seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #25 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2553, 21:44:02 » |
|
น้องต้องเป็นแม่ครัวทำอาหารหย่อยๆให้พี่ทาน ระหว่างอยู่ในรถ ก็ต้องร้องเพลงเพราะให้พี่ฟังด้วย นี่หมายรวมถึง น้องตุ๊กกี้ด้วยนะครับ ตกค่ำ ต้องคอยบีบนวดพี่ให้หายปวดเมื่อยจากการขับรถ ทำได้หรือเปล่าจ๊ะ..งานเบาๆๆ
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #26 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2553, 21:45:53 » |
|
แล้วจะตามไปถึงกรุงลิสบอน ด้วยหรือเปล่าครับน้องขุน
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #27 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2553, 21:49:05 » |
|
ตกลงไม่ถนัด...ก็ไม่เป็นไร ช่วยล้างรถ เช็ดกระจกรถก็แล้วกัน ส่วนนักศึกษาของเจ้าเจตน์ ก็ให้นั่งตักพี่แล้วกัน ..5555
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
swsm
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
@@ ยาหยี @@
ออฟไลน์
รุ่น: Rcu2523
คณะ: Comm Arts
กระทู้: 28,369
|
|
« ตอบ #28 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2553, 21:49:42 » |
|
หยีมาติดตามอ่าน ได้ความรู้ติดตัวแถมไปด้วย เป็นประโยชน์กับการทำงานของตนเองอย่างยิ่ง
ขอบคุณพี่ตะวันนะคะ
|
.. don't play with me, cos I know how to play it too .. may be better than you do ..
|
|
|
lor30
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 484
|
|
« ตอบ #29 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2553, 22:28:16 » |
|
พี่หยีครับ แล้วมันใช้ได้นานแค่ไหนครับ
|
|
|
|
swsm
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
@@ ยาหยี @@
ออฟไลน์
รุ่น: Rcu2523
คณะ: Comm Arts
กระทู้: 28,369
|
|
« ตอบ #30 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2553, 22:32:55 » |
|
1 ปีค่ะ ..
|
.. don't play with me, cos I know how to play it too .. may be better than you do ..
|
|
|
lor30
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 484
|
|
« ตอบ #31 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2553, 22:34:33 » |
|
ขอบคุณครับ จะได้ไปทำบ้าง
เผื่อมีโอกาสใช้ในพม่า หรือเวียดนาม
|
|
|
|
swsm
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
@@ ยาหยี @@
ออฟไลน์
รุ่น: Rcu2523
คณะ: Comm Arts
กระทู้: 28,369
|
|
« ตอบ #32 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2553, 22:41:06 » |
|
|
.. don't play with me, cos I know how to play it too .. may be better than you do ..
|
|
|
Leam
|
|
« ตอบ #33 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2553, 00:39:54 » |
