต
อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา

ตัดความหยาก(ตัณหา) สามารถละความยึดมั่นถือมั่นได้(อุปาทาน) เป็นการตัดวงจรทุกข์

      บันทึกการเข้า
ดร.มนตรี
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,540

« ตอบ #36 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 13:58:20 »

ขอบคุณครับพี่สิงห์

----------------------------
ปล.

ภาพครูสอนโยคะของจีน ... มิส หมู่ฉี หมีหย่า

      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #37 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 14:06:43 »

...อุ๊ย...ท่านี้พี่ตู่ก็ทำได้ค่ะ...เคยทำมาแล้วเมื่อก่อนนี้ก็เล่นโยคะ...
...ทำไม่ได้อยู่ท่าเดียวคือท่าสะพานโค้งค่ะ...แบบว่ายกก้นไม่ขึ้นค่ะ(ก้นหนัก)...อิอิ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
ดร.มนตรี
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,540

« ตอบ #38 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 14:10:38 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 22 ตุลาคม 2553, 14:06:43
...อุ๊ย...ท่านี้พี่ตู่ก็ทำได้ค่ะ...เคยทำมาแล้วเมื่อก่อนนี้ก็เล่นโยคะ...
...ทำไม่ได้อยู่ท่าเดียวคือท่าสะพานโค้งค่ะ...แบบว่ายกก้นไม่ขึ้นค่ะ(ก้นหนัก)...อิอิ...


สวัสดีครับพี่ตู่ ... คุณครูหมู่ฉี เธอสอนได้ทุกท่าเลยครับ แต่ท่าอื่นผมไม่กล้าโพส  อายจัง
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #39 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 14:30:42 »

ยายตู่ - ดร.มนตรี
มาวิจารณ์ทำไมท่าโยคะ พี่สิงห์ทำได้หมดทุกท่า  เนื้อหาที่พี่สิงห์โพสต์ต่างหาก น่าสนใจกว่า
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #40 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 14:44:07 »

ขอคิดดี ๆ จากชายที่จากไป

แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป
โดย พิษณุ นิลกลัด

สัปดาห์สุดท้ายของปี 2548
ผมไปงานสวดและงานเผาศพผู้ชายวัย 81 ปีที่ผมรู้จักเขามายาวนาน 30 ปี
ไม่ใช่ญาติ แต่ สนิทกันรักใคร่เสมือนญาติ

ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วันเขาสั่งลูกและภรรยาแบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่า
สวดสามวันแล้วเผา ไม่ต้องบอกใครให้วุ่นวาย
อย่าเศร้า  อย่าร้องไห้  ทุกคนต้องมีวันนี้
เพียงแต่เขาอยู่หัวแถวเลยต้องไปก่อน

แล้วลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง สวดสามวันเผา
งานสวด 3 คืน มีคนฟังพระสวดคืนละ 14 คน
คือเมีย ลูก หลาน เขย สะใภ้ และผม ซึ่งเป็นคนนอก

เป็นงานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุดเท่าที่ผมเคยไปฟังสวด

วันเผามีเพิ่มเป็น 17 คน
สามคนที่เพิ่ม เป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วยเกือบทุกเย็น
คนหนึ่งเป็นแม่ค้าล็อตเตอรี่ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย
เลยเอาล็อตเตอรี่ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงิน งวดละสองใบคนหนึ่ง
และคนสุดท้ายเป็นหญิงที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็น
ทั้งสามคนบอกว่า เกือบมาไม่ทันเผา
เคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่บอกว่าเสียชีวิตไปแล้ว 3 วัน

หลังฌาปนกิจ พระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัด
ว่าเจ้าของงานจ่ายเงินค่าศาลาสวดพระอภิธรรมแล้วหรือยัง
พระท่านคงไม่เคยเห็นงานศพที่มีคนน้อยแบบที่ผมก็รู้สึกตั้งแต่สวดคืนแรก

