Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #13000 เมื่อ: 13 กันยายน 2557, 06:03:03 » |
|
สวัสดีค่ะ คุณน้องจันทร์ฉาย ที่รัก
ไม่ใช่ค่ะ ต้องเป็น เวทีสาธารณะ ของ ไทย Pbs ประมาณ หนึ่งชั่วโมง
สวัสดี
|
|
|
|
สมชาย17
|
|
« ตอบ #13001 เมื่อ: 13 กันยายน 2557, 07:53:27 » |
|
สวัสดีครับ พี่สิงห์. พี่เหยง พี่จันทร์ฉาย
เข้ามาอ่าน ธรรมะ ดีๆ ครับ
|
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #13003 เมื่อ: 13 กันยายน 2557, 08:16:39 » |
|
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #13004 เมื่อ: 13 กันยายน 2557, 09:02:52 » |
|
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #13005 เมื่อ: 13 กันยายน 2557, 12:51:46 » |
|
การบิณฑบาตเป็นกิจวัตรอย่างหนึ่งของภิกษุ ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติเช่นนี้ก็เพราะทรงประสงค์จะให้ภิกษุมีชีวิตด้วยอาหารของคฤหัสถ์ ดังนั้นจึงควรปฏิบัติตนให้เป็นที่ศรัทธาของญาติโยม พร้อมกันนั้นก็พึงทำตนให้เป็นคนเลี้ยงง่าย ไม่ก่อความรำคาญหรือเดือดร้อนแก่ญาติโยม การเลี้ยงชีวิตเช่นนี้เท่านั้นที่จัดว่าเป็นสัมมาอาชีวะของพระสงฆ์
การบิณฑบาตยังเป็นโอกาสที่ภิกษุสงฆ์จะได้สงเคราะห์ญาติโยม เช่น เปิดโอกาสให้ญาติโยมได้ทำบุญ ส่วนพระก็ได้ไต่ถามรับรู้ทุกข์สุขของญาติโยม รวมทั้งน้อมนำญาติโยมให้มีใจใฝ่ธรรม ชาวบ้านที่มีความทุกข์ใจ หากได้เห็นภิกษุสงฆ์ที่ตนศรัทธามาบิณฑบาตแต่เช้า ย่อมเกิดปีติปราโมทย์ หรือความอบอุ่นใจ คลายความกังวลไปได้ไม่มากก็น้อย การบิณฑบาตจึงเป็นเสมือนสะพานที่เชื่อมโยงวัดกับบ้าน พระกับโยม ธรรมกับโลกให้ใกล้ชิดกันเพื่อเกื้อกูลกันและกัน
พระไพศาล วิสาโลhttps://archive.org/details/PhraPaisalVisalo2014Salana
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #13006 เมื่อ: 14 กันยายน 2557, 06:26:01 » |
|
อยากเห็นภาพเหล่านี้ในสังคมคนเมือง เพระาความตระหนี่-ริษยา เป็นเหตุปัจจัยให้ทุกข์ ตามมา
ถ้าเยาวชนม์ไทย เป็นผู้ให้ตั้งแต่ยังเล็ก เขาจะเป็นคนที่่มีจิตใจดีงาม เป็นผู้เสียสละ มันจะเกิดขึ้นเอง เพราะได้รับการฝึกมาตั้งแต่เด็ก
น่าเสียดาย สังคมคนเมือง เด็กติดเกมส์ จะเป็นแต่ผู้ชนะ ไม่ยอมเสียสละ สังคมในอนาคต มีแต่ความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เพราะถูกฝึกมาตั้งแต่เด็กๆ นั่นเอง
สวัสดี
|
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #13008 เมื่อ: 14 กันยายน 2557, 14:47:24 » |
|
หลวงพ่อพระไพศาล วิสาโล ท่านเทศนาออกมาจากใจ อยู่ด้วยสติ ป่วยด้วยสติ ตายด้วยสติ
พระไพศาล วิสาโล ธรรมเทศนาวันปลงสรีระสังขารหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๗
วันนี้อาตมาเชื่อแน่ว่าพวกเราทั้งหลายมาคารวะสรีระหลวงพ่อคำเขียน ไม่ใช่เพราะเห็นว่าท่านเป็นพระขลัง พระศักดิ์สิทธิ์ หรือเห็นว่าท่านมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ แต่พวกเรามากราบคารวะท่านเพราะเคารพในคุณธรรมของท่าน นับถือในภูมิจิตภูมิปัญญาของท่าน หลายคนที่ได้พบหรือรู้จักหลวงพ่อคำเขียนด้วยตัวเอง ย่อมพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามีความประทับใจในความเมตตากรุณาของท่าน เมื่อได้มาพูดคุยสนทนากับท่านก็จะรู้สึกถึงความสงบเย็นที่ปรากฎออกมาทางน้ำเสียงและอากัปกริยาของท่าน
สำหรับผู้ที่ได้ใกล้ชิดกับท่านก็คงจะประจักษ์ด้วยตาตัวเองว่าหลวงพ่อเป็นผู้ที่มีความหนักแน่นมั่นคง ไม่หวั่นไหวต่อลาภสักการะ หรือต่อโลกธรรมทั้งฝ่ายบวกและฝ่ายลบ ไม่ว่าอะไรมากระทบท่านก็ไม่มีอาการขึ้นลงหรือฟูแฟบ ท่านมีความอ่อนน้อมถ่อมตนราวกับว่าไม่มีความยึดติดถือมั่นในตัวตนเลย น้อยคนนักที่เคยเห็นท่านแสดงความโกรธ แสดงความไม่พอใจ ราวกับว่าไม่มีอะไรที่จะทำให้จิตใจของท่านกระเพื่อมได้เลย และก็เชื่อแน่ว่าหลายคนได้เห็นถึงความสม่ำเสมอเป็นปกติของท่านราวกับไม่มีความทุกข์เลย จะพูดว่าท่านเป็นพระที่ไม่มีตัวตนหรือไม่มีความทุกข์เอาเลยก็ว่าได้ หลายคนแม้ไม่มีโอกาสสนทนากับท่าน หรือได้อยู่ใกล้ชิดท่าน แต่ก็มีศรัทธาในตัวท่านก็เพราะประทับใจในคำสอนของหลวงพ่อ
