26 พฤศจิกายน 2567, 06:03:52
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 520 521 [522] 523 524 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3580191 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13025 เมื่อ: 19 กันยายน 2557, 16:15:13 »







พระไพศาล และภิกษุ วัดป่าสุคะโต
ท่านพยายามสอนธรรม ผ่าน Face book ทุกวัน
ให้กับคนในสังคมออนไลน์ เพราะวัดอยู่ไกล ชัยภูมิ



“เมื่อเห็นดอกบัวบาน ใจเราก็พลอยเบิกบานไปด้วย และถ้าพิจารณาอีกสักนิด ก็จะได้แง่คิดสำหรับชีวิตด้วย บัวนั้นถือกำเนิดจากโคลนตม ถ้าไม่มีโคลนตม ก็ไม่มีดอกบัว

ใช่หรือ ไม่ว่าทุกข์กับธรรม แยกจากกันไม่ได้ ไม่มี ทุกข์ ก็ไม่พบธรรม เมื่อใดที่มี ความทุกข์ ก็ขอให้ตระหนักว่า นั่นคือโอกาสที่จะดอกบัวจะเบ่งบานกลางใจเรา บัวเกิดในน้ำ แต่ก็สามารถเจริญเติบโตจนพ้นน้ำและชูดอกได้ อย่างสวยสดงดงาม คนเราก็ เช่นกัน แม้จะเกิดท่ามกลางกิเลส แต่ ก็สามารถยกจิตเหนือกิเลสได้

น้ำไม่อาจจับต้องใบบัวฉันใด เราก็พึงรักษาใจมิให้อกุศลและ ความทุกข์แปดเปื้อนฉันนั้น ด้วยคุณสมบัติพิเศษดังกล่าว บัวจึงถูกเลือกให้เป็นสัญลักษณ์ ของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หลุดพ้นจากกิเลสสิ้นเชิง ดังนั้นเมื่อเรา เห็นดอกบัว ขอให้ถือดอกบัวเป็นครูที่สอนธรรมอันลึกซึ้งแก่เรา”

พระไพศาล วิสาโล

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13026 เมื่อ: 19 กันยายน 2557, 16:15:39 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 13 กันยายน 2557, 08:16:39





อยากเห็นภาพเหล่านี้ในสังคมคนเมือง เพราะความตระหนี่-ริษยา เป็นเหตุ-ปัจจัยให้ทุกข์ ตามมา

ถ้าเยาวชนม์ไทย เป็นผู้ให้ตั้งแต่ยังเล็ก เขาจะเป็นคนที่่มีจิตใจดีงาม เป็นผู้เสียสละ มันจะเกิดขึ้นเอง เพราะได้รับการฝึกมาตั้งแต่เด็ก

น่าเสียดาย สังคมคนเมือง เด็กติดเกมส์ จะเป็นแต่ผู้ชนะ ไม่ยอมเสียสละ สังคมในอนาคต มีแต่ความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เพราะถูกฝึกมาตั้งแต่เด็กๆ นั่นเอง

สวัสดี

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13027 เมื่อ: 19 กันยายน 2557, 16:15:57 »



เทศกาลสารทเดือนสิบ - ขนมลา ขนมไข่ปลา ขนมบีซัม



ิอาการมื้อเช้า ต้องกินอย่างราชา



สวัสดียามเช้าาครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

พี่สิงห์  อยู่นครศรีธรรมราช เช้านี้อากาศสดใส แสงแดดจ้า เห็นพระอาทิตย์แดงแจ่มชัด ไม่มีลมอ่อน ๆ ยามเช้า

ได้เดินจงกรมออกกำลังกาย ฝึกชิกง-โยคะ และรับประทานอาหารเช้า

ช่วงนี้นครศรีธรรมราช มีงานสารทเดือนสิบ  ถือเป็นประเพณีที่ยิ่งใหญ่ของชาวนครฯ แต่งานกร่อยลงทุกปี ไม่เหมือนเมื่อก่อน เป็นงานขายสินค้าเสียมากกว่า

ในวัดพระธาตุไม่มีงาน ไม่มีการแสดงโนราห์ หนังตะลุง บูชาองค์พระธาตุ เพราะทางเทศบาลให้ไปจัดรวมกันที่ทุ่งท่าลาด เพื่อจะได้มีรายได้มาก คนไปแห่งเดียวกัน

ต่างคนต่างคิด มันก็อย่างนี้ละมนุษย์ มันยึดผลประโยชน์เป็นหลัก

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13028 เมื่อ: 19 กันยายน 2557, 16:16:13 »



เมื่อวาน ขณะนั่งรอขึ้นเครื่อง และนั่งอยู่บนเครื่อง Nok Air ก็ได้นั่งอ่านหนังสือ รู้ซื่อ ๆ ของหลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ เพื่อย้ำเตือนตัวเองในการเจริญสติสร้างความรู้สึกตัว และหาความรู้จากการปฏิบัติธรรมของท่าน

