22 พฤศจิกายน 2567, 11:40:04
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 677 678 [679] 680 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3544768 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 8 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16950 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2561, 19:10:48 »



กฐินทานหรือการทอดกฐินเป็นการทำบุญที่ชาวพุทธนิยมมาก เพราะเชื่อว่ามีอานิสงส์มาก เนื่องจากเป็นสังฆทานที่พิเศษ เรียกว่าเป็นกาลทาน คือทำได้ในเวลาที่จำกัด กล่าวคือภายใน ๑ เดือนหลังออกพรรษาเท่านั้น อีกทั้งแต่ละวัดจะรับกฐินได้เพียงครั้งเดียวในหนึ่งปี  

กฐินทานเป็นประเพณีที่มีมาแต่พุทธกาล นอกจากเป็นไปเพื่อสงเคราะห์ภิกษุที่มีจีวรเก่าคร่ำคร่าแล้ว  ยังมุ่งเชิดชูสนับสนุนสามัคคีธรรมในหมู่สงฆ์ด้วย  ทั้งนี้เพราะหากพระวิวาทบาดหมางกันก็ยากที่จะอยู่จำพรรษาด้วยกันครบสามเดือนได้ อีกทั้งภิกษุรูปใดรูปหนึ่งจะรับผ้ากฐินได้ก็ต่อเมื่อสงฆ์มีความเห็นเป็นเอกฉันท์เท่านั้น  แม้แต่เสียงค้านเพียงเสียงเดียวก็ไม่ได้   นอกจากนั้นเมื่อได้ผ้ามาแล้วก็ต้องช่วยกันตัด เย็บ และย้อมให้เป็นจีวรเสร็จในวันเดียว (แต่ปัจจุบันขั้นตอนนี้เกิดขึ้นน้อยแล้วเนื่องจากผ้ากฐินเป็นจีวรสำเร็จรูป)

ขณะเดียวกันการที่ฆราวาสจะทอดกฐินให้สำเร็จได้ก็ต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมใจกัน (เช่น ปั่นด้าย ทอผ้าให้เป็นผืน ซึ่งหากทำเสร็จในวันเดียวก็เรียกว่าจุลกฐิน ซึ่งมีอานิสงส์มาก)  แม้ทุกวันนี้ไม่มีการทอผ้าด้วยตัวเองแล้ว แต่ก็ยังมีขั้นตอนอีกมากมายที่ต้องอาศัยความสามัคคี งานจึงจะสำเร็จได้  ดังนั้นการทอดกฐินจึงเป็นงานบุญใหญ่ที่ถือว่ามีอานิสงส์มาก

ไม่ว่าเงินที่จะได้จะมากหรือน้อย หากทำด้วยจิตศรัทธา ไม่ว่าเจ้าภาพ ผู้ออกโรงทาน ผู้บริจาคเงิน  ผู้สละแรงกายมาช่วยงาน แม้แต่ผู้ที่อนุโมทนาในบุญดังกล่าว ล้วนมีส่วนแห่งบุญทั้งสิ้น ดังภาษิตของพระพุทธเจ้าซึ่งพระสงฆ์นำมาสาธยายขณะให้พรแก่ญาติโยมหลังจากทอดกฐินเสร็จว่า
“ชนทั้งหลายเหล่าใดอนุโมทนา หรือช่วยขวนขวายในทานนั้น.....ชนทั้งหลายเหล่านั้นย่อมเป็นผู้มีส่วนในบุญนั้นด้วย”

พระไพศาล วิสาโล
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16951 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2561, 19:28:48 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16952 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2561, 19:29:57 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16953 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2561, 19:31:05 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16954 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2561, 19:31:47 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16955 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2561, 19:34:41 »



ทอดกฐิน หาปัจจัยสร้างศาลา หลังใหม่ ทดแทนศาลาหลังเก่าที่พ่อได้สร้างเอาไว้ มีอายุตั้งแต่ปี 2499
แต่เพราะน้ำท้วมทุกปี โดยเฉพาะปี 2540 ท้วมนานสองเดือนกว่า ทำให้คินกรีตยุ่ยหมดสภาพ และเหล็กเสริม เป็นสนิท ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป ครับ

สาธุ สาธุ สาธุ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16956 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2561, 19:41:53 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16957 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2561, 19:42:22 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16958 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2561, 19:42:53 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16959 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2561, 12:01:31 »



"ธรรม" ทั้งหลายล้วนเป็น "อนัตตา"

ธรรม คือธรรมชาติที่เป็นความจริง มีอยู่จริง เกิดขึ้นตามเหตุ-ปัจจัย  ดับไปตามเหตุ-ปัจจัย และควบคุม บังคับ ไม่ได้เลย มันจึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และดับไปเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ

สิ่งรอบ ๆ ตัวเราบนโลกใบนี้ ล้วนเป็นธรรมชาติ และธรรมชาตินั้น จะพึงปรากฏเป็นธรรมให้รู้สึกได้ในมนุษย์ หรือคน นั้นก็ต่อเมื่ออายตนะภายใน ผัสสะกับอายตนะภายนอก เกิดวิญญาณ คือความรู้แจ้งทางอายตนะนั้น ๆ ที่เป็นทวารในการรับรู้ และตามมาด้วยธรรมทั้งหลาย...ที่รู้สึกได้
อายตนะภายใน ประกอบด้วย ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  และใจ
อายตนะภายนอก แระกอบด้วย รูป  รส  กลิ่น  เสียง โผฏฐัพพะ  และธัมมารมภ์
ผัสสะประกอบด้วยการเห็น ได้ยิน ได้ดมกลิ่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัสทางกาย ได้รู้สึกทางใจหรือใจนึกคิด
จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ไม่มีรูป ไม่ใช้สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงธรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้นตามเหตุ-ปัจจัย อละดีบสลายไปเมื่อเหตุ-ปัจจัย ไม่มี เป็นอยู่แบบนี้ คนรู้ได้ด้วยความรู้สึก

แต่เพราะเราหลงเข้าไปเป็นมัน มันจึง หลงไปในอารมภ์ หลงเข้าไปคิด หลงเข้าไปในความคิด จนเกิดทุกข์ ทั้งกาย และใจตามมา
ความคิด เจตสิก ความรู้สึก ล้วนเป็นนาม เป็นอนัตตา ทั้งสิ้น เกิด-ดับ ตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเลยทั้งสิ้น เป็นธรรมชาติ

เมื่อเราเห็นความจริงอันนี้ เราก็จะปล่อยวางลงได้ ไม่ยึดติดกับอะไร ไม่เป็นอะไร กับอะไร ตามที่หลวงพ่อคำเขียน   สุวัณฺโณ  ท่านบอกเอาไว้ เพราะละความเป็นตัวตนลงได้

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16960 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2561, 12:19:14 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16961 เมื่อ: 30 ตุลาคม 2561, 09:00:08 »

สวัสดี ทุกท่านครับ
ตอนนี้ทราบว่า มีผู้สมัครไปทอดกฐินเต็มแล้ว ๑ รถบัส
แต่ทางนายกไก่  ไดให้รับสมัครไปเรื่อย ๆ จะจัดรถเพิ่มให้อีกหนึ่งคน ครับ

เรียนเชิญทุกท่าน มาทอดกฐินร่วมกัน ครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16962 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2561, 19:31:01 »