หลวงพ่อได้ให้ธรรมะที่สามารถเปลี่ยนจิตเปลี่ยนชีวิตของผู้คนจำนวนมากมายทั้ง ๆ ที่ไม่ได้พบท่านด้วยตัวเองเลยก็ตาม แม้ว่าหลวงพ่อไม่เคยแสดงฤทธิ์หรือบันดาลโชคให้ลาภแก่ใคร แต่สิ่งที่ท่านให้แก่พวกเรานั้นมีคุณค่ายิ่งกว่าโชคและลาภมากนัก เพราะว่าธรรมะที่ได้รับจากท่านนั้น สามารถช่วยให้เราเข้าถึงความไม่มีทุกข์หรือไกลจากความทุกข์ สิ่งนี้ต่างหากที่มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทอง ความมั่งมีหรือโลกธรรมฝ่ายบวกทั้งปวง
คำสอนของหลวงพ่อมุ่งให้เราหันมาพึ่งพาตัวเอง ไม่ใช่พึ่งพาหลวงพ่อ หรือพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ทั้งๆ ที่ในสมัยที่หลวงพ่อยังเป็นหนุ่ม ท่านก็มีความสันทัดจัดเจนในเรื่องเหล่านี้มาก ท่านเคยเป็นหมอธรรม รักษาโรคและไล่ผีด้วยเวทมนต์คาถา นั่งทางใน ทำเครื่องรางของขลัง บำบัดทุกข์ด้วยไสยศาสตร์ แต่เมื่อท่านได้มาปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อเทียน จนเข้าใจธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ท่านก็ตระหนักว่า อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หรือไสยศาสตร์นั้นไม่สามารถจะเป็นที่พึ่งของใครได้อย่างแท้จริง ท่านเล่าว่าเมื่อท่านได้มาพบธรรมหลังจากปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อเทียน เรื่องไสยศาสตร์อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ก็จืดชืดไปจากจิตใจของท่าน ในที่สุดท่านได้ละทิ้งสิ่งเหล่านี้โดยสิ้นเชิง หันมานำพาผู้คนให้รู้จักธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยอาศัยแนวทางการปฏิบัติของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ซึ่งเป็นอาจารย์ทางธรรมคนเดียวของท่านก็ว่าได้
คนเราทุกคน ล้วนแล้วแต่หนีความทุกข์ไม่พ้น เราต้องพบกับความเกิด ความเจ็บ ความตาย และความพลัดพรากสูญเสีย แต่ถึงแม้เราจะหนีภาวะดังกล่าวไม่พ้น แต่เราสามารถรักษาจิตใจไม่ให้ความทุกข์ทั้งปวงบีบคั้นได้ หลวงพ่อคำเขียนได้สอนพวกเราว่า คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทุกข์ แต่เพี่อเป็นอิสระจากความทุกข์ จนทุกข์บีบคั้นไม่ได้
คำสอนของหลวงพ่อไม่เคยพาเราออกนอกตัว ไปหลงใหลในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์หรือแสงสีนิมิตต่าง ๆ แต่ท่านสอนให้เราหันกลับมาที่ตัวเอง มารู้กายรู้ใจ เห็นความจริงของกายและใจ ทั้งนี้ด้วยการสร้างสติและความรู้สึกตัว เพราะว่าความรู้แจ้งในความจริงกายและใจโดยอาศัยสติและความรู้สึกตัวจะสามารถนำพาเราให้พ้นจากความทุกข์ได้
คนเราถ้าหากขาดความรู้สึกตัวแล้วก็หนีความทุกข์ไม่พ้น แม้แต่การทำความดี ถ้าปราศจากความรู้สึกตัว ความดีก็อาจจะกลายเป็นความชั่วหรือก่อทุกข์ให้กับเราได้ เช่นถ้าเราให้ทานโดยไม่มีความรู้สึกตัว การให้ทานนั้นอาจจะเป็นการต่อเติมเสริมแต่งกิเลสของเราให้มากขึ้น ทำให้เป็นทุกข์เพราะการให้ทานนั้น เช่นทุกข์เพราะว่าทำบุญน้อยเกินไป ทุกข์เมื่อเห็นคนอื่นบริจาคเงินมากกว่าเรา หรือว่าทุกข์เพราะมีคนมาทำบุญตัดหน้าเรา อยากจะทำบุญแต่แถวยาวเหลือเกินก็รู้สึกหงุดหงิด อันนี้เรียกว่าไม่มีความรู้สึกตัว ก็ทำให้การทำบุญกลายเป็นการสั่งสมอกุศลจิตในจิตใจ
การรักษาศีลก็เช่นเดียวกัน ถ้าปราศจากความรู้สึกตัวแล้วก็อาจจะเกิดความยึดมั่นถือมั่น หลงตัวว่าเป็นผู้เคร่งในศีลและดูถูกคนอื่นที่มีศีลน้อยกว่า ความรู้สึกตัวยังเป็นสิ่งสำคัญในการเจริญภาวนา หรือการบำเพ็ญทางจิต เพราะเมื่อใดที่มีความรู้สึกตัว มีสติอยู่กับตัว ก็จะเห็นกายและใจแต่ละขณะตามความเป็นจริง และจะพบว่าแท้จริงแล้วความทุกข์ใจของคนเราเกิดจากการหลงหลุดเข้าไปในความคิด ในอารมณ์ ในความรู้สึก
หลวงพ่อคำเขียนสอนให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญของสติ ใช้สติประหนึ่งตาในที่ทำให้เรารู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดที่ปรุงแต่งขึ้นมาในจิตใจ คนเราส่วนใหญ่ทุกข์เพราะความคิด หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ทุกข์เพราะไม่เห็นความคิด ทุกข์เพราะไม่รู้ทันความคิด ปล่อยให้ความคิดที่ปรุงแต่งขึ้นมาด้วยความหลง ด้วยความไม่รู้ตัว นำพาความทุกข์มาย่ำยีบีฑาจิตใจของเรา เราทุกข์ทุกครั้งที่เผลอนึกไปถึงเหตุร้ายในอดีต หรือกังวลกับเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นแต่ปรุงแต่งไปในทางเลวร้าย หรือทุกข์เพราะคิดฟุ้งปรุงแต่งด้วยอำนาจของความโลภ ความโกรธ และความหลง
หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อยี่สิบปีก่อน เคยมีพระหนุ่มมาปฏิบัติกับท่าน พี่ชายเป็นคนพามา พระหนุ่มท่านนั้นสีหน้าท่าทางไม่มีความสุขเลยเพราะไม่ได้มีเจตนาจะบวชแต่พี่ชายขอให้บวช เมื่อมาอยู่กับท่านหลวงพ่อก็ให้ฝึกปฏิบัติด้วยการเดินจงกรมและสร้างจังหวะ พระหนุ่มรูปนั้นอยู่ได้เพียงแค่วันสองวัน ก็มาขอสึกกับหลวงพ่อ ให้เหตุผลว่าเขาไม่ได้มาบวชเพื่อปฏิบัติ แต่มาบวชเพราะพี่ชายขอร้อง ตอนนี้บวชแล้วก็อยากสึก แต่หลวงพ่อไม่สึกให้ บอกให้เขาไปเดินจงกรมต่อ เขาหายไปสักพัก แล้วก็กลับมาขอสึกอีก หลวงพ่อก็ปฏิเสธ เขาไม่พอใจ หายไปสักพักแล้วกลับมาอีก รบเร้าดึงดันว่าจะสึกให้ได้ หลวงพ่อจึงถามว่า “อะไรพาให้คุณมาหาผม” เขาคิดสักพักแล้วก็ตอบว่า “ความคิดครับ” หลวงพ่อก็เลยถามเขาว่า“ มันคิดแล้วต้องทำตามความคิดทุกอย่างหรือ ถ้าคุณทำตามความคิดทุกอย่าง ไม่แย่หรือ” ว่าแล้วหลวงพ่อก็ให้เขากลับไปปฏิบัติต่อ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พอเขาเห็นหลวงพ่อเดินมา ก็ตรงเข้ามาหาหลวงพ่อ แต่แทนที่จะขอสึกกลับกราบหลวงพ่อด้วยความเคารพ แล้วก็บอกว่าขอบคุณหลวงพ่อที่ทักท้วงเขาไม่ให้สึก เพราะถ้าเขาสึกไปตั้งแต่เมื่อวาน ก็จะต้องฆ่าคนแน่ เพราะว่าสองวันที่ผ่านมาเขาคิดถึงการวางแผนฆ่าคนสองคน เข้าใจว่าคงจะหมายถึงภรรยาและชู้ เขาคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะหาปืนจากไหน และจะฆ่าอย่างไร ฆ่าเสร็จแล้วจะหลบหนีอย่างไรไม่ให้ตำรวจจับได้ แต่เมื่อหลวงพ่อทักท้วงเขาว่าอย่าไปเชื่อความคิด ทำให้เขาได้สติขึ้นมา ไม่ทำตามความคิดนั้น สุดท้ายก็เลยไม่สึกและบวชต่ออีกหลายปีจนกระทั่งมรณภาพในผ้าเหลือง
หลวงพ่อได้ชี้แล้วชี้เล่าว่าให้เราหมั่นมีสติ รู้ทันความคิด เห็นความคิด เห็นอารมณ์ อย่าเข้าไป “เป็น” ถ้าเราเข้าไปเป็นเมื่อไรความทุกข์ก็จะครอบงำจิตใจเราได้ง่าย หลวงพ่อสอนให้เรารู้เท่าทันความคิดด้วยใจที่เป็นกลาง ดังท่านได้พูดอยู่เสมอว่าให้ “รู้ซื่อๆ” รู้ซื่อๆ ก็คือ รู้เฉยๆ โดยไม่ผลักไส โดยไม่ใฝ่หาหรือยึดติดหลงเพลิน การรู้ซื่อๆ ทำให้เห็นกายและใจตามความเป็นจริง แล้วก็จะเห็นจนทะลุทะลวงมายาที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา โดยเฉพาะมายาภาพเกี่ยวกับตัวตน ที่ทำให้เราหลงคิดว่ามีตัวมีตน แต่แท้จริงแล้ว มันไม่มีตัวเรา มันมีแต่รูปกับนาม มีแต่กายกับใจ แต่เป็นเพราะความไม่รู้ตัว เป็นเพราะความหลง จึงปรุงแต่งตัวตนขึ้นมาบดบังความจริงเกี่ยวกับกายและใจ หากว่าเรามีสติและมองสิ่งต่างๆ ด้วยใจที่เป็นกลาง หรือรู้ซื่อๆ ก็จะเห็นความจริงเป็นลำดับ ไม่ใช่เพียงแค่กายใจ รูปนาม แต่ยังเห็นความเกิดดับของนามรูป เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มองทะลุสมมติจนเห็นถึงปรมัตถ์คือความจริงขั้นสูงสุด ซึ่งจะทำให้ปล่อยวางจากความยึดมั่นในตัวตนได้ ตรงนี้เองเป็นหนทางสู่ความพ้นทุกข์ ทำให้จิตเป็นอิสระ จนกระทั่งอยู่ในภาวะที่หลวงพ่อชอบใช้คำว่า“ไม่เป็นอะไร กับอะไร” ก็คือไม่สำคัญมั่นหมายว่าฉันเป็นนั่นเป็นนี่ เพราะความสำคัญมั่นหมายดังกล่าวเกิดจากความยึดติดถือมั่นในตัวตน เป็นความยึดติดเพราะหลงว่ามีตัวกูของกู เราจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าหากว่าไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นนั้น ๆ หรือหลงคิดว่านั่นคือตัวกู จะไม่มีทุกข์เกิดขึ้นเลย แต่เมื่อไรก็ตามที่เราสำคัญมั่นหมายว่า เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก เป็นคนไทย เป็นพระ เป็นนักปฏิบัติ เป็นคนเก่ง เป็นคนไม่เก่ง ความทุกข์ก็จะเกิดขึ้นได้ เพราะความสำคัญมั่นหมายที่ว่านั้นเจือด้วยกิเลส และถูกครอบงำด้วยอุปาทาน
