26 พฤศจิกายน 2567, 03:41:18
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 36  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุยกันเรื่องจีนๆ  (อ่าน 375497 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #100 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2553, 13:02:53 »

โฮ่วโจว 后周 เป็นราชวงศ์สุดท้ายของ “อู่ไต้” 五代(ห้าอาณาจักร) ขุนศึกจ้าวควงอิ้นชิงบัลลังก์จากยุวกษัตริย์กงตี้ ทำการเปลี่ยนศักราชใหม่ อีกทั้งเปลี่ยนชื่อราชวงศ์มาเป็นซ่ง 宋 ท่านก็คือซ่งไท่จู่宋太祖 ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซ่ง ซึ่งเริ่มต้นในปี ค.ศ.960

ก่อนหน้านี้ กษัตริย์หยวนจง 元宗 แห่งหนานถัง ก็แทบถอดใจโยนผ้ายอมแพ้โฮ่วโจวไปแล้ว นอกจากยอมเสียดินแดนฝั่งเหนือแม่น้ำแยงซี(เจียงเป่ย) ตัวเองก็ยังยอมถอยออกจากการเป็นหวงตี้ ฉะนั้นในปูมประวัติศาสตร์ราชวงศ์และยุคสมัยต่างๆ ของจีน จึงมักบันทึกศักราชของหนานถัง 南唐 สิ้นสุดแค่เพียงหยวนจงหลีจิ่ง元宗李璟 ในปี ค.ศ. 958

ปีรุ่งขึ้น ค.ศ.959 หลีจิ่งย้ายเมืองหลวงไปเมืองหนานชาง 南昌 (ปัจจุบันคือเมืองหนานชางในมณฑลเจียงซี江西) แต่ก็ยังให้รัชทายาทหลี่อวี้李煜 อยู่ดูแลเมืองจินหลิง金陵 ต่อไป

พอมาเจอการตั้งราชวงศ์ซ่ง 宋 ของจ้าวควงอิ้นในปี ค.ศ.960 หลีจิ่งก็ยิ่งหมดอาลัยตายอยาก พยายามญาติดีกับราชวงศ์ซ่ง โดยยอมลดตัวลงเป็นเพียงแค่อำมาตย์(เฉิน) 臣 เพื่อแสดงว่าไม่ต้องการท้าทายอำนาจของผู้มาใหม่

ในที่สุดหลีจิ่ง李璟 ก็ทดเครียดไม่ไหว เสด็จสวรรคตในปี ค.ศ.961 ราชโอรสคนที่หกนามหลี่อวี้ 李煜 ได้ขึ้นครองราชย์ต่อ เพราะพระเชษฐาทั้งห้าล้วนแต่สิ้นบุญไปก่อน ท่านลองหลับตาคิดดูเถิด หลี่อวี้ตกอยู่ในสภาพการณ์คับขันเช่นใด

      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #101 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2553, 13:06:41 »

หลี่อวี้ไม่ถนัดงานปกครองบ้านเมือง เพราะฝักใฝ่ทางศิลปะ ชอบเขียนบทกวีประเภทฉือ 词 ชอบชีวิตสำเริงสำราญตามแบบอารมณ์ศิลปิน หลี่อวี้เป็นคนโรแมนติกตั้งแต่เกิด เพราะเกิดในวันแห่งความรัก อ๊ะ..อ๊ะ.. อย่าเพิ่งทายว่าเป็นวันที่ 14 กุมภาพันธ์

วันแห่งความรักของธรรมเนียมจีน情人节 คือวันที่ 7 เดือน 7 ตามปฏิทินจันทรคติอย่างจีน หลี่อวี้เกิดในวันนี้ครับ นอกจากนัยน์ตาของเขาข้างหนึ่ง มีรูรับแสง 瞳孔 ถึง 2 รู คล้ายกษัตริย์ซุ่น舜 ในสมัยโบราณแล้ว เขายังได้พี่สาวน้องสาวคู่หนึ่งมาเป็นพระชายาเหมือนกัน แถมคนพี่ชื่อเอ๋อหวง娥皇  และคนน้องชื่อหนี่ว์อิง女英 เหมือนชายาขององค์กษัตริย์ซุ่นอีกต่างหาก ท่านว่าแปลกไหมครับ?

ตอนหลี่อวี้ขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 961 ก๊กหนานถังแทบจะหมดสภาพแล้ว เพราะแม้ไพร่ฟ้าของหนานถัง จะยังถือว่าก๊กตัวเองมีกษัตริย์ปกครองอยู่ แต่ในความเป็นจริง หลี่อวี้ไม่มีความเป็นหวงตี้皇帝 หรือตี้帝 หรือแม้กระทั่งหวาง王 เหลืออยู่แล้ว หากแต่ผมเข้าใจว่า ในบทละครหรืองิ้วที่เปิดแสดงทั่วไป ยังมีการเรียกหลี่อวี้เป็นหวงตี้อยู่ ฉะนั้นบางคนจึงเรียกหลี่อวี้ว่า “ฉือหวงตี้” 词皇帝 หมายถึงฮ่องเต้ที่มีความสามารถทางบทกวีแบบฉือ词
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #102 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2553, 13:14:39 »

บทกวีแบบฉือของหลี่อวี้ อาจแบ่งได้เป็น 3 ระยะด้วยกัน คือระยะที่หนึ่ง เป็นช่วงที่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ จะยังคงบรรยายถึงชีวิตที่สำเริงสำราญในราชสำนัก ระยะที่สอง เป็นช่วงที่ขึ้นเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองที่มีความกดดันรอบด้าน และระยะที่สาม เป็นช่วงที่ชาติของตนล่มสลายแล้ว ตกอยู่ในสภาพลูกไก่ในกำมือ

