23 พฤศจิกายน 2567, 21:03:13
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 644 645 [646] 647 648 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3563833 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 21 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16125 เมื่อ: 23 กันยายน 2559, 06:51:09 »


พระพุทธเมตตา ในพระวิหารพุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย

สวัสดี ทุกท่านครับ

เช้าวันนี้เปิดหนังสือพระไตรปิฎก ขึ้นมาทบทวนพระสูตร ก็เจอพระสูตร นี้ จึงขอนำมาให้ทุกท่านได้ อ่าน นำเอาไปปฏิบัติ ครับ

คณกโมคคัลลนสูตร

๑. พระผู้มีพระภาค ประทับ ณ ปราสาทของนางวิสาขาในบุพพาราม ใกล้กรุงสาวัตถี ตรัสตอบเรื่องอนุปุพพสิกขา-อนุปุพพปฏิปทา ในพระธรรมวินัยนี้ แก่คณกโมคคัลลานพราหมณ์ ผู้ทูลถาม โดยชี้ไปที่:-สาธุ
๑. การมีศีลสำรวมในปาฏิโมกข์
๒. การสำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
๓. ความเป็นผู้รู้ประมาณในอาหาร
๔. การประกอบความเพียรเป็นเครื่องตื่น
๕. การมีสติสัมปชัญญะ
๖. การบำเพ็ญสมาธิชำระจิตจากนิวรณ์ ๕
๗. การสงบจากกาม จากอกุศลกรรม บำเพ็ญฌานที่ ๑ ถึง ฌานที่ ๔

๒. พราหมณ์ถามว่า พระนิพพานมีอยู่ ทางไปสู่พระนิพพานมีอยู่ พระสมณะโคดม ผู้ทรงชักชวนให้ไปก็มีอยู่ เหตุไฉนบางคนที่ได้รับคำสั่งสอนแล้วถึงได้บรรลุ บางคนมิได้บรรลุ.  ตรัสตอบว่า เหมือนชี้ทางให้คนไปกรุงราชคฤห์ แต่ไปทางอื่นเสียก็ไปไม่ถึง ถ้าไปถูกทางตามที่ชี้ก็ไปถึง. คณกโมคคัลลานพราหมณ์ กราบทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา แสดงตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16126 เมื่อ: 23 กันยายน 2559, 13:20:03 »





รู้ประมาณในการกิน
คือกินอาหารให้มีประโยชน์ต่อรูป กินอาหารให้เป็นยา กินพอดี ไม่กินด้วยความหยาก ไม่มีกิเลส-ตัณหาในการกิน

พระพุทธองค์ เปรียบอาหารในการบริโภค เหมือนกินเนื้อบุตรของตนเอง คือกินไปก็คร่ำครวญ ถึงบุตร ไม่กินก็ตาย จึงกินเพียงเพื่อให้มีชีวิตอยู่เพื่อเดินทางให้ถึงจุดหมายเท่านั้น

ทุกวันนี้ โรคเรื้อรังที่คนสูงอายุ เป็นกันนั้น มาจากอาหารการกิน ที่กินไม่ก่อประโยชน์ทางสุขภาพ กินมากเกินไป กินตามใจอยาก จึงมีแต่โรคเรื้อรังเมื่ออายุสูงวัยย์

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16127 เมื่อ: 23 กันยายน 2559, 15:16:45 »



สวัสดี ทุกท่านครับ

วันเสาร์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน
พี่สิงห์  เป็นประธานทอดกฐินสามัคคี วัดพระนอน ตำบลทับยา อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เวลา 10:00 น.

เรียนเชิญ ทุกท่าน มาทำบุญทอดกฐิน ด้วยกันครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16128 เมื่อ: 24 กันยายน 2559, 13:06:00 »



อาหารเช้า วันนี้ กินแบบง่าย ๆ
รักษาศีล  อยู่วัดพระนอน  สิงห์บุรี

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16129 เมื่อ: 24 กันยายน 2559, 13:07:02 »



พระใบลาน

ในสมัยพุทธกาล มีพระองคฺหนึ่งเป็นพระธรรมกถึก เป็นพระนักเทศน์  ท่านท่องจำพระธรรมคำสอนได้ในระดับพระหูสูตร แต่ท่านยังเป็นพระเสขบุคคล ท่านมีทิฐิมานะสูง แต่งตัวดี มีบริวาร ๕๐๐ รูป  ท่านไม่มีวิริยะ เพราะถือดีว่า เป็นผู้สอนธรรม

