22 พฤศจิกายน 2567, 15:21:38
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 518 519 [520] 521 522 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3545351 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12975 เมื่อ: 07 กันยายน 2557, 16:38:19 »


















หลังจากทำบุญเช้าที่วัดภูเขาทอง เสร็จ หลวงพ่อพระไพศาล  วิสาโล  ได้นำอัฏฐิธาตุ หลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ  มาบรรจุที่ลานหินโค้ง  สถานที่ปฏิบัติธรรม ของวัดป่าสุคะโต   ตามที่ท่านสั่งเอาไว้ เป็นเสร็จพิธี ครบตามที่หลวงพ่อได้สั่งเอาไว้ทุกประการ

สาธุ

ภาพจากวัดป่าสุคะโต

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12976 เมื่อ: 07 กันยายน 2557, 18:18:50 »



ระลึกถึงพระอาจารย์ วัดป่าสุคะโต

ท่านอาจารย์วัฒนชัย - อาจารย์ทรงศิลป์


จากการฟังธรรมของหลวงพ่อวัฒนชัย  รู้ได้เลยว่า ท่านก้าวหน้าในธรรมมาก
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12977 เมื่อ: 07 กันยายน 2557, 18:38:07 »











      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12978 เมื่อ: 07 กันยายน 2557, 18:43:41 »














      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12979 เมื่อ: 07 กันยายน 2557, 18:50:09 »












      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12980 เมื่อ: 07 กันยายน 2557, 18:58:16 »
















      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12981 เมื่อ: 07 กันยายน 2557, 21:01:21 »



หลวงพ่อพระไพศาล   วิสาโล

ได้ขอบคุณทุกท่าน ที่ได้สนับสนุน ช่วยเหลือทั้งทรัพย์ แรงกาย แรงใจ  ในการจัดงานละสังขารของหลวงพ่อคำเขียน   สุวัณโณ  ตั้งแต่ต้น จนเสร็จพิธีบรรจุอัฏฐิธาตุของหลวงพ่อ ที่วัดป่าสุคะโต ผ่าน www.facebook

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #12982 เมื่อ: 08 กันยายน 2557, 14:13:44 »

สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
ไม่ได้เข้ามาทักทานเสียนานค่ะ
พี่สบายดีนะคะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12983 เมื่อ: 08 กันยายน 2557, 21:24:25 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

ขอบคุณมากที่แวะมาทักทาย

พี่สิงห์  ไม่ได้หนีไปไหน  ใครอยากระลึกถึงพี่สิงห์  ก็มาที่นี่ นี่คือบ้านของกัลยามิตร บ้านซีมะโด่ง

พี่สิงห์  ไม่กล้าเขียนอะไรมากใน facebook เพราะไม่คุ้น ขอเขียนในนี้ละ ได้แต่ติดตามอ่านของหลวงพ่อไพศาล  วิสาโล เพราะที่เหลือมีแต่เพิ่มทุกข์ให้กับตนเองโดยไม่จำเป็น ซึ่งจิตมันชอบ  ขอห่างไกล

อย่าลืม หลวงพ่อคำเขียน ท่านทำให้ดู เป็นตัวอย่างแล้ว  ขอทำให้ตนเองบ้าง

วันนี้ ไปทำบุญ อยู่วัดพระนอน นำคำสอนของหลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ  ไปสอนญาติโยมที่รักษาอุโบสถย์ศีล

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #12984 เมื่อ: 09 กันยายน 2557, 03:30:49 »

อนุโมทนาสาธุค่ะพี่สิงห์
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 08 กันยายน 2557, 21:24:25

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 06 กันยายน 2557, 13:34:17


หลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ

ท่านอยู่แบบไม่มีอะไร  ไม่เป็นอะไร

ฝนตกแต่ไม่มาก หลวงพ่อพระไพศาล  วิสาโล

กำลังบรรยายธรรม

พวกเราขอให้หลวงพ่อตาย(ท่านเขียนใส่กระดาศให้ลูกศิษย์) ท่านพนมมือบอกลาลูกศิษย์ที่ดูแล

ท่านขอตัวไปล้างหน้า ทำความสะอาดร่างกาย เดินกลับมานอนพนมมือ ท่านก็พนมมือหลับตาและจากไปเมื่อตีห้า ท่านอยู่ด้วยสติ ตายจากไปด้วยมีสติ

ความตายไม่มีใครหนีพ้น แต่การมีสติสามารถยกขึ้นเหนือความตายได้ การจากไปด้วยสตินั้นเป็นไปได้ที่หลวงพ่อแสดงให้ดูตอนจากไปด้วยการมีสติรู้ตัวจากไปเฉย ๆ ด้วยการมีสติในวินาทีสุดท้าย