หลวงพ่อ  บอกว่า ที่บรรยายออกมมานั้น บรรยายออกมาจากใจ  ไม่ได้ไปเอามาจากไหน
หลวงพ่อ มีความรู้ตามพระไตรปิฎก น้อยกว่าผู้ฟัง
หลวงพ่อ มีความรู้ในตัวคน ที่ทำอย่างไรจะให้พ้นทุกข์ถาวร หรือกระทำที่สุดแห่งทุกข์ให้เกิดขึ้น อันนี้หลวงพ่อไม่แพ้ใคร เพราะมันทำให้เกิดขึ้นด้วยตัวเอง ไม่มีลืม
หลวงพ่ภอ ไม่พาหลงทาง การรู้สึกตัวซื่อ ๆ นี่ละเป็นทางสายเอก ที่จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
หลวงพ่อพยายามอธิบาย สภาวะที่ไม่เป็นอะไร กับอะไร สุดท้ายหลวงพ่อ ก็บอกว่า ไม่รู้ว่าพวกเรสจะรู้เรื่องไหม  มันอธิบายอยาก มันเป็นความรู้สึกที่อยากแก่การอธิบาย ต้องรู้ด้วยตนเอง

สรุปก็คือ

หนทางแห่งการพ้นทุกข์ถาวร หรือพระนิพพาน นั้นมีจริง
การรู้สึกตัวซื่อ ๆ เป็นทางสายเอกที่จะพาให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
วิธีที่หลวงพ่อสอน นั้น หลวงพ่อไม่พาหลงทาง รับประกันแน่นอน เพราะหลวงพ่อทำแบบนั้น จึงสามารถกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้

ทำให้พี่สิงห์  มีกำลังใจว่า ไม่หลงทาง จะเพียรพยายามต่อไป
ขอบคุณครับ หลวงพ่อคำเขียน   สุวัณโณ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13029 เมื่อ: 19 กันยายน 2557, 16:16:46 »





ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
พระไพศาล วิสาโลแสดงธรรม ณ วัดป่าสุคะโต ๑ กันยายาน ๒๕๕๗

