เมื่อวานได้ไปงานประชุมเพลิง
ท่านอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม
ผู้คนมากมายล้นหลาม
น่าปลื้มใจแทนท่านอาจารย์
บางท่านเดินทางมาจากต่างประเทศ
เช่นศิษย์จากประเทศจีน
เราได้พบกัลยาณมิตรมากมายหลายท่าน
ที่มารวมตัวกัน ในวันประวัติศาสตร์
ณ อาศรมวิริยะธรรม ปากช่อง โคราชนี้
รวมทั้งผู้คนมากมาย ที่เราไม่รู้จัก
ทุกเพศ ทุกวัย ทุกคน มาด้วยใจเดียวกัน
คือความเคารพ รัก ชื่นชม ศรัทธา อาลัย
และตระหนักในพระคุณของอาจารย์กำพล
งานศพนี้ไม่เหมือนงานอื่น มีการตั้งเชิงตะกอนชั่วคราว
โดยใช้ไม้สน พาดไปพาดมา สูงราวเมตรเศษ
และเมื่อวางโลงไว้ด้านบนแล้ว ยังมีระบบล๊อค
โดยใช้ไม้ยาว ๔ ลำ วางพาดขวางไว้
และมีเหล็กวางล๊อครอบโลงศพด้วย
ระบบกันภัยยังมีการเตรียมน้ำไว้หล่อเลี้ยงบริเวณ
ในกรณีที่ลมพัดแรงไปทิศใดแล้ว อาจเกิดลูกไฟเป็นอันตรายได้
ทีมพระสงฆ์จากวัดป่าสุคะโตท่านวางแผนรอบคอบมาก
งานของอาจารย์เรียบง่ายมาก
น่าชื่นชมอนุโมทนายิ่ง เราไม่เคยเห็นที่ไหน
เคยเห็นในรูปตอนงานท่านพุทธทาส
ไม่เคยได้สัมผัสของจริง งานนี้เป็นบุญจริงๆ
ที่ได้มาสำเหนียกธรรมที่อาจารย์เมตตาสละตนสอน
เชื่อว่าทุกอย่างที่เป็นไปในวันนี้ และงานนี้
เป็นความตั้งใจของท่านอาจารย์กำพล
ตามที่ท่านเตรียมการ เตรียมตัวเผชิญวันสุดท้ายนี้
สมค่าความเป็นครู ผู้เป็น "อุปกรณ์ของพระธรรม"
เมื่อเคลื่อนขบวนโลงบรรจุศพออกมาจากอาคาร
ก็มาตั้งวางไว้บนสุด ที่เชิงตะกอนชั่วคราว
จากนั้น มีการสวดพระอภิธรรมแปลอย่างรู้สึกตัว
และน้อมจิตอุทิศกุศลถึงท่านอาจารย์กำพล
หมู่พระสงฆ์และฆราวาสญาติโยมนั่งสงบสำรวม
อยู่ในเต็นท์ขนาดใหญ่หลายหลัง
ผู้คนมากหน้าหลายตา ชวนอบอุ่นใจ
รวมทั้งหลายท่านที่สละตนมาเป็นจิตอาสา
ช่วยบริการตามจุดต่างๆ และช่างภาพจำนวนมาก
ทุกคนมีหัวใจเดียวกัน คือ "เรารักอาจารย์กำพล"
จากนั้น บ่ายเกือบ ๓ โมง
พิธีกรนิมนต์พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ขึ้นแสดงธรรม
เต็นท์แสดงธรรม จัดง่ายๆ ขนาด สามคูณสามเมตร
ประดับด้วยต้นไม้ เต็นท์สีขาว โปร่งแสง
พระอาจารย์เทศน์จับใจ ท่านแก้มแดงเลยนะ
เพราะแดดร้อนมาก พวกเราตั้งใจฟัง
เต็นท์พวกเราสีเข้มจึงกันรังสีแดดได้ดีกว่าเต็นท์สีขาวนั่น
ท่านเทศน์เรื่อง " อุปกรณ์สอนธรรมอันประเสริฐ"