หลวงพ่อคำเขียน จากไปแต่สังขาร แต่หลวงพ่อไม่ได้เอาธรรมที่สอนไปด้วย ธรรมนั้นยังอยู่ ขอให้ทุกท่านปฏิบัติตามคำสอนของท่าน มีสติ รู้สึกตัว ไม่ประมาท นั่นละจึงได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ของหลวงพ่อคำเขียน แท้จริง ในสิ่งที่ท่านแสดงให้ดูในวาระสุดท้ายจากไปด้วยสติ

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

ขอบคุณมากที่แวะมาทักทาย

พี่สิงห์  ไม่ได้หนีไปไหน  ใครอยากระลึกถึงพี่สิงห์  ก็มาที่นี่ นี่คือบ้านของกัลยามิตร บ้านซีมะโด่ง

พี่สิงห์  ไม่กล้าเขียนอะไรมากใน facebook เพราะไม่คุ้น ขอเขียนในนี้ละ ได้แต่ติดตามอ่านของหลวงพ่อไพศาล  วิสาโล เพราะที่เหลือมีแต่เพิ่มทุกข์ให้กับตนเองโดยไม่จำเป็น ซึ่งจิตมันชอบ  ขอห่างไกล

อย่าลืม หลวงพ่อคำเขียน ท่านทำให้ดู เป็นตัวอย่างแล้ว  ขอทำให้ตนเองบ้าง

วันนี้ ไปทำบุญ อยู่วัดพระนอน นำคำสอนของหลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ  ไปสอนญาติโยมที่รักษาอุโบสถย์ศีล

สวัสดี
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12985 เมื่อ: 09 กันยายน 2557, 12:46:14 »

ธรรมของหลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ

เปลี่ยน "หลง" เป็น "รู้"




 "รู็ซื่อ ๆ"



เปลี่ยนจาก "ผู้เป็น" เป็น "ผู้เห็น หรือ เป็นผู้ดู"



หลวงพ่อ  "ไม่เป็นอะไร  กับอะไร"



หลวงพ่อ "ทำให้ดู  อยู่ให้เห็น  และเป็นให้ได้เรียนรู้"



(พระองค์ที่ใส่แว่น หน้าขวา พระยูกิ เป็นชาวญญี่ปุ่น ไปทำปริญญาโท ทางพัฒนาชุมชน จากจุฬาฯ กับหลวงพ่อคำเขียน  และได้ฟังธรรมจากหลวงพ่อ  จึงขอบวชอยู่กับหลวงพ่อ ที่วัดป่าสุคะโต)

 ลิขิตสุดท้ายของหลวงพ่อก่อนละสังขารไม่กี่นาที

"พวกเราอยากให้หลวงพ่อตาย"


สิบห้านาทีก่อนหลวงพ่อจะละสังขาร ท่านทำให้ดู

"ท่านขอเข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ ล้างมือ ล้างหน้าให้สะอาด มานอนตะแคงขวาขอกระดาษ-ดินสอ มาเขียนเป็นครั้งสุดท้าย "พวกเราขอให้หลวงพ่อตาย" ท่านส่งกระดาษให้ และไหว้ลา-ขอบคุณ ลูกศิษย์ ผู้ดูแล ท่านนอนพนมมือ หลับตา สร้างสติ-สัมปชัญญะ ด้วยการเคลื่อนไหวมือ กระดิกนิ้วให้เห็น และตายจากไปอย่างมีสติ-สัมปชัญญะ"

ท่านแสดงให้เห็นว่าการตายไม่น่ากลัว ขอให้เตรียมใจไว้เท่านั้น  ส่วนหลวงพ่อเตรียมใจมานานแล้ว พร้อมที่จะตายได้ทุกเมื่อ ท่านจึงไม่ต้องเตรียมใจอีก ได้แต่เตรียมกายให้สะอาด ให้พร้อมเท่านั้น แล้วก็จากไปอย่างมีสติ-สัมปชัญญะ อย่างสงบ เป็นการตายอย่างงดงาม

คือการตายอย่างมีสติ  เป็นไปได้ ท่านแสดงให้ดูแล้ว

เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ อย่าอยู่อย่างประมาทเลย จงสร้างสติ หรือความรู้สึกตัวให้เกิดขึ้นเถิด

สติ ใหญ่กว่า ธรรมทั้งหลาย อยู่เหนือความตาย(ไม่กลัวความตาย) นั้นมีจริง


      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12986 เมื่อ: 09 กันยายน 2557, 18:59:14 »



พินัยกรรมของ หลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ

- ถ้าหลวงพ่อไม่สามารถรับรู้ได้ ห้ามเจาะคอ ห้ามปั้มหัวใจ ห้ามช่วยชีวิต ไม่ไปโรงพยายาล

- งานศพให้จัดแบบพระจน ๆ เผาที่เมรุวัดภูเขาทอง เช่นเดียวกับชาวบ้าน

- ไม่ขอพระราชทานเพลิงศพ ซึ่งท่านมีสิทธิ์ เพราะเป็นเจ้าคณะตำบล และเป็นพระอุปปัชชา

- ไม่เน้นพิธีกรรมทางสงฆ์ เน้นสอนธรรมผู้ที่มาระลึกถึง

- ไม่สวดศพ ไม่วางผ้าบังสุกุล ให้ทำวัตรเย็นแปล สวดพระอภิธรรมแปล และธัมจักรกัปฯ แปล และบรรยายธรรมแทนการสวดศพทั่วไป