อาทิตย์ที่ผ่านมาอาตมาได้เร่งทำหนังสือ  เพื่อแจกในวันที่ ๖ กันยายน งานวันปลงศพหลวงพ่อ ที่จริงก็เตรียมมาตั้งแต่ ๓-๔ เดือนที่แล้ว พอได้ยินหลวงพ่อบอกว่าป่วยคราวนี้คงไม่หาย ตายแน่ พวกเราก็เริ่มตระเตรียมทำหนังสือเพื่อใช้ในงานปลงศพ ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเมื่อไรระหว่างที่เตรียมต้นฉบับก็ต้องค้นหาภาพที่จะใช้ประกอบหนังสือ ก็ได้เห็นภาพเก่าๆ ซึ่งสมัยนี้หาดูได้ยากแล้ว ภาพหลวงพ่อสอนเด็กเล็กที่บ้านท่ามะไฟหวานเมื่อปี ๒๔  ภาพหลวงพ่อนั่งฉันในบาตรกับพระรูปอื่นที่ชั้นบนของศาลาหน้า สมัยก่อนกิจกรรมทุกอย่าง ไม่ว่า ทำวัตร หรือฉันอาหาร ทำบนชั้นบน เพราะข้างล่างเป็นพื้นดิน ยังไม่ได้เทปูนอย่างทุกวันนี้บางภาพไม่มีคนมีแต่สะพาน เป็นสะพานเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว ๒๐ ปีที่แล้วก็มี สมัยโน้นภาพเหล่านี้เป็นภาพที่แสนจะธรรมดาสามัญไม่ใช่ภาพที่พิเศษ เพราะเห็นจนคุ้นตา  แต่ตอนนี้กลายเป็นภาพที่มีค่ามาก ความมีค่าส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าเดี๋ยวนี้หาภาพแบบนี้อีกไม่ได้แล้ว ความมีค่าของภาพเหล่านี้อีกส่วนหนึ่งก็คือ ทำให้เราได้เห็นอดีตของหลวงพ่อและของวัดป่าสุคะโต แม้แต่สะพานข้ามสระที่ทำกันอย่างง่ายๆ ตอนนี้ก็ไม่มีแล้ว มันก็ทำให้เห็นว่าสมัยก่อนเราอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติมาก ไม่ใช่แค่ใกล้ชิดต้นไม้อย่างเดียว ยังใกล้ชิดกับน้ำด้วย เอาเท้าแหย่ไปสักหน่อยก็แตะน้ำแล้ว เดี๋ยวนี้สะพานสูง ตอนนี้ดูเหมือนสะพานยิ่งสูงมากเพราะน้ำลด แต่ก่อนโดยเฉพาะหน้าน้ำ เอาเท้าแหย่น้ำได้เลย  บางปีน้ำท่วมสะพาน ต้องลุยน้ำกันมา ทั้งสนุกสนานและน่าตื่นเต้น เพราะอาจพลัดตกสะพานจมลงไปในสระเลยก็ได้มานึกดูแล้วก็น่าเสียดาย มีหลายภาพที่ควรถ่ายไว้ แต่ก็ไม่มีใครถ่าย เช่นภาพคนเดินขึ้นเขา สมัยก่อนไม่มีถนนขึ้นมาจากแก้งคร้อ จะขึ้นมาก็ต้องปีนเขา ตอนที่อาตมาชวนคนมาทอดผ้าป่าข้าวก็ปีนเขาขึ้นมา มีทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ภาพชาวบ้านขนข้าวขึ้นเขาตอนนี้มีค่ามาก แต่ตอนนั้นไม่มีใครถ่ายภาพเก็บเอาไว้เลย หรือแม้แต่สภาพหมู่บ้านท่ามะไฟหวานตอนที่ยังถนนยังไม่ได้ลาดยางหรือเทปูน มีแต่ลูกรัง มันเป็นสภาพของชนบทจริงๆ เพียงแค่เห็นถนนลูกรัง ก็เห็นถึงความเป็นชนบทของที่นี่ แต่มันกลายเป็นอดีตไปแล้ว ครั้นจะตามหาภาพเหล่านั้นก็หาไม่ได้ สาเหตุสำคัญก็เพราะว่าไม่ได้ถ่ายเอาไว้ ที่ไม่ได้ถ่ายเอาไว้เพราะตอนนั้นเห็นว่ามันเป็นธรรมดาไงความธรรมดาของวันนั้นได้กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าในวันนี้ และสิ่งที่เราเห็นในวันนี้  ซึ่งเรารู้สึกว่าธรรมดาเหลือเกิน ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ตาม ผ่านไป ๒๐-๓๐ ปีมันจะมีค่ามากอันนี้ก็ทำให้ได้ข้อคิดว่า อะไรที่ธรรมดาๆ สักวันหนึ่งมันจะกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามีความสำคัญขึ้นมา แต่มีหลายอย่างที่เราไม่ต้องรอให้เวลาผ่านไป ไม่ต้องรอให้มันกลายเป็นอดีตอันไกลโพ้นเสียก่อน ถึงจะกลายเป็นสิ่งมีคุณค่า มันสามารถจะมีคุณค่าให้เราประจักษ์ได้ตั้งแต่วันนี้ อย่างเช่นการยืนเดินนั่งนอนด้วยความรู้สึกตัว มันดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เหมือนกับคนที่นั่งทางในเห็นแสงเห็นสี แล้วส่งจิตไปสวรรค์ลงนรก หรือว่าเหาะเหินเดินอากาศได้ อันนี้ใคร ๆก็ว่าแปลก ตรงข้ามกับการยืนเดินนั่งนอนด้วยความรู้สึกตัว มีสติ มันดูธรรมดามากเลย แต่เป็นความธรรมดาที่ไม่ธรรมดานะ ท่านติช นัท ฮันห์เคยกล่าววว่า “การเดินบนพื้นโลกเป็นปาฏิหาริย์” ไม่ใช่การบิน  การเหาะ การดำดินเดินบนพื้นโลกถ้าเดินอย่างมีสติ รู้สึกตัว จิตอยู่กับปัจจุบันขณะ จะสัมผัสได้ถึงความอัศจรรย์ การมีสติอยู่กับปัจจุบัน เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มาก เพียงแต่ว่าเรามองไม่เห็นความอัศจรรย์นั้นเพราะใจไม่รับรู้ ใจมันปิดเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว อาตมามีโอกาสได้ไปเยี่ยมท่านติช นัท ฮันห์ ที่ปากช่อง ท่านได้มอบลายมือที่เขียนด้วยพู่กันมาให้ ท่านเขียนภาษาอังกฤษแปลว่า “ปัจจุบันขณะเต็มไปด้วยความอัศจรรย์” เป็นความอัศจรรย์ที่จิตซึ่งอยู่กับปัจจุบันขณะเท่านั้นจะรับรู้ได้  ถ้าจิตอยู่กับปัจจุบัน เราจะเห็นความงดงามของธรรมชาติรอบตัวเราได้ไม่ยาก  ยิ่งกว่านั้นมันยังทำให้เราได้เห็นความจริงเกี่ยวกับกายใจ สามารถเข้าถึงสัจธรรมอันลึกซึ้งของกายและใจได้ เพียงแค่เราอยู่กับปัจจุบันพระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดเห็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆ อย่างแจ่มแจ้ง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้”  ธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าไม่ได้หมายถึงสิ่งที่รับรู้ด้วยตา ได้ยินด้วยหูเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิ่งที่สามารถสัมผัสได้ด้วยใจเช่นธรรมารมณ์ อันนี้คือธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ถ้าเห็นอย่างแจ่มแจ้งและเห็นอย่างต่อเนื่อง ประตูสู่ความพ้นทุกข์ก็จะเปิดออก เคยมีพราหมณ์คนหนึ่งถามพระพุทธเจ้าว่าแต่ละวันท่านทำอะไรบ้าง พระพุทธเจ้าตอบว่า เรายืนเดินนั่งนอน พราหมณ์ก็แปลกใจว่าแค่นี้เองหรือ ไม่มีอะไรพิสดารเลย พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเรายืนเดินนั่งนอนก็จริง แต่ว่าเมื่อยืนก็รู้สึกตัว เมื่อเดินก็รู้สึกตัว เมื่อนั่งก็รู้สึกตัว เมื่อนอนก็รู้สึกตัว พระองค์ทำเท่านี้แหละ   ทำสิ่งที่แสนจะธรรมดาแต่ว่าทำได้ยาก เพราะคนเราส่วนใหญ่อยู่กับความหลง  อันนี้ก็รวมไปถึงการทำอย่างอื่นด้วยที่เราเห็นว่าธรรมดา เช่นการทำความดี ความใส่ใจผู้คน  การทำงานด้วยความใสใจ สิ่งที่ดูธรรมดาก็สามารถมีความหมายต่อคนอื่นได้ เช่นสิ่งที่หลวงพ่อคำเขียนทำหลายอย่างก็เป็นเรื่องธรรมดา ท่านรดน้ำต้นไม้ ท่านขุดดิน  ท่านกวาดใบไม้  แต่ถ้าดูดี ๆ ก็จะเห็นว่าไม่ธรรมดาเลย เพราะแฝงไว้ด้วยความสงบ รู้ตัว มั่นคง และเมตตา บางครั้งความไม่ธรรมดาก็แสดงออกจากอิริยาบถที่ธรรมดาของผู้คน  ถ้าตาเราถึงก็จะเห็นว่าไม่ธรรมดา แต่ถ้าตาเราไม่ถึงเพราะใจเราไม่ว่างก็เห็นว่านั่นเป็นความธรรมดา ไม่น่าใส่ใจแต่ไม่ว่าสิ่งที่หลวงพ่อทำจะธรรมดาแค่ไหน มาถึงวันนี้มันไม่ธรรมดาแล้ว เพราะว่าไม่มีให้เห็นอีกต่อไปแล้ว สำหรับคนที่ได้เห็นก็ถือว่าเป็นบุญตา และน่าเอามาเป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติ ให้ความธรรมดานั้นเกิดขึ้นกับกายวาจาและจิตใจของเรา หรือเกิดขึ้นกับชีวิตของเราทั้งมวล
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13030 เมื่อ: 19 กันยายน 2557, 17:39:39 »

