เ รื่ อ ง ร า ว เ ค ย มี ม า ดั่ ง นี้ ว่ า........
พระพุทธองค์ทรงเสด็จไปโปรดชฎิลสามพี่น้องกับศิษย์หนึ่งพันที่บำเพ็ญพรตด้วยการบูชาเพลิงเพื่อให้ละจากความเห็นผิด โดยยกเป็นปริยายตัวอย่างแห่งความร้อนของอายตนะภายในเมื่อกระทบกับอายตนะภายนอกทำให้เกิดเป็นความร้อนแห่งอาสวะกิเลส จนที่สุดสงฆ์ทั้งหนึ่งพันสามรูป ซึ่งบวชโดยเอหิภิกขุอุปสัมปทา ผู้อันเคยเป็นชฎิลฤๅษีเหล่านั้นก็บรรลุเป็นพระอรหันต์หมดทั้งสิ้น และท่านเหล่านั้นยังได้เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคต้นอีกด้วย.....
[ อ า ทิ ต ต ป ริ ย า ย สู ต ร ]
(กลบท สิงหลวาท)
๏ เอวัมเม สุตัง........
ข้าพเจ้าได้ฟังมาดั่งนี้
กาลนั้น พระศิขินชินบดี
อยู่ ณ คยาสีสะกะสาวกา
๏ ตรัสอุเทศกับผู้ภิกษุศีล
คือปุราณชฎิลพันรูปกว่า
'' ดูกระ ภิกษุผู้โยคา
อันสฬายตนะเป็นของร้อน
๏ นี้ก็คือตา, หู, จมูก, ลิ้น
และกาย, ใจ ที่ถวิลมิถอดถอน
ต้องอายตนะภายนอกเป็นอากร
คือรูป, เสียง, กลิ่นจรมาสู่จินตน์
๏ อีก รสากะโผฏฐัพพารมณ์
แลมโนที่ถมในถวิล
อันวิญญาณผัสสะอาศัยยิน
ก็ล้วนร้อนเพราะจินตน์เป็นปัจจัย
๏ แม้นสุข, ทุกข์, อะทุกขะมะสุขัง
ก็ล้วนร้อนเถิดสังฆ์วินิจฉัย
ก็สฬายตนะร้อนเพราะเหตุไร
ก็เพราะไฟสามกองมาพ้องพันธ์
๏ นั้นคือ ราคัคคิ, โทสัคคิ
ทั้งโมหัคคินามาคลุมขันธ์
ร้อนด้วยเกิด, แก่, ตายภายอาตมัน
ร้อนรำพันโศกะปริเทวนา
๏ ดูกระ ภิกขเว
อริยะเห็นคะเนในอัตถา
ย่อมเบื่อหน่ายในสฬายตนา
และหน่ายทั้งสุขขาในอารมณ์
๏ หน่ายทั้งทุกข์, อะทุกขะมะสุข
อันเป็นดั่งไฟรุกให้ทุกข์ถม
ย่อมคลายคืนกำหนัดอันกลัดกรม
พ้นปรารมภ์ถือมั่นที่พันธ์พาล ''
๏ ปางนั้นเหล่าภิกษุผู้สิกขา
มนัสสาเพลินใจในบรรหาร
เวยยากรณ์พุทธาที่อาธาน
จิตก็ผ่านอุปาทานลาญอาสวา ๚ะ๛
...แลด้วยอำนาจแห่งบทอุเทศธรรมสูตรสำคัญทั้งหลาย อันองค์สมเด็จพระประทีปแก้วพระองค์นั้นได้ตรัสประกาศไว้ดีแล้ว อันสามารถจักยังหมู่สัตว์ให้ข้ามพ้นวัฏฏะทะเลทุกข์ได้จริง กำจัดภัยในตรีโลกได้จริง
...ข้าพเจ้าขอน้อมเอาอำนาจอันเขษมแห่งพระสูตรนั้นในสมเด็จพระชิเนนทร์ตรัยผู้ผ่านภพ จงประสิทธิสวัสดิ์สู่กัลยาณ์ทั้งหลาย ผู้มีส่วนในธรรมทาน ปัญญาทาน วิชชาทาน สร้างอักขระธรรมแห่งพระคัมภีร์ติปิฎกร่วมฝากปรากฏไว้ในโลกด้วยดีแล้วนี้ จงส่งผลให้ทุกท่านได้บังเกิดมีธรรมจักษุมีปัญญาญาณอันประเสริฐ สามารถพาข้ามพ้นภพสามไปสู่แดนเขษมโดยเร็วพลันกล่าวคือพระบวรนิพพานนั่นเทียว
...แลจงส่งผลานิสงส์ให้เป็นผู้มีไมตรีอันงามต่อกันและยั่งยืนในมิตรภาพอันน่าชื่นใจไปตลอดสายแห่งสังสารจักรนั่นเถิดนา........
แม่พลอย มณีตรี อัลตรา