23 พฤศจิกายน 2567, 17:26:44
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 648 649 [650] 651 652 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3560893 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 15 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16225 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2559, 08:52:41 »



กราบขอบพระคุณ พี่น้องชาวซีมะโด่ง ทุกท่าน และเพื่อนกัลยาณมิตร ที่ได่ร่วมแรง ร่วมใจกันทอดกฐิน วัดพระนอน ปีนี้ร่วมกับตระกูลกลับดี และพี่สิงห์  ได้เงินทำบุญ 760000 กว่าบาท เอาไว้ใช้ในกิจการของวัด ซ่อมแซมศาลาวัด

ขอให้ทุกท่านร่วมอนุโมทนาบุญกุศลในครั้งนี้ด่วยกันครับ
สาธุ สาธุ สาธุ

ขอให้ทุกท่าน มีอายุยืน  มีวรรณะผ่องใส มีสุขภาพแข็งแรง มีเงินใช้ เทอญ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16226 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2559, 12:50:38 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16227 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2559, 12:51:19 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16228 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2559, 12:52:00 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16229 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2559, 12:52:51 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16230 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2559, 12:53:37 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16231 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2559, 12:54:14 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16232 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2559, 12:55:22 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16233 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2559, 12:56:25 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16234 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2559, 12:57:13 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16235 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2559, 12:58:41 »



ขอขิบพระคุณทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16236 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2559, 13:02:32 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16237 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2559, 13:04:24 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16238 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2559, 18:54:35 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16239 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2559, 18:55:57 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16240 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2559, 18:56:47 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16241 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2559, 18:57:49 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16242 เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2559, 14:12:12 »



๔๖ ปี ที่แล้ว ภาพงานลอยกระทง  ของคณะวิศวฯ จุฬาฯ จังานที่สนามจุฬาฯ สระน้ำ หน้ามหาวิทยาลัย

ไม่รู้ว่ามีรูปลงหน้า ๑ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐสมัยนั้น
ดร.ส่งรูปมาให้ดู วันนี้

ขอบคุณมาก
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16243 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2559, 05:50:18 »


พระจันทร์วันเพ็ญเดือนสิบสอง ที่บางแสน ม.บูรพา เหลนส่งมาให้

ศีล มี ๒๒๗ ข้อ รักษาไม่ไหว ท่านก็จงรักษาใจตนเองเถิด!

การรักษาใจตนเองนั้น เราบังคับมันไม่ได้ สั่งมันไม่ได้ เพราะมันเป็นอนัตตา!
แต่สิ่งที่เราจะรักษาใจของเราให้เป็นปกติได้นั้น คือการเป็นผู้ดู  ดูด้วยสติที่กรรมฐานกาย
เมื่อใดเรามีสติที่กรรมฐานกาย  เราก็ไม่ได้หลงอยู่ในความคิด กาย วาจา ใจ มันก็เป็นปกติ  ไม่ผิดศีล ๒๒๗ ข้อเลยสักข้อเดียว
ศีล ๒๒๗ ข้อ มันมาก จึงทำให้เรากังวลที่จะรักษามันไม่ได้
แต่การรักษาใจ ด้วยการมีสติที่กรรมฐานกาย เพียงข้อเดียว ฟังดูง่าย รักษาได้  แต่ทำอยากมาก แต่ก็สามารถทำได้ เช่นกัน

การเจริญสติ คือการฝึกสติให้มันค่อย ๆ งอกงามขึ้น มีสติมากขึ้น ๆ สตินั้นสั่งไม่ได้ เพราะเป็นอนัตตา แต่ฝึกได้

ดังนั้น มาเริ่มต้นฝึกเจริญสติ กันให้มากเป็นการรักษาศีล ๒๒๗ ข้อ ของภิกษุกันเถิด ปุถุชนม์คนธรรมดา ก็รักษาศีล ๒๒๗ ข้อ ได้

การมีสติที่กรรมฐานกาย คือการรักษาใจ  ไม่ให้คิด เป็นการระวังตนเอง ความโกรธ ความโลภ ความหลง ที่เกิดจากการผัสสะทางอายตนะ เราเป็นผู้ดูได้ ด้วยการมีสติที่ฐานกายนี่ละ เราปฏิเสธความโลภ  ความโกรธ  ความหลง มันได้ด้วยการมีสติที่ฐานกายนี่ละ  จึงจะเอาชนะมันได้

วันนี้ท่านเจริญสติ หรือยัง!