บทกวี “หวีเหม่ยเหยิน” 虞美人(แปลว่าดอกป๊อปปี้ เห็นบอกว่าทุกส่วนของลำต้นมีพิษ เผลอกินเข้าไปมีผลต่อระบบประสาท ไปอ่านวิเคราะห์ของบทโศลกนี้ ต้องยอมรับว่าความหมายลึกซึ้งจริงๆ ทำให้ฟังเพลง几多愁ไพเราะขึ้นอีกมากเลย) ซึ่งคนภายหลังเอามาแต่งเป็นเพลงให้เติ้งลี่จวินร้องในชื่อเพลง几多愁 มีความทุกข์มากเพัยงใด นั้น เป็นบทกวีแบบฉือ 词 ที่มีคนพูดถึงอยู่เสมอ ส่วนกวีบทอื่นๆ ที่มีชื่อเสียง ก็ยังมี “อวี้โหลวชุน” 玉楼春 “ฮ่วนซีซา” 浣溪沙 “ชิงผิงเยว่” 清平乐 “ลั่งเถาซาลิ่ง” 浪淘沙令 “โพ่เจิ้นจื่อ” 破阵子 เป็นต้น

ในด้านการปกครองนั้น หลี่อวี้หงอราชวงศ์ซ่งถึงที่สุด ยอมแม้กระทั่งถอดชื่อก๊กตัวเองออก (ก๊กถังหรือหนานถัง) แล้วเปลี่ยนมาใช้ชื่อก๊กเจียงหนาน江南国 หมายถึงก๊กที่อยู่ฝั่งใต้แม่น้ำแยงซี เนื่องจากการใช้ชื่อ “ถัง” 唐 เป็นการอ้างอิงอาณาจักรถังที่ยิ่งใหญ่ในอดีต

แต่จะ "หงอ" อย่างไรก็ไม่เป็นผล เพราะซ่งไท่จู่แห่งราชวงศ์ซ่งถือว่าหนานถังเคยยิ่งใหญ่ เก็บเอาไว้เป็นหอกข้างแคร่ เดี๋ยวจะโดนทิ่มแทงที่หลัง จึงมีบัญชาให้หลี่อวี้ไปเข้าเฝ้าที่เมืองเปี้ยนเหลียง ในปี ค.ศ. 974 หลี่อวี้ทรงทราบว่า หากไปคงไม่ได้กลับแน่ จึงแกล้งป่วย ไม่ยอมไปเข้าเฝ้า อีกไม่กี่เดือนต่อมา กองทัพของซ่งไท่จู่ก็มาปิดล้อมเมืองจินหลิง金陵 หลี่อวี้ยอมจำนน ถูกคุมตัวเป็นเชลยไปยังเมืองเปี้ยนเหลียง汴梁

เมื่อถึงราชธานีของราชสำนักซ่ง ซ่งไท่จู่ไม่ได้ทำร้ายหลี่อวี้ เพราะรู้ๆ อยู่ว่ายอมทุกอย่าง จึงเพียงแค่กักบริเวณไว้ ทั้งยังพระราชทานฐานันดรให้เป็น “โหว” 侯 (คล้ายตำแหน่งพระยาของไทย) ชื่อ “เหวยมิ่งโหว” 违命侯 มีความหมายว่าพระยาฝ่าฝืนลิขิต ดูสิครับ.. จะให้ค่อยๆ ตรอมใจตายหรือยังไง???

ซ่งไท่จู่เสด็จสวรรคตในปี ค.ศ.976 พระอนุชาจ้าวกวงอี้ 赵光义 ขึ้นครองราชย์ต่อ ทรงพระนามว่าซ่งไท่จง 宋太宗 พระองค์โหดร้ายกว่าพระเชษฐา ปี ค.ศ. 978 ในวันที่ 7 เดือน 7 ซึ่งเป็นวันเกิดของหลี่อวี้ มีคนไปทูลเรื่องบทกวี “หวีเหม่ยเหยิน” 虞美人ที่หลี่อวี้แต่ง ซ่งไท่จงคงหาโอกาสที่จะฆ่าหลี่อวี้อยู่แล้ว จึงประทานเหล้าใส่ยาพิษให้หลี่อวี้ดื่ม มีข้อมูลบางแห่งระบุว่า จ้าวกวงอี้หรือซ่งไท่จง มีเจตนาจะเคลมพระชายาคนน้องของหลี่อวี้นามหนี่ว์อิง女英 แต่ก็ไม่สมพระทัย เพราะพอหลี่อวี้ตายลงด้วยยาพิษ หนี่ว์อิงก็ฆ่าตัวตายตาม

คนยุคหลังก็ยังรำลึกถึงหลี่อวี้ ไม่ใช่ในฐานะกษัตริย์ที่สามารถ แต่เป็นเจ้าเหนือหัวที่อาภัพ แต่ในด้านบทกวี ท่านเป็นผู้นิพนธ์ฉือที่ยิ่งใหญ่ จึงถวายสมัญญาให้ท่านว่าฉือจง 词宗

ทุกสิ่งเกิดขึ้นแล้วแตกดับ จะมีเหลือก็แต่คุณความดีและผลงาน

ต้องขอออกตัวว่า การเขียนโคลงกลอนแบบไทย ให้มีสัมผัสนอกสัมผัสใน ไม่ใช่เรื่องยากลำบาก แต่การทำความเข้าใจกาพย์กลอนของจีน ไม่เพียงแค่ตัวอักษร แต่รวมถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำกลอน รวมทั้งบรรยากาศและอารมณ์ของผู้ประพันธ์ในเวลานั้น เป็นสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ จึงจะแปลออกมาเป็นคำกลอนแบบไทยที่งดงามพร้อมสรรพได้