สมัยหนึ่ง เมื่อครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนมชีพอยู่ มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อโทณพราหมณ์ ได้เห็นพระพุทธเจ้าเดินอย่างสง่า สงบสำรวม มีราศี ก็มีความประทับใจ จึงถามพระองค์ว่า ท่านเป็นเทวดาใช่ไหม พระพุทธเจ้าปฏิเสธ เขาก็เลยถามว่าท่านเป็นคนธรรพ์ใช่ไหม พระองค์ก็ปฏิเสธเช่นเดียวกัน เขาถามต่อไปว่าท่านเป็นยักษ์ใช่ไหม พระองค์ก็ปฏิเสธอีก สุดท้ายโทณพราหมณ์ถามพระองค์ว่า ท่านเป็นมนุษย์ใช่ไหม พระองค์ก็ปฏิเสธอีก โทณพราหมณ์งุนงงว่าตกลงพระองค์เป็นใคร พระองค์ก็อธิบายว่า “อาสวะใด ๆ ที่จะทำให้เราเป็นเทพเจ้า เป็นคนธรรพ์ เป็นยักษ์ เป็นมนุษย์ อาสวะเหล่านั้นเราละได้แล้ว ถอนรากเสียแล้วจนหมดสิ้น ไม่มีทางเกิดขึ้นได้อีกต่อไป” แล้วพระองค์อธิบายต่อไปว่า “ดอกบัวเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ แต่ตั้งอยู่พ้นน้ำไม่ถูกน้ำฉาบติด ฉันใด เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน แม้เกิดในโลก เติบโตในโลก แต่เป็นอยู่เหนือโลกและไม่ติดในโลก” จากนั้นพระองค์ได้ตรัสกับโทณพราหมณ์ว่า “นี่แน่ะ พราหมณ์ จงถือว่าเราเป็น “พุทธะ” เถิด” คือถ้าจะเรียกพระองค์ ก็เรียกว่า พุทธะเถิด แต่พระองค์ไม่ได้สำคัญมั่นหมายว่าเป็นพุทธะตามคำเรียกของเขา
กล่าวอีกนัยหนึ่ง พระพุทธองค์ก็ไม่เป็นอะไรกับอะไรเช่นเดียวกัน ไม่เป็นทั้งเทวดา ไม่เป็นทั้งยักษ์ ไม่เป็นทั้งคนธรรพ์ ไม่เป็นทั้งมนุษย์ เพราะนั่นเป็นแค่สมมติ ถ้าไปยึดถือมั่นเมื่อไรว่าเราเป็นสิ่งเหล่านั้น เราก็จะเป็นทุกข์ เพราะเป็นอะไรก็ทุกข์ทั้งนั้นหากเป็นด้วยความยึดติดถือมั่น หรือเพราะยึดถือด้วยอุปาทาน
หลวงพ่ออยู่กับความไม่เป็นอะไรกับอะไร ท่านจึงอยู่อย่างสงบ เย็น นิ่ง มั่นคง หนักแน่น ไม่หวั่นไหวต่อความผันผวนแปรปรวนใดๆ หลวงพ่อเป็นแบบอย่างให้แก่ศิษยานุศิษย์ ท่านไม่เพียงสอนธรรมด้วยภาษาที่สามัญ เข้าใจง่ายแต่มีความลึกซึ้งเท่านั้น หากท่านยังทำให้ดู อยู่ให้เห็น และเย็นให้เราสัมผัสได้ กล่าวได้ว่าหลวงพ่อคำเขียนอยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยความรู้สึกตัวตลอด ไม่ว่าจะเป็นเวลาทำกิจการงานหรือเวลาอยู่ในอิริยาบถปกติ ท่านแสดงให้เห็นถึงความมีสติความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าในยามปกติหรือเมื่อเจอการกระทบกระแทก เจอการใส่ร้ายป้ายสี เจออุปสรรคขัดขวาง ท่านก็ยังสงบนิ่ง มั่นคง ทำให้อาตมาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงข้อความตอนหนึ่งในมงคลสูตร ที่ว่า “จิตของผู้ใด โลกธรรมทั้งหลายถูกต้องแล้ว ไม่หวั่นไหว ไม่เศร้าโศก ไร้ธุลีกิเลส เป็นจิตเกษมศานต์ ข้อนั้นเป็นมงคลอันสูงสุด” ในยามปกติท่านสงบนิ่ง ในยามได้รับคำสรรเสริญท่านไม่มีอาการฟู ในยามถูกติฉินนินทาท่านไม่มีอาการแฟบ อย่างน้อยก็เท่าที่ได้เห็นจากการที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับท่าน
ใช่แต่เท่านั้น เวลาท่านล้มป่วย อาพาธ ท่านก็แสดงให้เราเห็นว่าความป่วยนั้นเกิดขึ้นแต่กับกายเท่านั้น ส่วนใจไม่ได้ป่วยด้วย ตอนที่ท่านป่วยหนักครั้งแรกอยู่ในห้องไอซียู มีลูกศิษย์หลายคนมายืนดูท่านผ่านหน้าต่างกระจก แต่ละคนมีสีหน้าเศร้าโศกเสียใจที่เห็นหลวงพ่อนอนอยู่บนเตียง ท่านชี้ไปที่คนเหล่านั้นแล้วบอกพระที่ดูแลท่านว่า นั่นคนป่วยทั้งนั้นเลย แต่หลวงพ่อไม่ได้ป่วยด้วย และเมื่อท่านอาพาธครั้งสุดท้าย ท่านก็สามารถอยู่กับความเจ็บป่วยได้ โดยไม่เคยแสดงอาการหงุดหงิด ขุ่นเคืองหรือหวั่นไหว อยู่กับทุกขเวทนาได้โดยใจไม่ทุกข์ และพร้อมที่จะเผชิญกับความตายได้ตลอดเวลา จนกระทั่งพระที่ดูแลท่านบอกว่า การดูแลหลวงพ่อนั้นสบายอย่างหนึ่งก็คือไม่ต้องดูแลจิตใจท่านเลย ปกติแล้วในการดูแลผู้ป่วย การดูแลกายอย่างเดียวย่อมไม่พอ ต้องดูแลใจด้วย แต่กับหลวงพ่อ ดูแลแค่กายก็เพียงพอแล้ว ส่วนจิตใจไม่ต้องดูแลเลย ตรงกันข้ามท่านต่างหากที่คอยเป็นห่วงผู้ที่อุปัฏฐากท่าน ดังท่านเขียนบันทึกว่า “ไม่กลัวตาย แต่คนอื่นลำบากกับเรา เวลานอนก็ไม่ได้นอน”
หลวงพ่อรู้ดีว่าสังขารของท่านอยู่ในสภาพใด ดังเขียนบอกพวกเราว่า “ธาตุขันธ์เหมือนล้อเกวียนชำรุดมาก ซ่อมไม่ขึ้น ก็อยู่ได้ด้วยความไม่เป็นอะไรกับอะไร” บางครั้งท่านก็พูดว่าตอนนี้ท่าน “มีธรรมนำพา” เพราะว่าธาตุขันธุ์พึ่งอะไรแทบไม่ได้แล้ว ได้แต่อาศัยธรรมนำพา ท่านยังบอกลูกศิษย์อีกว่า“เวลานี้เหลือแต่ธรรมที่หลวงพ่อเทียนได้สั่งสอน อาการดับไม่เหลือของรูปนาม สี่สิบกว่าปี มันก็คือวันนี้ไม่เปลี่ยนแปลง เพื่อนไม่ต้องเป็นห่วง”