- ไม่มีการทอดผ้าหน้าเมรุ  บรรยายธรรมโดยพระไพศาล  ให้สวดพระอภิธรรมแปล และเผาเลย

- กระดูกเอาไปบรรจุที่ลานหินโค้ง วัดป่าสุคะโต ้เถ้าธาตุที่เหลือ ฝังใว้ที่ต้นจาน หน้าศาลาน้ำไส ก่อนสว่าง ไม่ให้โยมเห็น

เป็นพินัยกรรมที่ พระไพศาล  สบายใจในการปฏิบัติยิ่ง ท่านมีเพียงเท่านี้

ท่านสั่งการเอาไว้เป็นอักษร เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยากในการปฏิบัติต่อสังขารท่าน และที่สำคัญ ไม่ให้ใครเดือดร้อน ไม่ต้องเอาท่าน ไปหาลาภสักการะ ตามที่ทุกท่านเห็นอยู่บ่อย ๆ บางองค์ยังไม่เผาเลย เพราะลาภสักการะไหลมามาก

หลวงพ่อคำเขียน  ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผู้มอบให้ ท่านนำไปเป็นสมบัติสงฆ์ ท่านจึงเป็นพระจน ๆ ค่ารักษาพยาบาลต่าง ๆ ในการผ่าตัด  อาหารเสริมราคาแพง อาคารปลอดเชื้อที่สร้าง ลูกศิษย์ ท่านสร้างให้ทั้งนั้น แต่ท่านก็ไม่มีโิอกาสได้ใช้ คงเป็นสมบัติสงฆ์ ท่านอยู่แบบไม่ต้องใช้เงิน

ท่านจึงเป็นพระตัวอย่าง ที่สังคมไทยกำลังใฝ่หา  แต่ท่านก็จากไปแล้ว ได้แต่่ "ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เป็นให้เรียนรู้"  จงดูท่านเป็นตัวอย่างเทอญ
 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12987 เมื่อ: 09 กันยายน 2557, 20:38:43 »



ชีวิตต้องดำเนินต่อไปของ พระไพศาล  วิสาโล
 เช้าวันนี้ที่ วัดป่าสุคะโต

หลวงพ่อคำเขียน  เป็นอดีตไปแล้ว

เหลือแต่ธรรม ให้นำไปปฏิบัติ ให้เห็นจริงตามหลวงพ่อ

ท่านเป็นครูให้แล้ว

หลวงพ่อต้องการให้เราพ้นทุกข์ในชาตินี้
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12988 เมื่อ: 11 กันยายน 2557, 10:44:06 »


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

วันนี้ จิตมันระลึกถึงธรรมของ หลวงพ่อเทียน   จิตตฺสุโภ  พระอาจารย์ใหญ่ของ หลวงพ่อคำเขียน   สุวณฺโณ  ขึ้นมา ก็เลยจะนำธรรมนั้น มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อย้ำเตือนให้ปฏิบัติกัน หรือปฏบัติให้ถูกทาง

การเจริญสติ หรือสร้างความรู้สึกตัว ด้วยการยกมือสร้างจังหวะ ๑๔ จังหวะ และการเดินจงกรมแบบสบาย ๆ แบบหลวงพ่อเทียน ท่านสอน ดูแล้วไม่สวยงามนั้น เป็นการสร้างความรู้สึกตัวที่ดี ไม่ได้ไปบังคับกาย สติมันจะเกิดขึ้นเป็นธรรมชาติของมันเองและเร็ว อยู่ได้นานด้วยเพราะไม่ได้ไปเพ่ง  ไปจ้องมันแต่ประการใด และที่ใช้มือในตอนเริ่มต้นนั้น หรือใช้การเดิน เพราะกายเป็นฐานใหญ่(สติปัฏฐาน)และหยาบง่ายต่อการที่จะสร้างการรู้สึกตัวได้ง่าย และเมื่อทำมากเข้า ๆ ๆ จนถึงจุด จุดหนึ่งธาตุรู้ที่มีอยู่ในคนทุกคนไม่เลือกชาติ ศาสนา มันจะแสดงตนของมันออกมาเอง คือการแยกรูปแยกนาม สามารถแยกสติ-ความคิดออกมาจากกันได้ จนเห็นความคิด เพราะสติมันเร็วกว่าความคิด  เมื่อสติมันเร็วกว่า มันก็จะเห็นปรมัตถ์ธรรมท่เกิดขึ้น นั่นคือแนวทางการเจริญสติของสายวิปัสสนาหลวงพ่อเทียน