      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #103 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2553, 15:46:05 »

อ้อ มีอีกเพลงที่เอามาจากบทกวีของหลี่อวี้ ซึ่งเติ้งลี่จวินเอามาร้อง

无言独上西楼,月如钩。寂寞梧桐深院,锁清秋。
剪不断,理还乱,是离愁。别是一般滋味,在心头。

บรรยายไม่ถูก ขึ้นไปที่หอตะวันตกอย่างเดียวดาย
จันทร์เสี้ยวเหมือนเคียวเกี่ยวข้าว เงียบเหงาท่ามกลางอุทยานที่เต็มไปด้วยต้นอู๋ถง ในฤดูใบไม้ร่วง
ตัดไม่ขาด ใจสับสน เป็นความเศร้าของการลาจาก เป็นรสชาติอีกแบบหนึ่ง ที่เกิดขึ้นในใจ

<a href="http://www.youtube.com/v/71aP3fz5MsU?fs=1&amp;amp;hl=en_US" target="_blank">http://www.youtube.com/v/71aP3fz5MsU?fs=1&amp;amp;hl=en_US</a>
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #104 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2553, 22:40:30 »

ว่าแต่...

พี่จุ๊ง,
นอกจากจีน,ที่ใช้ตะเกียบ
พา-นำอาหารเข้าปาก....
ยังมีชาติไหนในโลกอีกมั้ยพี่
ที่ใช้ตะเกียบ?



ลงชื่อ
น้องกินข้าวกะ...มือ
      บันทึกการเข้า


จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #105 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2553, 11:37:07 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 02 ตุลาคม 2553, 22:40:30
ว่าแต่...

พี่จุ๊ง,
นอกจากจีน,ที่ใช้ตะเกียบ
พา-นำอาหารเข้าปาก....
ยังมีชาติไหนในโลกอีกมั้ยพี่
ที่ใช้ตะเกียบ?



ลงชื่อ
น้องกินข้าวกะ...มือ
ชาติที่ใช้ตะเกียบเป็นอาวุธประจำชาติ นอกจากจีนแล้วก็มีเกาหลี ญี่ปุ่น พวกนี้รับวัฒนธรรมไปจากจีนทั้งนั้น ญึ่ปุ่นจะใช้ตะเกียบสั้น ที่เคยเห็นติดกันเป็นคู่ เวลาจะใช้ก็แยกออกนั่นแหละ สไตล์ญี่ปุ่นของแท้เลยล่ะ เป็นตะเกียบที่ใช้แล้วทิ้ง แต่ละปีญี่ปุ่นสั่งซื้อตะเกียบไม้ไผ่จากจีนไม่น้อยเลยล่ะ เพราะวัตถุดิบไม้ไผ่ญี่ปุ่นตอนนี้ปลูกน้อยมาก ส่วนเกาหลีจะใช้ตะเกียบทำด้วยโลหะ ไม่รู้เป็นอลูมิเนียมหรือเปล่า เวลาคีบยากน่าดู ปกติจะมีด้านที่มีเหลี่ยมมุม เวลาคีบต้องใช้เหลี่ยมมุมช่วย เท่าที่เห็น ในจีนหาน้ำแข็งก้อนกินยากมาก แต่เกาหลีจะชอบกินน้ำแข็ง อ้อ อาหารโปรดของเกาหลีอีกอย่างก็คือเนื้อหมา เคยถามคนเกาหลี เห็นบอกว่าราคาแพงเป็นอันดับสองรองจากเนื้อวัวเชียวหละ ส่วนเวียดนามคงจะต้องสอบถามท่านแหลมแล้วล่ะ ที่ร้านญวนญีมีแรงงานยวนเยอะ คงสอบถามได้บ้าง น่าจะใช้ตะเกียบเป็นอาวุธประจำชาติเหมือนกันนะ เพราะอดีตก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของจีน ชาวจีนสมัยโบราณเรียกเวียดนามว่ากวางนาม
      บันทึกการเข้า
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #106 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 14:18:07 »


หวัดดี......ท่านจุ๊ง...น้องหนิง..น้องหมี..น้องขุน และพี่น้องทุกท่าน


พรุ่งนี้จะเริ่มเทศการกินเจของชาวจีนแล้ว.

เล่าถึงธรรมเนียมประเพณีการกินเจน่าจะดีนะ........ท่านจุ๊ง.
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #107 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 14:39:57 »

โบราณเขาว่า "ดูละครแล้วย้อนดูตัวเอง" เห็นเหตุการณ์บ้านเมืองเราในกำมือของพณฯทั้งหลายแล้ว ลองมาดูบทบาทของบุคคลในประวัติศาสตร์จีนบ้าง ตำนานเรื่องนี้ทำให้เกิดคำสำเร็จรูปของจีนที่แปลว่ายอมรับผิดคือคำว่า " พันธนาการตัวเองด้วยกิ่งหนามแหลมมารับผิด"