อรุณสวัสดิ์ ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16244 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2559, 08:11:57 »



จะเป็นกระต่าย ตัวเล็ก ๑ ตัว หรือ
มีกระต่ายตัวใหญ่ อีก ๑ ตัว มันอยู่ที่เรามโน(คิดเป็นรูปไปเองทั้งสิ้น) แท้จริงมันเป็นเพียงรูปที่เห็น เท่านั้น

แต่เพราะความไม่รู้  ความอยากรู้ จิตมนุษย์ก็เลยคิดไปเอง ประกอบกับสัญญาที่เคยจำได้หมายรู้ในรูปที่เคยเห็นมาก่อน ก็ปรุงแต่งหรือคิดให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้  ก็เลยมโนภาพขึ้นมา พอใจก็ชอบ  ไม่พอใจก็ทุกข์ เท่านั้นเอง

แต่ถ้าเรารู้เท่าทันในจิต ด้วยการมีสติที่ฐานกาย เราก็รู้เท่าทันมัน เป็นผู้ดูได้  เช่นกัน
แต่นึกเอาไม่ได้  ต้องฝึกเจริญสติ ให้มันมากขึ้น บ่อย ๆ ขึ้น มันถึงจะทันกัน ไม่หลงไปกับสิ่งที่ผัสสะทางอายตนะ ได้

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16245 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2559, 21:12:05 »



ปริพาชก ได้ถามพระสารีบุตรว่า "ท่านอยู่ประพฤติพรหมจรรย์กับพระสมณโคดมเพืออะไร?"

พระสารีบุตร ได้ตอบว่า "เพื่อกำหนดรู้ทุกข์(ทุกฺขสฺส ปริญฺญตฺถํ)"

คำตอบของพระสารีบุตร นี้ ปุถุชนม์ทั่วไปยากที่จะเข้าใจได้ พระพุทธองค์สอนให้รู้จักทุกข์ สอนให้กำหนดรู้ทุกข์  แต่คนโดยมากเวลาประสพทุกข์ ก็จะเป็นผู้ทุกข์เสียเอง คิดปรุงแต่งไปตามอารมณ์ที่ผัสสะได้นั้น

การที่จะเป็นผู้กำหนดทุกข์ได้  คือเป็นผู้เห็นทุกข์ได้ นั้น  ท่านจะต้องมีสติที่กรรมฐานกาย  ต้องใช้ตาในเป็นผู้ดู  จะต้องฝึกเจริญสติ จนสามารถแยกรูป แยกนามได้ จึงจะเป็นผู้กำหนดทุกข์ได้ แต่ไม่ตลอดเวลา เพราะยังมีกิเลส มีตัณหา มัสัญโยชน์คอนยึดรั่งอยู่

แต่พระสารีบุตร ท่านเป็นพระอรหันต์  จิตท่านไม่มีกิเลส มีสติสมบูรณ์ เป็นจิตปภัสสร เวลามีทุกข์ ท่านก็กำหนดทุกข์ เป็นผู้ดูทุกข์ ไม่เป็นทุกข์ เพราะท่านไม่มีกิจอันใดต้องทำอีกแล้ว ในการดำรงค์ชีวิต นอกจากการสอนธรรมแล้ว ก็ได้แต่กำหนดทุกข์ ที่ทุกคนต้องประสพ ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ คือท่านรู้สึกตัวตลอดเวลา ไม่ได้หลงไปกับความคิด อารมณ์ที่ผัสสะอันใดเลย

ราตรีสวัสดิ์ ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16246 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2559, 04:55:29 »



ปริพาชก ได้ถามพระสารีบุตรว่า "ที่เรียกว่าทุกข์  หมายถึงอะไร?"

พระสารีบุตร ตอบว่า "ภาวะทุกข์ มี ๓ อย่าง
๑.ทุกขตา ทุกข์ที่เป็นความรู้สึกทุกข์ (ตรงกับทุกขเวทนา)
๒.สังขารทุกขตา ทุกข์ตามสภาพสังขาร (สิ่งทั้งปวงเป็นทุกข์ ตามเหตุ-ปัจจัย)
๓.วิปริณามทุกขตา ทุกข์เนื่องด้วยความผันแปร (ความแปรปรวนทำให้เกิดทุกข์ได้เสมอ)

ก็ขอวิสัชณา ตามสติปัญญา เพิ่มเติมดังนี้
๑.ทุกขตา ทุกข์ที่เป็นความรู้สึกทุกข์ เมื่ออายตนะภายใน อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผัสสะ อายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ เกิดมโนวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานะวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ เกิดเวทนา คือทุกข์ สุข อทุกขมสุข

๒.สังขารทุกขตา ทุกข์ที่เกิดกับทางร่างกาย ตามเหตุ-ปัจจัย เกิด เช่นอุบัติเหตุ ทำให้ร่างกายเจ็บ เป็นต้น

๓.วิปริณามทุกขตา ทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการแปรปรวนของสภาพอากาศหนาว ร้อน ฝนตก ทำให้ร่างกายเกิดการไม่สบาย เป็นโรค เป็นต้น

จะเห็นว่า ทุกขตา เป็นทุกข์ทางใจ
สังขารทุกขตา-วิปริณาทุกขตา เป็นทุกข์ที่เกิดขึ้นกับกาย ก่อน แล้วจึงมาเป็นการทุกข์ใจตามมา

อรุณสวัสดิ์ ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16247 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2559, 07:02:58 »