ซึ่งหลวงพ่อเทียน -หลวงพ่อคำเขียน  ได้ทำให้เห็นแล้ว ว่าสามารถที่จะบรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้ แน่นอน

"ดูกายเห็นจิต   ดูคิดเห็นธรรม"

"ดูกายเคลื่อนไหว   เห็นใจนึกคิด"
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12989 เมื่อ: 11 กันยายน 2557, 12:27:57 »

 
 

  บทความ > คอลัมน์จิตวิวัฒน์ > วาระสุดท้ายของชีวิตในทัศนะของพุทธศาสนา
มติชนรายวัน วันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๗

วาระสุดท้ายของชีวิตในทัศนะของพุทธศาสนา


พระไพศาล วิสาโลในทัศนะของพุทธศาสนา ความทุกข์เป็นความจริงของชีวิตที่ไม่มีใครหนีพ้น เมื่อเกิดมาแล้ว สิ่งที่ทุกคนต้องประสบก็คือ ความแก่ ความเจ็บป่วย ความพลัดพรากสูญเสีย และความตาย ทั้งนี้เพราะสรรพสิ่งล้วน     ไม่จีรังยั่งยืน มีความแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา (อนิจจัง) เต็มไปด้วยความบีบคั้นทั้งจากภายในและภายนอก ทำให้ไม่อาจทนอยู่ในสภาพเดิมได้ ในที่สุดต้องเสื่อมทรุดและดับสลายไป (ทุกขัง) ไม่มีตัวตนที่เป็นแก่นสารอันเที่ยงแท้หรือเป็นอิสระ (อนัตตา) สภาวะดังกล่าว อันได้แก่ ความแก่ ความเจ็บป่วย ความพลัดพรากสูญเสีย และความตายนั้น เราทำได้อย่างมากก็คือ หน่วงเหนี่ยวให้เกิดขึ้นช้าลง แต่ในที่สุดก็ต้องเกิดขึ้นกับเรา ถึงตอนนั้นทำได้อย่างมากก็แค่บรรเทาผลกระทบให้น้อยลงอย่างไรก็ตามสภาวะดังกล่าวแม้จะก่อให้เกิดความทุกข์ทางกาย แต่ไม่จำเป็นต้องบีบคั้นจิตใจให้เป็นทุกข์ พุทธศาสนามองว่ามนุษย์ทุกคนสามารถฝึกฝนพัฒนาจิตใจจนสามารถเป็นอิสระจากความทุกข์ คือ แม้ต้องแก่ เจ็บป่วย สูญเสีย และตาย แต่จิตใจหาได้เป็นทุกข์ไม่ การยอมรับว่ามันเป็นธรรมดาของชีวิต ไม่ปฏิเสธ ไม่ต่อต้านขัดขืนมัน เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้จิตใจไม่เป็นทุกข์เมื่อสภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นกับเรา นอกจากไม่เป็นทุกข์แล้ว เรายังสามารถหาประโยชน์จากมันได้ด้วย กล่าวคืออาศัยสภาวะดังกล่าวเปิดใจให้เห็นความจริงจนเกิดปัญญาแจ่มแจ้งว่า ไม่มีอะไรที่ยึดติดถือมั่นได้อย่างแท้จริง ปัญญาดังกล่าวจะทำให้จิตใจเป็นอิสระจนความทุกข์ไม่อาจแผ้วพานได้ ดังมีพระและฆราวาสจำนวนไม่น้อยบรรลุธรรมในขณะที่เจ็บป่วยและใกล้ตาย กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความแก่ ความเจ็บ ความพลัดพรากสูญเสีย และความตายนั้นเป็นตัวเร่งให้เห็นธรรมจนจิตหลุดพ้นได้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อการดูแลในระยะสุดท้ายหรือไม่ โดยไม่เลือกว่าจะเป็นศาสนาใด?

ว่าเฉพาะวาระสุดท้ายของชีวิต

พุทธศาสนามองว่า ความสุขใจในเวลาสิ้นชีวิตนั้นเป็นไปได้ ไม่จำเป็นที่เราจะต้องทุกข์ทรมานเมื่อความตายใกล้มาถึง นี้เป็นศักยภาพที่มีอยู่ในคนทุกคน ไม่เลือกว่านับถือศาสนาใด หรือแม้จะไม่นับถือศาสนาก็ตาม กล่าวได้ว่าความสงบในวาระสุดท้ายของชีวิตนั้น เป็นสิทธิของทุกคน

ชีวิตที่ดีคืออะไร?