พันธนาการตัวเองด้วยกิ่งหนามแหลมมารับผิด

สมัยจั้นกวั๋ว ( ZhanGuo) มีรัฐใหญ่อยู่ 7 รัฐ  ได้แก่ รัฐฉี  รัฐฉู่   รัฐเยี่ยน  รัฐหัน  รัฐเจ้า  รัฐเว่ย  และรัฐฉิน  ในประวัติศาสตร์เรียกว่า  “ เจ็ดสิงห์จั้นกวั๋ว ”
ในกลุ่มเจ็ดรัฐนี้ ก็นับว่ารัฐฉินเข้มแข็งที่สุด
รัฐฉินมักจะกลั่นแกล้งรังแกรัฐเจ้าบ่อย ๆ
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่กษัตริย์รัฐเจ้าส่งขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อลิ่นเซียงหยูไปที่รัฐฉินเพื่อเจรจาต่อรอง
ลิ่นเซียงหยูได้พบกับกษัตริย์รัฐฉิน  เขาอาศัยความฉลาดหลักแหลมและความกล้าหาญ  ทำให้รัฐเจ้าสามารถมีหน้ามีตาไปไม่น้อย
กษัตรย์ รัฐฉินเห็นว่ารัฐเจ้ามีบุคลากรที่มีสติปัญญาความสามารถอย่างนี้  ก็ไม่กล้าดูถูกรัฐเจ้าอีกต่อไป  กษัตริย์รัฐเจ้าเห็นว่าลิ่นเซียงหยูมีความสามารถอย่างนี้
ก็แต่งตั้งให้เขาเป็นขุนนางระดับกลางก่อน  หลังจากนั้นก็แต่งตั้งอัครเสนาบดีในเวลาต่อมา
กษัตริย์รัฐเจ้าให้ความสำคัญกับลิ่นเซียงหยูอย่างนี้  ทำให้ท่านนายพลเหลียนพอโกรธมากทีเดียว
เขาคิดว่า “ ฉันทำการรบทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อรัฐเจ้า  หรือว่าคุณงามความดีความชอบไม่เท่ากับลิ่นเซียงหยูเลยรึ”
ลิ่นเซียงหยูเพียงอาศํยลมปากเท่านั้น มีฝีมือยอดเยี่ยมอะไรกัน ยังจะมีฐานะสูงกว่าฉันอีก
เขายิ่งคิดยิ่งหมดศรัทธา  พูดอย่างเดือดดาลว่า
“ ถ้าฉันพบกับลิ่นเซียงหยู จะตอกให้เขาหน้าหงายไปเลย ทำต่อหน้าต่อตาเชียวล่ะ ดูสิว่าเขาจะทำยังไงกับฉันได้ ”
คำพูดเหล่านี้ของเหลียนพอได้ยินไปถึงหูของลิ่นเซียงหยู
ลิ่นเซียงหยูก็สั่งกำชับกับลูกน้องตนทันทีว่า
"ยอมเขาเสียหน่อยนะ  อย่าไปมีเรื่องทะเลาะกับพวกเขา"
หลังจากนั้นเขาก็นั่งรถม้าออกจากบ้านไป  ขอเพียงแค่ได้ยินว่าเหลียนพออยู่ด้านหน้า
ก็สั่งให้คนขับรถม้ารับหลบเข้าซอยเล็กซอยน้อย รอจนเหลียนพอผ่านไปแล้วค่อยเดินทางต่อ
ลูกน้องของเหลียนพอเห็นว่าท่านเสนาบดียอมอ่อนข้อให้กับเจ้านายของตนเองอย่างนี้
ก็ยิ่งกำเริบใหญ่ เมื่อพบกับลูกน้องของลิ่นเซียงหยูก็เย้ยหยันพวกเขา
ลูกน้องของลิ่นเซียงหยูทนไม่ไหวกับการยั่วโทสะแบบนี้  จึงบอกกับลิ่นเซียงหยูว่า
“ฐานะของท่านสูงกว่านายพลเหลียน  เขาด่าว่าท่าน  ทำไมท่านกลับหลบเขา ยอมอ่อนข้อเขา   เขายิ่งไม่เห็นท่านอยู่ในสายตา  เป็นแบบนี้ต่อไปพวกเราทนไม่ได้แล้ว”
ลิ่นเซียงหยูพูดกับพวกเขาด้วยจิตใจที่สงบเยือกเย็น
“   ระหว่างนายพลเหลียนกับกษัตริย์ฉิน  ใครคนไหนร้ายกาจกว่ากันนะ ”
ทุกคนพูดว่า  “ แน่นอนนั่นต้องเป็นกษัตริย์ฉินที่ร้ายกาจ ”
ลิ่นเซียงหยูพูดว่า  “ถูกล่ะ  ฉันได้พบแล้วกษัตริย์ฉินไม่มีอะไรน่ากลัวเลย หรือว่ายังกลัวนายพลเหลี่ยนนะรึ ต้องรู้ว่า  กษัตริย์ฉินตอนนี้ไม่กล้ามาตีรัฐเจ้า ก็เพราะว่าพลเรือนทหารในประเทศมีจิตใจเดียวกัน พวกเราสองคนก็เหมือนกับเป็นเสือสองตัว เสือสองตัวถ้าทะเลาะวิวาทกันขึ้นมา   จะมีตัวหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บ หรือแม้กระทั่งตายไป  อย่างนี้ก็ทำให้รัฐฉินมีโอกาสที่ดีเข้าโจมตีรัฐเจ้าได้ พวกท่านคิดดูสิว่า   ภารกิจของประเทศชาติสำคัญหรือว่าหน้าตาของบุคคลสำคัญ
ลูกน้องของลิ่นเซียงหยูได้ฟังแล้วคำนี้แล้ว  ซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง
หลังจากนี้เมื่อได้พบเห็นลูกน้องของเหลียนพอแล้ว
ก็ล้วนระมัดระวังตัว  มักจะยอมอ่อนข้อต่อพวกเขา
ภายหลังเหลียนพอทราบความเรื่องนี้ เริ่มรู้สึกตัวว่าตัวเองจิตใจคับแคบไป คิดถึงแต่เรื่องส่วนตัว ลืมเรื่องของประเทศชาติไป สู้ลิ่นเซียงหยูไม่ได้ จึงมัดตัวเองด้วยกิ่งไม้ที่มีหนามแหลมไปยอมรับผิดกับลิ่นเซียงหยู กลายเป็นเรื่องประทับใจในประวัติศาสตร์
      บันทึกการเข้า
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #108 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 14:47:38 »