จริงๆ แล้วผู้ตายเป็นคนค่อนข้างมีสตังค์
ทำงานธนาคารแห่งประเทศไทยจนเกษียณอายุที่ ตำแหน่งหัวหน้าหน่วย
แต่ด้วยความที่รักและศรัทธาอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการแบงค์ชาติ
จึงดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือนร้อน
แม้กระทั่งวันตาย

ผมสนิทกับเขาเพราะเขามีความฝันในวัยเด็กอยากเป็นนักประพันธ์แบบไม้เมืองเดิม
ที่เขาเคยนั่งเหลาดินสอและวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้
เมื่อตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้ พอมาเจอะผมที่เป็นนักข่าวก็เลยถูกชะตา
และให้ความเมตตา
การมีโอกาสได้พูดได้คุยกับเขาตามวาระโอกาสตลอด 30 ปี
ทำให้ได้แง่คิดดีๆ มาใช้ในการดำรงชีวิต

วันหนึ่งเขารู้ว่า ขโมย ยกชุดกอล์ฟของผมไป สองชุดราคา 4 แสนกว่าบาท
เขาปลอบใจผมว่า
'ของที่หายเป็นของฟุ่มเฟือยของเรา
แต่มันอาจเป็นของจำเป็นสำหรับลูกเมีย ครอบครัวเขา
คิดซะว่าได้ทำบุญ จะได้ไม่ทุกข์'

เขามีวิธีคิด 'เท่ๆ'
แบบผมคิดไม่ได้มากมาย เป็นต้นว่า
สุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา  อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไร

คงเป็นเพราะเขาเลือกคว้าแต่ความสุข
ช่วงปีสุดท้ายของชีวิต เขาต่อสู้กับโรคชรา เบาหวาน  หัวใจ
ความดัน เกาต์ และไตทำงานเพียง 5% โดยไม่ปริปากบ่น
แถมยังสามารถให้ลูกชายขับรถพาเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์
โดยที่ตัวเองต้อง หิ้วถุงปัสสาวะไปด้วยตลอดเวลา
เนื่องจากไตไม่ทำงาน ปัสสาวะเองไม่ได้
6 เดือน สุดท้ายของชีวิตต้องนอนโรงพยาบาลสามวัน นอนบ้านสี่วันสลับกันไป
เวลาลูกหลาน หรือเพื่อนของลูกรวมทั้งผมด้วยไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล
เขามีแรงพูดติดต่อกันไม่เกิน 10 นาที
แต่ 10 นาที ที่พูด มีแต่เรื่องสนุกสนาน
เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนไป เยี่ยมไข้
ทุกคน พูดตรงกันว่า
'คุณตาไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย
ตลกเหมือนเดิม'

พอแขกกลับ
ลูกหลานถามว่าทำไมคุยแต่เรื่องตลก
เขาตอบว่า

'ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย
วันหลังใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก'

เขาเป็นคนชอบคุยกับผู้คนไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้หรืออยู่บนรถแท็กซี่
บ่อยครั้งที่นั่งรถถึงหน้าบ้านแล้ว
แต่สั่งให้โชเฟอร์ขับวนรอบหมู่บ้าน เพราะยังคุยไม่จบเรื่อง
แล้วจ่ายเงินตามมิเตอร์!

4 เดือน สุดท้ายของชีวิตแพทย์ที่รักษาโรคไตมาตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์อินเทิร์น
จนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนก แนะนำให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลให้แข็งแรง
แล้วค่อยกลับบ้าน

แต่ อยู่ได้ 4 วันเขาวิงวอนหมอว่า ขอกลับบ้าน
หมอซึ่งรักษากันมา 16 ปีไม่ยอม
เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า

'ขอให้ผมกลับบ้านเถอะ ผมอยากฟังเสียงนกร้อง'
คุณหมอไม่รู้หรอก ว่าคนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร
เพราะพอเสร็จงานหมอก็กลับบ้าน'
หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้ ยอมให้คนไข้กลับบ้าน
แต่กำชับให้มาตรวจตรงตามเวลานัดทุกครั้ง