|
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ........น้องหยี
|
|
|
|
อ้อย17
|
|
« ตอบ #34 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2553, 08:50:28 » |
|
โหย...สบาย.....ถ้าใจสบาย...ทำได้ทุกอย่างที่พี่บอกแต่ต้องมีติ๊ปด้วยนะ...๕๕๕
|
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #35 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2553, 10:27:09 » |
|
เปิดห้องไว้อ่อยเหยื่อ ไว้น้องหยีไปอยู่ที่โนน่ คงมีข้อมูลการท่องเที่ยวเยอะๆแล้วเอามาลงให้พวกเราได้รู้กัน ก็ช่วยๆกันไปนะครับ
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #36 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2553, 10:49:40 » |
|
มีเรื่องสนุกๆ หรือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาเล่าสู่กันฟัง
ขนมบ้าบิน จากโปรตุเกส
เพิ่งทาน ขนมบ้าบิน จึงทำให้ฉุกคิดว่า ทำไมจึงชื่อแปลกๆว่า บ้าบิ่น เคยได้ยินคนพูดว่า ชื่อมาจาก คุณป้าบิ่น ต้นตำรับ ซึ่งฟังดูแล้ว เป็นคำอธิบายที่ง่ายเกินไป จึงไม่ค่อยอยากจะเชื่อ เพราะดูจากลักษณะของขนมบ้าบิ่นแล้ว น่าจะได้มาจาก ต่างประเทศ จึงค้นหาข้อมูลทางเน็ต พบว่า ที่โปรตุเกส มีขนมชื่อ ขนม เกลชาดาซ เดอ กรูอิงบรา (Queijadas de Coimbra) อันเป็นต้นตำรับ ขนมบ้าบิ่น ของไทย ซึ่งใช้เนยแข็ง แต่ในบ้านเราใช้มะพร้าวแทน ดัง นั้น ชื่อ บ้าบิ่น น่าจะมาจากคำว่า bra อันเป็นคำท้ายสุดของ Queijadas de Coimbra ไทยคงจะเรียกสั้นๆว่า ขนมบ้า แล้วก็เติม บิ่น เข้าไป กลายเป็นชื่อ ขนมบ้าบิ่น มาจนทุกวันนี้
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #37 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2553, 10:59:34 » |
|
ตามรอยต้นตำรับ 'ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง'
ขนม ไทยแท้ๆ นั้น จากการศึกษาพบว่า ส่วนประกอบหลักของขนมไทยมักหนีไม่พ้นของสามสิ่ง คือ แป้ง น้ำตาล และ มะพร้าว นำมาคลุกเคล้าผสมผสาน ดัดแปลงตามสัดส่วนที่เหมาะสมด้วยวิธีต่างๆ เช่น นึ่ง ต้ม ทอด จี่ ผิง ก็จะได้ขนมไทยมากมายหลายชนิด
คนไทยสมัย โบราณไม่ได้กินขนมทุกวัน หากแต่จะได้กินก็ต่อมีงานนักขัตฤกษ์ หรืองานบุญสำคัญเท่านั้น ขนมไทยที่มักพบกันบ่อยที่กินกับน้ำกะทิ และทำเลี้ยงแขกเสมอ คือ ขนมสี่ถ้วย ซึ่งหมายถึง ไข่กบ (เม็ดแมงลัก) นกปล่อย (ลอดช่อง) มะลิลอย (บัวลอย) และอ้ายตื้อ (ข้าวเหนียวน้ำวุ้น) ส่วนขนมอื่นๆ มักใช้ในงานมงคลต่างๆ เช่น ขนมชั้น ขนมจ่ามงกุฎ ขนมกง ขนมสามเกลอ ขนมปุยฝ้าย เป็นต้น ฯลฯ
ในงาน "นิทรรศการขนมนานาชาติ" ซึ่งจัดโดยภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ.2541 ได้จำแนกกลุ่มขนมหวานของไทยที่ได้รับอิทธิพลจาก วัฒนธรรมโปรตุเกส คือ ทองหยิบ ฝอยทอง ทองหยอด บ้าบิ่น ลูกชุบ ขนมผิง ทองม้วน ขนมหม้อแกง ขนมไข่
