กระจกมีสองด้านเสมอ แล้วแต่มุมมอง
พระอรหันต์ท่าน จึงวางจิตเป็นอุเบกขาได้
พี่สิงห์ ปุถุชนม์ คนธรรมดา ยังวางจิตอุเบกขาไม่ได้ เมื่อได้ประสพ จึงต้องกระทำแต่ความดีตาม สังคหะวัตถุ ๔ เพื่อฝึกจิตตนเอง แต่บางครั้งมีเจตนาสอนให้ได้คิด เพราะพี่สิงห์ หวังดี นั่นเอง
พี่สิงห์ ยังวางอุเบกขาควาย ไม่ได้
ดร.สุริยา ถาม ทำไม? ดร.กุศล ไม่มาเผาศพ ทั้ง ๆ ที่กับผู้ตาย สนิทกันจะตาย นั่นเพราะเราคิดเอง ว่า สัพพัญญู เขาต้องคิดแบบนั้น นั่นเป็นจิตของผู้เจริญ
แต่ ดร.กุศล เขาคิดอย่างเขา เขามีเหตุผลของเขา เขาไม่มาก็ได้ เขาไม่ผิด เขา มาฟังพระสวดพระอภิธรรม มารับทราบเรื่องราว เขาอยากจะอยู่อย่างเขา ทำไมเขาต้องไปรับรู้ ไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่นด้วย มีแต่เปลืองตัว ตัวใครตัวมัน กรรมของใคร ก็ของมัน มันก็ถูกต้องแล้วที่ไม่มา อย่าไปว่าเขาเลย
ดร.สุริยา อาจจะถามว่า แล้วผู้มีพระคุณอีกสองท่าน รวมทั้งคุณวิวัฒน์ ที่สนิท จะตาย ไปไหนไปกัน ทำไม? ไม่มา เพราะเขาคิดอีกอย่าง เวลาไม่มี ต้องทำงาน มาไกล ไม่มา ไอ้สิงห์ ไอ้ป๋อง มันก็ไป พอแล้ว ไม่ไปก็ได้
้ถ้าคนคิดได้ อย่างพระอรหันต์ มันก็ดี
ถ้าคนคิดได้ อย่าง สัพพัญญู สังคมจะมีแต่สันติ
ถ้าคนคิดได้ อย่างอุเบกขาควาย มีแต่คนติติง นินทา
ความคิดของคนล้วนอนิจจัง ตัวใคร ตัวมัน คนก็นินทา
ทำดี เจตนาดี คนก็นินทา
ทำตามคนอื่น คิดแบบคนอื่น แต่ผลออกมาไม่ดี คนก็มีทั้งนินทา และว่าดี
เขากำลังคิดกระทำในสิ่งไม่ดี เราไปตักเตือน เราไปว่ากล่าว สพประมาทเอาไว้ เขาสำนึกได้ไม่ควรกระทำ เขางดเว้นเสียได้ ผลไม่มีตามมา แต่เราถูกว่ากล่าว ตักเตือนไปก้าวก่าย ไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลเขา เราผิด เราถูกตำหนิ เราถูกฟ้องร้อง เราก็ควรดีใจ เพราะผลมันไม่เป็นอย่างที่เราว่ากล่าวเอาไว้ แต่เราผิด ได้รับผลของการกระทำเอง
แต่ถ้าเราไม่ว่ากล่าว ไม่ตักเตือน ไม่ทำให้เขาได้คิด
จนผลที่ออกมา มันเป็นไป แบบที่ไม่ควรจะเป็น ปล่อยให้เขากระทำไปตามนั้น คือไม่คิดแบบสัพพัญญู เขาคิด เราก็เป็น อุเบกขาควาย เท่านั้น เห็นคนจะตกน้ำตายต่อหน้า ก็ไม่ช่วย เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเรา นี่ละอุเบกขาควาย
ความคิดของคน จึงเป็น อนิจจัง มองได้สองมุม แล้วแต่จะมอง
และเพราะตัวกู ของกู นี่ละจึงคิดแบบนั้น
ไอ้สิงห์เอ๋ย จงละตัวกู ของกู ลงเสีย อยู่อย่างจิตพระอรหันต์ ดีกว่า โลก สังคม มนุษย์มันเป็นอย่างนี้ละ มีแต่สิ่งหน้าเบื่อหน่ายทั้งสิ้น มีแต่หาทุกข์มาใส่ตน ไม่รู้จบ จนถึงวันตายจากไป
สวัสดี