22 พฤศจิกายน 2567, 03:37:19
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 517 518 [519] 520 521 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3543941 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Keartipong07
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 391

« ตอบ #12950 เมื่อ: 04 กันยายน 2557, 11:35:13 »

สวัสดี สิงห์ น้องรัก

   พี่ปิ้ง ไม่ได้เข้าเว็บซีมะโด่ง นานมากแล้ว..ติดภารกิจ สอน นศ.ป.โท ป.เอก ที่ จ.ขอนแก่น...
 
           เลยเข้าไม่ค่อยถูกแล้ว...

               - ได้อ่านธรรมะ ที่สิงห์ได้แสดงไว้ให้อ่าน ดีมากเลย..ขออนุโมทนาบุญด้วย..

                     คิดถึง พงษ์ (ไม่มีเกียรติ) เพื่อนรัก จากปักษ์ใต้บ้านเกิด ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเรียนจุฬาฯ ด้วยกัน.....ได้จากไปแล้ว

                          ( พี่ปิ้ง07 จากเกาะสมุย สุราษฎร์ธานี พงษ์ จาก จ.กระบี่ และ พงษ์ ปริญญโรจน์ คณะวิทยาฯจากบ้านดอน สุราษฎร์ )

                          ......... รู้สึกใจหาย.. ได้ช่วยทำกิจกรรมบันเทิง ซีมะโด่งทัวร์ ให้ พี่ๆ เพื่อนๆ และน้องๆในคณะทัวร์ มีความสุข สนุกสนาน

                          ...........มายาวนาน...อ่าน ธรรมะ ของสิงห์แล้ว..ก็ช่วยให้ คลายความเศร้าใจลงได้ ..ว่า เป็น อนิจจัง...

                              พี่ปิ้ง ขอฝากรูป พงษ์ เพื่่อนรัก มาให้พวกเราชาวซีมะโด่ง ได้ดู แทนความคิดถึง..เป็นภาพถ่ายในห้องประชุมซีมะโด่ง

                                    หลายปีแล้ว..หลังที่ พี่ปิ้ง ไปผ่าตัดตามา และใส่แว่นดำ มาประชุมด้วย..ข้างหลังเป็น น้องเกร๊ท (ณัฏฐพงศ์ มีเพียร)

                                      บุตรชายคนเล็กของ พี่ปิ้ง ขับรถมาให้..

                             
                               


                                 ลำนำกลอน 2 บท

                        อาลัยรัก และคิดถึงเพื่อน " พงษ์ จิรโสภณ "

   1.  พอ ทรา บ ข่า ว   เ พื่อ น รั ก จา ก ไป .... ใ จ แ ส น เ ศ ร้า

            ทุ ก ค น เ ฝ้า    ติ ด ตา ม เ พื่ อ น ....... ไ ม่ เ ลื อ น หา ย

                 ทำ กิ จ ก รร ม ดีๆ ให้ ชา ว ค่า ย    และ ชา ว ห อ ไ ว้....ไ ม่ เ สื่ อ ม ค ลา ย

                     แ ส น เ สี ย ดา ย         เ พื่ อ  น  รั ก  " พ ง ษ์ " ...... ดำ ร ง นา ม



         2.  โ อ้  เ พื่ อ น เ อ๋ ย       ...   เ พื่ อ น รั ก......  จา ก  ไ ป  แ ล้ ว


                      ข อ เ พื่ อ  น  แ ก้ ว.... ไ ป สู่ ที่ ดีๆ ที่ ยิ่ ง ใ ห ญ่..... ใ น โ ล ก  สา  ม


                               จา ก คุ ณ ธ รร ม ค วา ม ดี....ที่ " พ ง ษ์ " สร้า ง ไ ว้ ใ ห้ จุ ฬาฯ.... ส ง่า  งา ม


                                   ใ ห้ น้ อ งๆ ชา ว ห อ แ ละ ชา ว ค่า ย ฯ.... ไ ด้ เ ดิ น ร อ ย ตา ม ค วา ม ยิ่ ง ใ ห ญ่....ซึ้ ง ใ จ เ อ ย ฯฯฯ


                                             .. จา ก เ พื่อ น รั ก  ....จ า ก ปั ก ษ์ ใ ต้


                                                    " ด ว ง จำ ป า " ป ระ พั น ธ์ 


                                                   (ใน น า ม เ พื่ อ น ก ลุ่ม " พ ง ษ์ มี เ กี ย ร ติ และ ไม่ มี เ กี ย ร ติ 07 " )

                                                (  ศ. พล.ต.ต.ดร.เ กี ย ร ติ พ ง ษ์  มี เ พี ยร )
                               
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12951 เมื่อ: 04 กันยายน 2557, 11:58:11 »

ธรรมบูชา คุณอาจารย์ หลวงพ่อคำเขียน   สุวัณโณ

ประตู่สู่นรก  ประตู่สู่สวรรค์ และ ประตู่สู่พระนิพพาน




เพราะเหตุ-ปัจจัย ที่ อายตนะภายใน (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) สัมผัส อายตนะภายนอก(รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์) ผลจึงทำให้เกิด วิญญาณ(ควารับรู้ ได้แก่ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานะวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายะวิญญาณ และมโนวิญญาณ) ผลที่ตามมาจากการสัมผัส(ผัสสะ) คือเวทนา(ความสุข  ความทุกข์ ความไม่สุขไม่ทุกข์) และผลของเวทนาตามมาด้วย ตัณหา(ความทะยานอยาก ได้แก่ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา) เมื่อมีตัณหา ผลจึงเกิด อุปทาน(ความยึดมั่นถือมั่น) และผลสุดท้ายที่ตามมาคือต้องเกิดอีก ซึ่งก็คือภพ นั่นเอง มันจะเวียนว่ายตาย-เกิด อยู่ในวัฏฏะสงสาร ไม่รู้จบสิ้น

