เรียน ดร.สุริยา
การไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นนั้น มันก็เป็นหนทางอันประเสริฐแล้ว ยิ่งเป็นผู้เห็นในทุกข์ ไม่เป็นผู้เป็น ยิ่งประเสริฐใหญ่
แต่การ จะเป็นผู้เห็นได้นั้น ต้องปฏิบัติธรรม จนสามารถแยกรูป-นาม คือ แยกรูป-นามของเรานั้นออกเป็น ห้า ส่วน คือ
- แยกรูปออกมา รูปนี้ไม่มีตัวตน เพราะมันไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนใด ๆ มีเพียงธาตุทั้ง ๔ เท่านั้น
- นามหรือจิต ที่ประกอบไปด้วย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
- เจตสิก คือเครื่องประกอบจิต หรืออารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบจิตแล้วทำให้จิตตกเป็นทาษของอารมณ์ รวม ๆ แล้ว คือ โลภ โกรธ หลง ความสุข ความทุกข์ ....
- นิพพาน (ไม่ขอตอบพระยังตอบไม่ได้)
- ความรู้สึกตัว หรือสติ ที่จิตมันไปผูกเอาไว้ จนสามารถเป็นผู้ดู ไม่เป็นผู้เป็น ท่านจะเห็น(จากความรู้สึกภายใน) ว่านี่รูป จิต เจตสิก นิพาน มันเกิดขึ้น ดับไปของมัน เพราะธรรมชาติมันมีของมันอย่างนี้ ขึ้นอยู่กับเหตุ-ปัจจัย
แต่ท่านจะเป็นผู้ดูได้นั้น มันเป็นผลมาจากการเจริญสติปัฏฐาน ๔ จนแยกรูป-นาม ออกมาได้เท่านั้น ท่านไม่สามารถคิดขึ้นเองได้ มันไม่ใช่รู้ แต่มันเห็นความจริงได้จากภายในเท่านั้น นี่คือความจริง
ท่านจะอ่านหนังสือมามาก แล้วมาบอกว่า กูจะเป็นผู้เห็น กูไม่เป็นผู้เป็นนั้น มันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะคนมันหลงอยู่ในความคิด
จริงอยู่ชาตินี้ท่านตั้งใจจะไม่เบียดเบียนใคร นั้นทำได้ แต่ชาติหน้าท่านไม่รู้จะไปเกิดที่ไหน เมื่อเกิดแล้ว ท่านึกหรือว่าท่านจะไม่เบียดเบียนใคร มันสั่งไม่ได้ การเกิดทุกครั้ง มันก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ มีแต่กองทุกข์ใหม่ ท่านสั่งมันตั้งแต่ชาตินี้ไม่ได้ มันเป็นเพียงความคิดของท่านเท่านั้นในชาตินี้ ท่านคิดได้ แต่มันคงไม่เป็นไปตามคิดหรอก เพราะท่านบังคับชาติหน้าไม่ได้ นี่คือความจริง
ความสุขจากกามคุณที่เกิดจากการสัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเป็นความสุขชั่วคราวเท่านั้น และท่านจะยิ่งอยากมากขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดเวลา เพราะจิตท่านชอบ และท่านก็ยังปรุงแต่งมากขึ้น
ถ้าท่าน จะดำเนินชีวิตแบบนั้น มันขึ้นอยู่กับท่านเอง มันก็ดีมาก แต่มันยังไม่ใช่หนทางที่ดีที่สุด
ศรัทธา จริง ๆ มันยังไม่เกิดกับท่านเท่านั้น อย่าลืมศรัทธา เป็นอริยะทรัพย์ มันเป็นผลจากการภาวนา มันเกิดขึ้นเอง จะคิดไม่ได้
สรุปแล้ว ท่านคิดได้อย่างนั้น และทำได้อย่างนั้น มันก็ดี แต่ท่านหนีทุกข์ไม่พ้นหรอก อย่าไปหลงอยู่ในความคิดเลย
ทางสายเอกรอท่านอยู่ ถึงหนทางมันจะแสนไกล ทุระกันดาร แต่มันก็ไปถึงได้ ถึงจะไปไม่ถึงชาตินี้ มันก็มีชีวิตที่สุขกว่า ปราณีตกว่า ความสุขทางกามคุณ คือความสุขที่เกิดจากการปรุงแต่งน้อย ๆ หรือไม่ปรุงแต่งเลย เกว่าแยะ
ท่านลองเจริญสติ ให้นาน จนละนิวรณ์ ๕ ได้ ทำฌาณที่สามให้เกิดขึ้น ท่านจะสัมผัสกับปีติ ความสุขที่ท่านไม่เคยพบมาก่อนเลย ท่านจะพบว่า มันสุขกว่ากามคุณ ที่ท่านชอบแบบคนและเรื่องแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลย แต่สุขที่เกิดจากการทำฌาณที่ ๔ ให้เกิดขึ้น มีแต่สติล้วน ๆ มันสุขยิ่งกว่าปราณีตกว่าอีก ลองดูซิท่านจะรู้ด้วยตัวของท่านเอง
จงละทิฐิ เสียเถิด ทำสัมมาทิฐิให้เกิดขึ้น แล้วท่านจะเข้าใจเอง อย่าหลงในความคิดเลย
สวัสดี