เมื่อถึงเวลาที่ท่านต้องละสังขาร สิ้นลม ท่านก็แสดงให้ศิษยานุศิษย์ได้เห็นว่าท่านพร้อมที่จะจากไปโดยไม่มีความห่วงหาอาลัยหรือมีความวิตกกังวล ตรงกันข้ามท่านกลับมีความรู้สึกตัวตลอด ในชั่วโมงสุดท้ายของการอาพาธ ก่อนที่จะละสังขาร ท่านมีปัญหาเรื่องการหายใจมาก เพราะว่าก้อนเนื้อที่คอของท่านขยายจนเกือบจะอุดหลอดลม และอุดท่อช่วยหายใจ ช่วงที่การหายใจกำลังติดขัดและลูกศิษย์กำลังเยียวยาเพื่อที่จะลดอาการบวมของก้อนเนื้อนั้น ท่านรู้แล้วว่าท่านเห็นจะไม่รอดแน่ แต่ท่านไม่ตื่นตระหนก ท่านขอไปเข้าห้องน้ำ ไปถ่ายอุจจาระ เสร็จแล้วก็ล้างหน้าล้างมือให้สะอาด แล้วมานอนบนเตียงโดยไม่มีใครพยุงท่านเลย ระหว่างที่หายใจติดขัด ลูกศิษย์ก็พยายามช่วยกันคนละไม้คนละมือรอบตัวท่านสามสี่คน ท่านก็ขอกระดาษเพื่อเขียนข้อความสั้นๆ ว่า“พวกเรา ขอให้หลวงพ่อ ตาย” ที่ท่านเขียนเช่นนี้คงเพราะท่านไม่อยากให้ลูกศิษย์เหนื่อยเพราะท่านอีกต่อไปแล้ว จึงเขียนบอกลูกศิษย์ผู้ดูแลว่า หลวงพ่อพร้อมจะไปแล้ว อย่าเหนื่อยอีกเลย อย่าขวนขวายอีกเลย ท่านรู้ตัวว่านี่คือวาระสุดท้ายของท่าน เมื่อยื่นกระดาษให้ลูกศิษย์ท่านก็พนมมือเหมือนกับขอบคุณลูกศิษย์ที่ดูแลท่าน และเป็นการอำลาไปด้วยในตัว สักพักท่านก็หลับตา ไม่นานหลังจากนั้นลมหายใจก็สิ้นเสียง แล้วสัญญาณชีพทั้งหมดของท่านก็หายไปในราวตีห้าของวันที่ ๒๓ สิงหาคม คือเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว
หลวงพ่อแสดงให้เราเห็นอย่างแจ่มชัดว่าท่านอยู่ด้วยสติ ป่วยด้วยสติ และเมื่อถึงวาระสุดท้ายก็ตายด้วยสติ ด้วยความรู้ตัว นี่คือคำสอนสำคัญที่ท่านมอบให้กับเราเป็นครั้งสุดท้ายว่า แม้ไม่มีใครหนีพ้นความตาย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทุกข์ เพราะเราสามารถตายได้ด้วยใจสงบ ด้วยสติและความรู้สึกตัวได้ เราไม่จำเป็นต้องทุกข์เพราะความตาย สามารถจะยกจิตเหนือความตาย จนกระทั่งพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตายได้ ดังที่พระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้สอนและได้ทำเป็นแบบอย่าง แต่สำหรับพวกเรา นั่นเป็นคำพูดที่จารึกไว้ในพระไตรปิฎกและเรื่องเล่า แต่เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหคม ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดได้เห็นด้วยตาว่า การจากไปอย่างสงบ มีสติและความรู้สึกตัวนั้น เป็นไปได้ อันนี้เป็นทั้งคำสอนและการบ้านที่ลูกศิษย์ควรน้อมเข้ามาพิจารณาเพื่อทำให้ได้อย่างท่านเมื่อวันนั้นมาถึง
เราทุกคนต้องตาย แต่เราปรารถนาที่จะตายอย่างไร เราอยากจะตายด้วยความทุรนทุราย กระสับกระส่าย หรือตายด้วยความสงบ เราอยากจะตายด้วยความหลงลืมสติ หรือตายด้วยการมีสติจนวินาทีสุดท้าย ถ้าหากว่าเราต้องการตายอย่างมีสติ ไม่ทุรนทุราย เราก็ควรใส่ใจกับการเตรียมตัว ด้วยการใช้ชีวิตอย่างมีสติ ทำกิจการงานด้วยความรู้สึกตัว และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องตายเราก็จะพร้อมจะตายโดยไม่มีความวิตกใด ๆ เมื่อถึงตอนนั้นอาจจะพร้อมกระทั่งว่าไม่ต้องเตรียมใจแล้ว ดูแลแค่กายก็พอ อย่างหลวงพ่อคำเขียน ในวาระสุดท้ายของท่าน ท่านไม่ต้องเตรียมใจอะไรเลย ท่านเพียงแต่รักษากายให้สะอาดเป็นกิจสุดท้ายของท่าน เพราะเรื่องการรักษาใจหรือการฝึกใจ ท่านทำนานแล้ว แล้วก็จบไปนานแล้ว พวกเราต่างหากที่อาจจะยังไม่ได้ทำเลยหรือทำเพียงเล็กน้อย ดังนั้นจึงควรเพียรพยายามนำคำสอนของท่านไปปฏิบัติ รวมทั้งนำเอาปฏิปทาของท่านเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต และเป็นแบบอย่างในการเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับความตายด้วยใจไม่ทุกข์
หลายคนอาจจะบอกว่า ฉันไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม แค่ทำมาหากินก็เหนื่อยแล้ว เคยมีคนพูดกับหลวงพ่อทำนองนี้ หลวงพ่อจึงถามกลับไปว่า แล้วทำไมมีเวลาทุกข์ ทำไมมีเวลาโกรธ เราเคยถามตัวเองไหมว่าในเมื่อเราอ้างว่าไม่มีเวลาปฏิบัติ ไม่มีเวลาเจริญสติ แต่ทำไมเรามีเวลาทุกข์ เรามีเวลาโกรธ วันหนึ่ง ๆ เราเสียเวลาโกรธไปกี่ชั่วโมง แต่ละวันเราเสียเวลาทุกข์ไปกี่ชั่วโมง ทำไมเรามีเวลาโกรธ เรามีเวลาทุกข์ แต่ทำไมเราจึงบอกว่าไม่มีเวลาปฏิบัติ