วัดป่าสุคะโต



กลัวบาป !

วันนี้ซีมะโด่ง ๑๔ ได้จัดทัวร์ปลาแรด ไปอุทัยธานี โดยมี ดร.สุริยา ในฐานะเจ้าถิ่น เป็นเจ้าบ้านรับรอง สองคืน สามวัน

วันนี้ไปซื้อของที่อำเภอบ้านไร่ และนอนที่รีสอร์ท

คุณวิทิดา  ได้โทรศัพท์ มาคุยด้วย ว่ากำลังซื้อที่นอนกันอยู่ที่บ้านไร่

สาเหตุ ที่ไม่ชวนพี่สิงห์ ไปด้วย คุณแววตา บอกว่า "กลัวบาป"

เลยทำให้คิดได้ว่า คนอื่นเขามองเราอย่างนี้แล้วหรือ ?

แต่ที่ผ่านมา เราก็พยายามระวังตนเองทาง กาย วาจา ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเพราะเราเหมือนกัน คือ "กลัวบาป" เช่นเดียวกัน

งานนี้เลยไม่มีใครชวนพี่สิงห์  ทั้งสิ้น แปลกดี ที่ทุกคน "กลัวบาป"

ทราบข่าวมาว่า พี่โอภาส  พี่จุก  อาจารย์พินิจ(คิดเอาเอง) ก็ไปด้วย รวมทั้งอาจารย์เผ่า  ขับรถตามไปสมทบเพราะติดสอนหนังสือ วันนี้

เขามีมติกันว่า รุ่นน้องห้าม

เป็นกิจกรรมที่ดีครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #13031 เมื่อ: 19 กันยายน 2557, 21:04:19 »

พี่สิงห์คะ
คำสอนอันนี้ถูกจริตดีมาก ละเอียดอ่อน แยกแยะ อ่านดีๆ จะเห็นขั้นตอนละเอียดเลย ไม่ต้องเขียนมากก็ได้ค่ะ แต่เขียนมานี่ คือแก่นๆทั้งนั้นค่ะ
ขอบคุณมากๆค่ะ


อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 18 กันยายน 2557, 07:46:07
สวัสดีค่ะ คุณน้องจันทร์ฉาย ที่รัก