มีรากฐานพบว่า ในโปรตุเกส ขนมที่ชื่อ ตรูซูช ดาช กัลดัช (Trouxos das caldas) คือ ต้นตำรับของขนม ทองหยิบ และขนม Fios de Ovos คือ ขนมฝอยทอง ส่วนขนม เกลชาดาซ เดอ กรูอิงบรา (Queijadas de Coimbra) เป็นต้นตำรับ ขนมบ้าบิ่น ของไทย ซึ่งใช้เนยแข็ง แต่ในบ้านเราใช้มะพร้าวแทน
สำหรับ ลูกชุบ เป็นขนมประจำถิ่นโปรตุเกส แพร่หลายมาถึงย่านเมดิเตอร์เรเนียนแถบฝรั่งเศสตอนใต้ เพราะอยู่ใกล้บ้าน เช่น เมืองนีซ เมืองคานส์ ก็มีขนมลูกชุบมากมายทั้งเมือง
ลูกชุบใน ภาษาโปรตุเกส เรียกว่า Massapa'es เป็นขนมประจำถิ่นของ แคว้นอัลการ์วิ (Aigaeve) โดยโปรตุเกสใช้เม็ด อัลมอนด์ เป็นส่วนผสมสำคัญ แต่บ้านเราไม่มี จึงต้องคิดด้วยการใช้ ถั่วเขียว แทน
เนื่องจากขนมโปรตุเกสจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์และความรู้ความชำนาญพิเศษ จึงจะได้ขนมหวานที่รสชาติดีออกมาสีสันสวยงาม
ดัง นั้น แม้ทุกวันนี้ ขนมฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด ยังเป็นขนมยอดฝีมือที่ผู้ทำต้องมีความชำนาญ และได้รับการยกย่อง หากทำขนมประเภทนี้ได้รสชาติดี สวยงาม ประณีต
ในรัชสมัยแผ่นดิน สมเด็จพระนารายณ์มหาราช บาทหลวงฝรั่งเศส เดอโลลีเยร์ บันทึกรายงานถึงระดับความมีหน้ามีตา และรสนิยมการบริโภคขนมหวานของชาวโปรตุเกสในสมัยกรุงศรีอยุธยา กระทั่งราชสำนักสยามถึงกับต้องเกณฑ์ขนมหวานจาก หมู่บ้านโปรตุเกส เข้าไปในพระราชวัง เนื่องในโอกาสนักขัตฤกษ์ต่างๆ เป็นจำนวนมาก ดังความตอนหนึ่งว่า
"พวกเข้ารีตบางครัว ต้องถูกเกณฑ์ให้ทำของหวานแก่พระเจ้าแผ่นดิน ในวันนักขัตฤกษ์ ในวันชนิดนี้พระเจ้ากรุงสยามก็มีรับสั่งให้พวกเข้ารีตนี้ ทำของหวานเป็นอันมาก อ้างว่าสำหรับงานนี้งานนั้น เป็นต้นว่า สำหรับพิธีล้างศีรษะช้าง ซึ่งถือว่าเป็นพระองค์หนึ่ง หรือสำนักงานไหว้พระพุทธบาทดังนี้"
อาจด้วยเป็นพระราชประสงค์ที่มี รับสั่งตรงมาจากราชสำนักสยาม ทำให้ มาดามดอนญา มาเรีย กิอูมาร์ เดอ ปินา ภรรยาเจ้าพระยาวิชเยนทร์ฟอลคอน ซึ่งรับหน้าที่แม่บ้านหัวเรือใหญ่จัดอาหารเลี้ยงรับรองราชอาคันตุกะต่าง ประเทศ ที่เข้ามายังกรุงศรีอยุธยามากมาย ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ท้าวทองกีบม้า (เพียนจาก 'กิอูมาร์') ตำแหน่งวิเศสกลาง ถือศักดินา 400 เป็นผู้กำกับการพนักงานของหวานในพระราชวัง
อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน ชาวตะวันตกอีกผู้หนึ่ง ที่บันทึกการเดินทางเกี่ยวกับเรื่องของ ท้าวทองกีบม้า ว่า
"ข้าพเจ้า ได้เห็นท่านผู้หญิงของฟอลคอนในปี พ.ศ.2262 เวลานี้ท่านได้รับเกียรติเป็นต้นห้องเครื่องหวานาของพระเจ้าแผ่นดิน ท่านเกิดในกรุงสยามในตระกุลอันมีเกียรติ และในเวลานั้นท่านเป็นที่ยกย่องนับถือแก่คนทั่วไป...