1 เดือน ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
เขาสูญเสียการควบคุมอวัยวะของร่างกายเกือบทั้งหมด
เคลื่อนไหวได้อย่างเดียวคือกะพริบตา
แต่แพทย์บอกว่าสมองของเขายังดีมาก
เวลา ลูก เมียพูดคุยด้วย ต้องบอกว่า
'ถ้าได้ยินพ่อกะพริบตาสองที'

เขา กะพริบตาสองทีทุกครั้ง!
เห็นแล้วทั้งดีใจและใจหาย

เขา ยังรับรู้
แต่ พูดไม่ได้
นี่กระมังที่เรียกว่าถูกขังในร่างของตนเอง

สิบวันก่อนพลัดพราก  ภรรยากระซิบข้างหูว่า
' พ่อสู้นะ '
เขา ไม่กะพริบตาซะแล้ว
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้สองเดือนเคยตอบว่า
' สู้ '

เขาสู้กับสารพัดโรคด้วยความเข้าใจโรค
สู้ ชนิดที่หมอออกปากว่า
' คุณลุงแกสู้จริงๆ '

ตอนที่วางดอกไม้จันทน์
ผมนึกถึงประโยคที่แกพูดกับลูกเมื่อสี่เดือนก่อนว่า
'โรคภัย มันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว
อย่าให้มันเอาใจของเราไปด้วย'

'แง่คิดดีๆ จากชายชราที่จากไป '
สอนให้เรารู้ว่า...
เราเกิดมาพร้อมกับจิตใจบริสุทธิ์
และมันสมองมหัศจรรย์  ที่จะสามารถเรียนรู้
แยกแยะเรื่องดีๆ และสิ่งร้ายๆ ในชีวิต
จงใช้โอกาสดีๆ ที่ร่างกายและจิตใจของเรา
ยังทำอะไรๆ ได้อย่างที่สมองสั่ง

จงเรียนรู้
และสร้างประโยชน์สุข
ให้กับตนเองและผู้อื่นอย่างพอเพียง
และดำรงชีวิตอย่างพอเพียงทางเศรษฐกิจ

หากทุกๆ ครั้งที่เรียนรู้
เราล้ม เราพลาด
อาจจะรู้สึกท้อบ้างในบางที
แม้ไม่มีกำลังกายที่จะลุกในทันที..แต่ข้อให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป
ถ้าเราเรียนรู้...ก็จะทำให้เราพบว่า

การล้มหรือพลาดครั้งต่อไป
เราจะไม่เจ็บเท่าเดิม
ความดีก็เหมือนกางเกงใน ต้องมีติดตัวไว้แต่ไม่ต้องเอามาโชว์
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #41 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 15:11:35 »

...พี่สิงห์คะ...ตอนนี้ตู่เล่นโยคะบางท่าไม่ได้แล้ว...
...เป็นเพราะน้ำหนักขึ้น...เช่น ท่าที่ยืนขาเดียว...หรือท่าที่ต้องลงน้ำหนักข้างใดข้างหนึ่ง...
...เพราะว่าข้อเท้าไม่ดี...เล่นๆไปก็รู้ตัวค่ะ...เลยไม่ฝืนเล่น...
...ตราบใดที่ตู่ยังลดน้ำหนักไม่ได้...ก็ยังกลับมาเล่นไม่ได้ค่ะ...
...ส่วนท่าสะพานโค้งเล่นไม่ได้ตั้งแต่แรกเลยค่ะ...อีกท่านึงคือท่ายืนด้วยไหล่...
...แอโรบิคก็เต้นไม่ได้แล้วค่ะ...ตอนนี้ได้แต่ถีบจักรยานกับที่...
...โชคดีของพี่สิงห์ที่ทำได้ทุกท่าค่ะ
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #42 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 19:01:49 »