ชีวิตที่ดี คือ ชีวิตที่มีสุขภาวะ ไม่ถูกเบียดเบียนด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ความยากจนข้นแค้น หรือการเอารัดเอาเปรียบ ขณะเดียวกันก็เป็นชีวิตที่ตั้งมั่นอยู่ในธรรม นอกจากไม่เอาเปรียบเบียดเบียนใครแล้ว ยังสร้างสรรค์คุณประโยชน์ทั้งแก่ผู้อื่นและส่วนรวม มีจิตใจที่สงบเย็น เปี่ยมด้วยเมตตากรุณา ไม่ถูกครอบงำด้วยความโลภ โกรธ หลง และไม่ถูกบีบคั้นด้วยความทุกข์ เพราะเห็นความจริงของชีวิต อีกทั้งยังมีปัญญาสามารถแก้ทุกข์ให้แก่ตนเองได้

ตายดีคืออะไร?

ตายดีในทัศนะของพุทธศาสนา ไม่ได้อยู่ที่ว่า ตายด้วยสาเหตุใด ที่ไหน หรือตายในวัยใด แต่อยู่ที่คุณภาพจิตเป็นสำคัญ กล่าวคือตายอย่างสงบ จิตใจไม่ทุกข์ทรมาน ไม่ทุรนทุรายในวาระสุดท้ายของชีวิต เพราะยอมรับความตายและปล่อยวางสิ่งทั้งปวง ไร้ความห่วงใยหรือหวงแหนในสิ่งใดๆอีก ทั้งเมื่อตายไปแล้วก็ไปสุคติ คือไปเกิดในภพที่ดี (เช่น เกิดในโลกมนุษย์ หรือสวรรค์) ดียิ่งกว่านั้นก็คือ เมื่อจะตายใจก็สว่าง เกิดปัญญาเห็นสัจธรรม จนจิตหลุดพ้นจากความทุกข์ เป็นอิสระจากวัฏสงสาร ไม่ไปเกิดในที่ใดอีกต่อไป

ชีวิตที่ดีทำให้ตายดีเสมอไปหรือไม่?

ชีวิตที่ดีนั้นเอื้อให้เกิดการตายดีหรือตายสงบได้ แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะหากว่าตอนใกล้ตายนั้น จิตเกิดอารมณ์ที่เศร้าหมอง เนื่องจากยังมีความห่วงใยในลูกหลาน พ่อแม่ คนรัก ปล่อยวางทรัพย์สินหรืองานการที่คั่งค้างไม่ได้ หรือยังมีความรู้สึกผิดติดค้างใจ ก็จะรู้สึกต่อต้านขัดขืนต่อความตาย มีอาการทุรนทุราย กระสับกระส่าย และเมื่อสิ้นลมก็อาจไปอบายได้หากจิตสุดท้ายยังถูกอารมณ์อกุศลดังกล่าวครอบงำ นอกจากนั้นความเจ็บปวดจากโรคภัยไข้เจ็บอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดโทสะ จิตกระสับกระส่าย จนตายไม่สงบก็ได้

เป็นไปได้หรือไม่ที่จะตายดีแม้ไม่ได้มีชีวิตทีดี?

การตายดีสามารถเกิดขึ้นได้แม้ไม่ได้มีชีวิตที่ดี แต่เป็นไปได้ยาก เนื่องจากความชั่วที่ได้ทำ มักทำให้รู้สึกหวาดหวั่นต่อความตาย เพราะกลัวจะไปอบาย หรือถูกหลอกหลอนด้วยภาพแห่งความผิดที่ทำในอดีต ส่วนโลภ โกรธ หลงที่สะสมไว้ตลอดชีวิต ก็ทำให้ปล่อยวางสิ่งต่างๆ ได้ยาก ไม่ว่าทรัพย์สินเงินทอง หรือความโกรธแค้นพยาบาท จึงมักจะตายด้วยความทุรนทุราย อย่างไรก็ตามหากมีผู้นำทางที่ดี สามารถน้อมใจให้ ระลึกถึงสิ่งดีงามอันน่าศรัทธา หรือความดีที่ตนได้ทำ จิตก็จะเป็นกุศล และช่วยให้ไปดีได้

เราจะเตรียมตัวรับมือกับความตายได้อย่างไร?

การเตรียมตัวเผชิญกับความตายเป็นสิ่งที่เราไม่ควรละเลย เนื่องจากเราทุกคนต้องตายอย่างแน่นอน เมื่อจะต้องตาย จึงควรรับมือกับความตายให้ดีที่สุด เพื่อไม่ทุกข์ทรมานและไปดี วิธีที่ช่วยให้เรารับมือกับความตายได้ดีก็คือ การระลึกถึงความตายอยู่เสมอ เรียกว่ามรณสติ กล่าวคือเตือนตนเป็นนิจว่าสักวันหนึ่งเราต้องตายอย่างแน่นอน แต่จะตายเมื่อไหร่มิอาจรู้ได้ อาจจะตายวันนี้วันพรุ่งก็ได้ จากนั้นก็ถามตนเองว่าหากต้องตายวันนี้วันพรุ่ง เราพร้อมตายหรือยัง กล่าวคือทำความดีมาพอหรือยัง ทำหน้าที่ครบถ้วนสมบูรณ์หรือยัง และพร้อมจะปล่อยวางทุกสิ่งหรือยัง หากไม่พร้อมก็ต้องเร่งทำความดี ทำหน้าที่ที่สำคัญให้เสร็จสิ้น และฝึกปล่อยวางอยู่เสมอ การทำความดี ไม่มีความชั่วให้ต้องเสียใจ และพร้อมปล่อยวาง ช่วยให้เราพร้อมเผชิญความตายได้ทุกเมื่อ

จะจัดการกับความกลัวอย่างไร?