มีตอนหนึ่งท่านกล่าวถึงคำของหลวงพ่อคำเขียน
ที่เขียนจดหมายสอนอาจารย์กำพลว่า
"ถึงแม้ร่างกายจะพิการ แต่ถ้ายังมี "ความรู้สึกตัว" อยู่
ก็ถือว่ายังมี "หน่อแห่งพุทธะ" ซึ่งสามารถที่จะบำรุงเลี้ยง
หน่อแห่งพุทธะนี้ ให้เจริญเติบโตและงอกงามเป็นไม้ใหญ่ต่อไปได้"
เมื่อพระอาจารย์เทศน์จบแล้ว มีผู้นำกล่าวถวายทาน
แล้วพระอาจารย์ให้พร ..จากนั้น แม่ชีวิภาวรรณ
จากวัดป่าสุคะโต จึงอ่านประวัติของท่านอาจารย์
ด้วยน้ำเสียงแจ่มใส ในตอนท้ายๆ มีเพลงขลุ่ยคลอสดๆ
ชวนให้รำลึกถึง ชายคนหนึ่งซึ่งพิการมานานสามสิบปี
แต่มีหัวใจยิ่งใหญ่ และเบิกบานแจ่มใส เป็นกำลังใจให้ผู้คน
เมื่ออ่านประวัติจบปุ๊บ ตามด้วยการถวายผ้ามหาบังสุกุล
(ไตรเดียวพอเลย ไม่เยิ่นเย้อ ประธานฝ่ายสงฆ์
คือพระอาจารย์ไพศาล พิจารณาผ้ามหาบังสุกุล
จากประธานฝ่ายฆราวาส คือ นายแพทย์ปิโยรส
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬา)
(พิธีการกระชับฉับไวมากเลย)
พอจบแล้วก็กราบอาราธนาเรียนประธานฝ่ายสงฆ์
และประธานฝ่ายฆราวาส วางเทียนดอกไม้ที่เชิงตะกอน
แล้วนิมนต์พระเณรทั้งหมด
ลุกจากที่นั่ง เข้าแถวไปวางเทียนดอกไม้
ตามด้วยอุบาสิกา และญาติโยมทั้งหลายที่จดจ่อรออยู่
ทุกคนเข้าแถวเดินเข้าไปวางเทียนดอกไม้ที่เชิงตะกอน
ด้วยจิตที่น้อมคารวะ น้อมบูชาคุณท่านอาจารย์
เราพยายามเขย่งตัว ยื่นเทียนดอกไม้ให้อยู่ใต้โลงตรงกลางๆ
ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ ๔ โมงเย็นนิดหน่อย
ชายคนหนึ่ง ปีนขึ้นไปบนเชิงตะกอน ยืนอยู่ข้างโลง
มีเพื่อนส่งปี๊บยื่นให้เขา เชื่อว่าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง
เพราะเขาเปิดฝาโลงออกมา และเปิดฝาถังน้ำมัน
ราดลงไปจากหัวจรดเท้าของร่างที่นอนนิ่ง เขาราดซ้ำๆ
และแล้วก็เอาผ้าขาวที่ชุ่มน้ำมันวางคลุมลงไปในนั้น
และราดซ้ำลงไปอีกถังใหญ่ๆ แล้วปิดฝาโลงลงตามเดิม
(งานศพทั่วไปเขาต้องล้างหน้าด้วยน้ำมะพร้าว
แต่งานนี้อาบน้ำมันเชื้อเพลิงชุ่มๆ กันให้เห็น
อันไหนถูกผิด ดูที่สาระประโยชน์ ชัดเจนมาก)
ได้ยินว่า พระภาวนาเขมคุณ วิ. (พระอาจารย์สุรศักดิ์)
จากวัดมเหยงคณ์ ท่านจะเดินทางมาร่วมงานด้วย
และท่านก็มาทันเวลาจริงๆ ในขณะที่ทุกอย่างพร้อม
ทุกท่านวางเทียนดอกไม้เรียบร้อย รอการประชุมเพลิง
รถตู้ของพระอาจารย์สุรศักดิ์ ก็มาจอด ท่านค่อยๆ เดินมา