สวัสดีคุณน้องตู่
                         แอร์โรบิคไม่สมควร เพราะผลคือเข่าพังสำหรับผู้สูงอายุ  รวมทั้งเต้นฮูลาฮูบด้วยห้ามเด็ดขาด จะทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นปราสาทได้ ตอนนี้ให้ขี่จักยาน แต่ขี่สักหนึ่งชั่วโมง และถ้าเป็นไปได้ ฝึก "ตันเถียนสาลีโยคะ" ตามที่ท่านขุนโพสต์ รับรองเธอจะหุ่นดีขึ้นภายในสามเดือน และอย่าลืมรับประทานอาหารสูตร ๒:๑:๑ = ผักสองส่วน ปลาหนึ่งส่วน และข้าวหนึ่งส่วน งดของผัดและทอด รับรองสุขภาพดีแน่ๆ ครับ
                         สวัสดี

ความดีก็เหมือนกางเกงใน ต้องมีติดตัวไว้แต่ไม่ต้องออกมาโชว์
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #43 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2553, 21:20:36 »

คู่มือ สุขภาพคนไทย ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ
กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
ไข้หวัด
(Common Cold)
   
               
               ไข้หวัด เป็นโรคติดต่อที่เกิดขึ้นทั่วโลก สามารถติดต่อกันได้ง่าย มีการระบาดในทุกฤดูกาล แต่จะระบาดมากในฤดูฝนต่อฤดูหนาว เนื่องจากอากาศเปลี่ยนแปลง
   สาเหตุ ของ “ไข้หวัด” เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีมากกว่า 200 ชนิด กลุ่มไวรัส ที่ทำให้เกิดไข้หวัดได้มากที่สุด คือ ไรโนไวรัส (Rhino virus) ซึ่งมีอยู่ประมาณ 100 ชนิด และ กลุ่มไวรัส โคโรนา ไวรัส (Corona virus) รวมถึง อาดิโนไวรัส (adeno virus) และ กลุ่มไวรัส พาราอินฟลูเอนซ่า ไวรัส (Parainfluenza virus) และอื่นๆ
   อาการป่วยของไข้หวัดในแต่ละครั้ง จะเกิดจากเชื้อไวรัสเพียงชนิดเดียว เมื่อเป็นไข้หวัดด้วยเชื้อชนิดใดแล้ว ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสชนิดนั้น เมื่อเป็นไข้หวัดครั้งใหม่ ก็จะเป็นเชื้อไวรัสตัวใหม่ หมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
   เชื้อไข้หวัด จะอยู่ในน้ำมูก  น้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการไอ จาม หรือ หายใจรดกัน  หรือโดยการสัมผัสสิ่งของต่างๆร่วมกัน เช่น จาน ชาม ช้อน แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ของเล่น และโทรศัพท์
   ระยะฟักตัวของโรคหลังจากรับเชื้อประมาณ 1-3 วัน
   อาการ ของ “ไข้หวัด” มีไข้เป็นพักๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว อ่อนเพลีย ปวดหนักศรีษะเล็กน้อย คัดจมูก น้ำมูกใส จาม คอแห้ง   หรืออาจมีอาการเจ็บคอเล็กน้อย  ไอแห้งๆ หรือไอมีเสมหะ  เสมหะมีลักษณะสีขาว  บางรายที่ร่างกายแข็งแรง อาจไม่มีไข้ มีเพียงอาการคัดจมูกและน้ำมูกไสๆ เท่านั้น
   ระยะติดต่อของโรคไข้หวัดสามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ ตลอดเวลา ที่มีเชื้ออยู่ในร่างกาย
   การรักษา ไม่มียาที่ใช้รักษาโดยเฉพาะ ส่วนใหญ่แพทย์จะให้ยารักษาตามอาการ เช่น พาราเซตามอล ใช้แก้ปวด ลดไข้ ยาแก้ไอ ยาแก้แพ้ กลุ่มคลอเฟนิรามีน ใช้แก้แพ้ ลดน้ำมูก แต่โดยทั่วไปแล้ว ถ้าอาการไม่รุนแรงมาก ไข้หวัดจะหายไปเองภายในระยะเวลา 3-7 วัน
   สิ่งที่ต้องระวัง เมื่อเป็น “ไข้หวัด” โดยเฉพาะกรณีที่เป็นไข้หวัดเรื้อรังตลอดปี อาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้ เช่น ไอมีเสมหะสีเหลืองหรือสีเขียว เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โรคโพรงอากาศรอบจมูกอักเสบ ปอดบวม หลอดลมอัดเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ เป็นต้น
   โรคที่มีอาการคล้ายไข้หวัด โดยเฉพาะอาการไข้ ปวดหัว ตัวร้อน ไอ เจ็บคอ ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่ หัด ปอดอักเสบ ไข้เลือดออกฯลฯ
   เมื่อป่วยเป็นไข้หวัด นอกจากรับประทานยาตามแพทย์สั่ง หรือตามอาการของโรคแล้ว ผู้ป่วยควรดื่มน้ำมากๆ โดยเฉพาะน้ำอุ่นหรือน้ำต้มสุก รับประทานอาหารอ่อนๆย่อยง่าย  อาบน้ำอุ่นและเช็ดตัวให้แห้งทันทีหากมีไข้สูงควรใช้การเช็ดตัวแทนการอาบน้ำเพื่อป้ องกันโรคปอดบวม หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรงๆ เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบในหูเพิ่มขึ้นอีก สำคัญที่สุด คือ การพักผ่อนให้เพียงพอ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #44 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2553, 06:39:35 »