พระโมคคัลลานะ ตำหนิ เพื่อให้ท่านบำเพ็ญเพียร ท่านก็ไม่ฟัง

พระพุทธองค์  ทรงทรมาร ด้วยการเรียกชื่อท่านทุกครั้งต่อหน้าคณะสงฆ์ว่า "พระใบลาน" หมายความว่า ท่านรู้แต่คำสอน แต่ไม่รู้ในธรรมนั้นเลย เพราะท่านไม่ภาวนา เลย ไม่เคยทำความเพียร  เมื่อพระพุทธองค์  เรียกบ่อยเข้า ๆ จนท่านละทิฐิ ได้เพราะความอาย  ท่านจึงปลีกวิเวกไปหาสถานที่สงบ เสาะหาอาจารย์ที่จะสอนกรรมฐาน ให้ท่านได้
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16130 เมื่อ: 24 กันยายน 2559, 13:18:08 »



พระใบลาน
ท่านเดินทางไปวัดแห่งหนึ่ง ไปพบพระผู้ใหญ่ ให้สอนกรรมฐานให้ท่าน แต่พระทุกรูป เห็นว่าพระใบลานยังมีมานะสูง จึงไม่มีใครรับสอนกรรมฐานให้ และได้แนะนำให้ท่านไปเรียนกรรมฐานกับสามเณร บวชใหม่แต่เป็นพระอรหันต์

พระใบลานจึงไปกราบเณรเป็นอาจารย์ ให้สอนกรรมฐานให้ เณรจึงถามพระใบลานว่า ท่านจะต้องปฏิบัติตามคำสอนของเราทุกประการ จึงจะสอนกรรมฐานให้ พระใบลานก็ยอมรับ เณรจึงสั่งให้พระใบลานเดินลงไปในสระน้ำทั้งจีวรที่ดูปราณีตนั้น  พระใบลานก็เดินลงไปในน้ำทั้งจีวร จนระดับน้ำเท่ากับอก สามเณรจึงบอกให้ท่านหยุดและเดินขึ้นมาจากน้ำเถิด เพราะพระใบลานหมดมานะ ใด ๆ แล้ว จิตพร้อมที่จะรับกรรมฐานได้

สามเณรจึงพาพระใบลานไปที่จอมปลวก และกล่าวว่า จอมปลวกนี้ มาทางออกห้าทาง มีทางเข้าหนึ่งทาง มีสัตว์ตัวหนึ่งเข้าไปอาศัยอยู่  การที่จะจับสัตว์ตัวนี้ได้ ต้องปิดทางออกทั้งห้าเสียก่อน แล้วเดินเข้าไปก็จะจับสัตว์นั่นได้

พระใบลานได้ยินกรรมฐานนั้น ตนเองเป็นพระธรรมกถึก จึงเข้าใจได้ทันทีด้วยตัวเองว่า " จะต้องสำรวมทวารทั้งห้า คือตา หู จมูก ลิ้น กาย และคอยระวังใจตนเอง ดูใจตนเอง" นั่นเอง และเมื่อลองปฏิบัติดู ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ในที่สุด

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16131 เมื่อ: 25 กันยายน 2559, 10:23:51 »



ธาตุ หรือ ธรรมชาติ

ทุกท่านลองมองไปรอบ ๆ ตัวท่าน บนโลกไปนี้ซิ!
จะพบว่า มันประกอบไปด้วย มหาธาตุทั้ง ๔ และวิญญาณธาตุ

มหาธาตุทั้ง ๔ นั้น ประกอบด้วย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ
ธาตุดิน คือส่วนที่เป็นของแข็งต่าง ๆ เช่น ดิน ทราย หิน ไม้ แร่ธาตุ
ธาตุน้ำ คือส่วนที่เป็นของเหลวต่าง ๆ ทั้งหมดมีน้ำเป็นส่วนประกอบ
ธาตุลม คือส่วนที่เป็นที่ว่างเปล่า มีอากาศ ไม่มีอากาศ รับรู้ด้วยความรู้สึกกระทบ
ธาตุไฟ คือส่วนที่เป็นอุตุ ร้อน-หนาว อุณหภูมิ