ธรรมชาติของธรรมมันเป็นอย่างนี้ เราต้องเห็นธรรมนี้ด้วยจิต-ปัญญาของเรา มันมีอยู่ใน รูป-นาม นี้แหละ ที่เป็นจุดเริ่มต้น ในการเกิดทุกข์ และเป็นจุดเริ่มต้นที่จะสามารถพ้นทุกข์ถาวรได้ นั่นคือ พระนิพพาน

แต่ถ้าท่าน ไม่เห็นธรรมนี้ตามจริง ผลคือ ประตูนรก กำลังเปิดรอรับท่านอยู่ทุกวินาที และท่านก็จะอยู่ในวัฏฏะสงสารต่อไป ไม่มีสิ้นสุด

ท่านอย่ามัวหลงเพลินติดอยู่ในความคิดเลย ละความคิดออกมาด้วยการตั้งสติปัฏฐาน ๔ เสียเถิด ท่านก็จะเห็นความจริงในธรรมนี้ได้ เพราะมันเป็นปัจจัตตัง คือผู้รู้ รู้ได้เฉพาะตน

สรุปคือ

จะเห็นว่าประตูสู่นรก นั้น คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าเราหลงยินดีเพลินเพลินกับมัน ยังทำบาปอยู่เป็นนิจ

จะเห็นว่าประตูสู่สวรรค์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าเราระวังเพียรรักษา กระทำแต่กุศล ละบาปทั้งปวง

จะเห็นว่าประตูสู่พระนิพพาน ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเองถ้าเราเพียรยิ่งในการทำกุศล ละบาปทั้งปวง ดำรงชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ใน มรรค ๘ อย่างมั่นคงยิ่ง

ดังนั้น ท่านเพียรระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เถิด เพราะมันเป็นประตูทั้งนรก สวรรค์ และพระนิพพาน

อย่าลืมว่า หลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ  ท่านบอกเอาไว้ว่า จงทำบุญเอาเองเถิด นั้นหมายความว่า จงพยายามทำดี ละบาปทั้งปวง อยู่ด้วยปัญญาในมรรค ๘ ให้ทำเอาเองเถิด จะประสพผลสำเร็จแบบท่านได้ ท่านเป็นครูให้แล้ว

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12952 เมื่อ: 04 กันยายน 2557, 12:50:32 »

ธรรมบูชา คุณอาจารย์ หลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ

(อายตนะภายใน + อายตนะภายนอก + วิญญาณ) ผัสสะ = เวทนา ผลเป็น อนุสัย ๗



กิเลส คือสิ่งที่มาเกาะจิต แล้วทำให้จิตขุ่นมัว หรือจิตเศร้าหมอง ทำให้จิตลำบาก ทำให้จิตเดือดร้อน อุปมาเหมือนสีที่ใส่ลงไปในน้ำทำให้น้ำมีสีเหมือนสีที่ใส่ลงไป ใจก็เช่นกัน ปกติก็ใสสะอาด แต่กลายเป็นใจดำ ใจง่าย ใจร้ายก็เพราะมีกิเลสเข้าไปอิงอาศัยผสมปนเปอยู่

อุปกิเลส คือกิเลสกิเลสที่หมักดองอยู่ในจิตหรือในสันดาล พร้อมที่จะระเบิดได้ทุกเมื่อ เมื่อมีเหตุ-ปัจจัย หรือประสบอีก

อนุสัย คือ กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิต เมื่อประสพอีกครั้ง หรือมีอะไรมากระทบก็จะทำให้กิเลสชนิดนั้น พรุ่งขึ้นมาที่จิต หรือเดือดขึ้นมาได้ เปรียบเสมือนตะกอนดินที่นอนอยู่ก้นแม้น้ำ  หรือนอนอยู่ก้นภาชนะที่ใส่ เมื่อเรากวนน้ำ น้ำนั้นก็จะขุ่นขึ้นมาทันทีเลย ฉันใดฉันนั้น นั่นละอนุสัยละ หรืออีกความหมายหนึ่งก็ คือสัญโญชน์ที่ยังละไม่ได้ นั่นเอง อนุสัยนั้น มีด้วยกัน ๗ อนุสัย

อนุสัย ๗ ประกอบด้วย
๑. ทิฏฐิ
๒. วิจิกิจฉา
๓. กามราคะ
๔. ปฏิฆะ
๕. ภวราคะ
๖. มานะ
๗. อวิชชา

สัญโญชน์ คือกิเลสที่ผูกมัดหรือยึดสัตว์โลกเอาไว้ ให้ยังเวียนว่ายตาย-เกิด อยู่ในวัฏฏะสงสาร มี ๑๐ สัญโญชน์

สัญโญชน์ ๑๐ ประกอบด้วย
๑. สักกายทิฏฐิ
๒. สีลัพพตปรามาส
๓. วิจิกิจฉา
๔. กามราคะ
๕. ปฏิฆะ
๖. รูปราคะ
๗. อรูปราคะ
๘. มานะ
๙. อุทธัจจะ
๑๐. อวิชชา

การที่ท่านจะละอนุสัย ละสัญโญชน์ได้นั้น ท่านจะรู้ด้วยตนเองเพราะมันเป็นปัจจัตตัง คือผู้รู้ รู้ได้เฉพาะตน เพราะมันเกาะอยู่ที่จิต เมื่อมันหลุดออกไปเราจึงรู้ได้ด้วยตนเอง และมันก็เป็นจริงเช่นนั้นด้วย