ท่าบริหารร่างกายเพื่อสุขภาพโดยใช้ท่อนไม้
(รำกระบอง 12 ท่า)
ของ
ป้าบุญมี   เครือรัตน์

    การบริหารร่างกายโดยใช้ไม้ของป้าบุญมี เป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อลำตัว หลังและขาเป็นส่วนใหญ่ ช่วยป้องกันและลดอาการปวดหลัง ส่งเสริมคุณภาพชีวิต การบริหารร่างกายอย่างต่อเนื่องประมาณ 20-30 นาที  ช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานประมาณ 90-120 แคลอรี่  ขึ้นกับความแรงระดับเบาเหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ ควรทำทุกวันหรือเกือบทุกวันหรือเกือบทุกเวลาเช้าหรือเย็นแล้วแต่สะดวก
   ไม้ที่ใช้ในการบริหารร่างกายมีความยาวเท่ากับช่วงข้อมือของแต่ละคนในขณะการแขนออกหรือประมาณ 125-130 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว ไม่ควรเกิน 1.5 นิ้ว จะใช้ไม้ไผ่ ไม้หนวด ไม้พลอง ท่อพีวีซี หรือไม้ถูพื้นตามความเหมาะสม
   การบริหารร่างกายมี 12 ท่า ป้าบุญมีทำท่าละ 99 ครั้ง โดยนับในใจไปด้วย ทำให้จิตมีสมาธิ สำหรับผู้ที่เริ่มต้นฝึก อาจเริ่มทำแต่ละท่าจำนวนน้อยครั้งและเคลื่อนไหวช้าๆก่อน เมื่อเกิดความชำนาญจึงเพิ่มจำนวนครั้งและความเร็ว หากเหนื่อยอาจหยุดพักระหว่างท่าประมาณครึ่งถึงหนึ่งนาทีแล้วทำต่อ
   แนะนำให้ทำแต่ละท่าอย่างน้อย 30 ครั้ง อย่างต่อเนื่องทุกท่า หรืออย่างน้อย 30 นาที ให้เป็นธรรมชาติ ไม่เร็วไปหรือช้าไปแล้วแต่ความสามารถของแต่ละบุคคลและให้มีสมาธิ
   ท่าบริหาร 12 ท่า ดังนี้
      1. เขย่าเท้า             2.  เหวี่ยงข้าง                3. พายเรือ                 4. หมุนกาย / หมุนเอว
      5. ตาชั่ง                  6. ว่ายน้ำวัดวา               7. กรรเชียงถอยหลัง   8. ดาวดังส์
      9. นกบิน               10. ทศกัณฑ์ / โยกตัว     11. ยกน้ำหนัก           12. นวดตัว

