25 พฤศจิกายน 2567, 10:41:22
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ประวัติพระเทวทัต‏  (อ่าน 65821 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« เมื่อ: 05 กันยายน 2553, 20:40:21 »


         [narongsak.com] ประวัติพระเทวทัต‏
         To Cmadong member and Co.


         พระเทวทัต ในสมัยพระพุทธกาลเป็นพี่ของพระนางยโสธรา (พิมพา) พระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร ที่มาเป็นพระพุทธเจ้า และเป็นลูกของลุงพระพุทธเจ้าเอง  พระเทวทัตนั้นตามจองล้างพระพุทธ เจ้ามานานหลายชาติ อดีตชาตินานมาแล้วนั้น พระเทวทัตเป็นพ่อค้า วานิช มีจิตละโมบทุจริต และในชาตินั้น พระพุทธองค์ได้เสวยพระชาติเป็นพ่อค้าวานิชด้วยเช่นกันแต่เป็นฝ่ายสุจริต

         วันหนึ่ง หญิงชราซึ่งเป็นผู้ดีตกยาก มีถาดทองคำของต้นตระกูลเหลืออยู่ จึงนำออกมาขาย พระเทวทัตเห็นเช่นนั้นจึงลวงด้วยเล่ห์ต่อหญิงชรานั้นว่า ถาดนั้นมิใช่ทองคำแท้เป็นทองปลอม จึงเสนอขอซื้อราคาถูกแต่หญิงชรานั้นรู้ดีว่าถาดที่แกนำออกมาขายนั้นทำด้วยทองคำแท้จึงมิยอมขายให้ ในเวลาเดียวกันนั้น พระพุทธองค์ซึ่งเสวยพระชาติ  เป็นพ่อค้ามาพบเข้า เห็นเป็นถาดทำด้วยทองคำแท้ก็ให้ราคาตามความเป็นจริง สร้างความโกรธแค้นให้แก่พระเทวทัตเป็นยิ่งนัก ถ้าไม่มีพระพุทธองค์มาซื้อถาดทองคำนั้น ในมิช้าหญิงชราก็จักต้องนำถาดทองคำมาขายแก่ตนเพราะความยากจน ด้วยเหตุนี้พระเทวทัตจึง      ผูกพยาบาทด้วยการกอบเม็ดทรายขึ้นมา ๑ กำมือหว่านลงกับพื้นดินประกาศว่า .. เราจะจองล้างจองผลาญท่านต่อไปเท่าเม็ดทรายในกำมือ ๑ เม็ด เท่ากับ ๑ ชาติ จึงตามเบียดเบียนพยาบาทจองเวรกันมานับภพชาติไม่ถ้วนเรื่อยมา  จนกระทั่งพระชาติสุดท้ายก่อนจะที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือได้เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร พระเทวทัตได้มาเกิดเป็นพราหมณ์นามว่า “ ชูชก ” จนกระทั่งมาถึงพระชาติที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระเทวทัตมีจิตริษยาพระพุทธเจ้า นับตั้งแต่เยาว์วัย ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าทรงบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ เจ้าชายเทวทัตได้ออกบวชด้วยเช่นกัน

                

         พระเทวทัตกลับได้แต่ญาณขั้นต่ำ แค่สำแดงฤทธิ์ได้เพียงบางอย่าง พระเทวทัตมีใจอิจฉาพระพุทธเจ้าที่ทรงเหนือกว่าตนทุกอย่างจึงมุ่งร้ายและคิดทำลายพระพุทธองค์ถึง ๓ ครั้ง
 
         ครั้งแรกพระเทวทัตได้ว่าจ้างพรานธนูให้ไปลอบสังหารพระพุทธเจ้ายังที่ประทับ แต่เมื่อแลเห็นพระพุทธองค์ พรานธนูก็มีอาการอ่อนเปลี้ย ยกธนูไม่ขึ้น จิตใจอันเหี้ยมโหดของพรานนั้นก็กลับกลายเป็นอ่อนโยนด้วยอำนาจพุทธบารมี ทิ้งธนูคลานเข้าไปกราบบาท พระพุทธองค์จึง แสดงเทศนาจนพรานนั้นแลเห็นทางธรรม

                

         ครั้งที่สองพระเทวทัตวางแผนให้พนักงานเลี้ยงช้างปล่อยช้างดุร้ายซึ่งกำลังตกมันชื่อ นาฬาคีรี ออกไปหมายให้เหยียบและใช้งาทิ่มแทงพระพุทธเจ้าในขณะออกบิณฑบาตร  แต่ช้างนาฬาคีรีกลับไม่ทำร้ายและยังหมอบชูงวงถวายความเคารพพระพุทธองค์

              