แต่การที่ท่านจะละสัญโญชน์ที่เป็นปรมัตถธรรมนั้น มันต้องระดับ อนาคามี และพระอรหันต์ เท่านั้น มันจึงยากมากครับ

ธรรม ๓ อย่างคือ อายตนะภายใน  อายตนะภายนอก และวิญญาณ

ตัวอย่าง เช่น

                            จักษุ(ตา)   +    รูป    +    จักขุวิญญาณ

เมื่อใดธรรม ๓ อย่างนั้นมาประจวบกันเข้า  ก็เกิดผัสสะ(สัมผัส กรณีนี้ คือ ตา เห็น รูป) เมื่อมีผัสสะเป็นปัจจัย ก็มีการเสวยอารมณ์(เกิดเวทนาขึ้น) คือ สุขบ้าง  ทุกข์บ้าง มิใช่ทุกข์มิใช่สุข(อุเบกขา)บ้าง
- เมื่อประสบสุขเวทนา  ย่อมเพลิดเพลิน  เพ้อหา เป็นอยู่ด้วยความติดใจ  มีราคานุสัยนอนเนื่องอยู่ในจิต (สะสมราคะไว้ในจิตไม่รู้ตัว)
- เมื่อประสบทุกขเวทนา  ย่อมเศร้าโศก  ลำบาก  ร่ำให้  ตีอกคร่ำครวญ  งมงาย  มีปฏิฆานุสัยนอนเนื่องอยู่ในจิต (สะสมความขัดเคืองไว้ในจิตไม่รู้ตัว)
- เมื่อประสบอทุกขมสุขเวทนา(อุเบกขา) ย่อมไม่รู้เท่าทันในความเกิดขึ้น  ความดับไป  คุณ  โทษ และวิธีสลัดเวทนานั้นตามความเป็นจริง  มีอวิชชานุสัยนอนเนื่องอยู่ในจิต (สะสมความไม่รู้ไว้ในจิตไม่รู้ตัว)

ในทำนองเดียวกัน ธรรม ๓ อย่างที่เหลือ
                            หู    +    เสียง  +   โสตวิญญาณ
                          จมูก  +    ดม     +   ฆานะวิญญาณ
                           ลิ้น   +    ลิ้มรส  +  ชิวหาวิญญาณ
                           กาย  +    โผฏฐัพพะ  + กายะวิญญาณ
                           ใจ    +    ธัมมารมณ์   + มโนวิญญาณ

              ก็จะเกิดอนุสัย นอนเนื่องอยู่ในสันดาล เหมือนหินทับหญ้า ฉันใดฉันนั้น

              อนุสัย ๗ นั้น ย่อ ๆ แบ่งออกไปเป็นสาม คือ โลภะ  โทสะ  โมหะ
               โลภะ  ได้แก่ กามราคะ
               โทสะ  ได้แก่ ปฏิฆะ อุทัจจะ
               โมหะ   ได้แก่ ทิฏฐิ  วิจิกิจฉา  มานะ  ภวราคะ  อวิชชา

               เช่นเดียวกัน สัญโญชน์ ๑๐ นั้น ย่อ ๆ แบ่งออกไปเป็น สาม คือ โลภะ  โทสะ  โมหะ
               โลภะ  ได้แก่ กามราคะ
               โทสะ  ได้แก่ ปฏิฆะ อุทัจจะ
               โมหะ   ได้แก่ สักกายะทิฏฐิ  สัลัพพตปรามาส วิจิกิจฉา    รูปราคะ  อรูปราคะ  มานะ  อวิชชา

                จะเห็นว่า โมหะ นั้น เกี่ยวข้องกับสัญโญชน์ และอนุสัย จำนวนมาก หลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ ท่านจึงสอนเน้นไปที่โมหะ อย่าหลงอยู่ในความคิด ให้ฝึกการมีสติ-สร้างความรู้สึกตัว  เขย่าธาตุรู้ หรือพุทธ ให้มันแสดงตนออกมาให้ได้ เมื่อรู้สึกตัว ความไม่รู้คืออวิชชา มันจะได้หมดไป (แต่มันอยากมาก เพราะมันจะตัดได้ก็ต้องระดับพระอรหันต์เท่านั้น  ตอนนี้อนุสัย  มันเป็นเพียงหินทับหญ้าเท่านั้น สำหรับผม แต่มันก็อ่อนแรงมากแล้ว คือมันถูกระงับได้ทางกาย  วาจา  แต่ใจมันยังไม่ระงับ)

                ขอให้ทุกท่านพิจารณาธรรมนี้ให้เห็นจริง เพราะกิเลส หรือทุกข์ มันมีต้นตอการเกิดแบบนี้ละ เมื่อเรารู้ต้นตอมันแล้ว เราก็ต้องแก้ที่เหตุ แห่งทุกข์ และขบวนการเกิดทุกข์ นั่นคือ อย่าเห็นว่า เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นของเรา ในรูป-นาม อายตนะภายใน  อายตนภายนอก วิญญาณ ผัสสะ เวทนา ที่เกิดขึ้น จงละเสียให้ได้เถิด เพราะมันเป็นต้นตอของการเกิดอนุสัย และสัญโญชน์ ที่ผูกมัดสัตว์ให้อยู่ในวัฏฏะสงสาร

                สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12953 เมื่อ: 04 กันยายน 2557, 20:56:16 »

ธรรมบูชา คุณอาจารย์ หลวงพ่อคำเขียน   สุวัณโณ

หนทางสู่พระนิพพาน




พระพุทธองค์ทรงกล่าวเอาไว้ว่า ตราบใดที่พระภิกษุ  พระภิกษุณี  อุบาสก  อุบาสิกา ยังปฏิบัติดี  ปฏิบัติชอบตามมรรคมีองค์ ๘ ประการอยู่ เมื่อนั้น พระอรหันต์ จะไม่สิ้นไปจากโลก