ท่าที่ 1 เขย่าเข่า


   ยกขาข้างใดข้างหนึ่งพาดบนโต๊ะ เก้าอี้ หรือสิ่งที่รองรับน้ำหนักได้ ความสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับสภาพของแต่ละบุคคล(โต๊ะสูงระดับเอว ไม่ใช้เก่าอี้) ขาข้างที่ยืนย่อเล็กน้อย หลังตรง ใช้มือทั้งสองข้างจับที่เข่าและเขย่าขึ้นลงจนครบ 99 ครั้ง เปลี่ยนข้างทำเช่นเดียวกันจนครบ
 
ท่าที่ 2 เหวี่ยงข้าง

ยืนตรง แยกขา หน้าตรง มือทั้งสองจับปลายไม้ วาดไม้ออกด้านข้างลำตัวทางขวาขึ้นตั้งตรง พร้อมกับโยกตัวและย่อเข่าลงนับหนึ่ง วาดไม้ไปทางซ้าย ทำเช่นเดียวกันนับสอง...ทำสลับกันไปจนครบ
 
ท่าที่ 3 พายเรือ


   ยืนตรง แยกขา หน้าตรง มือทั้งสองข้างจับปลายไม้ และตั้งขึ้นด้านข้างลำตัวทางขวา (พายข้างใดให้เอามือข้างนั้นถือปลายไม้ด้านล่าง) วาดไม้จากแนวตั้งไปแนวนอนไปด้านหลังจนสุด นับหนึ่ง ทำซ้ำจนครบเปลี่ยนข้างทำเช่นเดียวกันจนครบ
 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #45 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2553, 06:46:13 »

ท่าที่ 4 หมุนกาย หรือหมุนเอว
   
                   ยืนตรง แยกขา หน้าตรง มือทั้งสองข้างจับปลายไม้ วาดไม้ในแนวนอนไปด้านข้างทางขวาและหมุนลำตัว พร้อมย่อเข่าขวานับหนึ่ง วาดไม้และหมุนตัวไปทางซ้าย ทำเช่นเดียวกันนับสอง... ทำสลับกันไปจนครบ
 
ท่าที่ 5 ตาชั่ง
   
                  ยืนตรง แยกขา ไม้พาดบ่า แขนทั้งสองข้างโอบปลายไม้ไว้ เอียงไปทางขวา และวาดปลายไม้ข้างเดียวกันลงมา พร้อมย่อเข่าซ้าย นับหนึ่ง เอียงตัวไปทางซ้ายทำเช่นเดียวกันนับสอง... ทำสลับกันไปจนครบ
 
 
ท่าที่ 6 ว่ายน้ำวัดวา(ฟรีสไตล์)
        ยืนตรง แยกขา หน้าตรง ไม้พาดบ่า แขนทั้งสองข้างโอบปลายไม้ไว้ วาดปลายไม้ให้เป็นวงเหมือนว่ายน้ำไปข้างหน้าให้ได้ 1 รอบ นับหนึ่ง…ทำซ้ำจนครบ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #46 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2553, 06:52:25 »

ท่าที่ 7 กรรเชียงถอยหลัง
   
               ยืนตรง แยกขา หน้าตรง ไม้พาดบ่าแขนทั้งสองข้างโอบปลายไม้ไว้ วาดปลายไม้ให้เป็นวงไปข้างหลังเหมือนว่ายน้ำท่ากรรเชียงให้ได้ 1 รอบ นับหนึ่ง… ทำซ้ำจนครบ
 
 
ท่าที่ 8 ท่าดาวดึงส์
               ยืนตรง เท้าทั้งสองข้างชิดกัน ปลายเท้าแยกหน้าตรง ไม้พาดบ่า แขนทั้งสองข้างโอบปลายไม้ไว้ วาดปลายไม้ลงด้านข้างทางขวา ปลายไม้ด้านซ้ายวาดขึ้นด้านบนนับหนึ่ง วาดปลายไม้ลงด้านข้างทางซ้าย ปลายไม้ด้านขวาวาดขึ้นด้านบนนับสอง... ทำสลับกันไปจนครบ
 