วิญญาณธาตุ หรือธาตุรู้  คือชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้ สิ่งมีชีวิตเจริญเติบโตได้ จะมีวิญญาณธาตุ หรือธาตุรู้ ประกอบไปด้วย สัตว์ ต้นไม้ แต่ต้นไม้นั้น เติมโตได้ แต่ยังไม่มีธาตุรู้เหมือนสัตว์ แต่สัตว์ มนุษย์ นั้นมีธาตุรู้ รู้แจ้งในอารมณ์ได้ แต่ต่างกัน แต่มีชีวิต เมื่อใดสัตว์ไม่มีวิญญาณธาตุ  สัตว์นั้นก็ตาย

มนุษย์เป็นสัตว์อันประเสริฐ เพราะมีการปรุงแต่งในธาตุรู้นั้นสุดคนานับ ต่างจากสัตว์เดรฉาน

ธาตุ คือสิ่งที่มีอยู่จริง เป็นจริง
เราท่านจองมองทุกสิ่งที่ผัสสะได้มันเป็นเพียงธาตุ เท่านั้น แต่เพราะเราไปยึดถือว่า ธาตุเป็นสัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เจา สิ่งของ มันจึงมีการปรุงแต่งอารมณ์ ตามมา(หลงไปตามความคิดขิงจิต) จึงมีแต่ทุกข์นำมา จงละความยึดถือนั้นลงเสีย

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16132 เมื่อ: 26 กันยายน 2559, 08:07:59 »



ขันธ์ ๕ หรือ รูป-นาม

ขันธ์ ๕ คือสิ่งประกอบตามธรรมชาติขึ้นเป็นมนุษย์ ประกอบไปด้วย มหาธาตุทั้ง ๔ มาประชุมรวมกัน และมีวิญญาณธาตุ เกิดขึ้น

รถยนต์ ยังประกอบไปด้วย ตัวถัง เครื่องยนต์ ล้อ เพลา...ไม่มีตรงไหนที่เรียกว่ารถยนต์ แต่รถยนต์นั่นเป็นคำเรียกรวมที่สมมติขึ้น เป็นที่เข้าใจกันของคำว่า รถยนต์

มนุษย์ก็เช่นกัน ไม่มีส่วนที่เรียกว่ามนุษย์เลย แต่มนุษย์ประกอบไปด้วย รูป เวทนา สัญญา  สังขาร วิญญาณ

รูป ประกอบขึ้นด้วยมหาธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ รูปนั้นรู้อารมณ์ไม่ได้ และรูปนั้นเป็นอนัตตา บังคับบัญชามันก็ไม่ได้ มันเกิดจากเหตุ-ปัจจัย ดับไปจากเหตุ-ปัจจัยไม่มี

นาม คือธรรมชาติของการรู้อารมณ์ คือจิต ไม่มีตัว ไม่มีตน บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นอนัตตา มันเกิดจากเหตุ-ปัจจัย และดับไปเมื่อเหตุ-ปัจจัยไม่มี
นาม ยังแยกออกเป็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เวทนา คือการเสวยอารมณ์(เข้าไปเป็น)สุข ทุกข์ อทุกขมสุข
สัญญา คือการจำได้หมายรู้ ที่เคยประสพมาก่อนแล้วจำเอาไว้ เมื่อผัสสะก็รู้ได้
สังขาร คือการปรุงแต่งอารมณ์ หรือคิด เมื่อผัสสะทางทวารทั้ง ๖ ก็เข้าไปยึดถือ เป็นตัวตนของเรา เป็นเรา ก็จึงปรุงแต่งอารมณ์ หรือเจตสิก บังคับบัญชาก็ไม่ได้ เป็นอนัตตา เกิดขึ้นจากเหตุ-ปัจจัย และดับไปเมื่อเหตุ-ปัจจัย ไม่มี
วิญญาณ คือการรู้แจ้งทางอารมณ์ เมื่ออายตนะภายในผัสสะอายตนะภายนอก จะเกิดวิญญาณทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่น จักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานะวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายะวิญญาณ มโนวิญญาณ เมื่อเกิดวิญญาณแล้วก็ไปยึดถือว่าเป็นเราเป็นตัวตนของเรา วิญญาณเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดขึ้นจากเหตุ-ปัจจัย และดับไปเมิ่อเหตุ-ปัจจัยดับ