ปัจจุบันเราก็พบว่า คำกล่าวของพระพุทธองค์นั้น มันก็ยังเป็นความจริง เราเห็นพระอริยะสงฆ์ เสมอมา ที่ท่านแสดงตน แต่ยังมีอีกมากที่ท่านไม่แสดงตนให้เรารู้  ดังนั้น เชื่อมั่นได้ว่า พระนิพพาน นั้นมีจริง เราทุกคนสามารถที่จะเดินทางไปถึงได้

การที่จะเดินทางไปให้ถึงพระนิพพานได้นั้น มีหนทางสายเดียวเท่านั้น เป็นทางเอก ที่เราต้องเดินทางให้ตรง อย่าออกนอกเส้นทาง ด้วยความเพียรยิ่งยวด เราก็สามารถจะไปถึงจุดสุดท้ายได้ คือพระนิพพาน

เส้นทางสายเอกไปสู่ พระนิพพาน นั้นประกอบด้วย

๑. มีศรัทธา ในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า  เห็นจริงในพระธรรม และเชื่อมั่นในพระอริยสงฆ์
๒. มีศีล อย่างน้อยศีล ๘ เพื่อเอาชนะใจตนเอง
๓. สำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้เป็นปกติอยู่เสมอ ด้วยการสักแต่ว่า คือไม่ปรุงแต่งตาม
๔. รู้ประมาณในการบริโภค  อยู่ด้วยปัจจัย ๔ ที่พอเพียง
๕. ต้องศึกษาพระไตรปิฎก เพื่อยึดเป็นแนวทางในการตรวจสอบธรรม
๖. มีความเพียรเป็นเครื่องอยู่ ในการตั้งสติปัฏฐาน ๔ ที่จะมีสติ-สัมปชัญญะ เป็นปัจจุบัน
๗. ตั้งสติปัฏฐาน ๔ จนสติเป็นสมาธิสามารถละนิวรณ์ ๕ ได้
๘. ทำสติ ให้เป็นสมาธิ อยู่ในฌาณที่ ๑ ๒ ๓ ๔
๙. อยู่ด้วยฌาณที่ ๔ เป็นอารมณ์ น้อมนำจิตพิจารณาเห็นการเกิด-ดับ ของสัตว์โลก หรือมีบุคคลที่ สามมาแสดงธรรมให้ฟัง หรือให้จิตมันยกธรรมขึ้นมาพิจารณาเอง (ไม่ใช่คิด) ทำเพียงแค่นี้จริง ๆ ทุกสิ่งจะตามมาเอง ท่านจะรู้ด้วยตนเอง ขอเพียงมีวิริยะยิ่งยวดเท่านั้น

เพียงเท่านี้ ทางสายนี้เท่านั้น โดยมีโพชฌงค์ ๗ เป็นตัวช่วย ในการละนิวรณ์ ๕ เมื่อถึงเวลาที่มีเหตุ-ปัจจัยพอเหมาะ  พอดี เปรียบเสมือน แม่ไก่ฟักไข่ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม แม่ไก่จะปราถนาไม่ให้ลูกไก่เกิด หรือให้เกิด แม่ไก่ก็ทำไม่ได้ ลูกไก่จะเจาะเปลือกไข่ออกมาได้เอง ฉันใดฉันนั้น การตั้งสติปัฏฐาน ๔ เมื่อถึงเวลาเหมาะสม มันจะรู้ได้ด้วยตนเอง เพราะมันเป็นปัจจัตตัง คือผู้รู้  รู้ได้เฉพาะตน

เหตุที่ ปัจจุบัน คนจำนวนมาก ไม่สามารถไปถึงซึ่งพระนิพพานได้ เพราะ เดินออกนอกเส้นทาง  ไปตกหลุมพรางของมาร ในนิวรณ์ ๕ ความสงสัย ชื่อเสียง ลาภ สักการะ  สรรเสริญ ความสะดวกสบายในการดำรงค์ชีวิต และอวิชชา จึงไปไม่ถึงซึ่ง พระนิพพาน เพราะหนทางสายนี้ มันไม่สบายกายเลย ซึ่งจิตมนุษย์มันไม่ชอบ จิตมันไม่ต้องการหลุดพ้น

หลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ  ท่านก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า หนทางสายนี้เป็นจริง เป็นทางเอก ที่จะเดินไป สามารถไปถึง พระนิพพานได้

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12954 เมื่อ: 05 กันยายน 2557, 07:37:56 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

ต้องขอขอบคุณ คุณน้องต้อย  ที่ยังระลึกถึงกันอยู่

ต้องขอขอบคุณ พี่ปิ้ง  ที่มาทำให้กระทู้นี้ มีสาระขึ้น และมาระลึกถึงกัน  อย่างที่บอก พี่สิงห์ เป็นปู่โสมเฝ้าเวบ  ใครมีอะไร  เรียกใช้พี่สิงห์  แจ้งข่าวให้ทราบ ก็มาบอกกันที่นี่ละ

เช้านี้อยู่บ้าน ได้หุงข้าวใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน เดินจงกรมออกกำลังกาย และฝึกชิกง-โยคะ