ยุคจั้นกวั๋ว เป็นยุคเดียวกับเรื่อง เจาะเวลาหาจิ้นซี หรือเปล่าครับท่าน?
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #109 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 14:49:33 »

เรียนท่านแหลมเปี๊ยบ เรื่องตำนานกินเจ ขอเช็คดูก่อนนะว่ามีแปลไว้ในสมุดข่อยโบราณหรือเปล่า ถ้ามีจะขุดมาให้
      บันทึกการเข้า
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #110 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 14:51:42 »

อ้างถึง
ข้อความของ จุ๊ง2522 เมื่อ 06 ตุลาคม 2553, 14:49:33
เรียนท่านแหลมเปี๊ยบ เรื่องตำนานกินเจ ขอเช็คดูก่อนนะว่ามีแปลไว้ในสมุดข่อยโบราณหรือเปล่า ถ้ามีจะขุดมาให้

ขอบคุณล่วงหน้า ครับ.
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #111 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 15:14:52 »

ไปขุดกระทู้เก่าๆจากมุมจีนมาได้แล้ว ขอออกตัวก่อนว่าไม่ยืนยันว่าถูกต้องโร้ยโปเซ็ง เพราะcopy และ paste อย่างเดียว

ตำนานเทศกาลกินเจ

ตำนานที่ 1 ชาวจีนกินเจเป็นการบำเพ็ญกุศลเพื่อรำลึกถึงวีรชน 9 คน ซึ่งเรียกว่า “หงี่หั่วท้วง” ซึ่งได้ต่อสู้กับชาวแมนจูอย่างกล้าหาญถึงแม้จะแพ้ก็ตาม ชาวบ้านได้พากันถือศีลกินเจนุ่งขาวห่มขาวเพราะเชื่อว่าการปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยชำระจิตวิญญาณเกิดความเข้มแข็งทางร่างกายและจิตใจ

ตำนานที่ 2 เพื่อเป็นการประกอบพิธีกรรมเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า “ดาวนพเคราะห์” ทั้ง 9 ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ ในพิธีกรรมบูชานี้สาธุชนในพระพุทธศาสนาสละเวลาทางโลกมาบำเพ็ญศีลงดเว้นเนื้อสัตว์และแต่งกายด้วยชุดขาว

      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #112 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 15:17:04 »

ตำนานที่ 3 ผู้ถือศีลกินเจในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาของชาวจีนในประเทศไทย เพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีลกาล 7 พระองค์ ดังมีในพระสูตร ปั๊กเต๊าโก๋ว ฮุดเชียวไจเอียงชั่วเมียวเกง กล่าวไว้คือ พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ พระศรีรัตนโลกประภาโมษอิศวรพุทธะ พระเวปุลลรัตนโลกวรรณสิทธิพุทธะ พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ พระเวปุลลจันทรโภคไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ คือพระศรีสุขโลกปัทมอรรถอลังการโพธิสัตว์และพระศรีเวปุลกสังสารโลกสุขอิศวรโพธิสัตว์ รวมเป็น 9 พระองค์(หรือ “เก้าอ๊อง”)ทรงตั้งปณิธานจักโปรดสัตว์โลก จึงได้แบ่งกายมาเป็นเทพเจ้า 9 พระองค์ด้วยกันคือ ไต้อวยเอี๊ยงเม้งทัมหลังไทแชกุน ไต้เจียกอิมเจ็งกื้อมึ้งงวนแชกุน ไต้กวนจิงหยิ้งลุกช้งเจงแชกุน ไต้ฮั่งเฮี่ยงเม้งม่งเคียกนิวแชกุน ไต้ปิ๊กตังง้วนเนี้ยบเจงกังแชกุน ไต้โพ้วปั๊กเก๊กบู๊เอียกกี่แชกุน ไต้เพียวเทียนกวนพัวกุงกวนแชกุน ไต้ตั่งเม้งงั่วคูแชกุน ฮุ้ยกวงไตเพียกแชกุน เทพเจ้าทั้ง 9 พระองค์ ทรงอำนาจตบะอันเรืองฤทธิ์บริหารธาติดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง ทั่วทุกพิภพน้อยใหญ่สารทิศ
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #113 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 15:19:58 »

ตำนานที่ 4 กินเจเพื่อเป็นการบูชากษัตริย์เป๊ง “กษัตริย์เป๊ง” เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซ้องซึ่งสิ้นพระชนม์โดยทรงทำอัตวินิบาตกรรม (การฆ่าตัวตาย) ในขณะที่เสด็จไต้หวันโดยทางเรือ เมื่อมีพระชนนมายุได้ 9 พรรษา พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้องนี้ มีแต่เฉพาะในมณฑลฮกเกี้ยนซึ่งเป็นดินแดนผืนสุดท้ายของราชวงศ์ซ้องเท่านั้น โดยชาวฮกเกี้ยนได้จัดทำพิธีดังกล่าวนี้ขึ้นด้วยการอาศัยศาสนาบังหน้าการเมือง การที่เผยแผ่มาสู่เมืองไทยได้นั้นเพราะชาวจีนแต้จิ๋วที่อพยพจากฮกเกี้ยนนำมาเผยแผ่อีกทอดหนึ่ง
 