หลายคนมาบอกกับอาตมาหลังจากที่หลวงพ่อได้ละสังขารไปว่าเสียดายมาไม่ทัน คือมากราบหลวงพ่อไม่ทันตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ อันที่จริงถึงจะมากราบหลวงพ่อไม่ทันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่เราควรจะตระหนักก็คือ ยังมีหลายอย่างที่เราสามารถทำทันได้ หนึ่งในสิ่งสำคัญที่เรายังมีเวลาทำทัน ก็คือ ปฏิบัติตามคำสอนของท่าน ด้วยการฝึกตนให้เป็นผู้มีสติ ตื่นรู้ ไม่เพียงแค่ทำความดีเท่านั้น แต่พากเพียรปฏิบัติเพื่อเข้าถึงสัจธรรมความจริงของโลก เพื่อปล่อยวางและให้จิตใจเป็นอิสระจากความทุกข์ แม้จะอยู่ในโลกแต่ใจนั้นอยู่เหนือโลกได้ ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเปรียบเทียบกับดอกบัวว่าอยู่เหนือน้ำ นี่คือสิ่งที่เราควรจะใส่ใจ
แทนที่เราจะเสียเวลาไปกับความทุกข์ เสียเวลาไปกับความโกรธ เสียเวลาไปกับการคร่ำครวญโดยเฉพาะการคร่ำครวญเสียใจที่หลวงพ่อคำเขียนได้จากไป เราควรจะตระหนักว่าแท้จริงแล้วหลวงพ่อจากไปแต่ตัว แต่ท่านไม่ได้เอาสติไปกับท่านด้วย ท่านไม่ได้เอาความรู้สึกตัวไปด้วย คำสอนของท่านยังอยู่กับเรา อันนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก
สมัยที่พระพุทธเจ้าใกล้จะปรินิพพาน วันหนึ่งสามเณรจุนทะ ซึ่งเป็นน้องชายของพระสารีบุตรเข้ามาแจ้งข่าวกับคณะสงฆ์ว่าพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว พระอานนท์มีความเศร้าเสียใจเมื่อรับทราบข่าวนี้ พระพุทธเจ้าจึงถามพระอานนท์ว่า ““ดูก่อนอานนท์ สารีบุตรพาเอาศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ ไปด้วยหรือ” พระอานนท์ก็ตอบว่าไม่ได้เอาไปเลย พระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็เลยพูดให้สติกับพระอานนท์ว่า“ สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว ย่อมมีความทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย มิใช่ฐานะที่จะมีได้” หลังจากนั้นพระองค์ก็ตรัสว่า “เพราะฉะนั้น เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง”
เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่เศร้าโศกเสียใจเพราะหลวงพ่อได้ล่วงลับไป พึงตระหนักว่าท่านจากไปแต่ตัว แต่ว่าศีล สมาธิ ปัญญา รวมทั้งคำสอนของท่านก็ยังอยู่ สติ ความรู้สึกตัว หนทางสู่ความไม่ทุกข์ และ ความหลุดพ้นจากความทุกข์ ก็ยังอยู่ ยังรอการเข้าถึงจากเรา ไม่ได้หายไปไหน นี่คือสิ่งที่เราพึงตระหนัก ดังนั้นจึงพึงทำความเพียรเพื่อให้ภาวะดังกล่าวปรากฎแก่เรา จนสามารถมีตนเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง ถ้าหากว่าเราทำเช่นนั้นได้เราก็จะสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าเราเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อคำเขียน เป็นบุตรของพระพุทธองค์อย่างสมภาคภูมิ
ฉะนั้นเมื่อเราได้มาคารวะสรีระของหลวงพ่อคำเขียนในวันนี้ ขอให้เราพิจารณาว่าในความสูญเสียที่บังเกิดกับเราอันเป็นศิษย์ของท่าน เราพึงน้อมรับสัจธรรมที่เกิดกับท่านมาเป็นเครื่องเตือนใจในการเจริญอัปปมาทธรรมคือความไม่ประมาทในชีวิต เพื่อเร่งทำความเพียรในขณะที่ยังมีเวลา เริ่มต้นด้วยการมีสติ ความรู้สึกตัว ไม่ใช่เพียงเพื่อทำใจให้สงบเท่านั้น แต่เพื่อทำใจให้สว่าง มีปัญญาเห็นความทุกข์ของชีวิต ของกายและใจ ของรูปและนาม เห็นความจริงของพระไตรลักษณ์เพื่อที่เราจะได้ไม่หลงติดอยู่ในสิ่งทั้งปวงอันเป็นทุกข์ และทำให้เกิดทุกข์
อาตมาได้กล่าวพอสมควรแก่เวลาแล้ว ท้ายที่สุดนี้จึงขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย อำนวยอวยผลให้ทุกท่านได้เจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ เพื่อเป็นพละปัจจัยในการทำความดีให้ถึงพร้อมทั้งด้วยทาน ด้วยศีล ด้วยภาวนา ขอให้ทุกท่านถึงพร้อมด้วยความเพียร เพื่อให้มีสติและความรู้สึกตัวอันจะนำพาไปสู่ปัญญา เห็นความจริงของชีวิต จนจิตสว่าง เห็นทางพ้นทุกข์ เข้าถึงสุขเกษมศานต์ มีพระนิพพานเป็นที่หมายด้วยกันทุกคนเทอญ