เรารู้ใจตัวเองได้เพราะมีสติ  ทำให้รู้ทันความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ  ไม่ตกอยู่ในการครอบงำของอารมณ์ต่าง ๆ   จึงสามารถทรงใจให้เป็นปกติ ไม่หวั่นไหวหรือขึ้นลงไปตามแรงกระทบกระแทกของสิ่งรอบตัว  สติช่วยให้ระลึกรู้ในกายและใจ  จึงเกิดความรู้สึกตัวอย่างฉับไว และเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับกายและใจอย่างที่มันเป็น มิใช่เห็นว่ามันมีอยู่ตามสภาวะที่พ้นจากความเป็นบวกเป็นลบเท่านั้น หากยังสามารถเห็นไปถึงธรรมชาติหรือลักษณะที่แท้ของมัน นั่นคือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน จึงนำไปสู่ปัญญาอันเป็นเครื่องไถ่ถอนความยึดติดถือมั่นในตัวตน ทำให้จิตเป็นอิสระจากความทุกข์ได้

พระไพศาล   วิสาโล

เมื่อมาถึงจุด จุดนี้ได้ ชีวิตเราก็มีปกติได้ ไม่หลงไปกับสังคม(ความคิด)
สาธุ สาธุ สาธุ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16963 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2561, 11:50:32 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16964 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2561, 07:52:17 »

☇จำเอาไว้นะ ถ้าใจยอมรับความจริงก็จะไม่ทุกข์

   ในพระไตรปิฎกมีนะ บอกพระอรหันต์เจริญสติปัฏฐาน
จิตพรากออกจากขันธ์  ไม่รู้เจริญทำไม
เจริญเป็นเครื่องอยู่ไง  เจริญสติปัฏฐานไป
จิตพรากออกจากขันธ์  จิตไม่เกาะกับขันธ์
ทำยังไงก็ไม่เกาะ  พยายามน้อมๆ มุดๆ ให้เกาะ
มันไม่เกาะจริงหรอก
พอจะเคลื่อนไปแตะนิดหนึ่งก็กระเด้งขึ้นมา
ไม่มีการเกาะกันเลย
เหมือนแสงแดดที่ผ่านไปในอวกาศ
ไม่กระทบกระทั่งอะไรเลย  ไม่มีปฏิกิริยาอะไรขึ้นมา
ในอวกาศเลยมืดๆ ไม่มีอะไรสะท้อนแสง
จิตพระอรหันต์ก็อย่างนั้นแหละ ผ่านไปในความว่าง
ว่างอยู่อย่างนั้นแหละ  ไม่มีอะไรย้อมได้
ไม่มีกระทบกระทั่ง  ไม่มีกระเทือน  ไม่มีร้อนนะ

จิตของปุถุชนยังร้อนอยู่
จิตของพระโสดาบัน สกิทาคามี พระอนาคามี ก็ร้อน
แต่จิตพระอนาคามีร้อนน้อย
ร้อนน้อยมากจนกระทั่งเรียกว่าเย็น  เย็นฉ่ำ
มีความสุขอยู่อย่างนั้นแหละ มีความสุขอยู่ทั้งวัน
จนกระทั่งตอนที่มันหมองๆ หน่อยนะ
หมองๆ หน่อย  เริ่มไม่มีความสุขแล้ว
ทนไม่ได้ต้องดิ้นรนค้นคว้าขึ้นมาอีก
ตรงที่ดิ้นรนค้นคว้าเรียกว่าฟุ้งซ่าน
ฟุ้งซ่านในธรรมะ  ไม่เป็นกลาง

วันใดเป็นกลางต่อสภาวะทุกสภาวะ
เห็นทุกๆ สภาวะเกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไป
เป็นกลาง  ใจยอมรับความจริง
เมื่อใจเข้าถึงความจริง  ยอมรับความจริงแล้ว
มันจะไม่ทุกข์

จำเอาไว้นะ  ถ้าใจยอมรับความจริงก็จะไม่ทุกข์

อย่างร่างกายนี่
ถ้ามีสติปัญญามาก รู้ว่ามันต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย
พอมันแก่ต้องเจ็บต้องตาย  ไม่ทุกข์หรอก
เพราะรู้แล้วมันต้องเป็นอย่างนี้
ใจยอมรับเหมือนหลวงพ่อวันชัย ท่านไม่สบาย
เป็นโรคซึ่งไม่มีทางรักษาหรอก
ถ้าให้ยา ยาก็ไปทำลาย ยาเป็นสารเคมีก็สะสมเข้าไป
ไตวายอีก  ไตก็ขับสารเคมีไม่ได้
ถ้าไม่ให้ยาก็ตาย  ให้ยาก็ตาย
เพราะฉะนั้นต้องตายอย่างสง่าผ่าเผย
ไหนๆ ก็จะตายแล้ว  บอกนอนดูมันตาย
หลวงพ่อไปเยี่ยมท่านก่อนวันที่ท่านจะตาย
คนก็นึกว่าเราจะไปปลอบโยน ให้กำลังใจ
ไปถึงเราก็บอก "ท่านอย่างไรก็ตายแน่ครับรอบนี้
ไหนๆ จะตายแล้วก็ตายอย่างนักรบนะ
ตายอย่างสง่าผ่าเผย  นอนดูมันตายไปเลย
เรารักษาจิตอันเดียวนี้แหละ"
บอกท่านอย่างนี้แล้วก็บ๋ายบาย  ไปรักษาเอาเองนะ

บอกท่านว่า  ถ้ารู้จิตรู้ใจได้  รู้มันลงไป
ถ้ารู้ไม่ได้  ดูกายมันตาย
ถ้าทำไม่ได้จริงๆ  คิดถึงพระพุทธเจ้าเอาไว้
คิดถึงพระพุทธเจ้าเป็นสมถะ
รู้จิตได้รู้จิตไป
รู้จิตไม่ได้ดูกายมันไป มันจะตายก็ให้มันตายไป
ทำไม่ได้ก็ทำสมถะคิดถึงพระพุทธเจ้าเอาไว้
นี่ตายอย่างนี้  เรียกว่าตายเป็น
พวกเราระวังตายอย่างเขียด
ต้องฝึก  ฝึกเอาเรื่อยๆ  ของท่านใจถึงนะ
สุดท้ายเห็นคุณเหน่งมาบอกว่าท่านไม่รักษาด้วย
ไม่กินยาที่หมอให้เลย
เพราะกินยาก็ตายเร็วอีกนั่นแหละ เดี๋ยวกินแล้วเบลอ  
ถ้ากินแล้วจะเบลอๆ กดประสาท
ท่านคอยดูๆ เอา  เห็นกายนี้ทุกข์  ทุกข์  
กายมันทุกข์นะ ใจไม่เอาแล้ว
ใจไม่เอาใจก็ถอยออกมา  ถอยออกมา
แต่โดยธรรมชาติของมัน  มันไม่ทิ้งทีเดียว
มันวิ่งเข้าวิ่งออก  มันนอนอยู่อย่างนั้นแหละ
๓-๔ ทีนะ  เห็นไปเห็นมา  ฮื้อ จิตมันเป็นอนัตตา
ก็ตายอย่างนั้นแหละ  
ก็ตายอย่างพระ  ไม่ใช่ตายอย่างเขียด