ตำนานที่ 5 1500 ปีมาแล้ว มณฑลกังไสเป็นดินแดนที่เจริญรุ่งเรืองมาก ฮ่องเต้เมืองนี้มีพระราชโอรส 9 พระองค์ซึ่งเป็นเลิศทั้งบุ๋นและบู๊จึงทำให้หัวเมืองต่างๆ ยอมสวามิภักดิ์ ยกเว้นแคว้นก่งเลี้ยดที่มีอำนาจเข้มแข็งและมีกองกำลังทหารที่เหนือกว่า ทั้งสองแคว้นทำศึกกันมาถึงครั้งที่ 4 แคว้นก่งเลี้ยดชนะโดยการทุ่มกองกำลังทหารที่มีทั้งหมดที่มากกว่าหลายเท่าตัวโอบล้อมกองทัพพระราชโอรสทั้งเก้าไว้ทุกด้าน แต่กองทัพก่งเลี้ยดไม่สามารถบุกเข้าเมืองได้จึงถอยทัพกลับ จนวันหนึ่งชาวกังไสเกิดความแตกสามัคคีและเอาเปรียบกัน เทพยดาทราบว่าอีกไม่นานกังไสจะเกิดภัยพิบัติจึงหาผู้อาสาช่วยแต่ชาวบ้านจะพ้นภัยได้ก็ต่อเมื่อได้สร้างผลบุญของตนเอง ดวงวิญญาณพระราชโอรสองค์โตรับอาสาและเพ่งญาณเห็นว่าควรเริ่มที่บ้านเศรษฐีใจบุญ ลีฮั้วก่าย คืนวันหนึ่งคนรับใช้แจ้งเศรษฐีลีฮั้วก่ายว่ามีขอทานโรคเรื้อนมาขอพบเศรษฐีจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เป็นค่าเดินทาง แต่ขอทานไม่ไปและประกาศให้ชาวเมืองถือศีลกินเจเป็นเวลา 9 วัน 9 คืนผู้ใดทำตามภัยพิบัติจะหายไป เศรษฐีนำมาปฏิบัติก่อนและผู้อื่นจึงปฏิบัติตามจนมีการจัดให้มีอุปรากรเป็นมหรสพในช่วงกินเจด้วย เล่าเอี๋ยเกิดศรัทธาประเพณีกินเจของมณฑลกังไสจึงได้ศึกษาตำราการกินเจของเศรษฐีลีฮั้วก่ายที่บันทึกไว้ แต่ได้ดัดแปลงพิธีกรรมบางอย่างให้รัดกุมยิ่งขึ้นและให้มีพิธียกอ๋องส่องเต้ (พิธีเชิญพระอิศวรมาเป็นประธานในการกินเจ)
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #114 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 15:23:35 »

ตำนานที่ 6 ชายขี้เมานามว่า เล่าเซ็ง เข้าใจผิดคิดว่าแม่ตนตายไปเพราะเป็นโรคขาดสารอาหาร จนคืนหนึ่งแม่ได้มาเข้าฝันบอกว่า แม่ตายไปได้รับความสุขมากเพราะแม่กินแต่อาหารเจและตอนนี้แม่อยู่บนเขาโพถ้อซัว ตั้งอยู่บนเกาะน่ำไฮ้ ในมณฑลจิ๊ดเจียงถ้าลูกอยากพบแม่ให้ไปที่นั่น ครั้นถึงเทศกาลไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่เขาโพถ้อซัว เล่าเซ็งอยากไปแต่ไปไม่ถูกจึงตามเพื่อนบ้านที่จะไปไหว้พระโพธิสัตว์ เพื่อนบ้านเห็นเล่าเซ็งสัญญาว่าจะไม่กินเหล้าและเนื้อสัตว์จึงให้ไปด้วย ระหว่างทางเดินสวนกับคนขายเนื้อเล่าเซ็งลืมสัญญาที่ให้ไว้เพื่อนบ้านก็หนีไป โชคดีที่มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านมาและต้องการไปไหว้พระโพธิสัตว์เล่าเซ็งจึงขอตามนางไป เมื่อถึงเขาโพถ้อซัวขณะที่เล่าเซ็งก้มลงกราบไหว้พระโพธิสัตว์นั้น เขาเห็นแม่ลอยอยู่เหนือกระถางธูปที่คนอื่นมองไม่เห็น ขณะเดินทางกลับเขาได้แยกทางกับหญิงสาวและได้พบเด็กชายคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่จึงเข้าไปถามไถ่ได้ความว่าเป็นลูกของเขากับภรรยาที่เลิกกันไปนานแล้ว เขาจึงพาไปอยู่ด้วยแล้ววันหนึ่งหญิงสาวที่นำทางไปเขาโพถ้อซัวมาขออาศัยอยู่ด้วย ทั้งสามอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข หญิงสาวผู้นั้นเป็นสาวบริสุทธิ์ประพฤติตนเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรมและถือศีลกินเจอยู่เนืองนิตย์ นางรู้ว่าใกล้ถึงวันตายของนางแล้วจึงบอกเล่าเซ็ง เมื่อถึงวันนั้นนางอาบน้ำแต่งตัวด้วยอาภรณ์ที่ขาวสะอาดแล้วนั่งสักครู่ก็สิ้นลม เล่าเซ็งเห็นการจากไปด้วยดีของนางคล้ายกับแม่จึงเกิดศรัทธายกสมบัติให้ลูกชายแล้วประพฤติตนใหม่ เมื่อตายไปจะได้บังเกิดผลเช่นเดียวกับแม่และหญิงสาวและประเพณีกินเจจึงเริ่มขึ้น
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #115 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 15:25:32 »