จะเห็นว่ามนุษญย์ นั้นมีเพียงรูป กับ นาม เท่านั้น ถ้าไม่ไปยึดถือว่าเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา มันก็ไม่คิด ไม่ทุกข์

ในการภาวนานั้น ขั้นต้นต้องภาวนาต่อเนื่องจนสามารถแยกรูป แยกนาม ด้วยการมีสติในกรรมฐาน นี่แหละ เราจะเห็นรูป เห็นนาม เห็นจิต เห็นความคิด เห็นสิ่งที่ปรุงแต่งจิต และพบพระนิพพานได้ คือจิตที่สงบจากกิเลส เราจะเป็นผู้ดูด้วยสติ ไม่หลงไปในความคิด หรืออารมณ์

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16133 เมื่อ: 26 กันยายน 2559, 20:06:33 »



จะเริ่มต้นภาวนา อย่างไร? วิธีไหน?

ในสมันพุทธกาล ส่วนมากพระภิกษุ ท่านภาวนาด้วยการเดินจงกรม แต่ภายหลังจากท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านจะใช้อาณาปานะสติ เป็นเครื่องอยู่

อาณาปานะสติ มันเป็นภาพที่สวย คือนั่งขัดสมาธิ หลับตาภาวนาตามลมหายใจเข้า-ออก และการพอง-ยุบ ของท้องเป็นกรรมฐาน แต่เพราะท่านเริ่มต้นภาวนาใหม่ ยังไม่รู้อะไรมาก ผลคือ ท่านจะตกหลุมของจิตง่ายมาก(นิวรณ์ ๕) หลงเข้าไปในความคิด ท่านก็จะนั่งหลับ และไม่สามารถผ่านไปได้เลย

ดีงนั้น ในความเห็นส่วนตัว ขอเสนอให้ผู้ที่จะเริ่มต้นภาวนานั้น ใช้วิธีการของหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ  คือการยกมือสิบสี่จังหวะ ในท่านั่ง สลับกับการเดินจงกรมตามแบบที่หลวงพ่อเทียน ท่านสอน มันเป็นธรรมชาติดี

ท่านภาวนาด้วยแรงศรัทธา - วิริยา  จนท่านสามารถแยกรูป แยกนาม คือท่านสามารถ เห็นความจริงในร่างกายว่า นี่รูป  นี่นาม(จิต) นี่ความคิด นี่อารมณ์ปรุงแต่ง.....แลพฤติกรรมของจิต และท่านรู้แล้วว่า ทุกวิธีในการภาวนานั้นถูกต้องหมด ถ้าสามารถทำให้จิตมีที่เกาะเป็นกรรมฐาน เป็นสมาธิได้  เมื่อนั้น ท่านก็สามารถจะภาวนาโดยใช้วิธีอาณาปานะสติ และการระวังจิตตนเองด้วยการดูจิต ท่านได้ เพราะถึงขั้นนี้ ท่านจะไม่หลงอยู่ในความคิด  ท่านจะไม่นั่งหลับ ท่านจะมีสติ เป็นจิตผู้ดู ไม่เป็นจิตผู้เป็นได้

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16134 เมื่อ: 26 กันยายน 2559, 20:19:37 »



เรียนเชิญได้ที่
- วัดโมกขพลาราม
- วัดสนามใน
- วัดปลายนา
- วัดป่าสุคะโต ...
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16135 เมื่อ: 26 กันยายน 2559, 20:21:37 »



พระไพศาล   วิสาโล
ท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อเทียน  จิตตสุโภ
แต่ในรูป ท่านใช้วิธีอาณาปานะสติ มันก็เป็นอย่างที่ผมได้อธิบายเอาไว้ข้างบนนั้น

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16136 เมื่อ: 27 กันยายน 2559, 12:25:44 »


หนูน้อยใส่บาตรพระ ก่อนไปเรียนหนังสือ

วิญญาณ ! การรู้แจ้งทางอารมณ์

เพราะวิญญาณ จึงเกิดการการปรุงแต่งอารมณ์ คิด และตามมาด้วยความพอใจ ความไม่พอใจ และเฉย ๆ