พวกเราก็ต้องฝึกนะ  ฝึกไป
วันหนึ่งเราก็ต้องใช้  ทุกคนต้องเจอ
ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก  ไม่ใช่ศึกล้มรัฐบาลหรอก
ศึกนี้ใหญ่กว่ากันเยอะเลย  
ต้องฝึกต้องซ้อมเอา  ไม่ต้องกลัวหรอก
เราจะวาดภาพความตายเอาไว้น่ากลัวเกินจริง
ที่จริงคนเรากลัวเจ็บก่อนตาย
แต่ถ้าเจ็บหนักๆ แล้วอยากตาย  ไม่กลัวตายแล้ว
เมื่อไรจะตายสักที  นี่รู้สึกอย่างนั้น

แล้วเวลาจะตายมันจะตัดความรับรู้ทางกายออกไปก่อน
เหลือแต่ความรับรู้ทางใจกายมันดับความรู้สึกลงไป
ตรงที่รับรู้ทางใจนี่แหละ  ชิงธงกันในนาทีนี้แหละ
มันจะเกิดนิมิตขึ้นมา  นิมิตดีหรือนิมิตเลว
ถ้ามีสติปัญญาแก่กล้า
นิมิตดีเกิดขึ้นก็สักว่ารู้สักว่าเห็น  วางไป
ถ้าวางไม่ได้ก็จับเอานิมิตที่ดี
ถ้าอกุศลให้ผล  เกิดนิมิตที่เลวขึ้นมา
เราเคยฝึกสติ  ปัญญาของเรารวดเร็ว สติทำงานวับเลย
ทั้งๆ ที่ร่างกายไม่รู้สึก
จิตทำงานปรุงนิมิตไม่ดีขึ้นมา สติระลึกปุ๊บเลย
ระลึกที่ไหน  ระลึกที่จิต
จะเห็นเลย  จิตมันกลัวขึ้นมา  ระลึกอย่างนี้

คนทั่วๆ ไป พอนิมิตไม่ดีเกิด สมมติเห็นต้นงิ้วขึ้นมา  
จิตมันจะจับ  จับปุ๊บ  จับต้นงิ้ว รู้สึกอีกทีกำลังปีนอยู่
แต่ผู้มีสติปัญญา เห็นต้นงิ้วปุ๊บ
ย้อนมาเห็นจิตเลย  นี่จิตกลัว
ความกลัวขาดสะบั้นแล้วนรกหายไปในขณะนั้นเลย
แต่ละคนสร้างนรกของตัวเอง  สร้างขึ้นมาเอง
ฉะนั้นนรกไม่มีวันเต็ม
มีพลเมืองเท่าไรก็ขยายสัมปทานไปได้เรื่อยๆ
ไม่เต็มหรอก เพราะทุกคนสร้างของตัวเองขึ้นมา
ค่อยฝึกเอานะ  ฝึกไป  ไม่ยากอย่างที่คิด

ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่  ยังไม่ใกล้ตาย
การปฏิบัติก็ยังย่อหย่อน  ล้มลุกคลุกคลาน
แต่ผู้ปฏิบัติเวลาใกล้จะตายจริงๆ
มันฮึดสู้นะ  ใจมันฮึดสู้  มันเข้มแข็ง
มันรู้แล้วไม่มีที่พึ่งอันอื่นแล้ว
หลวงพ่อปราโมทย์ก็ไม่ใช่ที่พึ่งแล้ว
เพราะหลวงพ่อปราโมทย์มาเยี่ยมแล้วบอกบ๋ายบาย
เธอต้องตายแน่แล้วรอบนี้  
ไม่มีเลยนะ โอ๋ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็หาย
ถ้าหลวงพ่อจะบอกนะ  ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หายจากโลก
โลก ล ลิง  ไม่ใช่หายจากโรคหรอก
เราอย่าไปหลอกกันนะ

เห็นไหม  หลวงพ่อพูดความจริง
ท่านตายแน่เลยรอบนี้  พูดด้วยเมตตาไหม
เมตตา อ่อนหวานไหม  อ่อนหวานนะ
พูดเสียงนุ่มนวลเลย  ท่านรอบนี้ไม่ไหวแล้ว
พูดถูกกาละเทศะ  พูดในนาทีใกล้ตายแล้ว
ถูกกาละเทศะ  อีกไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมงตายแล้ว
วันนั้นไปเห็นก็รู้แล้ว  เดี๋ยวก็ตายแล้ว
รู้  ไม่ต้องรู้ด้วยญาณทัสสนะใดๆ ทั้งนั้น
หลวงพ่อไม่ได้เก่งอย่างนั้นหรอก
หลวงพ่อเห็นการหายใจของท่านก็รู้แล้ว
น้ำท่วมปอดจะตายแล้ว
เราเห็นคนใกล้ตายมาหลายคนแล้ว หายใจเหมือนปลา
ใครหายใจเหมือนปลา  ทำใจเอาไว้เถอะ
ไม่นานหรอก  ไม่กี่ชั่วโมงหรอก  หายใจด้วยกะบังลม
ถ้าญาติโกโหติกาหายใจอย่างนี้ ทำใจเอาไว้เถอะ
ไม่นานหรอก  ไม่กี่ชั่วโมงหรอก  

นี่ถ้าเราฝึกภาวนาดีใช่ไหม
คนตายจิตมันร่าเริง  ไม่ใช่เสียอกเสียใจ  
ความแก่ความเจ็บความตาย
แทนที่จะเป็นของน่ากลัวนะ
จิตใจของผู้ปฏิบัติเผชิญมันด้วยความกล้าหาญ
ด้วยความร่าเริง  นี่เราฝึกของเราอย่างนี้

ตัวเองจะตายก็เหมือนกัน
คนที่เรารักจะตายก็เหมือนกัน
จิตใจมันจะเป็นอย่างนี้ขึ้นมา  เราต้องฝึกของเรา
วันหนึ่งทุกคนต้องตาย
วันหนึ่งเราต้องพลัดพรากจากคนที่เรารัก
ไม่เขาตายก่อน  เราก็ตายก่อนเขา
หรือไม่ตาย  มันก็ทิ้งเราไป

ฉะนั้นทุกคนต้องเตรียมความพร้อมของตัวเองเอาไว้
ค่อยฝึกเอา  ไม่ยากอย่างที่คิดหรอก
ง่ายมากเลย  ฝึกไป  อย่าขี้เกียจเท่านั้นแหละ
คำแสลงสำหรับวัดนี้คือคำว่าขี้เกียจ
จิตหนูไม่ดีค่ะ  ไม่ว่าสักคำ
หนูขี้เกียจค่ะ  
อุ๊ย อยากจะ shoot (โยน) ออกนอกวัดไปเลย
มันโง่แสนจะโง่นะ  ขี้เกียจนี่
มันคล้ายๆ ไฟไหม้บ้านจะคลอกตายอยู่แล้ว
ยังบอกขี้เกียจลุก  
หลวงพ่อช่วยให้กำลังใจให้หนูลุกหนีไฟหน่อย
บอก  เอ้อ  ตายๆ ไป
ฉะนั้นอย่าขี้เกียจนะ ขี้เกียจนี่โง่ที่สุดเลย
ชีวิตเรากำลังล่อแหลมอยู่ในอันตรายตลอดเวลา
จะตายเมื่อไหร่ไม่รู้เลย