ทำให้ดู อยู่ให้เห็น และเย็นให้เราสัมผัสได้
คำว่าเย็นในที่นี้ คือความใจเย็น หรือวางเฉย หรืออุเบกขา ในเวทนาที่เกิดกับท่านได้แม้กระทั่งความตายขณะที่มาเยือน
|
|
|
|
|
|
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์
รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692
|
|
« ตอบ #13011 เมื่อ: 17 กันยายน 2557, 00:37:57 » |
|
สวัสดีค่ะพี่สิงห์ที่เคารพ ขอบคุณค่ะ สำหรับโพสต์ธรรมะให้อ่านเสมอ
|
ติ๋ม จันทร์ฉาย
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #13013 เมื่อ: 17 กันยายน 2557, 10:46:40 » |
|
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน
วันนี้วัันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๐ พี่สิงห์ ทำบุญอยู่วัดพระนอน
วันพระหน้าก็สารทเดือนสิบ มีเทศน์มหาชาติ พี่สิงห์ เป็นเจ้าภาพเทศน์มหาชาติกัณฑ์ทศพร
คงไปทำบุญ อยู่วัดพระนอนสองวัน และเป็นเจ้าภาพถวายอาหารเพลแด่ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกาที่อยู่วัด เป็นก๋วยเตี๋ยวหมู เณรชอบ
อีกสามวันพระก็ครบตามที่ตั้งใจเอาไว้ อยู่วัดทุกวันพระตลอดพรรษา นี้
จิตไม่ลำบาก แต่การขับรถทางไกล แย่ลง ต้องเตือนตนเองตลอดเวลา มีสติ แวะปั้มทุกหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่าช้า คือต้องแวะปั้มสองครั้ง
สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #13014 เมื่อ: 17 กันยายน 2557, 20:45:47 » |
|
เย็นนี้ได้แวะไปฟังบรรยายธรรมของหลวงพ่อพระไพศาล วิสาโล
การทำบุญครั้งสุดท้าย ด้วยร่างกาย
เลยได้รับทราบว่า ประเทศไทยนั้น มีการบริจาคร่างกายให้แร้งกิน เป็นอาหาร เป็นความประสงค์ของผู้ตายที่ได้สั่งเอาไว้ ก่อนการแล่เนื้อจะมีพีธีกรรม มีการสวดทำพิธีขณะแล่ศพ ให้แร้ง เสร็จแล้วก็เผาแต่กระดูก เก็บอัฏฐิ ดีกว่าเผาทั้งร่างเพราะไม่ก่อประโยชน์ มายกเลิก หลังจาก พ.ศ. 2475 นี่เอง จะเป็นวัดนอกกำแพงพระนคร เช่นวัดสระเกษ จึงเป็นที่มาของแร้งวัดสระเกษ ที่จะมาล้อมวงครึ่งวงกลมรอกินเนื้อศพ ไม่แย่งแบบหมา เป็นระเบียบ
ทั้งหมดเป็นบัญทึกของฑูตอังกฤษประจำสยามประเทศ แต่คนไทยเห็นเป็นเรื่องธรรมดา จึงไม่มีการบันทึก
ในภาพเป็นแร้งที่ฑิเบธ ที่เขาจะไม่เผา หรือฝังศพ แต่จะหามเอาไปให้แร้งกินเป็นอาหาร
สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #13015 เมื่อ: 18 กันยายน 2557, 07:46:07 » |
|
สวัสดีค่ะ คุณน้องจันทร์ฉาย ที่รัก
ขอบคุณมาก
บางทีอยากเขียนหลาย ๆ เรื่อง แต่เมื่อเป็นผู้ดู ก็จะบอกว่า เรามันฟุ้งไปหรือเปล่าถึงอยากเขียน ไปเป็นผู้เป็น ก็จะเอาชนะจิตด้วยการ อุเบกขา ดูความหวั่นไหวของมัน ดูความอยากของมัน ก็เลยไม่เขียน
ชีวิตของเราที่ยังอยู่ในสังคม ในเบื้องต้น ถ้ามีอารมณ์เวทนา หรือเสวยเวทนา เช่น จะพอใจหรือไม่พอใจ เราต้องเป็นผู้เห็น อย่าไปเป็นผู้เป็น ขอให้พิจารณาอย่างนี้ให้มาก ๆ เราก็เป็นผู้ดูได้ ไม่หลงเข้าไปในความคิด ยิ่งฝึกสติเอาไว้มาก ๆ มันตื่นตัวของมันอยู่แล้ว
ยกเว้นเพื่อการดำรงชีวิตในปัจจัย ๔ การทำงาน การติดต่อผู้คนเราก็ต้องเป็นผู้เป็น คือหลงในการคิด แต่ไม่ได้หลงในอารมณ์ที่่เกิดขึ้น สิ่งที่ต้องระวังในการปฏิบัติธรรม คืออย่าหลงไปเป็นผู้เป็น ในอารมณ์ต่าง ซึ่งเป็นปรมัตถ์ธรรม เป็นเพียงผู้ดู
หลงคิดในการทำงาน-ปัจจัย ๔ กับ หลงคิดในอารมณ์มันต่างกัน หลงคิดในอารมณ์ นำทุกข์มาให้ต้องเป็นผู้เห็น อย่าลืมตน หลงในการทำงาน-ปัจจัย มันเป็นกิริยาอย่างหนึ่งของธรรมชาติในการดำรงชีวิต
สวัสดี
|
|
|
|
|
|
|
|
เหยง 16
|
|
« ตอบ #13020 เมื่อ: 18 กันยายน 2557, 16:14:28 » |
|
พี่สิงห์
บรรยายได้ถูกต้องครับ เด็กที่มีจิตใจใฝ่ในธรรม โตไปไม่โลบ ไม่เกเร รู้จักให้
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #13021 เมื่อ: 19 กันยายน 2557, 07:56:03 » |
|
นิทานเซนเรื่อง “คุณธรรมเหนือการแพ้ชนะ” มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อว่าอากิก รู้สึกเบื่อหน่ายในความไร้สาระของชีวิตตนเองอย่างมาก จึงเดินทางไปที่วัดเซนแห่งหนึ่ง ครั้นพบอาจารย์เซนผู้เป็นเจ้าอาวาสและกล่าวว่า