ความกลัวตายเกิดขึ้นเพราะไม่เคยนึกถึงความตายหรือเตรียมตัวตายเลย อีกทั้งยังมีสิ่งค้างคาใจ ห่วงคนรัก และหวงแหนทรัพย์สมบัติ นอกจากนั้นความกลัวตายยังเกิดจากความไม่มั่นใจว่าตายแล้วจะไปไหน หรือกลัวว่าจะไปอบาย ความกลัวตายจะบรรเทาได้ เมื่อเจริญมรณสติเป็นนิจ พยายามทำดีที่สุดกับคนรัก จนสามารถปล่อยวางได้ ไม่มีเรื่องติดค้างใจ ไม่มีภารกิจที่ค้างคา พูดง่าย ๆ คือมีการเตรียมตัวอยู่เสมอ ยิ่งถ้าได้เจริญภาวนา ก็จะช่วยให้จัดการกับความกลัวตายได้อย่างดี รวมทั้งเห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดา สามารถยอมรับมันได้ โดยไม่ปฏิเสธผลักไสมัน

สมาธิภาวนาจะช่วยลดความเจ็บปวดในระยะสุดท้ายได้หรือไม่ โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่เคยฝึกสมาธิมาก่อนเลย?

สมาธิภาวนาช่วยลดความเจ็บปวดในระยะสุดท้ายของชีวิตได้ กล่าวคือเมื่อมีความเจ็บปวด ก็น้อมจิตมาอยู่ที่ลมหายใจ เมื่อจิตแนบอยู่กับลมหายใจอย่างต่อเนื่องก็จะเกิดสมาธิคือความสงบ ความสงบนั้นช่วยทำให้เกิดสารเคึมีบางอย่างที่บรรเทาปวดได้ นอกจากนั้นการที่จิตไม่ไปรับรู้ความเจ็บปวดในร่างกาย ก็อาจทำให้ลืมปวด หรือรู้สึกปวดน้อยลงนอกจากสมาธิแล้ว การเจริญสติ ก็ช่วยบรรเทาความปวดได้ กล่าวคือเมื่อมีความเจ็บปวด สติช่วยให้ใจไม่ปักตรึงอยู่ในความปวด แต่จะถอนตัวออกมาเห็นความปวด ทำให้ใจไม่รู้สึกปวด แม้กายจะยังปวดอยู่ คือ เห็นความปวด แต่ไม่เป็นผู้ปวด ผู้ที่ไม่เคยทำสมาธิภาวนามาก่อน หากได้รับการแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ ก็สามารถลดความเจ็บปวดลงได้ สภาพแวดล้อมที่เกื้อกูล เช่น สงบ หรือน้อมใจให้ระลึกถึงสิ่งที่ตนศรัทธาหรือความดีที่ตนได้ทำ ก็ส่งเสริมให้การทำสมาธิภาวนาของผู้ป่วยเกิดผลดีเช่นกัน


พระไพศาล วิสาโล
www.thaissf.org, twitter.com/jitwiwat สนับสนุนโดย มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์พิมพ์ใน มติชนรายวัน วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๗รวบรวมงานเขียนและบทความของพระไพศาล วิสาโล www.visalo.org  korobiznet เอื้อเฟื้อพื้นที่     webmaster    ๒๕๕๒ All Rights ไม่ Reserved  
      บันทึกการเข้า
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #12990 เมื่อ: 12 กันยายน 2557, 05:16:45 »

สาธุค่ะพี่สิงห์
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12991 เมื่อ: 12 กันยายน 2557, 09:12:33 »




สวัสดีค่ะ คุณน้องจันทร์ฉาย ที่รัก

หลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ

ท่าน ทำให้ดู   อยู่ให้เห็น  เป็นให้เรียนรู้

หลวงพ่อท่านแสดงให้ดูแล้วว่า การตายแบบมีสติ-สัมปชัญญา เป็นการตายที่สวยงาม ที่ใคร ๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น  อยู่ที่ว่าเราจะมีความเพียรที่จะเจริญสติปัฏฐาน ๔ ให้ทำที่สุดแห่งทุกข์ให้เิกดขึ้นได้ เอาในชาตินี้ละ ไม่ต้องรอเกิดมาเป็นมนุษย์ใหม่

อย่าลืม !