ฉะนั้นเราต้องฝึก  คอยรู้สึกตัวตั้งแต่ตื่น
ไม่รีบร้อน  แต่ไม่ขี้เกียจ
ไม่รีบร้อนหมายถึง
ฉันต้องบรรลุเมื่อนั้นเมื่อนี้ อย่าไปคิดมันเลย
ทุกวันแค่อย่าขี้เกียจ
ตื่นขึ้นมาคอยรู้กาย  ตื่นขึ้นมาแล้วรู้ใจ
รู้ได้ทั้งวันยิ่งดี  รู้มากที่สุดเท่าที่รู้ได้
รู้แล้วก็เผลอ  รู้แล้วก็เผลอ
ห้ามรู้ตลอดเวลา ถ้ารู้ตลอดเวลากลายเป็นการเพ่ง
ตายแล้วเป็นพระพรหม
เวรกรรมต้องไปเฝ้าโรงแรม  ลำบาก
เดี๋ยวนี้เขาเอาใครต่อใครมาเฝ้าโรงแรมหลายชนิด
รู้สึกไหม  มีพระพรหม มีพระอินทร์ พระศิวะ
พระนารายณ์  พระพิฆเนศ  ใช่ไหม
มีอะไรๆ ขนมาเฝ้าโรงแรมหมดเลย
ลำบากมากนะ  เทวดา   อย่าไปเป็นเลย

ภาวนาให้มันพ้นทุกข์พ้นร้อน  ไม่ต้องเกิดดีที่สุด

.............................................................................
กราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
กราบหลวงพ่อปราโมทย์  ปาโมชฺโช
ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
_/|\_ _/|\_ _/|\_

Cr.หนังสือประมวลธรรมเทศนา เล่ม ๒
หน้าที่ ๓๓๙-๓๔๓
[๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑ (๑)]

การถสวนานั้น ถึงจุด ๆ หนึ่ง เราจะเป็นครูของตนเองได้  ไม่ต้องเชื่อใคร  รู้ว่าอันไหนจริง-ไม่จริง ถูก-ผิด ดี-ไม่ดี มีประโยชน์-ไม่มีประโยชน์

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16965 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2561, 13:29:06 »



เกิดมาทั้งที ต้องมีวิชาชีวิต

คนเราเมื่อเกิดมาแล้ว ไม่ได้หวังแค่มีชีวิตอยู่รอดเท่านั้น แต่ยังปรารถนาความเจริญก้าวหน้าและความสุขในชีวิต  ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงพากันศึกษาเล่าเรียนเพื่อให้มีวิชาความรู้สำหรับการประกอบอาชีพ เพราะอาชีพการงานที่มั่นคงหรือความสำเร็จในวิชาชีพย่อมช่วยให้มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต
 
อย่างไรก็ตามความสำเร็จในวิชาชีพหรือความเจริญก้าวหน้าในชีวิตไม่ได้เป็นหลักประกันแห่งความสุขอย่างแท้จริง  เพราะเงินทองและทรัพย์สมบัติแม้จะช่วยให้ชีวิตมีความสุขกายและสะดวกสบาย แต่ไม่ช่วยให้สุขใจได้เลยหากอยากได้มากกว่าสิ่งที่ตนมี หรือรู้สึกว่าตนเองยังมีไม่พอ   ขณะเดียวกันชื่อเสียงเกียรติยศที่ได้มา ก็ไม่ช่วยให้ใจคลายทุกข์ได้ในยามพลัดพรากของรักหรือสูญเสียคนรัก ยังไม่ต้องพูดถึงความเจ็บป่วยและความตายที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน  ยิ่งไปกว่านั้นถึงที่สุดแล้วความสำเร็จในวิชาชีพและความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ก็ล้วนเป็นสิ่งไม่เที่ยง จะแปรผันหรือตกต่ำย่ำแย่ ก็ได้ทั้งนั้น มิอาจอยู่ในการควบคุมของเราได้อย่างแท้จริง

วิชาการทั้งหลายช่วยให้เราควบคุมจัดการกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้มากขึ้น  แต่ไม่ได้ช่วยเตรียมใจให้เราพร้อมเผชิญกับความผันผวนปรวนแปรต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้เลย  วิชาชีพทั้งหลายช่วยให้เราหาเงินได้มากขึ้น แต่ไม่ช่วยให้เราเป็นนายของเงิน แทนที่จะปล่อยให้เงินมากเป็นนายเรา  อีกทั้งยังไม่ได้ช่วยให้เราเข้าถึงความสุขได้อย่างแท้จริง  คนที่ประสบความสำเร็จในวิชาชีพจำนวนไม่น้อย จึงมีชีวิตที่อมทุกข์ ความเครียดรุมเร้า จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ สุขภาพเสื่อมโทรม  จนหลายคนถึงกับปลิดชีวิตตนเองเพื่อหนีความทุกข์

เราจะเรียนแต่วิชาการหรือวิชาชีพเท่านั้น หาได้ไม่ หากปรารถนาความสุข ก็ควรเรียนวิชาชีวิตด้วย  วิชาชีวิตช่วยให้เราเข้าใจโลกและชีวิตดีขึ้น รู้เท่าทันความผันผวนปรวนแปรอันเป็นธรรมดา  เมื่อสำเร็จก็ไม่หลงระเริงหรือประมาท  เมื่อตกต่ำย่ำแย่ ก็ไม่เอาแต่ตีอกชกหัว สามารถพาใจออกจากความทุกข์ได้  อีกทั้งยังสามารถเข้าถึงความสุขที่ประเสริฐและประณีตได้ โดยไม่ปล่อยใจให้เป็นทาสของวัตถุสิ่งเสพหรือชื่อเสียงเกียรติยศ

วิชาชีวิตนั้นเรียนได้จากประสบการณ์ชีวิต  มีปัญหาต่าง ๆ เป็นทั้งการบ้านและบททดสอบ โดยมีความตายเป็นการสอบไล่ ชนิดที่ไม่มีการแก้ตัว  หากสอบตกก็ทุรนทุรายก่อนตายโดยมีอบายเป็นที่หมาย หากสอบได้ก็จากไปอย่างสงบและเข้าถึงสุคติ  น่าเสียดายที่คนจำนวนไม่น้อยพากันสอบตก เพราะไม่คิดว่าจะมีการสอบไล่ชนิดนี้รออยู่ จึงมิได้เตรียมตัวแม้แต่น้อย หรือหนักกว่านั้นคือไม่คิดว่ามีวิชาชีวิตที่ต้องเรียนเลยด้วยซ้ำ  ทั้งชีวิตจึงปล่อยโอกาสทองให้หลุดลอยไป  แต่ผู้มีปัญญานั้นย่อมตระหนักเสมอว่า ชีวิตนี้มีขึ้นเพื่อการเรียนรู้  และการเรียนรู้ที่สำคัญคือวิชาชีวิต  ดังนั้นจึงหมั่นศึกษาหาบทเรียนจากวิชานี้อยู่เสมอ  รางวัลที่ได้คือเมื่อยังมีลมหายใจก็เป็นสุขในทุกที่ ครั้นวาระสุดท้ายมาถึงก็พร้อมรับความตายด้วยใจสงบ