คนคุยกันนั้น ถ้าไม่ใช่มีธาตุเดียวกัน จะคุยกันไม่รู้เรื่อง  ผิดใจกัน เลยเดียวนี้  ตั้งกฏตัวเอง ถ้าจะคุยกับใครเรื่องธรรมนั้น ต้องเป็นความต้องการของเขาเองก็จะคุยให้รับทราบ  ถ้าเป็นเรื่องทั่วไป  ถ้าเขาใจไม่เป็นกลาง จะย้ำเพียงสองครั้ง ขออุเบกขาดีกว่า เพราะเราระวังตนเองได้  แต่ระวังคนอื่นไม่ได้ ถ้าเขาจะดันทุรังแบบนั้น  ต้องปล่อยเขาไปไม่ก่อประโยชน์ที่จะคุยด้วย มีแต่โทษ  เพราะคนเรานั้นส่วนใหญ่หลงอยู่ในความคิดตนเอง  คิดเข้าข้างตนเอง เพราะความยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นเรา  เป็นตัวตนของเรา  เราเป็นนั่น นั่นเป็นของเรา อยู่อย่างนี้ มันจึงคุยกันไม่รู้เรื่อง

ในสมัยพุทธกาล  พระพุทธองค์ ท่านก็ไม่คุยด้วย  ยกเว้นบุคคลนั้น จะยอมรับความจริงในสิ่งที่สัตบุรุษยอมรับว่าจริง  ท่านถึงจะสนทนาด้วย  ไม่เช่นนั้นคุยกันไม่รู้เรื่อง มีแต่วิวาทกันเปล่า ๆ ไม่ก่อประโยชน์เสียเวลาทั้งคู่

การอยู่ในสังคมมนุษย์   ที่หลงตนเองนั้น มันอยู่อยาก  ต้องระวังตนเองเป็นที่ตั้ง อย่างเดียว อุเบกขาให้มาก ๆ  ก็จะอยู่ได้

ตา  หูุ จมูก  ลิ่น  กาย  ใจ  น่าขยะขะแยง  น่ากลัวมาก มันเป็นประตู่สู่นรกก็ได้  สวรรค์ก็ได้  พระนิพพานก็ได้  จึงไม่น่ายินดี ไม่น่าเพลินเพลินเลย ต้องเพียรระวังให้ดี  อุเบกขาได้นั้นประเสริฐยิ่ง

วันนี้ ต้องเดิินทางไปทำงานที่ PSTC สระบุรี  ค้างคืนสระบุรี หกโมงเช้าเดินทางไป วัดภูเขาทอง แกร่งคร้อ  ชัยภูมิ ไปถวายเพลิงสรีรสังขาร หลวงพ่อคำเขัยน  สุวัณโณ  คาดการว่าจะมีพระ-สามเณร สามพันรูป ขึ้นไป  และมีอุบาสก อุบาสิกา มากกว่าหนึ่งหมื่นคนขึ้นไป  ต้องลำบากเรื่องห้องน้ำ อาหาร ที่อยู่ ถนนหนทางรถติดแน่นอน เพราะสถานที่บนภูเขานั้น ที่จอดรถ  ความกว้างของถนน เป็นเพียงหมู่บ้าน บนดอย  แต่อย่างไร ทางวัดภูเขาทอง  หลวงพ่อพระไพศาล   วิสาโล  ในฐานะประธาน  จัดงาน ทราบดี  คงจะเตรียมการเอาไว้อย่างดีแล้ว

ประชาชน หมู่บ้านท่ามะไฟหวาน เปิดบ้านเป็นโฮมสเตย์พักฟรี  วัดป่าสุคะโต  วัดภูเขาทอง นอนได้ แต่ต้องเตรียมอุปกรณ์ไปเอง เราไปเพื่อระลึกถึงหลวงพ่อคำเขียน  คงลดซึ่งความสะดวกสบายลงได้

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
nok15
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 529

« ตอบ #12955 เมื่อ: 05 กันยายน 2557, 09:27:50 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 05 กันยายน 2557, 07:37:56
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

ต้องขอขอบคุณ คุณน้องต้อย  ที่ยังระลึกถึงกันอยู่

ต้องขอขอบคุณ พี่ปิ้ง  ที่มาทำให้กระทู้นี้ มีสาระขึ้น และมาระลึกถึงกัน  อย่างที่บอก พี่สิงห์ เป็นปู่โสมเฝ้าเวบ  ใครมีอะไร  เรียกใช้พี่สิงห์  แจ้งข่าวให้ทราบ ก็มาบอกกันที่นี่ละ

เช้านี้อยู่บ้าน ได้หุงข้าวใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน เดินจงกรมออกกำลังกาย และฝึกชิกง-โยคะ

คนคุยกันนั้น ถ้าไม่ใช่มีธาตุเดียวกัน จะคุยกันไม่รู้เรื่อง  ผิดใจกัน เลยเดียวนี้  ตั้งกฏตัวเอง ถ้าจะคุยกับใครเรื่องธรรมนั้น ต้องเป็นความต้องการของเขาเองก็จะคุยให้รับทราบ  ถ้าเป็นเรื่องทั่วไป  ถ้าเขาใจไม่เป็นกลาง จะย้ำเพียงสองครั้ง ขออุเบกขาดีกว่า เพราะเราระวังตนเองได้  แต่ระวังคนอื่นไม่ได้ ถ้าเขาจะดันทุรังแบบนั้น  ต้องปล่อยเขาไปไม่ก่อประโยชน์ที่จะคุยด้วย มีแต่โทษ  เพราะคนเรานั้นส่วนใหญ่หลงอยู่ในความคิดตนเอง  คิดเข้าข้างตนเอง เพราะความยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นเรา  เป็นตัวตนของเรา  เราเป็นนั่น นั่นเป็นของเรา อยู่อย่างนี้ มันจึงคุยกันไม่รู้เรื่อง