ขอบคุณมาก

บางทีอยากเขียนหลาย ๆ เรื่อง แต่เมื่อเป็นผู้ดู ก็จะบอกว่า เรามันฟุ้งไปหรือเปล่าถึงอยากเขียน ไปเป็นผู้เป็น ก็จะเอาชนะจิตด้วยการ อุเบกขา ดูความหวั่นไหวของมัน ดูความอยากของมัน ก็เลยไม่เขียน

ชีวิตของเราที่ยังอยู่ในสังคม ในเบื้องต้น ถ้ามีอารมณ์เวทนา หรือเสวยเวทนา เช่น จะพอใจหรือไม่พอใจ เราต้องเป็นผู้เห็น อย่าไปเป็นผู้เป็น  ขอให้พิจารณาอย่างนี้ให้มาก ๆ เราก็เป็นผู้ดูได้ ไม่หลงเข้าไปในความคิด  ยิ่งฝึกสติเอาไว้มาก ๆ มันตื่นตัวของมันอยู่แล้ว

ยกเว้นเพื่อการดำรงชีวิตในปัจจัย ๔ การทำงาน  การติดต่อผู้คนเราก็ต้องเป็นผู้เป็น คือหลงในการคิด แต่ไม่ได้หลงในอารมณ์ที่่เกิดขึ้น  สิ่งที่ต้องระวังในการปฏิบัติธรรม คืออย่าหลงไปเป็นผู้เป็น ในอารมณ์ต่าง ซึ่งเป็นปรมัตถ์ธรรม เป็นเพียงผู้ดู

หลงคิดในการทำงาน-ปัจจัย ๔ กับ หลงคิดในอารมณ์มันต่างกัน หลงคิดในอารมณ์ นำทุกข์มาให้ต้องเป็นผู้เห็น อย่าลืมตน หลงในการทำงาน-ปัจจัย มันเป็นกิริยาอย่างหนึ่งของธรรมชาติในการดำรงชีวิต

สวัสดี

      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13032 เมื่อ: 20 กันยายน 2557, 12:53:51 »



สวัสดีค่ะ คุณน้องจันทร์ฉาย ที่รัก

ขอบคุณมาก  ที่เธอเข้าใจ

ดร.สุริยา  ไม่แน่ว่าจะเข้าใจได้ในธรรมนี้

ยิ่ง ดร.กุศล  ไม่ต้องพูดถึง มีมานะสัญโญชน์มาก(ถือตน)

พี่สิงห์  เขียนออกมาจากจิตของตนเอง ที่เป็นผู้ดู

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13033 เมื่อ: 20 กันยายน 2557, 15:25:14 »


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

พี่สิงห์  อยู่ที่สนามบินนครศรีธรรมราช รอขึ้นเครื่องนกแอร์ กลับดอนเมือง ครับ

วันนี้นครศรีธรรมราข ฝนไม่ตก แดดแรงทั้งวัน

งานเดือนสิบที่นครศรีธรรมราชเริ่มแล้ว แต่ถามคนนครฯ ไม่มีใครทราบ อย่างที่บอกงานมันกร่อยลง ๆ เป็นการออกร้านขายของ เสียมากกว่า

ในรูป เป็นการบูชาญาติผู้ล่วงลับ ด้วยขนมลา  ขนมไข่ปลา และขนมบีซัม  จะเห็นวางขายทั่วไปในตัวเมืองนครศรีธรรมราช มีหลายขนาดให้เลือกซื้อ ชาวบ้านไม่ต้องทำขนมลา ขนมไข่ปลา และขนมบีซัม ไปหาซื้อเอาไปทำบุญ เป็นเสบียงให้ญาติผู้ล่วงลับได้ติดตัวเอาไปรับประทานกลางทาง ตามความเชื่อโบราณ ที่ช่วงสารทไทย ญาติที่เสียชีวิตจะมาเยี่ยมลูกหลาน ให้ลูกหลานกระทำกุศลให้มาก

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13034 เมื่อ: 21 กันยายน 2557, 04:40:31 »



สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

วันอาทิตย์ เป็นวันครอบครัว

อย่าลืมหากิจกรรม กระทำร่วมกัน ให้ทุกคนมีส่วนร่วม

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13035 เมื่อ: 21 กันยายน 2557, 16:02:54 »



วันนี้ ได้ไปออกกำลังกายตีกอล์ฟ เลยได้มีโอกาสไปรับใบรับรอง การตี Hole in One เพื่อที่จะได้เอาไปรับเงินประกันจาก กรุงเทพประกันภัย ที่ได้ประกันภัยอุบัติเหตุจากการเล่นกอล์ฟเอาไว้ 10,000 บาท

เงินจำนวนนี้้ เอาไปทำบุญเลี้ยงพระเพล จ่ายเครื่องปี่พาทย์ กัณเทศน์ วันที่ ๒๔ กันยายน เทศกาลเทศน์มหาชาติของวัดพระนอน เป็นเจ้าภาพกัณฑ์ทศพร กัณฑ์แรก