ท่านท้าวทอง กีบม้าผู้นี้ เป็นต้นการสั่งสอนให้ชาวสยามทำของหวาน คือ ขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมทองโปร่ง ทองพลุ ขนมผิง ขนมฝรั่ง ขนมผิง ขนมไข่เต่า ขนมทองม้วน ขนมสัมปันนี ขนมหม้อแกง เป็นต้นเหตุเดิมที่ท้าวทองกีบม้าทำและสอนให้ชาวสยาม"
นี่เป็นหนึ่ง ในสาเหตุที่มีการยอมรับวัฒธรรมขนมหวานจากชาวโปรตุเกส ซึ่งมักนิยมนำมาจัดเลี้ยงในงานพิธีมงคลต่างๆ ตั้งแต่สมัยอยุธยาในครั้งกระนั้นสืบทอดมาถึงยุคปัจจุบันในทุกวันนี้
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #38 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2553, 11:07:45 » |
|
เรื่องราวเล่าขานตำนานขนมหวานโปรตุเกส
ชาว แขกมัวร์ซึ่งเป็นแขกมุสลิมเป็นผู้สอนให้ชาวโปรตุเกส ได้รู้จักขนมหวานประเภท ไข่แดงในน้ำเชื่อม ทั้งหลายนี้ โดยที่แขกมัวร์เข้ามาครอบครองโปรตุเกสในยุคโบราณถึงประมาณห้าร้อยกว่าปี จึงสลัดแอกออกได้หมดแผ่นดิน แต่อาหารการกินยังคงฝังแน่นอยู่มาถึงปัจจุบัน
ล่วง มาถึงสมัยยุคกลาง ทั้งสำนักชีคอนแวนต์และโบสถ์คริสต์ทั้งหลาย กลายเป็นแหล่งมั่งคั่งด้วยโภคทรัพย์ เพราะมีผู้ทำบุญกันมากมายในแต่ละปี ครอบครัวฐานะดีที่มีความประสงค์จะให้ลูกสาวได้รับการอบรมบ่มนิสัยที่ดีงาม ก็ มักจะส่งมาให้อยู่ในความดูแลของคอนแวนต์ โดยมีทรัพย์สินมากมายติดตัวมาด้วย รวมทั้ง 'ไก่อีกหลายฝูง' เพื่อใช้ไข่รับประทานระหว่างที่อยู่ในคอนแวนต์ ผู้เช่าที่ดินของวัดหรือคอนแวนต์เป็นผู้เลี้ยงไก่ เมื่อไก่มีจำนวนมากก็มีปริมาณไข่ไก่มากเป็นเงาตามตัว จึงเกิดความคิดว่าจะนำไข่ไก่มาทำอาหารใดให้อร่อยและมิให้ของเหลือ การใช้ไข่แดงทำขนมในน้ำเชื่อมจึงเกิดขึ้นในคอนแวนต์ และขยับขยายกลายเป็นขนมอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งไข่ขาวที่เหลือก็พัฒนาแตกตัวออกไปเป็นขนมหลายอย่างในปัจจุบัน
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
หนุน'21
Global Moderator
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
ซีมะโด่ง'จุฬาฯ ที่มาของผม
ออฟไลน์
คณะ: "ครุศาสตร์"
กระทู้: 26,927
|
|
« ตอบ #39 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2553, 22:01:11 » |
|
ถึงคราวจำเป็น ผมขับก็ได้ครับ แล้วจะมีใครมานั่งรึปล่าวเนี่ย เหอ เหอ เหอ ขับได้ครับ
|
“สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า ทั้งมิใช่ชื่อเสียง และไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคน ท่านหากได้มา พึงทะนุถนอมไว้ อย่าได้สร้างความผิดหวังต่อตนเองและผู้อื่น.” “วีรบุรุษสำราญ” “โกวเล้ง”
|
|
|
หนุน'21
Global Moderator
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
ซีมะโด่ง'จุฬาฯ ที่มาของผม
ออฟไลน์
คณะ: "ครุศาสตร์"