         ครั้งที่สามพระเทวทัตขึ้นไปบนเขาคิชฌกูฏแล้วกลิ้งหินลงมาหมายให้หล่นทับพระพุทธเจ้าขณะทรงดำเนินผ่านช่องเขาข้างล่าง แต่หินนั้นเกิดไปกระแทกกับก้อนหินตามทางลาดแตกกระจายเป็นก้อนเล็กก้อนน้อย และสะเก็ดหินก้อนหนึ่งปลิวลอยมากระทบข้อพระบาทของพระองค์จนช้ำห้อพระโลหิต พระเทวทัตแค้นใจยิ่งนักที่แผนปองร้ายพระพุทธเจ้าของตนล้มเหลวลงหมด และด้วยผลกรรมที่มีจิตคิดมุ่งทำร้ายพระพุทธองค์จึงทำให้ญาณเสื่อมสำแดงฤทธิ์ใด ๆ ไม่ได้อีก แต่พระเทวทัตก็ยังหาสำนึกไม่ กลับสร้างความสำคัญแก่ตนด้วยการเสนอข้อปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์ขึ้นมาใหม่ ๕ ข้อ โดยอ้างว่าเพื่อจะให้ภิกษุเคร่งครัดยิ่งขึ้นคือ

     ๑. ให้พระสงฆ์ใช้ชีวิตอยู่เฉพาะในป่า
     ๒. เลี้ยงชีวิตด้วยการบิณฑบาตรเพียงอย่างเดียว
     ๓. จีวรนุ่งห่มนั้นให้นำมาจากผ้าบังสกุลใช้ห่อศพเท่านั้น
     ๔. อาศัยตามโคนต้นไม้
     ๕. ห้ามฉันเนื้อสัตว์

         บทบัญญัติที่พระเทวทัตเสนอมานี้พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาตให้นำมาใช้  พระเทวทัตจึงประกาศแยกตัวออกไปทั้งปลุกปั่นยุยงพระสงฆ์จำนวนหนึ่งให้เห็นด้วยและไปกับตน แต่ต่อมาพระสงฆ์เหล่านั้นก็รู้ว่าตนหลงผิดพากันผละหนีพระเทวทัตกลับมาหาพระพุทธเจ้าเกือบหมด มีสาวกที่ยังหลงผิดอยู่ด้วยไม่กี่ราย

                

        ด้วยความแค้นใจทำให้พระเทวทัตอาพาทล้มป่วยจนกระอักโลหิตไม่สามารถเยียวยาได้ เมื่อรู้ว่ามีอาการหนักใกล้เสียชีวิต พระเทวทัตได้สำนึกบาปที่ตนได้ทำเอาไว้ จึงให้บริวารแบกแคร่ไปขอขมาพระพุทธเจ้าที่พระเชตวันมหาวิหาร แต่พอถึงสระน้ำทางเข้าวัด พระเทวทัตก็เกิดร้อนรุ่มใคร่จะอาบน้ำ จึงให้วางแคร่ลง ทันทีที่พระเทวทัตก้าวเท้าเหยียบพื้นดิน แผ่นดินตรงนั้นก็แยกออกสูบร่างพระเทวทัตจมหายลงไปสู่นรกอเวจีขั้นต่ำสุด  ต้องทนทุกข์ทรมานจนชั่วกัปชั่วกัลป์ ด้วยผลกรรมที่สร้างไว้กับพระพุทธเจ้านั้นเป็นบาปมหันต์

                win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #1 เมื่อ: 06 กันยายน 2553, 11:26:50 »

เพิ่มเติมครับ.....


พระเทวทัตแม้จะตกลงไปในอเวจีมหานรก ได้รับทุกขเวทนา แสนสาหัส ซึ่งปกติต้องได้รับโทษยาวนานมาก แต่อาศัยบุญกุศลที่พระพุทธองค์มีพระเมตตาทรงชี้แนะ สอนจนได้ฌาณ และวารจิตก่อนที่จะตกอเวจีมหานรก ได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าขอถวายกระดูกคางเป็นพุทธบูชา บุญกุศลในการทรงฌาณ,ระลึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนตาย ทำให้พระเทวทัตอยู่ในอเวจีมหานรก แค่ช่วงพุทธศาสนาประดิษฐานอยู่บนโลก คือ 5,000 ปี

หลังจากนั้นช่วงที่ว่างจากพุทธศาสนา พระเทวทัตจะมาเกิดแล้วบำเพ็ญบารมี จนสำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง



      บันทึกการเข้า
whatzup_will
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: 14 กันยายน 2553, 20:23:35 »

ขอบคุณที่นำมาให้อ่านค่ะ รวบรวมและเรียบเรียงตั้งแต่ต้นจนจบครบถ้วนจริงๆ  ^ ^
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #3 เมื่อ: 14 กันยายน 2553, 21:58:47 »

สาธุ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4 เมื่อ: 15 กันยายน 2553, 13:30:27 »

ยังอ่านไม่จบคะ
แป๊บ
      บันทึกการเข้า


galayanee
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: 22 กันยายน 2553, 20:28:10 »

ขอบคุณ ได้ทราบประวัติเทวทัต ชัดเจน
      บันทึกการเข้า
jitwang
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 37

« ตอบ #6 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2554, 16:45:44 »

ขอบคุณครับขอแบ่งปันนะครับ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><