ส่วนทางสนามไม่มีรางวัลให้ แต่ให้เสื้อกับหมวกเป็นที่ระลึก

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13036 เมื่อ: 21 กันยายน 2557, 21:10:53 »







วันโกน เป็นวันกรรมกร ของพระ  แม่ชี อุบาสก  อุบาสิกา ที่อยู่วัดป่าสุคะโต ต้องช่วยกันพัฒนาวัด
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13037 เมื่อ: 23 กันยายน 2557, 10:28:46 »



วันนี้เป็นวันพระ  เป็นวันสารทไทย สารทเดือนสิบ

แรมสิบห้าค่าเดือน สิบ พระจันทร์มืด

ที่พระยายมราช ได้ปล่อยให้สัตว์นรก ได้กลับมาหาญาติ มาบอกให้ญาติทำความดี ประกอบไปด้วยกุศล รักษาศีล ๕ ให้มั่นคง เพื่อว่าเมื่อตายไปจะได้ไม่ต้องไปรับกรรมในนรกอเวจี

ประเพณีภาคกลาง จึงได้ทำกระยาสารท  
ภาคใต้ทำขนมลา ขนมไข่ปลา ขนมบีซัม
ให้ดวงวิญญาณสัตว๋นรก เหล่านั้น มีเสบียงในการเดินทางกลับไปรับกรรมที่นรกอเวจี

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13038 เมื่อ: 23 กันยายน 2557, 10:51:50 »



พระนางมัตทฺรีย์ จะรู้จักไหมหนอ ?

กัณหา-ชาลี  จะชอบไหมหนอ ?
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13039 เมื่อ: 23 กันยายน 2557, 10:54:36 »



ตกแต่งศาลา ให้เป็นป่าหิมพานต์

ประดับด้วยต้นกล้วย  อ้อย  มะพร้าว

และมีผลไม้ที่จะให้พระนางมัตทฺรีย์ เก็บไปถวายพระเวสสันดี กัณหา-ชาลี ได้

เทศกาลเทศน์มหาชาติ  สารทเดือนสิบ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13040 เมื่อ: 23 กันยายน 2557, 12:29:33 »





พระเทศน์กัณฑ์ คาถาพัน

สมัยที่พระพุทธองค์เสด็จกรุงกบิลพัต เพื่อโปรดพระญาติ เมื่อพระองค์เสด็จถึง พระญาติมีมานะ ไม่ต้อนรับเท่าที่ควร พระองค์จึงแสดงอภินิหารให้ฝนโบกกลพัตตกลงมาพระญาติต้องไปรวมกลุ่ม พระพุทธองค์อยู่ในอากาศ พระญาติจึงก้มกราบ แล้วพระพุทธองค์ทรงเทศน์เรื่องฝนโบกลพัตที่เคยตกสมัยที่พระพุทธองค์ ทรงเกิดเป็นพระเวชสันดร

กัณฑ์คาถาพัน คือคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องพระเวสสันดร ประกอบไปด้วยคาถา(คำสอน) หนึ่งพัน คำสอน เป็นภาษาบาลี ที่สอนพระญาติ ในชาติที่เป็นพระเวสสันดร เริ่มตั้งแต่ ทศพร จนถึง นครกัณฑ์ ที่มีฝนโบกกลพัตตก

แต่ละกันจะมีคำสอนไม่เท่ากัน อย่างกัณฑ์ทศพร ที่พี่สิงห์ เป็นเจ้าภาพ มี ๑๙ พระคาถา  ก็ต้องจุดเทียน ๑๙ เล่ม ระหว่างการเทศน์ จบเรื่องพระเวสสันดร คือ ๑๐๐๐ คาถา

วันนี้ พระมหาอรัญ  ใช้เวลาในการเทศน์ ๔ ชั่วโมง สิบนาที เป็นภาษาบาลี ที่พระพุทธองค์ทรงเล่าให้พระญาติฟัง

ส่วนพรุ่งนี้ที่พระเทศน์ เป็นการแปลเป็นภาษาไทย  ร้อยกรองใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัย

วันนี้เลยได้ปฏิบัติธรรม ติดต่อกัน ๔ ชั่วโมง จนเอาชนะนิวรณ์ ๕ และเวทนา ได้ จึงมีแต่ปีติ เป็นการฝึกจิตเอาชนะความต้องการของจิต

พรุ่งนี้ต้องนั่ง ทั้งวัน ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า จนครบ ๑๓ กัณฑ์ สงสัยสามทุ่ม

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13041 เมื่อ: 23 กันยายน 2557, 12:30:51 »