กระทู้: 26,927
|
|
« ตอบ #40 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2553, 22:08:29 » |
|
ต้องขอบคุณพี่ตะวัน ที่หาข้อมูลมาให้อ่านอุ่นเครื่องกัน เรียกน้ำย่อยล่วงหน้านามมากเลยครับ ดีเหมือนกัน มีเวลาเตรียมตัวนานดี ฮ่า ฮ่า
|
“สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า ทั้งมิใช่ชื่อเสียง และไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคน ท่านหากได้มา พึงทะนุถนอมไว้ อย่าได้สร้างความผิดหวังต่อตนเองและผู้อื่น.” “วีรบุรุษสำราญ” “โกวเล้ง”
|
|
|
ภาณุ ปาตานี
|
|
« ตอบ #41 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2553, 22:14:53 » |
|
ส่วนผม..ตอนนี้ก็ขับรถพวงมาลัยขวา..ไม่ค่อยถนัดนะครับ
|
|
|
|
ภาณุ ปาตานี
|
|
« ตอบ #42 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2553, 22:19:01 » |
|
ผมขออนุญาตแนะนำพี่ตะวันให้รีบสมัคร Phd ภาควิชา Europe Study : Portugal จบ Trip นี้ ได้ปริญาเอกแน่ๆ เลยครับ ชอบครับ...
|
|
|
|
Leam
|
|
« ตอบ #43 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2553, 12:30:45 » |
|
อยากให้รู้จักเธอมากขึ้น ครับ........
ท้าวทองกีบม้า .........สตรีผู้หนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย และชีวิตดั่งนิยายของเธอ
|
|
|
|
Leam
|
|
« ตอบ #44 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2553, 12:31:17 » |
|
ท้าวทองกีบม้า .....สตรีผู้หนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย และชีวิตดั่งนิยายของเธอ ท้าวทองกีบม้า
ท้าวทองกีบม้า หรือ มารี กีมาร์ เดอ ปีนา (Marie Guimar de Pihna) (พ.ศ. 2201 หรือ พ.ศ. 2202 - พ.ศ. 2265) ในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นภรรยาของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าวิเสท ซึ่งได้ทำอาหารเลี้ยงต้อนรับคณะราชทูตฝรั่งเศสที่มาเยือนในสมัยนั้น เธอเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับทำขนมไทย ประเภททองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง มีผู้ยกย่องว่าท้าวทองกีบม้าเป็น "ราชินีแห่งขนมไทย"
ท้าวทองกีบม้า เกิดที่กรุงศรีอยุธยา ชื่อจริงว่า ดอนญ่า มารี กีมาร์ เดอปิน่า (ดอนญ่า ในภาษาสเปนหรือโปรตุเกสแปลว่า คุณหญิง) หรือตองกีมาร์ (Tanquimar) เป็นลูกครึ่งโปรตุเกส-ญี่ปุ่น และเบงกอล โดยมารดาของท้าวทองกีบม้าชื่อ อุรสุลา ยามาดา (Ursula Yamada) หรือหนังสือบางเล่มเรียกว่า เออร์ซูลา ยามาดะ ซึ่งมีเชื้อสายญี่ปุ่นผสมโปรตุเกส ที่อพยพลี้ภัยทางศาสนาเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา ส่วนบิดาชื่อ ฟานิก กูโยมา (Phanick Guimar หรือ Fanik