พระไพศาล วิสาโล
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16966 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2561, 19:17:30 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16967 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2561, 08:54:33 »

สวัสดี ทุกท่านครับ
หายไปนาน โทรศัพท์ใหม่ Mate 20 Pro ใช้ผ่าน Chrome เข้าไม่ได้  ต้องใช้ "e" ถึงจะเข้าได้ครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16968 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2561, 09:12:06 »



อายุต้นพระศรีมหาโพธิ์เมืองพุทธคยา
ต้นที่ ๑.อายุ 352 ปี ตายเพราะพระมเหสีของพระเจ้าอโศก
ต้นที่ ๒.อายุ 871-891 เกิดจากแรงอธิษฐาน ตายเพราะพระเจ้าศาสังกา
ต้นที่ ๓.อายุ 1258 เกิดจากพระเจ้าปูรวรมา ตายเพราะหมดอายุขัย
ต้นที่ ๔.ปลูกปี 2423 -2561 ปัจจุบัน 139 ปี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16969 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2561, 09:16:07 »



ธรรมะ คือ อะไร?
ธรรมะ นั้นต้องประกอบไปด้วย
- ธรรมชาติ ที่มีอยู่จริง เป็นจริง
- เป็นสิ่งที่เป็นธรรมดา
- มนุษย์ต้องมีธรรมจริยาในธรรมะ
- และเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ เพราะพระพุทธองค์ ทรงตรัสรู้ เห็นธรรมะ นั้นด้วยพระองค์เองก่อนใคร

ธรรม จะเกิดขึ้นกับมนุษย์ได้นั้น เมื่อมนุษย์ผัสสะทางอายตนะ จะเกิดการรู้แจ้งที่เรียกว่า วิญญาณ ทางทวารทั้ง 6 คือรู้แจ้งทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

เมิ่อรู้แจ้งในอารมภ์นั้น ซึ่งอารมภ์ที่รู้แจ้งนั้น มีทั้ง จิต เจตสิก หรือ คิด ไม่คิด เสวยอารมภ์ ปรุงแต่งอารมภ์...

นั่นละ ธรรมะ ที่มีทั้ง ธรรมที่เป็นกุศล อกุศล และเป็นกลาง ๆ

เมื่อใด เกิดวิญญาณรู้แจ้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ท่านมีสติ-เกิดปัญญาเร็ว สามารถละความเป็นตัวตนลงได้ มันก็เป็นสิ่งที่เป็นธรรมดา เกิดจากเหตุ-ปัจจัย ดับไปเป็นธรรมดาของมันเช่นกัน ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ทั้งสิ้น

แต่ถ้าเมื่อใด ท่านรู้แจ้งทางทวารทั้งหกแล้ว ท่านไปหลงว่า เป็นตนเอง มันก็กลายเป็นสัตว์ บุคคล เป็นตัว เป็นตน เป็นเรา เป็นเขาไปเสียสิ้น จึงหลงไปกับวิญญาณนั้น เสวยอารมภ์ ...ตามมาไม่จบไม่สิ้น มีแต่ทุกข์ ร่ำไปไม่รู้จบ

ทุกสิ่งเกิดขึ้นต่อเนื่อง ไม่รู้จบ รู้สิ้นทางทวารทั้งหกนั้นตลอดเวลา ทุกภพ ทุกชาติ

ดังนั้น ท่านต้องหมั่นฝึกสติ ให้ต่อเนื่อง มีอิทธิบาท ๔ เป็นตัวช่วย มีวาสนา-บารมีเก่า จนสามารถเห็นธรรมนี้ได้ ท่านก็จะรู้ว่าท่านจะดำรงค์ชีวิตอยู่อย่างไร? ไม่ให้หลงไปกับความคิด หรือเมื่อรู้แจ้งทางวิญญาณได้ เพราะเรายังต้องอยู่กับความคิดจนกว่าจะตาย

สวัสดีครับ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16970 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2561, 14:59:21 »

สวัสดี วีระ
เข้าผ่าน chrome ได้ แต่ ใส่รูปไม่ได้ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16971 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2561, 18:44:27 »




7คำว่า "ปฏิบัติธรรม"
ปัจจุบันกำลังมีความหมายเพี้ยนไป

"ในปัจจุบัน คำบางคำก็กำลังจะมีความหมายเพี้ยนไป ยกตัวอย่างคำที่กำลังพูดถึงกันบ่อยๆ ก็คือคำว่า "ปฏิบัติธรรม" เดี๋ยวนี้เราเข้าใจคำว่า "ปฏิบัติธรรม" อย่างไร คนจำนวนมากทีเดียวจะเข้าใจคำว่าปฏิบัติธรรม หรือพูดถึงคำว่าปฏิบัติธรรม ในความหมายว่าเป็นการปลีกตัวเข้าวัด หรือต้องไปในป่า และไปอยู่เงียบๆ สักระยะหนึ่ง ไปนั่งสมาธิ ไปทำกรรมฐาน ไปบำเพ็ญเพียรทางจิตใจเป็นพิเศษ ไปอยู่ในที่วิเวกห่างไกลจากผู้คน ออกจากสังคมไป จึงเรียกกันว่าปฏิบัติธรรม

ถ้าเราเข้าใจกันอย่างนี้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็เข้าใจกันอย่างนั้นมากแล้ว ก็แสดงว่าเดี๋ยวนี้คำว่า "ปฏิบัติธรรม" ก็เป็นคำหนึ่งที่กำลังมีความหมายเพี้ยนไป และเป็นเครื่องแสดงด้วยว่า วัฒนธรรมของไทยในปัจจุบันมีอะไรๆ ที่กำลังผันแปรไปอีก

คำว่า "ปฏิบัติธรรม" นี้คืออะไร ปฏิบัติธรรม ก็คือการนำเอาธรรมมาใช้มาปฏิบัติ เรามาทำงาน ถ้าทำงานด้วยใจรักงาน ก็เรียกว่ามี ‘ฉันทะ’ ทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียร ก็เรียกว่ามี ‘วิริยะ’ ทำงานด้วยความเอาใจใส่ รับผิดชอบ ก็เรียกว่ามี ‘จิตตะ’ ทำงานด้วยการใช้ปัญญาไตร่ตรอง ใคร่ครวญ หาทางแก้ไขตรวจสอบ ทำให้งานดียิ่งขึ้น พิจารณาข้อยิ่งข้อหย่อนในการงานนั้น มีการตรวจตราวัดผลต่างๆ ก็เรียกว่ามี ‘วิมังสา’ ถ้าทำครบ ๔ อย่างนี้ ก็เรียกว่า ทำงานด้วย "อิทธิบาท ๔"

"อิทธิบาท ๔" ก็เป็นหลักธรรมสำคัญหมวดหนึ่ง เมื่อทำงานด้วยอิทธิบาท ๔ ก็คือ การปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน

หลายท่านในที่นี้ก็มีรถยนต์ เมื่อขับรถไปในท้องถนนนั้น ถ้าเราขับด้วยความมีสติ ระมัดระวัง มีความไม่ประมาท รักษากฎจราจร อยู่ในระเบียบข้อบังคับและขับด้วยความสุภาพ อย่างนี้ก็เรียกว่าปฏิบัติธรรม แน่นอนไม่มีพลาดเลย แม้แต่จะกินอาหาร ถ้ากินอย่างรู้จักประมาณ มุ่งส่งเสริมคุณภาพชีวิต ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ไม่ลุ่มหลงมัวเมา ไม่ตะกละมูมมาม ก็เป็นการปฏิบัติธรรม แต่คนปัจจุบันไม่ค่อยมองถึงการปฏิบัติธรรม ในความหมายอย่างนี้ แม้แต่เพียงเรานั่งอยู่เฉยๆ เราตั้งจิตคิดนึกจะทำความดี ตั้งใจจะทำความดีต่อผู้อื่น ปรารถนาดีหวังดีต่อเขา เพียงเท่านี้ก็เป็นการปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันนี้เราเอาคำว่าปฏิบัติธรรมไปใช้ในความหมายที่แคบลงๆ จนกระทั่งมีความหมายเฉพาะ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าพิจารณาและระมัดระวังกัน"

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากธรรมนิพนธ์ "ธรรมกับการศึกษาของไทย" หัวข้อเรื่อง "ความหลงตัวเอง: ความยึดติตในวัฒนธรรมของตน"
-------------------------

คำว่า “ปฏิบัติธรรม” คืออย่างไร?
มาทำความเข้าใจให้ถูกตรง

     “ปฏิบัติธรรม” ก็คือ เอาธรรมมาปฏิบัติ เอาธรรมมาใช้ เอามาใช้ดำเนินชีวิต ทำการทำงาน คือเอาธรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตจริงนั่นเอง

เมื่อปฏิบัติธรรม ก็หมายถึงว่า เอาธรรมมาใช้ในชีวิตจริง หรือเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิต ถ้ายังไม่ได้ใช้ ก็ไม่เรียกว่าเป็นการปฏิบัติ

คำว่า “ปฏิบัติ” นี้ เดิมนั้นแปลว่า “เดินทาง” มาจากภาษาบาลี ของเดิมนี้มีคำคล้ายๆกันอีกคำหนึ่งคือ “ปฏิปทา”
    
ปฏิปทา แปลว่าอะไร จะเห็นได้ในคำว่า “มัชฌิมาปฏิปทา” ที่เราแปลกันว่า “ทางสายกลาง” มัชฌิมา แปลว่า สายกลาง และปฏิปทา แปลว่า ทาง คือ ที่ที่จะเดิน คำว่าปฏิปทา ก็คือที่ที่จะเดิน

คำว่า ปฏิปทา กับคำว่า ปฏิบัติ นี้เป็นคำเดียวกัน รากศัพท์อันเดียวกัน ถ้าเป็นกริยาก็มีรูปเป็น ปฏิปชฺชติ เช่นในคำว่า “มคฺคํ ปฏิปชฺชติ” แปลว่า เดินทาง

เพราะฉะนั้น ปฏิปชฺชติ มาเป็น ปฏิบัติ หรือเป็น ปฏิปทา ก็ตาม ก็แปลว่า การเดินทาง หรือแปลว่า ทางที่เดิน

ถ้าเป็นการเดินทางก็นิยมใช้ในรูปว่า “ปฏิปตฺติ” หรือไทยใช้ว่า “ปฏิบัติ” ถ้าเป็นทางที่เดินก็นิยมใช้ “ปฏิปทา” เพราะฉะนั้น เราเอาถ้อยคำสำหรับสิ่งที่เป็นรูปธรรมนั่นเอง มาประยุกต์ใช้ในทางนามธรรม

เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรม ก็คือ เอาธรรมมาใช้ในการเดินทางชีวิต หรือเอามาช่วยให้ดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง หรือเอามาช่วยในการเดินทางชีวิต เพื่อให้การดำเนินชีวิตนั้นเป็นไปด้วยดี

การปฏิบัติธรรมก็จึงเป็นเรื่องกว้างๆ ไม่เฉพาะการที่จะปลีกตัวออกจากสังคม ไปอยู่ที่วัด ไปอยู่ที่ป่า แล้วก็ไปนั่งบำเพ็ญสมาธิ อะไรอย่างนั้น ไม่ใช่แค่นั้น อันนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง เป็นการพยายามนำธรรมมาใช้ในขั้นลึก ในการที่จะฝึกฝนจิตใจอย่างจริงๆจังๆ ถ้าจะเรียกเป็นภาษาสมัยใหม่ การปลีกตัวไปปฏิบัติแบบนั้น ก็เรียกว่าเป็นการปฏิบัติแบบ intensive เป็นการปฏิบัติแบบเข้มข้น หรือลงลึกเฉพาะเรื่อง

ที่จริงนั้น การปฏิบัติธรรมต้องมีตลอดเวลา เรานั่งกันอยู่ในที่นี้ ก็ต้องมีการปฏิบัติธรรม คือเอาธรรมมาใช้ เมื่อปฏิบัติสิ่งนั้น ทำสิ่งนั้นอย่างถูกต้อง ก็เป็นการปฏิบัติธรรม

ดังนั้น ถ้าตนมีหน้าที่ศึกษาเล่าเรียน มีความขยันหมั่นเพียร ตั้งใจเล่าเรียน เล่าเรียนให้ได้ผล ก็เป็นการปฏิบัติธรรม เช่น เล่าเรียนโดยมี อิทธิบาท ๔
มีฉันทะ พอใจรักในการเรียนนั้น
มีวิริยะ มีความเพียร ใจสู้
มีจิตตะ เอาใจใส่ รับผิดชอบ
มีวิมังสา คอยไตร่ตรอง ตรวจสอบ ทดสอบ ทดลองให้ได้ผลดียิ่งขึ้นไป
อย่างนี้ก็เรียกว่า “ปฏิบัติธรรม” หรือในการทำงานก็เหมือนกัน

แม้แต่ออกไปในท้องถนน ไปขับรถ ถ้าขับโดยรักษากฎจราจร ขับเรียบร้อยดีไม่ประมาท มีความสุภาพ หรือลึกเข้าไป แม้กระทั่งว่า ทำจิตใจให้สบาย ไม่เครียด มีความผ่องใสสบายใจในเวลาที่ขับรถนั้นได้ ก็เป็นการปฏิบัติธรรมในระดับต่างๆ

แล้วแต่ว่าใครจะสามารถเอาธรรมมาใช้ในการดำเนินชีวิต หรือในการทำกิจหน้าที่นั้นๆ ให้ได้ผลแค่ไหนเพียงไร ก็เรียกว่า “ปฏิบัติธรรม” ทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงนั้น ต้องมีอยู่ตลอดเวลา เพราะเราทุกคนมีหน้าที่ต้องดำเนินชีวิตให้ดีงามถูกต้อง

แม้แต่การนั่งฟังปาฐกถานี่ ก็มีการปฏิบัติธรรม เมื่อตั้งใจฟัง ฟังเป็น ใช้ความคิดพิจารณาไตร่ตรองสิ่งที่รับฟังนั้น ทำให้เกิดปัญญาขึ้น ก็เป็นการปฏิบัติธรรมทั้งนั้น