วิญญาณ เกิดขึ้นจากการผัสสะของอายตนะภายใน กับ อายตนะภายนอก
 
อันนี้เป็นกลไกในการเกิดวิญญาณ เป็นกลไกในการเกิด- ตายของมนุษย์ในวัฏฏสงสาร เป็นจุดเริ่มต้นของการรู้ทางอารมณ์ที่เรียกว่าเปิดทวารไปสู้โลกภายนอก ของมนุษย์  ถ้ามนุษย์เข้าใจมนกลไกนี่ด้วยจิตภายใน ก็จะระวังรักษาจิต วางจิต ไม่ให้หลงไปในความคิด หรือไม่ให้หลงไแในอายตนะภายนอก ที่มาผัสสะได้ จึงสำคัญมากสำหรับผู้ภาวนา

อายตนะภายใน ประกอบด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกท่านลองพิจารณาดู ก็จะพบความจริงว่า ตา หู จมูก ลิ่น กาย ใจ นั้นเป็นประตูการรับรู้ รู้แจ้งทางอารมณ์อย่างแท้จริง มันเป็นธาตุรู้ เป็นธรรมชาติ บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นอนัตตา เกิดขึ้นด้วยเหตุ-ปัจจัย และดีบไปด้วยเหตุ-ปัจจัย เรารัลึกได้ที่ทางทวารไหน ทวารนั้นก็เกิดวิญญาณ ทันทีเกิดเร็วมาก ดับไปเร็วมากตลอดเวลา

อายตนะภายนอก ประกอบด้วย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธัมมารมณ์ ายตนะภายนอกนี้จัดว่าเป็นกามคุณ ที่ทำให้มนุษย์ชอบ และชัง อันไหนรัก ถูกใจก็ชอบ อยากได้อีกเสมอ อันไหนไม่ชอบคือชัง ก็ไม่อยากได้อีก มนุษย์จึงมีทั่งสุข ทุกข์ ไม่ทุกข์ไม่สูข ก็เพราะอายตนะภายนอกนี้

ผัสสะ คือการประสพ ประกอบด้วย ได้เห็น ได้ยิน ได้ดมกลิ่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัสทางกาย ได้สัมผัสทางใจ หรือใจนึกคิด

วิญญาณ คือการรู้แจ้งทางอารมณ์ เกิดขึ้นเมื่ออายตนะภายใน ผัสสะ อายตนะภายนอก ประกอบด้วย จักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานะวิญญาณ  ชิวหาวิญญาณ กายะวิญญาณ และมโนวิญญาณ

จะแยกให้ดูเข้าใจได้คือ

ตา  เห็น  รูป  เกิดจักษุวิญญาณ
หู  ได้ยิน  เสียง  เกิดโสตะวิญญาณ
จมูก  ได้ดม  กลิ่น  เกิดฆานะวิญญาณ
ลิ้น  ได้ลิ้ม  รส  เกิดชิวหาวิญญาณ
กาย ได้สัมผัส โผฏฐัพพะ เกิดกายะวิญญาณ
ใจ ได้สัมผัส ธัมมารมณ์ เกิดมโนวิญญาณ

โครงสร้างการเกิดวิญญาณนี้ เป็นกุญแจดอกเอกขิงการภาวนา ท่านต้องทำความรู้จักความจริงอันนี้ เมื่อรู้จักแล้วเพียรพยายามระวัง ทวารทั้งห้าให้มั่น ด้วยอุเบกขา แล้วติดตามเป็นผู้ดูในทวารที่หก คือใจ  จงเป็นผู้ดูใจ ด้วยสติ อย่าเป็นผู้เป็นในทางความคิด

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16137 เมื่อ: 28 กันยายน 2559, 19:43:54 »



 ...พ ร ะ นิ พ พ า น เ ป็ น เ ช่ น ไ ร ห น อ !!

            [ ก ล อ น บ ท น ฤ ว า น ]

       ข้าพเจ้าขอนอบน้อมด้วยใจที่หมายธรรมทานอันเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ โดยแต่จิตคิดถวายเป็นพุทธปูชิตา...