Guyomar) ที่เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นผสมแขกเบงกอลและโปรตุเกสจากอาณานิคมกัว (ปัจจุบันคือรัฐกัว ประเทศอินเดีย) ครอบครัวของยามาดะเป็นตระกูลที่เคร่งครัดในคริสต์ศาสนามาก เซญอรา อิกเนซ มาร์แตงซ์ ยายของท้าวทองกีบม้า เคยเล่าว่า เขาเป็นหลานสาวของนักบุญฟรังซิส ซาเวียร์ (Saint Francis Xavier) คริสต์ศาสนิกชนคนแรกของประเทศญี่ปุ่น และนักบุญชื่อดัง โดยได้ประทานศีลล้างบาปและตั้งนามทางศาสนาให้
|
|
|
|
Leam
|
|
« ตอบ #45 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2553, 12:31:44 » |
|
ราวปี พ.ศ. 2135 ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) ผู้สำเร็จราชการของญี่ปุ่น ต้องการล้มล้างวัฒนธรรมตะวันตก จึงออกพระราชฎีกาในนามของพระจักรพรรดิ์ให้จับกุม ลงโทษ และริบสมบัติชาวคริสต์ ยายของท้าวทองกีบม้า ซึ่งเป็นชาวคริสต์จึงถูกลงโทษด้วย นางถูกจับยัดใส่กระสอบนำลงเรือมาที่นางาซากิ เพื่อเนรเทศไปยังเมืองไฟโฟ (Faifo) ปัจจุบันคือ ฮอยอัน ในประเทศเวียดนามเพราะมีชาวคริสต์อยู่มาก บนเรือนี่เองที่ทำให้ยายของท้าวทองกีบม้า พบกับตาของท้าวทองกีบม้า ซึ่งเป็นเจ้าชายแห่งราชวงศ์ญี่ปุ่น ทั้งสองคนจึงมาตั้งหลักปักฐานที่กรุงศรีอยุธยา เพราะเป็นประเทศที่ร่ำรวย อุดมสมบูรณ์ และไม่รังเกียจคนต่างศาสนา ท้าวทองกีบม้า เป็นหญิงสาวที่มีนิสัยเรียบร้อย ซื่อสัตย์ และเคร่งครัดในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก แม้ว่าจะมีเรื่องของมารดาเธอที่ถูกกล่าวหาโดยบาทหลวงชาวอังกฤษผู้หนึ่งว่า ยามาดะ (มารดาของท้าวทองกีบม้า) เป็นสตรีที่ประพฤติไม่เรียบร้อย ชอบคบผู้ชายไม่เลือกหน้า แม้จะแต่งงานกับฟานิกแล้ว ยังแอบปันใจให้ชายอื่นเสมอ โดยเฉพาะหนุ่มโปรตุเกสในค่ายที่ยามาดะอาศัยอยู่ แต่ฟานิกผู้เป็นบิดาของท้าวทองกีบม้ามีผิวดำ แต่มีลูกผิวขาวหลายคนรวมทั้งท้าวทองกีบม้า และทำให้ฟานิกบิดาของท้าวทองกีบม้าถูกชาวยุโรปดูถูกดูแคลนเสมอ อย่างไรก็ตามท้าวทองกีบม้าก็ได้แต่งงานตั้งแต่อายุเพียง 16 ปี กับคอนสแตนติน ฟอลคอน (เจ้าพระยาวิชาเยนทร์) ชาวกรีกที่เข้ามารับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่นิสัยต่างกันมาก ก่อนที่จะแต่งงานกับฟอลคอน ฟอลคอนเคยมีภรรยามาแล้วหลายคน แต่ส่งไปอยู่เมืองพิษณุโลก ส่วนลูกนั้นมารี กีมาร์นำมาเลี้ยงเองเนื่องจากเธอเป็นคนใจบุญสุนทาน เธอรับเลี้ยงเด็กสาวที่ยากจน และเด็กที่มีบิดาเป็นชาวยุโรป และมีมารดาเป็นชาวไทยแต่ถูกทอดทิ้ง เธอนำมาเลี้ยงดูมากมายหลายคน แม้เธอจะมีปัญหาระหองระแหงกับฟอลคอน แต่ก็ยังประคองความรักจนมีบุตรด้วยกัน 2 คนได้แก่ จอร์จ ฟอลคอน (George Phaulkon) เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2227 และฮวน ฟอลคอน (Juan Phaulkon) ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ. 