เป็นอันว่า การปฏิบัติธรรมนี้ เป็นเรื่องที่กว้างมาก หมายถึง การนำเอาธรรมมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิต หรือการทำกิจทำงานทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ทำทุกเรื่องทุกอย่างให้ถูกต้อง ให้ดี ให้เกิดผลเป็นประโยชน์ เพื่อจะได้เข้าถึงชีวิตที่ดีงามมีความสุขที่แท้จริงนั่นเอง เป็นการ“ปฏิบัติธรรรม”

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากหนังสือ “ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง”
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16972 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2561, 07:10:34 »

ความสุขนั้นไม่ได้อยู่ไกล ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน  อยู่ที่ใจเรานี้เอง  แค่รู้จักวาง ความทุกข์ก็หายไป มีความสุขมาแทนที่   เกิดมาทั้งที  แม้ไม่รวย ไม่เด่นดัง แต่หากได้พบความสงบเย็น โปร่งโล่ง เบาสบายเพราะรู้จักปล่อยวาง   ก็นับว่าคุ้มกับการเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว



การที่จะปล่อยวางนั้น ต้องรู้จักพอ ในทุกด้าน  ยิ่งมีสติ เกิดปัญญาด้วย ท่านจะรู้ได้เอง เมื่อปล่อยวางลง มันก็ไม่หนัก เท่านั้นเอง

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16973 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2561, 07:15:33 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16974 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2561, 08:35:33 »

สรุปบางสิ่งที่สำคัญที่จะเกิดขึ้นในไม่นานนี้(ไม่กี่ปี) จากคอร์สสัมนาวันละ 8 ชม. สามวัน ...

1. ตอนนี้จีนที่หายไปมากไม่ใช่เพราะเรือล่มอีกแล้ว แต่เป็นเพราะในประเทศจีนเองก็เจอปัญหาหนักมาก ทั้งคนที่เที่ยว และ ออกมาลงทุนหายไปจากปัจจัยใหญ่กว่าที่คนไทยเข้าใจมากนัก

2. อสังหาริมทรัพย์ต่างๆ โดยเฉพาะคอนโดที่เราก็เห็นว่ามันโอเวอร์ซัพไพ มานานแล้ว เริ่มออกอาการชัดเจน เนื่องจากหลายสาเหตุ โดยเฉพาะที่มีพวกแนะนำให้คนไปหายนะ เช่น การไปสอนคนกู้เงินเกินมากๆ เพราะอยากได้นายหน้า ยกตัวอย่าง คนที่ไม่เคยมีเงินกู้คอนโดเลย ก็มีคนสอนให้กู้พร้อมกันห้าที่ เงินเดือนห้าหมื่น กู้พร้อมกันห้าคอนโดผ่าน เพราะยังไม่เคยมีประวัติ และ ก็จะผ่านพร้อมกัน ได้เงินเกินจำนวนหลายล้าน และมีหนี้ระดับสิบล้าน และมีคนเป็นแบบนี้จำนวนมาก คิดว่าจะเอาค่าเช่ามาผ่อน แต่ค่าเช่าก็ไม่พอ และไม่มีคนเช่า

3. Leverage ทางการเงิน แค่ใช้ไม่เป็นก็แย่แล้ว นี่กำลังจะเป็นขาขึ้นของดอกเบี้ยเต็มอัตราอีกไม่นาน

4. หนี้สินที่มีอยู่ตอนนี้ คือ หนี้สินที่ดอกเบี้ยต่ำสุด (bottom) ถ้าดอกเบี้ยนโยบายขึ้นเพียง หลักสตางค์ บาท สองบาท หายนะของคนเป็นหนี้ทันที เช่นบ้านเคยผ่อนต้น หมื่น ดอกเบี้ย สองหมื่น ในยอดผ่อนสามหมื่น จะกลายเป็นดอกเบี้ยแทบทั้งหมดในทันที

5. ที่เงินยังไหลเข้าในบอนด์ไทยที่เรทต่ำกว่า โลก อย่าดีใจ เพราะเขาต้องการถือเงินบาท เพื่ออะไรบางอย่างเท่านั้น

6. บริษัทใหญ่ๆ ช่วงที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ออกบอนด์กันบานตะไท มีสองอย่างคือ หนึ่งขาดสภาพคล่องจริง ซึ่งเรทติ้งจะตกอีกไม่ช้า จากผลประกอบการจึงต้องรีบ ออกบอนด์ในเรทที่ยังไม่เป็น junk bonds อีกอย่างคือ บริษัทที่ทราบว่าดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้นแล้วจึง lock อัตราดอกเบี้ยระยะยาวไว้ เพราะ เมื่อดบ. ลอยตัว ต่อให้เป็น บลจ. ต้นทุนก็จะสูงขึ้นมากอยู่ดี

7. ใครทำงานแบงค์ให้รีบมองหางานใหม่ก่อนที่จะถูกลดคนพร้อมๆ กันจากระบบใหม่ และตอนนั้นจะหางานทำยากมาก เพราะจะมีคนที่ออกจาก sector นี้หลักหมื่นคนพร้อมๆ กัน

8. อาชีพขายประกันจะอันตรายมาก เนื่องจากจะถูก threads หลากหลายโดยเฉพาะ บริษัททุนจากจีน ที่สร้างระบบ ecosystem ครบวงจรมา โดยตัดตัวแทนทิ้งออกหมดต้องหาทิศทางให้เราอยู่ได้ดีๆ

9. คนทำธุรกิจ อย่า cut ตัวเองตอนที่ไม่เหลืออะไรให้คัท เหมือนหุ้น

10. หนี้เสีย NPL ที่ประกาศน้อยกว่าจริงมาก และ ต่อให้ประกาศจริง ของจริงก็มากกว่านั้นอีกเยอะมาก ซึ่งจะทำให้แบงค์เซได้ อย่างมีนัยยะ

11. อสังหาจีน ธุรกิจที่พึ่งประเทศจีน ตอนนี้ เหนื่อย เพราะจีนเองก็เหนื่อยมากจริงๆ

12. คอนโดดีๆ ที่เราชอบ ให้วนดูให้ถูกใจ และ รอซื้อตอนแฮคัทของแบงค์ต่างๆ ค่อยยื่นกู้ซื้อ ในเงื่อนไขที่ดีมาก เพราะคนที่ถือเก็งกำไรและไม่สามารถจ่ายได้มีจำนวนมากในขณะนี้

13. ที่ดินตอนนี้ ขายยากมาก เพราะเงินในระบบจาก M3 หายไปมากจริงๆ

14. Bitcoin และ เหรียญต่างๆ น่าจะออกแบบมาเพื่อทดสอบระบบและทำหน้าที่ Burn cash ทิ้งจากการพิมพ์เงินตลอดเวลา ​ซึ่งเป็นการ burn ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก

15. Block Chain เป็นอะไรที่เจ๋งมากถ้าใช้ถูกจุดประสงค์ เช่นการระดมทุน เพราะ fraud ยากมาก

16. หุ้น softbank น่าซื้อเก็บไว้เป็นหุ้นแห่งอนาคต แต่ต้องใช้เงินที่ตัดลงทุนระยะยาว ไม่ควรเก็งกำไร

17. โลกแห่งหุ้น VI ในไทยจะหมดไปเรื่อยๆ เพราะแทบจะไม่มีธุรกิจที่ยั่งยืนในพื้นฐานโลกใหม่ที่กำลังจะดำเนินไป

18. จีนเร่งการใช้ไฟฟ้าแทนน้ำมัน ... ธุรกิจหุ้น Bluechip ในน้ำมันจึงควรพิจารณาให้ดี โดยเฉพาะคนที่ซื้อกองทุนเพื่อลดภาษี LTF LMF ลงในหุ้นพลังงานแทบทั้งนั้นแะลในแบงค์ใหญ่ ซึ่ง แบงค์กำลังจะมีปัญหาจากหนี้เสียจำนวนมากแบบควบคุมไม่ได้ ... และ พลังงานจะเปลี่ยนแปลงในอีกไม่กี่ปีอย่างมีนัยยะ ... ให้มองการลงทุนมากกว่าการลดภาษี

19. ในปีหน้า จะมีการ Roll over Bonds ในไทยอย่างต่ำ ประมาณห้าแสนล้าน และ บางส่วนก็ไม่รู้จะ roll ผ่านหรือไม่ และ อาจจะมีการลด rating ในหลายบริษัทที่ไม่ผ่าน ...