จุดเทียนประจำคาถา

พระมาลัย ซึ่งเป็นพระอรหันต์ ได้ขึ้นไปสวรรค์ชั้นดุสิต ไปเฝ้าพระโพธิสัตว์ที่จะมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าปี พ.ศ. ๕๐๐๐ ชื่อพระศรีอริยะเมตตรัย แบะถามว่า เหล่าสัตว์ควรสร้างกุศล เช่นไร จึงจะเกิดในภพที่พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลกปี พ.ศ. ๕๐๐๐ ได้

พระโพธิสัตว์ทรงตอบว่า ให้ถือศีล ๕ และฟังพระเทศน์เรื่องพระเวสสันดร ให้จบในคราวเดียว อานิสสงจะได้ไปเกิด ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าศรีอริยะเมตตรัย

ดังนั้นใครปราถนา จะไปเกิด ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าศรีอริยะเมตตรัย ก็ต้องรักษาศีล ๕ ฟังเทศน์มหาชาติให้จบในครวเดียวกัน

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13042 เมื่อ: 23 กันยายน 2557, 19:57:48 »



"สติ" หรือความรู้สึกตัว !

หลวงพ่อคำเขียน ท่านเปรียบเทียบเอาไว้ว่า "สติเปรียบได้กับลอยเท้าช้าง"

ลอยเท้าช้าง นั้น ใหญ่กว่าลอยเท้าของสัตว์ทั้งหลาย(อย่าคิดมาก)

ดังนั้น ลอยเท้าของสัตว์ทั้งหลาย จึงสามารถลงไปอยู่ในลอยเท้าช้างได้ฉันใด

สติ ก็เช่นกัน

ลอยเท้าของสัตว์ทั้งหลายนั้น เปรียบเทียบได้ เท่ากับ สภาวะธรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับจิต

ขอเพียงมีสติ สภาวะธรรมต่าง ๆ นั้น ก็ดับไปจากจิตแล้ว

กิเลสทั้งหลาย เปรียบเทียบได้กับเสือร้ายที่มีปากหกปาก

ปากของเสือร้ายทั้งหกนั้น ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

การที่จะเอาซีกรง ๕ ซี่ (ศีล ๕)
การที่จะเอาซี่กรง ๘ ซี่ (ศีล ๘)
การที่จะเอาซี่กรง ๑๐ ซี่ (ศีล ๑๐)
การที่จะเอสซี่กรง ๒๒๘ ซี่ (ศีล ๒๒๗)

ไปขังเสียร้ายหกปากนั้น ไม่สามารถจะกระทำได้เลย

แต่มีซี่กรงอยู่หนึ่งซี่ ที่สามารถจะขังเสือร้ายหกปากนั้นได้

ซี่กรง ๑ ซี่ นั้นก็คือ "สติ" นั่นเอง

พี่สิงห์  นอนอยู่สิงห์บุรี เพื่อจะได้ไปวัดพระนอนในวันพรุ่งนี้ได้ จะได้ฟังพระเทศน์มหาชาติ ของวัดพระนอนได้

พรุ่งนี้ ถวายก๋วยเตี๋ยวหมู แด่พระ-เณร และญาติโยมที่มาฟังเทศน์มหาชาติ ในเวลาเพล และเป็นเจ้าภาพปี่พาทย์บรรเลงประกอบการเทศน์มหาชาติ ด้วย

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13043 เมื่อ: 24 กันยายน 2557, 05:36:43 »



คำโบราณ "นกไม่รู้จักฟ้า  ปลาไม่รู้จักน้ำ"

นกบินอยู่ในอากาศ ตั้งแต่เล็กจนตาย จึงไม่รู้ว่ามีอากาศ เพราะความเคยชิน อากาศเลยเป็นส่วนหนึ่งของมัน จนกระทั่งมันตกลงไปในน้ำ ขึ้นไม่ได้ มันจึงรู้จักอากาศ แต่ก็อาจจัสายเกินไปมันอาจตายได้ถ้าไม่รีบขึ้นจากน้ำ

ปลาไม่รู้จักน้ำ เพราะมันเกิดในน้ำ โตในน้ำ น้ำเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของมัน มันจึงไม่รู้จักน้ำ แต่เมื่อใดน้ำแห้ง หรือมันถูกนำขึ้นมาจากน้ำ มันจึงรู้จักน้ำ แต่ก็สาย เพราะมันอาจตายได้ถ้าหาทางลงไปในน้ำไม่ได้

ฉันใด ฉันนั้น

คนไม่รู้จักความคิด ไม่รู้จักจิต เพราะอยู่กับมันมาตั้งแต่เกิด หลงกระทำตามที่มันต้องการเสียสิ้น ไม่มีโต้แย้งอะไรเลย เพราะคิดว่าเป็นตัวกูของกูนั่นเอง จนกระทั้งตาย ก็หลงคิดอยู่อย่างนั้น