ท่าที่ 9 ท่านกบิน
               ยืนตรง แยกขา หน้าตรง ไม้พาดพาดบ่า แขนทั้งสองข้างโอบปลายไม้ไว้ หมุนลำตัวและไหล่ไปทางขวาพร้อมย่อเข่านับหนึ่ง หมุนไปทางซ้ายทำเช่นเดียวกันนับสอง... ทำสลับกันไปจนครบ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #47 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2553, 06:59:55 »

ท่าที่ 10 ท่าทศกัณฑ์ หรือท่าโยกตัว
   
                   ยืนตรง แยกขา หน้าตรง แขนทั้งสองห้อยลงมือจับไม้ไว้ที่หน้าต้นขา ย่อเข่าขวาพร้อมโยกตัวไปทางขวา นับหนึ่ง ย่อเข่าซ้าย ทำเช่นเดียวกัน นับสอง... ทำสลับกันไปจนครบ (ท่านี้ใช้เป็นท่าพักขณะเหนื่อยด้วย)
 
ท่าที่ 11 ยกน้ำหนัก หรือจับไม้ข้ามหัว
   
                   ยืนตรง แยกขา หน้าตรง แขนทั้งสองข้างห้อยลง มือจับไม้ไว้ที่หน้าต้นขา วาดไม้ข้ามศรีษะและดึงลงด้านหลังหยุดในท่างอข้อศอก จากนั้นวาดไม้ข้ามศรีษะกลับมาอยู่ในท่าเดิมนับหนึ่ง... ทำซ้ำจนครบ
 
ท่าที่ 12 นวดตัว
   
                   ยืนตรง แยกขา หน้าตรง แขนทั้งสองข้างห้อยลง มือจับไม้ไว้ที่หลังต้นขา ย่อเข่าลงทั้งสองข้างอย่าให้เกินกว่ามุมฉาก ใช้ไม้นวดหรือคลึงบริเวณหลังต้นขา ก้น และบริเวณหลังระดับเอวตามใจชอบพร้อมยืดเข่าขึ้นตรง นับหนึ่ง... ทำซ้ำจนครบ
 




สวัสดีครับชาวเวบที่รักทุกท่าน
                    ท่านที่ต้องการลดความอ้วน หรือลดน้ำหนัก ลองรำกระบองดูในแต่ละท่า 30 ครั้ง เทียบเท่ากับเต้นแรโรบิค 45 นาที แต่เข่าของท่านไม่เสีย ครับ ทดลองรำดู  ไม่ยากเพียงแค่ไปหาซื้อไม้พลองลูกเสือมาเท่านั้น ก็สามารถออกกำลังกายได้แล้วครับ
                   ป้องกันก่อนเจ็บป่วย  ดีกว่าเมิ่อเจ็บแล้วต้องกินยา ต้องรักษาตัวเอง ไม่ดีเลยครับ  พี่สิงห์รู้ดีครับ เพราะประสพอยู่
                   สวัสดียามเช้าทุกท่านครับ

      บันทึกการเข้า
มีนา
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2515
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 1,865

« ตอบ #48 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2553, 08:47:58 »

...ตามมาอ่านค่ะ

...เป็นหนังสือมีจำหน่ายในท้องตลาดหรือเปล่าคะ

...ต้องไปค้นหนังสือที่เพื่อนอยู่กรมการแพทย์ให้มา เหมือนจะมีสอนรำกระบอง ปิ๊งๆ
รับมาเก็บจริงๆ เขินน๊า!! แต่พี่บอกช่วยลดน้ำหนัก ตอนนี้อยากเพิ่มน้ำหนักมากกว่า

ดัชนีมวลกายน้อยไปค่ะ
      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #49 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2553, 09:20:11 »