ตำนานที่ 7 การกินเจที่ภูเก็ต มีคณะงิ้วจากเมืองจีนมาเปิดการแสดงที่กะทู้นานเป็นแรมปี แล้วบังเอิญช่วงนั้นเกิดโรคระบาดขึ้นคณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจและสร้างศาลเจ้าขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ หลังจากนั้นโรคภัยไข้เจ็บก็หายสิ้น ชาวกะทู้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงปฏิบัติตาม และหลังจากประกอบพิธีอยู่ประมาณ 2-3 ปี ผู้ศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับอยากได้พิธีกินเจที่สมบูรณ์ตามแบบประเพณีมณฑลกังไส ประเทศจีน จึงได้ส่งตัวแทนไปนำควันธูป (เหี่ยวเอี้ยน) ในการเดินทางกลับจะต้องคอยจุดธูปต่อกันมิให้ดับมอด ศาลเจ้ากะทู้จึงได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับของพิธีกินเจในปัจจุบัน
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #116 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 15:43:10 »

อ้างถึง
ข้อความของ Leam เมื่อ 06 ตุลาคม 2553, 14:47:38

ยุคจั้นกวั๋ว เป็นยุคเดียวกับเรื่อง เจาะเวลาหาจิ้นซี หรือเปล่าครับท่าน?

ถูกต้องแล้วคร้าบ ยุคนี้เป็นยุคของราชวงศ์โจวซึ่งเป็นราชวงศ์ที่สามในประวัติศาสตร์จีน ราชวงศ์โจวแบ่งเป็นราชวงศ์โจวตะวันตกและโจวตะวันออก เดิมโจวตะวันตกจะเป็นศูนย์รวมของอำนาจ ภายหลังในยุคของพระเจ้าติ้วอ๋อง(ชื่อตามที่นักแปลไทยเรียก) พระเจ้าติ้วอ๋องลุ่มหลงนางเปาสื้อซึ่งเป็นคนยิ้มยาก เลยหากลวิธีที่จะให้นางงามยิ้มโดยให้จุดไฟหอคอย ที่ติดตั้งเป็นทอดๆไว้เตือนภัยยามมีศึกสงคราม เพื่อให้ขุนศึกหัวเมืองมาช่วย ขุดศึกมา เห็นติ้วอ๋องกำลังเกษมสำราญด้วยเหล้าเบียร์ก็หน้าแตกไปซิครับท่าน กลเม็ดนี้ทำให้นางเปาสื้อยิ้มได้ หลายครั้งเข้า ขุนศึกรู้แกว เลยไม่มา เข้าตำราเด็กเลี้ยงแกะ เผอิญมีครั้งนึงมีศึกสงครามมาจริงๆ ติ้วอ๋องกับนางเปาสื้อก็ซี้แหงแก๋ ต่อมาแม้จะกอบกู้ได้ แต่การปกครองไม่เข้มแข็งเหมือนเดิมแล้ว ราชธานีก็ต้องย้าย เลยเกิดราชวงศ์โจวตะวันออก กลายเป็นยุคชุนชิว มีรัฐแยกตัวออกมาปกครองอิสระร้อยกว่ารัฐ ราชวงศ์โจวยังมีอยู่ทางนิตินัยก็แค่เป็นเจว็ดแค่นั้นเอง ต่อมาก็ปราบกันไปปราบกันมาก็เหลืออยู่ยงคงกระพันเพียงแค่เจ็ดพยัคฆ์ ยุคนี้เรียกว่ายุคจั้นกั๋ว ส่วนคำว่าเลี่ยกั๋วหรือเลียดก๊กในภาษาไทย เอามาจากนิยายพงศาวดารชื่อตำนานเลียดก๊ก ซึ่งเกิดขึ้นในยุคโจวตะวันออกนี่เอง คงทับศัพย์ชื่อเรื่องน่ะ
      บันทึกการเข้า
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #117 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 16:58:12 »


...เทศกาลกินเจ (กินผัก) วันที่ 08 - 16 ตุลาคม 2553...

      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #118 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 20:57:00 »

ที่หางโจว ไม่มีประเพณีกินเจเลยครับพี่ๆ  ถามน้องๆ คนจีนก็ไม่มีใครรู้เรื่องประเพณีกินเจ
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #119 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2553, 09:41:15 »

เรื่องกินเจ ไม่รู้อะไรมาก คุยเรื่องอื่นของชอบดีกว่า อ่านเรื่อง "พันธนาการตัวเองด้วยกิ่งหนามแหลมมารับผิด" แล้ว ให้คิดถึงสุภาษิตจีน ที่ปะป๊าเคยสอนมาตอนเด็ก นับๆเวลาก็ร่วมสามสิบกว่าปีแล้ว บรรดาพณฯท่านในเมืองไทยคงไม่รู้จักสุภาษิตบทนี้มั้ง

将相胸前堪走马,公候肚里好撑船。
"ในอ้อมอกของแม่ทัพนายกองและบรรดาเสนาบดีต่างๆสามารถควบม้าได้ ในท้องของเจ้าขุนมูลนายแล่นเรือได้เป็นอย่างดี"

ต่อด้วยด้วยบทกลอนบรรยากาศในวันสาร์ทหยวนเซียว ซึ่งเป็นวันเพ็ญขึ้นสิบห้าค่ำหลังตรุษจีน หลายท่านอาจจะไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่าเป็นวันที่เขาจัดเชิดสิงโตในประเทศไทย หลายคนคงร้องอ๋อ