ในสมัยพุทธกาล  พระพุทธองค์ ท่านก็ไม่คุยด้วย  ยกเว้นบุคคลนั้น จะยอมรับความจริงในสิ่งที่สัตบุรุษยอมรับว่าจริง  ท่านถึงจะสนทนาด้วย  ไม่เช่นนั้นคุยกันไม่รู้เรื่อง มีแต่วิวาทกันเปล่า ๆ ไม่ก่อประโยชน์เสียเวลาทั้งคู่

การอยู่ในสังคมมนุษย์   ที่หลงตนเองนั้น มันอยู่อยาก  ต้องระวังตนเองเป็นที่ตั้ง อย่างเดียว อุเบกขาให้มาก ๆ  ก็จะอยู่ได้

ตา  หูุ จมูก  ลิ่น  กาย  ใจ  น่าขยะขะแยง  น่ากลัวมาก มันเป็นประตู่สู่นรกก็ได้  สวรรค์ก็ได้  พระนิพพานก็ได้  จึงไม่น่ายินดี ไม่น่าเพลินเพลินเลย ต้องเพียรระวังให้ดี  อุเบกขาได้นั้นประเสริฐยิ่ง

วันนี้ ต้องเดิินทางไปทำงานที่ PSTC สระบุรี  ค้างคืนสระบุรี หกโมงเช้าเดินทางไป วัดภูเขาทอง แกร่งคร้อ  ชัยภูมิ ไปถวายเพลิงสรีรสังขาร หลวงพ่อคำเขัยน  สุวัณโณ  คาดการว่าจะมีพระ-สามเณร สามพันรูป ขึ้นไป  และมีอุบาสก อุบาสิกา มากกว่าหนึ่งหมื่นคนขึ้นไป  ต้องลำบากเรื่องห้องน้ำ อาหาร ที่อยู่ ถนนหนทางรถติดแน่นอน เพราะสถานที่บนภูเขานั้น ที่จอดรถ  ความกว้างของถนน เป็นเพียงหมู่บ้าน บนดอย  แต่อย่างไร ทางสัดภูเขาทอง  หลวงพ่อพระไพศาล   วิสาโล  ในฐานะประธาน  จัดงาน ทราบดี  คงขะเตรียมการเอาไว้อย่างดีแล้ว

ประชาชน หมู่บ้านท่ามะไฟหวาน เปิดบ้านเป็นโฮมสเตย์พักฟรี  วัดป่าสุคะโต  วัดภูเขาทอง นอนได้ แต่ต้องเตรียมอุปกรณ์ไปเอง เราไปเพื่อระลึกถึงหลวงพ่อคำเขียน  คงลอซึ่งความสะดวกสบายลงได้

สวัสดี

สวัสดีค่ะพี่สิงห์

       พี่สิงห์มีบุญจริงๆ ได้ไปกราบและร่วมงานถวายเพลิงสรีรสังขารหลวงพ่อ

       

       
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12956 เมื่อ: 05 กันยายน 2557, 10:22:39 »

สวัสดีค่ะ คุณน้อง Nok 15 ที่รัก

ขอบคุณมาก

ยังมีเวลา เธอก็สามารถไปได้

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #12957 เมื่อ: 05 กันยายน 2557, 10:33:44 »

สวัสดีครับ พี่สิงห์ พี่ปิ้ง และพี่ๆ น้องๆ ทุกคนที่เข้ามากระทู้นี้

พี่ปิ้งน่ารักมากเลยครับ กลอนไพเราะ ได้ใจครับ

พี่สิงห์ ได้แสดงธรรมให้พี่ๆ น้องๆได้อ่านกัน วันนี้ผมได้สิ่งดีๆเพิ่มเติม
ทั้งเรื่อง อนุสัย สังโญชน์. เป็นประโยชน์ มาก ทั้งปัจจุบันนี้และภายหน้า ถ้าได้ปฏิบัติ และทบทวนตามความเป็นจริง
และสรุปให้เข้าใจง่ายๆ รวมอยู่ใน3 เรื่อง โลภะ โทสะ โมหะ. ดีมากเลยครับ

ต้องขอบคุณ พี่สิงห์อีกครั้ง ที่ยืนหยัด ในกระทู้นี้ และแสดงธรรม สอน เตือน พี่ๆ น้องๆ ไม่ให้หลงเพลิน อยู่ในกิเลส
ผมเองก็ได้ใช้ กระทู้พี่สิงห์เป็นเครื่องเตือนตน ได้เสมอ.
 อย่างน้อยถ้าผมคิดไม่ดี ทำไม่ดี แล้วผมแว๊วๆ ถึงพี่สิงห์ ในขณะนั้น ผมจะมีสติหยุดการกระทำที่ไม่ดีได้.
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #12958 เมื่อ: 05 กันยายน 2557, 11:24:08 »

พี่สิงห์


เดินทางปลอดภัยครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12959 เมื่อ: 05 กันยายน 2557, 19:32:16 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 05 กันยายน 2557, 11:24:08
พี่สิงห์


เดินทางปลอดภัยครับ

สวัสดีครับ คุณเหยง

ขอบคุณมากครับ

ที่โรงงาน PSTC ไปกัน 4 คน รวมทั้งคุณดิเรก กรรมการผู้จัดการ ที่อยากจะไปกราบหลวงพ่อพระไพศาล  วิสาโล  ในฐานะผู้ที่มีความศรัทธาในหลวงพ่อพะรไพศาล  วอสาโล  ที่ได้ติดตามท่านทาง ทวิตเตอร์

ถ้ารวมพี่สิงห์ ด้วยก็ไปด้วยกัน 5 คน ออกเดินทางจากสระบุรี หกโมงเช้า  คาดว่าจะไปถึงที่วัดภูเขาทอง ได้ ทันกินข้าวเพล ที่วัด  ถ้ารถไม่ติดมากนัก