เปลี่ยนจาก "หลง" เป็น "รู้"

ให้ "รู้ซื่อ ๆ" คือ รู้ตรง ๆ รู้กลาง ๆ ไม่ถามเหตุ ไม่ถามผล คือรู้สึกตัว ที่อายตนะภายใน สัมผัส อายตนะภายนอก เกิดวิญญาณ แต่วางอุเบกขา แต่กายนั้นหยาบ สามารถสร้างความรู้สึกตัวได้ง่าย  หลวงพ่อคำเขียน ท่านเลยให้มารู้ซื่อ ๆ ที่กาย ที่เป็นสติปัฏฐานใหญ่ นี่เอง

เปลี่ยนจาก "ผู้เป็น" มา "เป็นผู้เห็น หรือผู้ดู" (ด้วยการมีสติที่กาย)

อยู่กับ "ไม่เป็นอะไร กับอะไร" คือถึงสภาวะอนัตตา การทำที่สุดแห่งทุกข์

หลวงพ่อแสดงให้เห็นแล้วว่า "พระนิพพาน" นั้นมีจริง

จงทำพระนิพพานให้เกิดขึ้นเถิดในชาตินี้

สวัสดี

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12992 เมื่อ: 12 กันยายน 2557, 09:15:28 »



รายการเวทีสาธารณ ไทย Pbs

ทุกท่านที่พลาดการดู "วาระสุดท้ายของหลวงพ่อคำเขียน   สุวัณโณ"  สามารถหาดูได้ที่  youtube เพราะผมทำไม่เป็นที่จะเอามาแป๊ะไว้ให้ครับ

ใครมีความสามารถเอามาแป๊ะไว้  จักขอบคุณมากครับ

สวัสดี

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12993 เมื่อ: 12 กันยายน 2557, 09:35:40 »



หลวงตาพิม

พระไพศาล   วิสาโล
เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต  วันป่ามหาวัน(ภูหลง)

ได้แสดงธรรมให้ญาติโยมได้รับทราบ เกี่ยวกับหลวงตาพิม  อดีตพระสงค์วัดป่ามหาวัน

ตามที่ทุกท่านได้ทราบข่าวทางสื่อ ๆ ว่าหลวงตาพิม  พระจังหวัดชัยภูมิ  ประกาศตนว่าจะละสังขารในวันที่ ๙ เดือน ๙ ที่ผ่านมานั้น

เดิมทีก่อนที่จะมาเป็นพระได้ไปหาหลวงพ่อไพศาล  ที่วัดป่ามหาวัน  ไปดูสถานที่ ที่เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม ชอบใจในวัดป่ามหาวัน ภูหลง เขาเขียวมาก ตนเองเพิ่งกลับจากการไปทำงานที่ซาอุมานาน ไม่ต้องดูแลครอบครัวแล้ว จึงคิดบวชปฏิบัติธรรม

หลังจากบวชเสร็จก็ไปอยู่วัดป่ามหาวัน เป็นพระที่ขยัยขันแข็งในการทำงานของวัดมาก เพราะมีประสพการณ์ในการทำงานก่อสร้างมาก่อน ท่านมีความเพียรในการปฏิบัติธรรมมาก  แต่ชอบแบบสมถะกรรมฐาน  ไม่ชอบแบบการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว

อยู่วัดป่ามหาวันได้ ๔-๕ ปี จึงขอย้ายตัวเอง ไปหาหลวงพ่อ-วัดอยู่ใหม่ ที่เป็นทางสายสมถะ และต่อมาท่านก็ได้สร้างสำนักสงฆ์ และเป็นวัดของตนเองดังที่เป็นข่าว

หลวงตาพิม  เป็นพระที่ดี นำชาวบ้านสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น และปฏิบัติธรรม  ไม่ติดในลาภสักการะ

ท่านประกาศตนเองว่าจะตายในวันที่ ๙ เดือน ๙ ท่านไม่ได้เจ็บป่วยแต่ประการใด

เมื่อท่านประกาศท่านก็อดข้าว  อดน้ำ เมื่อเลยวันที่ ๙ เดือน ๙ ท่านก็ยังไม่ตาย การเห็นคนจะฆ่าตัวตายนั้นผิดกฏหมาย  ตำรวจพร้อมเจ้าคณะจังหวัด จึงไปนำท่านส่งโรงพยาบาลในสภาพอิดโรย ไม่ได้กินข้าว-น้ำ

ท่านเป็นปกติแล้ว  ธาตุขันธ์ ไม่ได้แตกไปเองด้วยเหตุ-ปัจจัยธรรมชาติ มันจึงละสังขารไม่ได้  แต่ถ้าไม่ช่วยมันก็จะตายเพราะอดอาหาร  