“ผมรู้สึกเบื่อหน่ายต่อชีวิต จึงปรารถนาจะแสวงหาการรู้แจ้ง เพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทางจิตใจนี้ แต่ผมไร้ความสามารถที่จะปฏิบัติสิ่งใดติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ผมไม่อาจใช้เวลานั่งสมาธิได้นานเป็นปีๆ หรืออดทนจากกิเลสเย้ายวนต่างๆ ผมคงอาจกลับไปเลวอย่างเก่าได้อีก คนอย่างผมนี้จะพอมีหนทางสั้นๆ เพื่อเข้าถึงธรรมะได้ไหมครับ”
อาจารย์เซนตอบว่า “มีสิ ถ้าเจ้าตั้งใจจริง จงบอกข้าหน่อยว่า เจ้าศึกษาค้นคว้าอะไรมาบ้าง เจ้าได้ตั้งสมาธิและชอบสิ่งใดมากที่สุดในชีวิตของเจ้า”
อากิกตอบว่า “ผมไม่ได้ศึกษาหรือตั้งสมาธิเรื่องใดหรอกครับ ครอบครัวของผมร่ำรวย ผมจึงไม่ต้องทำงาน ผมคิดว่า สิ่งที่ผมสนใจและชอบมากที่สุดก็คือ หมากรุก ผมใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการเล่นหมากรุก เท่านั้นครับ”
อาจารย์เซน นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสั่งลูกศิษย์ว่า “จงไปตามตัวพระฮุยมาหาข้าที่นี่ บอกให้นำเอากระดานหมากรุก และตัวหมากรุกมาด้วย” สักครู่หนึ่งพระฮุยก็เดินถือกระดานหมากรุกมาวางลง อาจารย์เซนจึงจัดวางตัวหมากรุก และบอกให้ลูกศิษย์หยิบดาบมาให้ และชูดาบให้พระฮุยและอากิกดู และพูดขึ้นว่า
“พระฮุยท่านนี้เคยได้ให้คำมั่นสัญญาว่า จะเชื่อฟังข้าในฐานะที่เป็นอาจารย์ บัดนี้ ข้าขอให้ท่านพิสูจน์ตัวตามคำสัญญา ท่านจงเล่นหมากรุกกับชายหนุ่มคนนี้ ถ้าท่านเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ข้าจะตัดศีรษะของท่านด้วยดาบเล่มนี้ แต่ข้าสัญญากับท่านว่า ท่านจะได้ไปเกิดใหม่ในสรวงสวรรค์ แต่ถ้าท่านเป็นฝ่ายชนะ ข้าก็จะตัดศีรษะของชายหนุ่มคนนี้เช่นกัน เพราะชายหนุ่มผู้นี้พยายามอยู่อย่างเดียวคือการเล่นหมากรุกเท่านั้น ถ้าเขาเล่นแพ้ เขาก็ควรสูญเสียศีรษะของเขาด้วย”
พระฮุยกับอากิกมองหน้าอาจารย์เซน และเห็นว่า ท่านมีทีท่าเอาจริงในคำพูด......ถ้าใครเป็นฝ่ายแพ้ คนนั้นจะต้องถูกตัดศีรษะด้วยดาบ พระฮุยกับอากิกเริ่มต้นเล่นหมากรุกแข่งขันกัน
เมื่อเริ่มเล่น อากิกรู้สึกว่า เหงื่อของเขาไหลย้อย หยดลงไปจนถึงปลายเท้า ขณะที่เขาเล่นเพื่อเอาชีวิตรอด กระดานหมากรุกกลายเป็นโลกทั้งโลกสำหรับเขา อากิกมุ่งสมาธิอยู่ที่กระดานหมากรุกเท่านั้น ในช่วงแรก อากิกทำท่าว่าจะสู้ไม่ได้ แต่เมื่อพระฮุยเดินแต้มเพลี่ยงพล้ำ อากิกจึงฉวยโอกาสบุกอย่างหนัก ขณะที่คู่ต่อสู้เขาเสียที อากิกก็ลอบมองดูหน้าพระฮุย เขาเห็นใบหน้าซึ่งแสดงความฉลาดและจริงใจ มีริ้วรอยแห่งกาลเวลาของความสมถะและพากเพียร แล้วเขาก็นึกถึงชีวิตอันไร้ค่าของตนเอง อากิกรู้สึกเมตตาสงสารพระฮุยอย่างสุดซึ้ง เขาจึงจงใจแสร้งเดินหมากรุกให้ตัวเองเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ......ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และไม่อาจป้องกันตัวเองได้อีกต่อไป แต่พระฮุย ก็ไม่ยอมเผด็จศึกเพราะสงสารอากิกเช่นกัน ทันใดนั้น อาจารย์เซน ก็ชะโงกหน้ามาพลิกกระดานหมากรุกล้มคว่ำ คู่แข่งขันทั้งสองต่างตกตะลึงนิ่งงงงัน..
อาจารย์เซนพูดว่า “ตกลงว่า ไม่มีใครแพ้ใครชนะ ไม่ต้องมีใครเสียศีรษะ ต้องการเพียงสองอย่างเท่านั้น คือสมาธิที่มุ่งมั่น และความเมตตาสงสาร.......” แล้วหันไปทางอากิกและบอกเขาว่า
“วันนี้เจ้าก็ได้เรียนรู้ทั้งสองอย่างนี้แล้ว เจ้าตั้งสมาธิมุ่งมั่นในการเล่นหมากรุก แต่ในสมาธินั้นเอง ก็เกิดเมตตาสงสาร และยอมอุทิศชีวิตของตัวเอง เอาละ.....เจ้าจงอยู่ที่วัดนี้สักสอง-สามเดือน เพื่อติดตามการฝึกการรู้จักตัวเองต่อไป แล้วการรู้แจ้งก็จะเป็นผลแน่ๆ” อากิกก็ปฏิบัติตามที่อาจารย์เซนบอก และได้รับสิ่งที่เขาปรารถนาคือการรู้จักตัวเอง
นิทานเรื่องนี้ให้แง่คิดว่า บางครั้งคุณธรรมความเมตตาก็อยู่เหนือการแพ้-ชนะเขียนเล่าเรื่องพระสุรินทร์ ก่อนการคิด ( ดัดแปลงจากนิทานเรื่อง นักหมากรุกผู้แสวงหา )
|
|
|
|
|
สมชาย17
|
|
« ตอบ #13023 เมื่อ: 19 กันยายน 2557, 14:47:28 » |
|
ชอบนิทานธรรมะ ครับ
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #13024 เมื่อ: 19 กันยายน 2557, 15:05:57 » |
|
|
|
|
|
|