คืนนี้นอนที่สระบุรี แกรนด์ จรูญรัตน์ อพาทเม้นต์

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12960 เมื่อ: 05 กันยายน 2557, 19:39:46 »

สวัสดีครับ คุณสมชาย

ขอบคุณมากครับ ที่ยังติดตามอ่านอยู่

ขอให้พิจารณาธรรม ที่เอามาบอกนี่ให้เห็นธรรม หรืออย่างน้อยสามารถเข้าใจได้ทางโลก คือท่องจำได้เอาไว้ก่อน เพราะเป็นหัวใจของธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้และเอามาสอนให้พวกเราคนรุ่นหลังได้เรียนรู้ และเอามาปฏิบัติได้ มันเป็นเรื่องใกล้ตัว ที่เราไม่ทราบมาก่อนทั้งนั้น หาไม่ได้ง่ายเลย โดยเฉพาะการเกิดอนุสัย สัญโญชน์ ว่ามันมีต้นตออย่างไร และสามารถรวมแล้วเหลือเพียง โลภะ  โทสะ  โมหะ อย่างไร ?

ถ้าเราเข้าใจมัน  เราก็สามารถจะละมันได้ในทางโลกส่วนหนึ่ง ชีวิตเราก็จะสุขสงบได้ในปัจจุบัน

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12961 เมื่อ: 05 กันยายน 2557, 19:56:57 »

ธรรมบูชา คุณอาจารย์ หลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ

ตัวชี้วัด สถานะของพระอริยะสงฆ์-บุคคล ในพุทธศาสนา





พระพุทธองค์ ทรงแบ่งระดับของพระอริยะบุคคล หรือพระอริยสงฆ์ ไว้ ๔ ระดับ คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์

พระโสดาบัน ต้องละสัญโญชน์ ๓ คือสักกายะทิฏฐิ สีลัพพตปรามาส วิจิกิจฉา  และอนุสัย ๒ คือทิฏฐิ  วิจิกิจฉา

พระสกทาคามี ต้องละสัญโญชน์ เพิ่มอีก ๒ คือ กามราคะ ปฏิฆะ และละอนุสัย เพิ่มอีก ๒ คือ กามราคะ และปฏิฆะ ในส่วนที่หยาบ คือการประพฤติทางกาย และวาจา ลงเสียได้ หรือ มีความโลภ  ความโกรธ  ความหลง เบาบางลง

พระอนาคามี ต้องละสัญโญชน์ เพิ่มอีก ๒ คือ กามราคะ ปฏิฆะ และละอนุสัย เพิ่มอีก ๒ คือ กามราคะ และปฏิฆะ ในส่วนที่ละเอียด คือการประพฤติทางใจ ลงเสียได้โดยเด็ดขาด

พระอรหันต์ ต้องละสัญโญชน์ในส่วนที่เหลือ คือสัญโญชน์ ขั้นสูง ๕ คือ รูปราคะ  อรูปราคะ อุทัจจะ มานะ อวิชชา และอนุสัย ๔ คือ ภวราคะ อุทัจจะ มานะ อวิชชา

จะเห็นได้ว่าตัวชี้วัด ความเป็นพระอริยะบุคคล นั้น คือการละสัญโญชน์ และการละอนุสัยอนุสัย ได้เด็ดขาด ซึ่งผู้ปฏิบัติจะสามารถรู้ได้ด้วยตนเอง เพราะเป็นปัจจัตตัง  ซึ่งมันก็เป็นความจริง คือจิตมันเปลี่ยนไปจากเดิม เราจะรู้ของเราเองว่า เราสามารถละสัญโญชน์ และละอนุสัย ตัวไหนได้บ้าง

นอกจากนี้ยังมีตัวชีวัด อีกตัวหนึ่ง คืออริยะทรัพย์ ที่เกิดขึ้นกับตัวผู้ปฏิบัติเอง ได้แก่
๑. มีศรัทธาในพระพุทธอเจ้า  เชื่อมั่นในพระธรรม  เคารพในพระสงฆ์
๒. มีศีล หรือรู้ว่าความเป็นพระมันเกิดขึ้นในจิต เพราะมันจะลาป กระทำแต่สิ่งที่เป็นกุศล
๓. มีพหุสัจจะ คือใฝ่การเรียนรู้ในพระธรรม และสามารถรู้ได้ว่าธรรมนั้น ถูกต้องหรือไม่ ตามคำสอนของพระพุทธองค์
๔. มีจาคะ คือเป็นผู้ให้ เป็นผู้อนุเคราะห์ ใจบุญ ชอบช่วยเหลือคน และสัตว์
๕. มีหิริ คือมีความละอายในการทำบาป
๖. มีโอตัปปะ คือมีความเกรงกลัวในการทำบาป
๗. มีปัญญา ไม่หลงอยู่ในความคิด จะกระทำในสิ่งที่เป็นกุศล ก่อประโยชน์ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน มีสติ-สัมปชัญญะ

อริยะทรัพย์ นี้ มันเกิดขึ้นเองในจิต เมื่อจิตเปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งผู้ปฏิบัติจะรู้ได้ด้วยตนเอง เพราะมันเป็นปัจจัตตัง มันเกิดมีขึ้นจริง ๆ จะมากจะน้อยมันขึ้นกับระดับของ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ (รับรองได้ไม่หมด)

ขอทุกท่านจงค้นพบอริยะทรัพย์ นี้ด้วยตนเองเถิด แล้วท่านจะทราบด้วยตัวของท่านเอง ว่าท่านมีอริยะทรัพย์ อยู่เท่าไร

ถามว่าการละสัญโญชน์ การละอนุสัย และการมีอริยะทรัพย์นั้น บุคคลภายนอกสามารถจะทราบได้ไหม ?