ท่านก็บอกว่า ท่านตายไปแล้ว และกลับมาใหม่

ก็เรียนให้ทราบ เพราะเกี่ยวข้องกับพระไพศาล   วิสาโล  ในฐานะพระลูกวัดมาก่อน

ตามความเห็นของผม  ท่านคงจะเกิดวิปัสสนูกิเลส  เล่นงาน ท่านรู้จริงว่าท่านจะตาย  แต่ท่านหลงอยู่ในวิปัสสนูกิเลส  คือหลงในนิมิตที่เห็น เห็นนั้นเห็นจริง  แต่มันไม่ใช่ของจริงในสิ่งที่เห็นท่านโดนจิตมีนหรอกหลอน เกิดวิปัสสนูกิเลส  ที่ตนเองควบคุมไม่ได้ คือ "หลง"

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12994 เมื่อ: 12 กันยายน 2557, 09:43:50 »




วันที่ ๖ กันยายน วันประชุมเพลิงสรีระสังขาร หลวงพ่อคำเขียน   สุวณฺโณ

หลวงพ่อพระไพศาล   วิสาโล  ได้นำภิกษุ เจริยสติปัฏฐาน ๔ ตลอดคืนที่เมรุ

เพื่อรอเก็บอัฏธาตุขันธ์ของหลวงพ่อคำเขียน  สุวณฺโณ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12995 เมื่อ: 12 กันยายน 2557, 17:08:26 »



สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งและแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน

คืนนี้นอนที่ พีพี เพลส อำเภอเมือง  จังหวัดพังงา

คืนนี้เป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรม พระปลัดสมพง์  เจ้าอาวาส ซึ่งเป็นพระพ่อของผู้จัดการฝ่ายขายที่นครศรีธรรมราช

ภาพลอยพญานาค มาเผยแพร่

แสดงว่า ไม่อยู่ในหลักการกาลามะสูตร  และงมงาย ในสิ่งที่ไม่สมควร  ก็บอกได้เท่านี้ เพราะมีคนนินทาว่า ชาวจุฬาฯ คิดอย่างนี้หรือ ?

ก็เรียนให้ทราบ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #12996 เมื่อ: 12 กันยายน 2557, 17:11:04 »

อจ.จุฬาฯ เฉลยแล้วครับว่า เกิดจากเครื่องฉีดน้ำแรงสูงที่ใช้ฉีดกำจัดฝุ่น

พร้อมทดลองให้ดูด้วยแล้ว
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12997 เมื่อ: 12 กันยายน 2557, 18:12:34 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 12 กันยายน 2557, 17:11:04
อจ.จุฬาฯ เฉลยแล้วครับว่า เกิดจากเครื่องฉีดน้ำแรงสูงที่ใช้ฉีดกำจัดฝุ่น

พร้อมทดลองให้ดูด้วยแล้ว


สวัสดีครับ คุณเหยง

ที่แรกสงสัยว่าจะเป็นล้อรถมอร์เตอร์ไซด์

เป็นไปได้ เพราะสายยางเวลามีความดันน้ำสูง ไม่มีคนจับมันจะส่ายไป ส่ายมา 

แต่มันเสียความรู้สึก ว่าเหตุ เกิดในจุฬาฯ  ทำไมออกข่าวแบบนั้น  ทำให้คนมีปัญญาเขานินทา จุฬาฯ ได้ ว่าไม่ควรเชื่อแบบนั้น

พี่สิงห์  ถึงเตือนเสมอว่า ของคำว่า "ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่" นั้น เป็นตัวทำลายพุทธศาสนาในเมืองไทย สร้างค่านิยมที่ผิด ๆ เป็นข้อที่ ๒ ของสัญโญชน์ ๑๐ คือ สีสัพพตปรามาส  คือ หลงเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่เชื่อเรื่องกรรม 

ฉนั้น พระภิกษุ แม่ชี  อุบาสก  อุบาสิกา  ยังเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยู่ในจิต มันก็ยังเป็นปุถุชนม์คนธรรมดาอยู่นั่นเอง เป็นพระอริยะบุคคล ไม่ได้

พี่สิงห์  อยู่พังงา มีฝนตก ปลอย ๆ มองไปทิศใด ชุ่มชื่นจิต เพราะมีแต่สีเขียวของต้นไม้และน้ำ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12998 เมื่อ: 12 กันยายน 2557, 21:01:45 »



      บันทึกการเข้า
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #12999 เมื่อ: 13 กันยายน 2557, 04:42:37 »

พี่สิงห์คะ ใช่เทปนี้ไหมคะ



<a href="http://www.youtube.com/watch?v=XaaL8bM4ED8" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=XaaL8bM4ED8</a>


อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 12 กันยายน 2557, 09:15:28


รายการเวทีสาธารณ ไทย Pbs

ทุกท่านที่พลาดการดู "วาระสุดท้ายของหลวงพ่อคำเขียน   สุวัณโณ"  สามารถหาดูได้ที่  youtube เพราะผมทำไม่เป็นที่จะเอามาแป๊ะไว้ให้ครับ

ใครมีความสามารถเอามาแป๊ะไว้  จักขอบคุณมากครับ

สวัสดี


      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
  หน้า: 1 ... 518 519 [520] 521 522 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><