       ปุถุชนทั้งหลายแม้นจักกล่าวถึงพระนฤวาน ก็กล่าวอรรถาธิบายได้เพียงลูบคลำผิวเผินเท่านั้น  เพราะว่าพระนฤวานนั้นเป็นสภาวะแห่งจิตที่มิได้มีอันใดสามารถนำมาเปรียบเทียบได้  ด้วยจำเพาะเป็นสภาวะต่างหากจากโลกย์สิ้นเชิง  ไม่อาจกล่าวเทียบเคียงได้ด้วยคำพูด เพราะคำพูดเป็นสภาวะปรุงแต่ง  แต่พระนฤวานพ้นการปรุงแต่งทั้งปวง  เป็นไปไม่ได้ที่จักเอาภาษาของปุถุชนอธิบายคุณลักษณะของโลกุตรธรรมอันเหนือโลกย์ได้   ดั่งกับเช่นให้ปลาอธิบายสภาวะแห่งบนบกฉะนั้น......
                    __________________________

พระมหาสมณฤาษีพุทธเจ้า  ตรัสกับ เกวัฏฏะบุตรคฤหบดี ว่า........
 
''  ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใส โดยประการทั้งปวงปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้ อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้ นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ เพราะวิญญาณดับ นามและรูปนั้นย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ ดังนี้....... ''

(พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เกวัฏฏสูตร)

๏ เหนือไตรลักษณ์ตรีโลกพ้นโตรกหล้า
คืออสังขตะธัมมา บ่ อาสาน
เป็นมหาสุญโญอันโอฬาร
คือวิโมกขวิหารญาณวิชชา

๏ พ้นมหาภูตรูปและเจตสิก
โอฬาริกสุขขังวิสังขาร์
ปรากฏให้เห็นรู้อยู่ต่อตา
ผิว์ดับฤทธิ์อวิชชาจนถาวร

๏ สมุจเฉทปหานสังขารจิต
ผิว์สมิทธิ์ถอนฤทธิ์ซึ่งพิษศร
ล้างโอฆะสังโยชน์แห่งโทษบร
จบสังวรจิตเย็นเป็นตถตา  ๚ะ๛   

.....แม่พลอย มณีตรี อัลตรา

อ ภิ ธ า น ศั พ ท์...
มหาภูตรูป ๔   คือ  ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุและวาโยธาตุ อันเป็นธาตุตั้งต้น

อุปาทายรูป   คือ  รูปอาศัย, รูปที่เกิดสืบเนื่องจากมหาภูตรูป, อาการของมหาภูตรูป

อสังขตธรรม   คือ  ธรรมที่ไม่มีเครื่องปรุงแต่ง ได้แก่พระนิพพาน ตรงข้ามกับสังขตธรรม

อาสาน, โอสาน   ''     อวสาน

มหาสุญโญ     ในที่นี้หมายถึง   สูญจากกิเลสเท่านั้น  แต่จิตมิได้สูญสลาย

วิโมกข์                ''      ความหลุดพ้น, การขาดจากความพัวพันแห่งโลก; พระนิพพาน

เจตสิก                ''       อาการหรือการแสดงออกของจิต จัดเป็นคุณสมบัติของจิต มีลักษณะที่เกิดดับพร้อมกับจิต เป็นอารมณ์ของจิต

วิสังขาร              ''       ปราศจากการปรุงแต่ง, นิพพาน

สมุจเฉทปหาน     ''       ดับกิเลสเด็ดขาด ด้วยโลกุตรมรรค ในขณะแห่งมรรคนั้น ชื่อสมุจเฉทนิโรธ

โอฆะ                  ''        ห้วงนํ้า,
ในพระพุทธศาสนาหมายถึงกิเลสที่ท่วมทับจิตใจของหมู่สัตว์ มี ๔ อย่าง คือ
๑. กาโมฆะ = โอฆะ คือ กาม
๒. ภโวฆะ = โอฆะ คือ ภพ
๓. ทิฏโฐฆะ = โอฆะ คือ ทิฐิ
๔. อวิชโชฆะ = โอฆะ คือ อวิชชา

สังโยชน์            ''          กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ หรือกิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมในวัฏฏะ มี ๑๐ อย่าง

บร                      ''         ข้าศึก, ฝ่ายอื่น ( เช่น ปรปักษ์)