2231 ต่อมาเมื่อสามีนางถูกลงโทษข้อหากบฏ เรียกตำแหน่งคืน ริบทรัพย์ และถูกประหารชีวิต ท้าวทองกีบม้าถูกส่งตัวเข้าไปเป็นคนรับใช้ในพระราชวัง และได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่ทำอาหารหวานประเภทต่างๆ ส่งเข้าไปในพระราชวังตามกำหนด การทำหน้าที่จัดหาอาหารหวานส่งเข้าพระราชวัง ท้าวทองกีบม้าได้ประดิษฐ์ขนมขึ้นมาใหม่ตลอดเวลา โดยดัดแปลงตำรับเดิมโปรตุเกส และเอาวัตถุดิบท้องถิ่นที่มีในสยามเข้ามาผสมผสาน ซึ่งหลักๆได้แก่ มะพร้าว แป้งและน้ำตาล จนทำให้เกิดขนมใหม่ที่มีรสชาติอร่อย พระราชวังก็ได้ให้ความชื่นชมมากและถูกเรียกตัวเข้าไปรับราชการในพระราชวังในตำแหน่งหัวหน้าห้องเครื่องต้น
|
|
|
|
Leam
|
|
« ตอบ #46 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2553, 12:32:07 » |
|
บั้นปลายชีวิต แม้ท้าวทองกีบม้าจะมีชีวิตในระยะแรกๆ ค่อนข้างลำบาก สามีถูกประหาร ต้องมีชีวิตระหกระเหิน ถูกส่งตัวไปเป็นคนรับใช้ แต่ด้วยความสามารถ และอุปนิสัยดี มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ บั้นปลายชีวิตของเธอจึงสุขสบายและได้รับการยกย่องตามควร ท้าวทองกีบม้ามีอายุยืนถึง 4 รัชกาล คือ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเพทราชา สมเด็จพระเจ้าเสือและสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ มีหลักฐานบ่งว่าท้าวทองกีบม้าถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้ 66 ปี
ขนมที่เชื่อว่าท้าวทองกีบม้าทำขึ้น ท้าวทองกีบม้า เมื่อเข้าไปรับราชการในพระราชวังได้สร้างสรรค์ขนมหวานหลายชนิด โดยดัดแปลงมาจากตำรับอาหารโปรตุเกส ให้เป็นขนมหวานของไทย และเผยแพร่ไปโดยทั่วไป ท้าวทองกีบม้าจึงได้ชื่อเป็น "ราชินีแห่งขนมไทย" โดยขนมที่เชื่อว่าท้าวทองกีบม้าได้ดัดแปลงเป็นขนมหวานของไทยนั้น มีดังต่อไปนี้คือ กะหรี่ปั๊บ,ขนมหม้อแกง,ทองม้วน,ทองหยอด,ทองหยิบ,ฝอยทอง,สังขยา และขนมผิง
ขอบคุณ ที่มา : wikipedia
|
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #47 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2553, 12:50:28 » |
|
ขอบใจมากน้องแหลม รู้ใจจริงๆ กำลังว่าจะไปดูข้อมูลท้าวทองกีบม้าพอดี ก็มีคนรู้ใจเอามาป้อนให้พอดี ขอบใจหลายๆเด้อ..น้องแหลม
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
Leam
|
|
« ตอบ #48 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2553, 13:12:39 » |
|
พี่น้องกันแค่นี้เรื่องสิวๆครับ.......พี่ตะวัน
|
|
|
|
Kaimook
|
|
« ตอบ #49 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2553, 23:16:24 » |
|
สวัสดีค่ะพี่ๆเข้ามาเที่ยวด้วยค่ะได้ความรู้แยะเลยค่ะพี่ตะวัน....
|
|
|
|
|