20. หนี้เสียแค่บริษัทใหญ่ๆ บริษัทเดียวกระเทือนไปทั้งตลาด ถ้ามีแบบนี้หลายบริษัท ไม่ต้องพูดถึง

21. AI จะเข้ามาแทนในสิ่งที่เราคิดไม่ถึงมาก อย่างไม่น่าเชื่อ และ การที่ไม่เชื่อว่ามันจะมาแทนขนาดนั้น ก็เหมือนกับที่รุ่นพ่อแม่เราไม่คิดว่าโลกทุกอย่างจะมารวมในมือถือเครื่องเดียวได้ขนาดนี้

22. ไม่ใช่เมืองไทยบริหารไม่ดีเพียงอย่างเดียว แต่ระดับโลก ทรุดตัวลงพร้อมๆ กัน โดยที่ไม่มีภูมิภาคไหนดีเลย ซึ่งหมายความว่า จากที่เคยแย่ส่งออก ดีใน หรือแย่ในดีส่งออก แต่จะกลับเป็น แย่ในทั้งภาคบริโภคภายใน และ ส่งออกพร้อมกัน

23. สิ่งที่เราเจออยู่คือ Bubble ของ อสังหาริมทรัพย์, หุ้น, เดริเวอร์ทีฟ,หนี้ พร้อมๆ กันทุกอย่าง ซึ่งไม่รู้จะแก้ยังไง จึงค่อยๆ ซึมลง เพราะทุกปัญหาหากมีทางแก้ชัดเจน ก็จะ crash ลงและ correction ตัวมันเอง

24. ทุกอย่างที่จะเป็นโค้ช พารวย แล้วใช้ชีวิตดีหรูหรา พาเที่ยว ... ถ้ามันมีจริง คงไม่มีใครอยากทำงานหนัก อย่าไปโลภมาก เพราะความเสียหายจากสิ่งเหล่านี้มันมาก และ ซ้ำไปมาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน

25. ให้ระวังการถือ Bonds ต่างๆ อย่างที่สุด เพราะพวกเราถูกสอนให้เชื่อใน credit rating แล้วให้ยืมเงิน และ เอาสิทธิ์เจ้าหนี้มาเฉยๆ ... ในบริษัทที่ล้มหลายบริษัท ตอนออกหุ้นกู้ เรทติ้งก็ยังดีอยู่แต่ทำไมถึงล้ม ทั้งต่างประเทศ และในไทยเร็วๆนี้ (มีทั้งเจ้าหนี้ภายนอกด้วย) ให้รักษาเนื้อรักษาตัวระวังเงินต้นที่มีให้ดี บางทีหุ้นกับบอนด์ หุ้นยังปลอดภัยกว่า

26. ถ้ารอบนี้คนเก่ง ชอต แบงค์ใหญ่เป็น จะได้เงินก้อนใหญ่ เพราะเป็นที่แน่นอนว่าหนี้เสียในระบบไม่น่าจะควบคุมได้ และ ผิดนัดชำระบานตะไท

27. อีกไม่เกินสิบปี ในหลายประเทศไม่ได้เปลี่ยน รถเครื่องยนต์ธรรมดาเป็น EV car แต่จะเทิร์นไปสู่ ออโตโนมัสคาร์เลย โดยเฉพาะเมืองจีน จะเร่งวางระบบอินฟราสตัคเจอร์ใหม่ บนระบบ 7G ซึ่ง ฟังดูดี แต่ธุรกิจที่เกี่ยวกับ รถที่ไม่ใช้น้ำมัน เครื่องยนต์ประเภทเก่าจะถูกโละไปจะทำให้หลายอุตสาหกรรมหมดไปจากที่เห็นๆ เช่น โรงงานที่ทำส่วนประกอบทั้งหมดของรถยนต์ดีเซล, เต๊นรถ, ช่างทั่วไป, แม้แต่อุตสาหกรรมที่ใหญ่สุดๆ เช่น พลังงานน้ำมัน ... มันมีโอกาสจะกระทบแบบ big impact มากๆ

28. ทองคำยังมีค่าเสมอ เวลาค่าเงินมีปัญหาให้เรียนรู้จากหลายๆ ประเทศที่ค่าเงินลดอย่างรุนแรง และคนที่มีทองคำอยู่ในมือ จะสามารถ ทรานเฟอร์ไปในค่าเงินใดก็ได้ในโลก ...

29. นักลงทุนรายใหญ่ของโลกมากๆ หลายคน และ บริษัทเข้าไปถือ เหมืองทองอย่างมีนัยยะ ถ้ามันไม่ดีเขาจะถือไว้ด้วยเหตุอันใด โดยเฉพาะตระกูลยิว ใหญ่ๆ

30. ใครที่ฟุ้งเฟ้อ มากกว่ารายได้ที่มี ... ขอให้ลองพิจารณาอย่าสร้างหนี้ เพราะดอกเบี้ย มันคือพลังทวีอย่างมาก อย่างที่ไอน์สไตน์ ได้กล่าวไว้ ทั้งทางบวกและลบ

31. เศรษฐกิจพอเพียง สามารถช่วยเราได้ ถ้าเราไม่สร้างหนี้มากเกินไป อย่างน้อยไทยก็มีวัดให้เราฝากท้อง ... และที่ดินทุกจังหวัด ก็สามารถปลูกผัก ปลูกผลไม้ทานได้ ... ไม่เหมือนในหลายๆ ประเทศ

32. บอนด์จะเป็นชนวนการเกิด crisis ใหญ่ในรอบนี้อย่างมีนัยยะ

มีอะไรนึกได้จะมาเขียนเพิ่ม บางอย่างก็เห็นด้วย บางอย่างก็เชื่อ บางอย่างก็ดูไม่น่าเชื่อ



cr: คอร์สของ อาจารย์ทวีสุข ธรรมศักดิ์ คะ
ปล. ข้อมูลที่นำมาลงเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ได้จากคอร์ส เป็นเพียงส่วนเตือนภัยที่อาจจะเกิดและกระทบต่อคนทั่วไปอย่างเราเป็นส่วนใหญ่ เขียนเพื่อให้เพื่อนๆ ไม่ประมาท และ คิดว่าก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่ดีใดๆ เกิดขึ้นคะ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 677 678 [679] 680 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><