ตถตา                 ''         ความเป็นอย่างนั้น, ความเป็นเช่นนั้น, ภาวะที่สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นของมันอย่างนั้นเองคือเป็นไปตามเหตุปัจจัย
( มิใช่เป็นไปตามความอ้อนวอน, ปรารถนาหรือความต้องการของใครๆ ) เป็นชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกกฏ ปฏิจจสมุปบาทหรืออิทัปปัจยตา
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16138 เมื่อ: 29 กันยายน 2559, 08:11:47 »



ภายใต้อิทธิพลของวัฒนธรรมบริโภคนิยม  วงการพุทธศาสนาไม่เว้นแม้แต่วัดได้ถูกแปรสภาพกลายเป็น"ตลาด"ในอีกรูปลักษณ์หนึ่งไป สิ่งที่นำมาซื้อขายกันก็ไม่ได้มีแต่เครื่องรางของขลังเท่านั้น  แม้แต่บุญกุศลและพิธีกรรมก็กลายเป็นสินค้าอีกแบบหนึ่งซึ่งต้องใช้เงินซื้อหา โดยพระกลายเป็นผู้ขาย คนที่ปรารถนาจะได้บุญไม่จำเป็นต้องทำความดีอีกต่อไป เพียงแต่จ่ายเงินเท่านั้น และแน่นอนว่าถวายเงินมากเท่าไร ก็เชื่อว่าบุญจะเพิ่มพูนมากเท่านั้น ส่วนพิธีกรรมก็กลายเป็นบริการที่มักมีราคากำหนดไว้แม้ไม่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรก็ตาม   ทั้งบุญกุศลและพิธีกรรมแม้จะไม่มีผลเป็นรูปธรรมเด่นชัด แต่ผู้คนก็ซื้อหาเพราะปรารถนาความมั่งคั่งร่ำรวย

จาก พุทธศาสนาไทยในอนาคต: แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต
บทที่ 3 หัวข้อย่อย พุทธศาสนาแบบบริโภคนิยม
.................................................................................

สิ่งสำคัญที่ทำให้วงการสงฆ์มาถึงยุคเสื่อมแบบนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาใหญ่นี้มีสาเหตุจากโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ ที่รวมศูนย์อยู่ที่มหาเถรสมาคม อีกทั้ง การศึกษาสงฆ์ก็เสื่อมถอย ไม่ได้เน้นการพัฒนาจิตใจ พระสงฆ์จึงไม่มีแรงที่จะต่อต้านบริโภคนิยมเพราะ ไม่มีภูมิคุ้มกันในจิตใจ

“วิธีการเดียวที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้ก็คือ การปฏิรูปการศึกษาคณะสงฆ์ และการปฏิรูปการปกครองของคณะสงฆ์"

..................................................................................
ชำแหละพุทธพาณิชย์(1)สำรวจกิจกรรมบุญ5วัดอารามหลวง-'สังฆทานเวียน'200บ./ถัง
https://goo.gl/42MdYq
................................................
พุทธศาสนาไทยนั้นสัมพันธ์ไปกับสังคมไทย

พุทธศาสนาไทยจะสามารถมีพลกำลังในการสร้างสังคมให้เข้มแข็งได้ จำต้องมีการปฏิรูปฟื้นฟูขนานใหญ่ ทั้งในด้านแนวคิด สถาบัน และความสัมพันธ์ระหว่างพุทธบริษัท การปฏิรูปฟื้นฟูดังกล่าว ลำพังคณะสงฆ์ในปัจจุบันไม่อาจเป็นที่หวังว่าจะสามารถทำให้เกิดขึ้นเป็นจริง ทางออกอยู่ที่การร่วมกันผลักดันทั่วทั้งสังคม ด้วยเหตุนี้ความอยู่รอดของพุทธศาสนาจึงขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของสังคมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16139 เมื่อ: 30 กันยายน 2559, 05:53:19 »



ประเพณีสารทเดือนสิบ ของชาวนครศรีธรรมราชเริ่มแล้ว
แรมหนึ่งค่ำ ประตูสวรรค์ ประตูนรกจะเปิดให้วิญญาณของบรรพบุรุษ ได้กลับมาเยี่ยมลูก-หลาน-ญาติ ที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อมาเตือนให้ทราบว่า สวรรค์-นรก นั้นมีจริง จงเร่งทำความเพียรในการสร้างกุศล อยู่ด้วยความไม่ปรามาทเถิด เพราะต้องตาย ต้องชดใช้กรรมที่ก่อเอาไว้ในโลกมนุษย์