กว่าจะมาเป็นท่ารำกระบองของ ป้าบุญมี เครือรัตน์

"จากร่างกายที่ผุกร่อน พลิกสู่ความแข็งแกร่ง"

"ออกกำลังกายด้วยรำกระบอง" เป็นวิธีออกกำลังกายโดยการใช้ไม้ ซึ่งคุณป้าบุญมี เครือรัตน์ ได้คิดค้นขึ้นมาจากความทุกข์ทรมานของโรคปวดหลัง และเพื่อเอาชนะโรคได้ด้วยตัวเอง คุณป้าเคยรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกโดยเฉพาะเป็นเวลานานกว่า 2 ปี คุณป้าต้องใส่เสื้อประคองหลังที่ดามด้วยเหล็ก(Lumbar Support) นอกจากนี้คุณป้ายังประคบด้วยสมุนไพรและนวดหลังด้วยลูกประคบ ทำจนหม้อดินที่ใช้ประคบรั่วไปหลายใบก็ยังไม่หาย ชีวิตของป้าบุญมีในขณะนั้นจะเป็นการนอนเสียมากกว่า จะก้าวเดินแต่ละครั้งก็ไม่มั่นคง จนรู้สึกท้อแท้ สิ้นหวังในชีวิต

วัน หนึ่งมีญาติเอาล้อไม้ที่พันสายไฟมาฝากไว้ที่บ้าน ฝากไว้หลายสัปดาห์ก็ไม่มาเอาคืน จนกระทั้งวันหนึ่งคุณป้าบุญมีลองยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นพาดกับล้อไม้ และลองเขย่าขา คุณป้ามีความรู้สึกเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น ทำเป็นประจำ จนเกิดมีกำลังใจในการมีชีวิตอยู่ ขณะเดียวกันก็ได้เหลือบเห็นคนแก่ถือกิ่งไม้ กางแขนเดินตามสนามหญ้าจากรายการโทรทัศน์ ด้วยประสบการณ์และสิ่งที่ได้พบเห็น

คุณ ป้าจึงเกิดความคิดในการที่จะบริหารร่างกายตนเอง โดยได้ดัดแปลงไม้ถูพื้นที่ไม่ใช้แล้ว เริ่มคิดค้นท่าบริหารและพยายามทำการบริหาร โดยเริ่มจากส่วนที่เจ็บปวดและเคลื่อนไหวได้น้อย ก็รู้สึกว่าดีขึ้น สบายขึ้น กระฉับกระเฉง บริเวณต่างๆที่เคยปวดก็ค่อยๆหายปวด ท่าบริหารที่ทำแล้วไม่ได้ประโยชน์กับร่างกายก็จะเลิก แล้วคิดท่าใหม่ขึ้นเรื่อยๆ ทำจนส่วนต่างๆในร่างกายดีขึ้น และรู้สึกส่วนต่างๆของร่างกายสบายขึ้น ปัจจุบันรวมท่าที่คิดว่ามีประโยชน์ไว้ประมาณ 10 ท่า ช่วงเวลาในการคิดค้นและทดลองใช้เป็นเวลา 2 ปี โดยแต่ละท่าคุณป้าบุญมีจะมีการนับ 99 ครั้ง เนื่องจากการนับทำให้มีสติ ซึ่งถือเป็นการทำสมาธิในขณะออกกำลังกาย นับว่าเป็นการบริหารร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆกัน

คุณป้าบุญมีได้อะไรจากการออกกำลังกายโดยใช้ไม้กระบอง
หลังที่เคยปวด ค่อย ๆลดอาการลงจนหาย สามารถทำงานหนักได้มากขึ้น ยกของหนักได้มากขึ้น ความจำดีขึ้น ไม่หลงลืม ตาที่เคยฝ้าฟางเหมือนมีใยแมงมุม มองเห็นภาพซ้อนกลับหายเป็นปกติ ที่สำคัญช่วยลดค่าใช้จ่ายในการไปหาหมอและสามรถทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ได้มากขึ้น


http://www.thaihof.org/node/180
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 [2] 3 4  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><