พอท่านมานั่งที่เต็นท์ข้างๆ พระอาจารย์ไพศาลเดี๋ยวเดียว
เราเข้าไปกราบท่าน แล้วเขาก็นิมนต์ท่านไปจุดไฟ
ใช้เทียนยาวที่จุดไว้แล้วต่อยื่นเข้าไปที่เชิงตะกอนนั้น
พระอาจารย์ยื่นเทียนที่จัดแล้วเข้าไป ไฟเริ่มลุก
ทีมงานสัปปะเหร่อเฉพาะกิจ ชี้ห้ท่านยื่นไฟอีกสองจุด
ตอนนี้ล่ะ ...ไฟลุกโชติช่วง ...ทุกคนจดจ่อตั้งตาตั้งใจดู
เราอดใจไม่ได้ ลุกขึ้นยืนชม จับมือเพื่อนไว้แน่น มันอัศจรรย์ใจจริงๆ
ไฟลุกโหมแรงด้วยเหตุไม้สนแห้งจำนวนมาก
และน้ำมันเบนซินสองถังใหญ่ที่ซึมซับทุกส่วนเตรียมพร้อมแล้ว
ในระหว่างที่เปลวเพลิงโหมแรงนั้น
เราได้ยินเสียงท่านอาจารย์กำพล กำลังสอนธรรม
ดูเหมือนจะที่ศาลาปันมี ทางทีมงานเปิดให้ฟังกันทั่ว
พร้อมทั้งดูภาพประกอบสดๆ ที่เร้าใจ ตัวก็จริง เสียงก็ใช่
โอ้ ...ขณะนี้สังขารร่างกายของท่านกำลังคืนสู่ธรรมชาติ
แต่ธรรมะของท่าน ยังกึกก้องอยู่ในหัวใจพวกเรา
รอลุ้น...จนถึงเวลาที่โลงถูกไฟเผาหมดแล้ว
ในที่สุด เราทุกคนก็ได้เห็นส่วนที่กลมๆ ดำๆ
คือกระโหลกศีรษะที่วางตำแหน่งไว้ชัดเจน
หันศีรษะมาทางเต็นท์ที่พวกเรากำลังนั่งมองอยู่
จนในที่สุด ด้วยอำนาจแห่งกองเพลิงมหึมา
กระดูกในส่วนกระโหลกศีรษะนี้และท่อนหน้าอกก็หักลงมา
โดยหักลงมาทางส่วนหน้าของเชิงตะกอน
ยังอยู่ในล้อมอิฐบล๊อกแต่ไม่อยู่กึ่งกลางกองเพลิง
บรรดาสับปะเหร่อจำเป็นทั้งหลายจึงต้องใช้ปัญญา
ค่อยๆ เขี่ยดุ้นฟื้นขยับขยายและปรับบริเวณพื้นที่รอบๆ
จนในที่สุดก็ต้องยอมใช้ไม้เขี่ยที่กระดูกกระโหลกนั่นเอง
จึงจะสามารถดันอาจารย์ใหญ่ชิ้นนี้
เข้าไปอยู่ในแวดล้อมของเปลวเพลิงได้
จากตั้งไม้สนสูงท่วมหัว ในที่สุดก็ถูกไฟเผา
จนลงมาเหลือแค่ระดับพื้น ไฟทำลายทุกสิ่งไม่เว้นเลย
แต่เรายังเห็นกระดูกกลมดำ
ซึ่งเป็นส่วนกระโหลกศีรษะและช่วงอกชัดเจน
นับว่าท่านอาจารย์เมตตาสละตนเป็นอุปกรณ์สอนธรรม
สละแม้กระทั่ง ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุขันธนี้
เป็นการสอนธรรมที่สะดุดใจแรงๆ และสอนใจทุกคนแจ่มแจ้งจริงๆ
ชีวิตคนเรา ก็เท่านี้เอง
เราอยู่กันถึงตอนนี้ ก็ต้องเดินทางกลับ
กราบอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม
"อุปกรณ์สอนธรรม" ด้วยความเคารพศรัทธายิ่ง
กราบอนุโมทนาคุณหมอจุ๋มอัจฉรา กลิ่นสุวรรณ์ มาณ ที่นี้ค่ะ