แต่เมื่อใด แยกออกมาจากตัวกูของกูได้ แยกออกมาจากความคิดได้ เป็นผู้เห็น ไม่เป็นผู้เป็น ด้วยสติ เมื่อนั้นจะเห็นความคิด เห็นจิต เห็นสภาวะธรรมต่าง ๆ ที่เป็นทั้งกุศล และอกุศล หรือเห็นกิเลสต่าง ๆ ที่มาเกาะจิต เมื่อนั้น มันจะเห็นต้นเหตุที่เกิดธรรมต่าง ๆ นั้น หรือต้นเหตุแห่งกิเลสนั้น และมันสามารถถอดถอนตนเองออกมาได้เพราะเหตุที่เกิดนั้น นั่นเอง คือแนวทางออกจากทุกข์

หลวงพ่อคำเขียน ท่านจึงย้ำเสมอมาว่า

เมื่อมีทุกข์  มันก็ไม่ทุกข์
เมื่อโกรธ  มันก็ไม่โกรธ
เมื่อหลง  มันก็ไม่หลง

มันก็เป็นความจริง ทั้งสิ้น

สวัสดีตอนเช้าครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13044 เมื่อ: 24 กันยายน 2557, 16:54:53 »



วันนี้เป็นวันเทศน์มหาชาติ แต่ละกัณฑ์จะมีเจ้าภาพสองคน และพระ-เณร จะเทศน์สององค์ องค์ละครึ่งกัณฑ์

องค์แรกที่เทศน์ คือเจ้าคณะตำบลทับยา มูลเหตุแห่งการเทศน์มหาชาติเรือ่งเวสสันดรชาดก คือ การตกของฝนโบกกลพัต ที่ทำให้พระญาติลดทิฏฐิมายะลงได้

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13045 เมื่อ: 24 กันยายน 2557, 17:02:19 »



สามเณรวีระพันธ์ เทศน์เริ่มกัณฑ์ทศพร ที่พระนางผุสดี  ได้ทำบุญกับพระพุทธเจ้าวิปัสสี โดยตั้งความปราถนาจะเป็นพุทธมารดาของพระโพธิสัตว์ และพระพุทธเจ้า  

และได้ขอพรสิบประการจากท้าวสักกะเทวราช

ของติดกัณฑ์เทศน์มี ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน  แก้วน้ำ โอวัลติล ขนมเปี๊ยะกล่องใหญ่ ๑๐ กล่อง ส้มโอ-ขนมขบเคียวที่ญาติเอามาใส่ให้ เพราะไม่ได้เตรียมเท่าไร มีแต่ปัจจัยเป็นหลัก ซื้อขนมเปี๊ยะไปพันบาท ญาติ ก็เอาสตางค์นิดเดียว เขาขอมีส่วนทำบุญคืนสตางค์บางส่วนก็ถวายเณรให้เป็นค่าเล่าเรียนหมด
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13046 เมื่อ: 24 กันยายน 2557, 17:05:22 »



วงปี่พาทย์ไทย บรรเลงเพลงประกอบการเทศน์มหาชาติ

พี่สิงห์  รับเป็นเจ้าภาพ  เลยไม่ต้องไปหักจากกัณฑ์เทศน์

และบรรเลงได้ไพเราะมาก

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13047 เมื่อ: 24 กันยายน 2557, 17:09:19 »



ญาติโยม มาฟังพระเทศน์มหาชาติประมาณ ๕๐ - ๘๐ คน เพราะเป็นวันทำงาน

มีเจ้าภาพทั้งหมด ๒๖ เจ้าภาพ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13048 เมื่อ: 24 กันยายน 2557, 17:17:29 »



อาหารเพล พี่สิงห์  รับเป็นเจ้าภาพ เป็นก๋วยเตี๋ยวหมู

ทั้งพระ-เณร ฉันกันองค์ละสอง-สี่ ชาม

บะหมี่ เส้นหมี่ ก๋วยเตี๋ยวหมูแดง มีทั้งแห้งและน้ำ อร่อยกว่าร้านค้าทั่วไปเพราะใส่ถึงเครื่อง เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เทศน์ได้เร็ว เป็นที่พอใจทั้งพระ-เณร-ญาติโยม

บรรยากาศครึกครื้น  พระ-เณร โดยเฉลี่ยจะได้ปัจจัยกัณฑ์ละประมาณสอง-สามพันบาท ไม่รวมเครื่องติดกัณฑ์เทศน์ เรียกได้ว่าคนติดกัณฑ์เทศน์มากกว่าทุกปี เลยทำให้มีแต่สุขที่ได้ทำบุญเทศน์มหาชาติ  ต่างคนต่างร่วมแรวร่มใจกัน ทั้งสนุก และได้บุญ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13049 เมื่อ: 24 กันยายน 2557, 17:19:21 »





กัณฑ์ชูชก  ทางโรงเรียนชุมชนวัดพระนอนเป็นเจ้าภาพ เด็กนักเรียนมาร่วมฟังเทศน์

ปีหน้าจะให้เด็ก ๆ มานั่งฟังครบทั้ง ๑๓ กัณฑ์
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 520 521 [522] 523 524 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><