สาระสำคัญของพระพุทธศาสนา นั้น พระพุทธองค์ ทรงเปรียบเทียบได้กับต้นไม้ที่ประกอบไปด้วย
- ใบไม้ กิ่งไม้
- สะเก็ดไม้
- เปลือกไม้
- กระพี้ไม้
- แก่นไม้
ผู้ที่ต้องการแก่นไม้ กลับได้เพียงใบไม้-กิ่งไม้  สะเก็ดไม้ เปลือกไม้ กระพี้ไม้ เอาไปแทนเพราะความไม่รู้จริงในธรรม เปรียบได้กับภิกษุ ที่บวช เพื่อให้มีเวลา ปฏิบัติตนเอง ไม่ต้องกังวลในปัจจัย ๔ ให้ชาวบ้านดูแล จนสามารถสำเร็จเป็นพระอริยะบุคคล โลดาบัน นาคามี อนาคามี และสำเร็จเป็นพระอรหันต์ หมดกิเลส ตัญหา อุปาทาน

แต่ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สำคัญผิดไปเสียหมด ติดกับกิเลส ตัณหา อุปาทาน ไม่อยู่ในพระวินัย

พระพุทธองค์ ทรงเปรียบเทียบเอาไว้ดังนี้
- ความมีชื่อเสียง ยศ บรรดาศักดิ์ ลาภสักการะ เปรียบได้กับ กิ่งไม้ใบไม้
- ความสมบูรณ์ด้วยศีล  เปรียบได้กับสะเก็ดไม้
- ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ  เปรียบได้กับเปลือกไม้
- ความสมบูรณ์ด้วย ญาณทัสสนะ หรือปัญญา  เปรียบได้กับกระพี้ไม้
- ความหลุดพ้น แห่งใจอันไม่กลับกำเริบ ซึ่งคำภาษาบาลี "อกุปฺปาเจโตวิมุตฺติ"  เปรียบได้กับแก่นไม้

ดังนั้น ถ้าเราต้องการหาแก่นไม้  ก็ต้องหาแก่นไม้ให้พบ จะถึงซึ่งพระนิพพานได้ คือหมดกิเลส ตัณหา ละอุปาทาน สิ้นภพ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16248 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2559, 07:32:23 »



เกาะชายสังฆาฏิพระพุทธเจ้า ยังไม่ชื่อว่าอยู่ใกล้

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ถ้าแม้ว่าภิกษุจับชายสังฆาฏิตามหลัง ย่างเท้าตามทุกก้าว แต่เธอมีความละโมบ มีความติดใจแรงกล้าในกามทั้งหลาย มีจิตพยาบาท มีความดำริแห่งใจอันเป็นโทษ ลืมสติ ไม่มีสัมปชัญญะ มีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิตหมุนไปผิด ไม่สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ภิกษุนั้น ก็ยังอยู่ไกลเราโดยแท้  และเราก็อยู่ไกลภิกษุนั้น  ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะภิกษุไม่เห็นธรรม  ผู้ไม่เห็นธรรม ย่อมไม่เห็นเรา"

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ถ้าแม้ว่าภิกษุนั้น อยู่ไกลตั้งร้อยโยชน์  แต่เธอไม่มีความละโมบ ไม่มีความติดใจแรงกล้าในกามทั้งหลาย มีจิตไม่พยาบาท มีความดำริแห่งใจอันไม่เป็นโทษ มีสติตั้งมั่น มีสัมปชัญญะ มีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว สำรวมอินทรีย์ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าอยู่ใกล้เราโดยแท้  และเราก็อยู่ใกล้ภิกษุนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะภิกษุนั้น เห็นธรรม  ผู้เห็นธรรม ย่อมเห็นเรา"
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16249 เมื่อ: 19 พฤศจิกายน 2559, 15:16:23 »


ลูก-หลาน น้องสาวพ่อ

การบวชพระในสมัยนี้ จะเป็นหนทางสู่พระนิพพาน จริงหรือ?

พระในสมัยพุทธกาลนั้น ท่านบวช ละเรือน เพื่อปฏิบัติธรรมจนถึงซึ่งพระนิพพานได้  จะต่างกับพระในสมัยปัจจุบัน ที่บวช แล้วยังเกี่ยวข้องกับเรือน สังคม

แต่ถ้าไปดูพระวินัยในพระไตรปิฎก  จะพบว่า พระสมัยนี้บกพร่องจำนวนมาก พระวินัยหย่อนยาน

ปุถุชนม์คนธรรมดา  ผิดศีล ยังไม่มีโทษหนัก
แต่พระที่ออกบวช  ต้องให้ชาวบ้านเลี้ยง ผิดศีล โทษหนัก นรกสถานเดียว

ดังนั้น ถ้าบวชแล้วผิดศีล  สู้อยู่อย่างฆารวาสดีกว่า ยังสามารถถือศีล  ปฏิบัติธรรมได้ ดูแลตนเอง อยู่แบบพอเพียง ได้ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน และไม่ต้องพึงใครในปัจจัย ๔ ยังช่วยเหลือสังคมได้

มันเป็นอีกทางออกหนึ่ง ที่จะพิจารณา

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 648 649 [650] 651 652 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><