ช่วงนี้ชาวนครศรีธรรมราช ที่ไปทำงานต่างจังหวัดจะกลับไปไหว้อัฏฐิของบรรพบุรุษ  บังสุกุลให้ และวันแรมหนึ่งค่ำจะไปทำบุญที่วัด ให่ทานอาหารแด่เปรต อันประกอบด้วย ขนมลา ขนมไข่ปลา ขนมพอง และขนมบีซัม เพื่อเป็นสเบียงเดินทางกลับของสัตว์นรก ที่ต้องไปชดใช้กรรมต่อ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16140 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2559, 19:05:47 »



วันนี้วันพระใหญ่ คือขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ เทศกาลสารทเดือน ๑๐
ภาคกลางต้องมีการกวนขะยาสารท ไปทำบุญให้บรรพบุรุษ ที่จะมาเยี่ยมลูก - หลาน ญาติมาขอส่วนบุญ เพราะยมบาลท่านอนุญาติ
และวันนี่ วัดส่วนมากจะมีดารเทศน์มหาชาติ เรื่องพระเวสสันดร ชาดก
อานิสสงค์ คือ รักษาศีล ๕ ให้มั่น ฟังเทศน์มหาชาติให้ครบ ๑๓ กัณฑ์ วันเดียว จะได้มีสุคติภพในสวรรค์ และจะมาเกิดในสมัยของพระพุทธเจ้าศรีอริยะเมตตรัย ได้ฟังธรรมจากพระองค์ และบรรลุธรรม
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16141 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2559, 19:06:38 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16142 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2559, 19:07:22 »



วันนี้ มีอุบาสก-อุบาสิกา สามสิบกว่าท่าน รักษาอุโบสถย์ ศีล
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16143 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2559, 19:08:10 »



พรุ่งนี้ เทศน์มหาชาติ พี่สิงห์ เป็นเจ้าภาพ ๒ กัณฑ์ เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาการเพล และปี่พาทย์บรรเลงประกอบเทศน์มหาชาติ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16144 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2559, 19:10:30 »



ประชาชน ชาวบ้าน ถึงจะไม่ได้ปลูกข้าวในหน้าแร้งที่ผ่านมา และปลูกข้าวนาปี  น้ำก็ท้วมเสียหายหมด
แต่แรงศรัทธา ในการทำบุญยังมีเปี่ยมล้น ยังมีความหวังทางใจ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16145 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2559, 19:11:48 »



ข้าวนั้นเหลือมาก ผลพลอยได้ คือมีอาหารเหลือสำหรับผู้ยากไร้ ก็ได้าศัยข้าว-อาหาร จากทางวัดไปเลี้ยงครอบครัว พระท่สนอนุญาติ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16146 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2559, 19:12:37 »



ชาวบ้านใส่อาหารคนละถ้วย แต่หลายคน มันก็เพียงพอสำหรีบพระ-เณร
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16147 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2559, 19:13:19 »



ขนมของหวาน ผลไม้ เหลือเฟือ ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16148 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2559, 19:16:16 »



วันนี้ เทศน์คาถา ๑๐๐๐ ด้วยพระ ๒ องค์ ท่านจะได้ไม่เหนื่อยมาก เพราะปีที่แล้ว พระมหาอรัญ ท่านเทศน์ ท่านมีโรคประจำตัว ท่านไม่บอกใคร การเทศน์คาถา ๑๐๐๐ ของท่าน เป็นส่วนหนึ่งที่ ท่านจากไป
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #16149 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2559, 19:18:51 »



คาถา ๑๐๐๐ คือการเทศน์ชาดกเรื่องพระเวสสันดร เป็นภาษาบาลี

การทำบุญใหญ่ ในพระพุทธศาสนา มี ๓ อย่างคื
- บาวชพระ
- ทอดกฐิน
- ทำบุญสารทเดือน ๑๐ ฟังเทศน์มหาชาติ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 644 645 [646] 647 648 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><