《正月十五夜》
苏味道
火树银花合,星桥铁锁开。
暗尘随马去,明月逐人来。
游伎皆秾李,行歌径落梅。
金吾夜不禁,玉漏莫相催。


คืินวันเพ็ญเดือนอ้าย
ซูเว่ยเต้า
ต้นไม้ไฟระยับ  ดาวประดับกับสะพาน
ฝุ่นคลุ้งตามม้าผ่าน เดือนสกาวเร้าฝูงชน
นารีที่สวยล้ำ ขับลำนำตามถนน
คืนนี้มิห้ามคน นาฟิกาอย่ามาเร่ง

元宵
(明) 唐寅
有灯无月不娱人,有月无灯不算春。
春到人间人似玉,灯烧月下月如银。
满街珠翠游村女,沸地笙歌赛社神。
不展芳尊开口笑,如何消得此良辰。


หยวนเซียว
ถังหยิง
มีโคมไร้จันทรา  ไหนจะหาความรื่นรมย์    
มีจันทร์ไร้โคมชม  ก็มิสมลมวสันต์

ฤดูเมื่อมาถึง คนงามซึ้งตรึงชีวัน  
ใต้แสงโคมไฟนั้น จันทร์ดุจดังแสงเงินยวง

ชนบทสาวชาวบ้าน  ล้วนละลานด้วยมุกพวง
บรรเลงเพลงแดนสรวง  เทพทั้งปวงมาช่วยขับ

บัดนี้มิรินเหล้า  เคล้าเสียงคุยหัวเราะรับ
ไหนเลยจะรับกับ เพลาดีวันนี้ได้

      บันทึกการเข้า
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #120 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2553, 15:22:32 »


将相胸前堪走马,公候肚里好撑船。
"ในอ้อมอกของแม่ทัพนายกองและบรรดาเสนาบดีต่างๆสามารถควบม้าได้ ในท้องของเจ้าขุนมูลนายแล่นเรือได้เป็นอย่างดี"




ภูมิรู้ผมยังน้อย......
ช่วยแปลไทยเป็นไทยหน่อยได้ไหม?.......ท่านจุ๊ง
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #121 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2553, 15:35:23 »

แหม ท่านแหลมเปี๊ยบก้อ ก็แปลว่าบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ปกติจะต้องใจกว้างปานห้วงนภากาศไงล่ะคร้าบทั่น
      บันทึกการเข้า
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #122 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2553, 15:46:02 »

เข้าใจแล้ว........ขอบคุณ

แต่.....ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราจำนวนไม่น้อย จิตใจปานมหาสมุทรเลย.

      บันทึกการเข้า
หนุน'21
Global Moderator
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
*****


ซีมะโด่ง'จุฬาฯ ที่มาของผม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: "ครุศาสตร์"
กระทู้: 26,927

« ตอบ #123 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2553, 16:00:11 »

อ้างถึง
ข้อความของ จุ๊ง2522 เมื่อ 27 กันยายน 2553, 17:06:22
พวกเราเห็นชาวเหล้ากันเยอะ เลยเอาบทกลอนเก่าๆเกี่ยวกับเหล้า มาบิ๊วอารมณ์กันหน่อย

凉州词(葡萄美酒夜光杯)
王 翰

葡萄美酒夜光杯, 欲饮琵琶马上催。

醉卧沙场君莫笑, 古来征战几人回


บทพรรณนาเหลียงโจว(เหล้าองุ่นในถ้วยพราวราตรี)
หวังฮ่าน

องุ่นเหล้าล้ำเลิศ  ถ้วยบรรเจิดเพริศพราวตา
ใคร่ดื่มปลื้มสักครา เสียงผีผาม้าเร่งคึก
เมาพับหลับกลางศึก  เกลออย่านึกนับเยาะข้า
ตั้งแต่โบราณมา กี่คนหนากลับคืนเรือน

หมายเหตุ ผีผาเป็นเครื่องดนตรีประเภทสาย ลักษณะคล้ายกีต้าร์


รอเวลา เจอะเจอคราใด
พี่จะขอคารวะทั่นน้องสัก 1 จอก


 sorry sorry
      บันทึกการเข้า

“สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า ทั้งมิใช่ชื่อเสียง และไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคน ท่านหากได้มา พึงทะนุถนอมไว้
อย่าได้สร้างความผิดหวังต่อตนเองและผู้อื่น.” “วีรบุรุษสำราญ” “โกวเล้ง”
หนุน'21
Global Moderator
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
*****


ซีมะโด่ง'จุฬาฯ ที่มาของผม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: "ครุศาสตร์"
กระทู้: 26,927

« ตอบ #124 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2553, 16:16:35 »



เฮียจุ๊ง
เฮียจุ๊ง  ยอดเยี่ยมมาก
มุมมองเรื่องจีนๆ นับว่าหาใครแถวนี้เท่าเทียมได้
ช่างค้นคว้า ช่างเสาะหา มาเล่าสู่
ถามไปตอบมา เก่งอ่ะขอชื่นชม
อ่านแล้วเพลินดี
ชอบ ชอบ


 รักนะ รักนะ
      บันทึกการเข้า

“สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า ทั้งมิใช่ชื่อเสียง และไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคน ท่านหากได้มา พึงทะนุถนอมไว้
อย่าได้สร้างความผิดหวังต่อตนเองและผู้อื่น.” “วีรบุรุษสำราญ” “โกวเล้ง”
  หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 36  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><