คำตอบคือสามารถทราบได้บางส่วน ถ้าท่านเหล่านั้นแสดงธรรม  สอนธรรม และการประพฤติทางกาย วาจา ของท่าน ให้เราเห็น เราก็จะทราบได้ (เฉพาะผู้รู้ หรือผู้ที่มีอริยะทรัพย์ ด้วยกัน เท่านั้น ที่จะทราบได้ ด้วยกันเอง  เพราะผู้รู้ หรือผู้มี ได้รู้ของตนเองมาก่อน ย่อมจะมองออกได้)

หลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ  ท่านก็ได้แสดงอริยะทรัพย์ ให้เราได้เห็นเสมอมา อยู่ที่ว่าใครจะมองออก หรือไม่ออก ตามสติปัญญาของตนเองเท่านั้น

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12962 เมื่อ: 06 กันยายน 2557, 04:48:53 »

วันเสาร์ที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๗

เวลา ๑๕:๐๐ น. ถวายเพลิงสรีระสังขาร หลวงพ่อคำเขียน  สุวณฺโณ

ระลึกถึงพระคุณของหลวงพ่อคำเขียน   สุวณฺโณ




เนื่องจากผมศึกษาพระไตรปิฎกฉบับประชาชนด้วยตนเอง  และได้พบว่าการตั้งสติปัฏฐาน ๔ นั้น เป็นวิธีปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ถาวร เป็นทางสายเดียวเท่านั้น

จึงได้ถามผู้รู้ และได้รับคำแนะนำจาก อาจารย์ถาวร  โชติชื่น ให้ยึดหลักแนวทางสร้างจังหวะมือ ๑๔ จังหวะในการเจริญสติ-สร้างความรู้สึกตัว จากการอ่านหนังสือของ หลวงพ่อเทียน  จิตตฺสุโภ

ได้ทำความเพียรด้วยตนเองที่บ้าน  ที่ทำงาน ให้ต่อเนื่อง จนมีวันหนึ่งสามารถแยกความรู้สึกตัวออกจากความคิดตนเองได้ รู้พฤติกรรมของจิต รู้จักคำว่าเปลี่ยนอิริยาบถ รู้จักคำว่าบัญญัติ-ปรมัตถ์ และอื่น ๆ อีกมากตามที่หลวงพ่อเทียน  ท่านกล่าวเอาไว้ในหนังสือ (ไม่ได้รู้จากการคิด อ่าน เข้าใจ แต่รู้ด้วยเห็นจริงตามนั้น) ได้แต่เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้เงียบ ๆ

และคิดว่าถึงเวลาที่จะต้องมีครู อาจารย์ แล้วในการปฏิบัติธรรม จึงเปิดเวบ สมัคร มาเข้ารับการอบรมการปฏิบัติธรรมที่วัดป่าสุคะโต เป็นการให้รางวัลชีวิต ที่มีอายุครบ ๖๐ ปี โดยไม่ทราบมาก่อน และไม่รู้จักด้วยว่า ที่วัดป่าสุคะโตนั้น มีหลวงพ่อคำเขียน  สุวณฺโณ และพระไพศาล  วิสาโล  แต่ประการใด

หลวงพ่อคำเขียนนั้น ไม่รู้จัก แต่พระไพศาล นั้นเคยได้อ่านหนังสือของท่านและชอบใจสิ่งที่ท่านเขียน

เมื่อมาวัดป่าสุคะโต ก็ได้ปฏิบัติธรรม ด้วยความเพียร ปฏิบัติตามที่พระอาจารย์ทรงศิลป์ สอนทุกอย่าง แต่ก็ไม่มีความก้าวหน้าเลย ไม่มีอาการง่วงนอนแต่ประการใด มีแต่ความรู้สึกตัวเป็นส่วนใหญ่

เมื่อคืนสุดท้ายก่อนที่จะจบหลักสูตร ได้มากราบ รูปของหลวงพ่อเทียน   ได้ตั้งความปรารถนาเอาไว้สามประการ คือ ธรรมใดที่ยังไม่รู้ขอให้ได้รู้ ขอให้ได้กราบหลวงพ่อคำเขียน และขอให้ได้ถ่ายภาพกับหลวงพ่อคำเขียน

เช้ามืดวันนั้น ได้เจริญสติ จนเป็นสมาธิ(ละนิวรณ์ ๕) พิจารณาธรรม(ไม่ได้คิด)ตามที่หลวงพ่อคำเขียน กำลังบรรยายอยู่ เรื่องการเจริญสติ และสภาวะของธรรมกาย ที่มีสติสมบูรณ์  ก็เกิดความอิ่มเอิบใจยิ่งแบบไม่เคยรู้สึกมาก่อน ได้เข้าใจในธรรมนั้นแบบไม่มีความสงสัย เหมือนท่อน้ำที่อุดตันได้รับการทะลวงให้น้ำไหลผ่านได้สะดวก

หลังจากบรรยายเสร็จ หลวงพ่อคำเขียน  สุวณฺโณ ก็เดินมาหยุด ณ ที่ผมนั่งอยู่ ท่านได้ทักถามว่า โยมมาจากไหน ? ทำให้ได้โฮกาสก้มกราบหลวงพ่อคำเขียน  สุวณฺโณ  เป็นครั้งแรก  ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้น ท่านก็มาทำวัตรเช้า บรรยายธรรม มาสามวันแล้ว แต่จิตมันบอกตนเองว่า ไม่เหมาะสม เพราะมีคนไปกราบหลวงพ่อมาก พอแล้ว เรามาปฏิบัติธรรม

เช้าวันนั้น ที่ศาลาหอฉันภัตตาหาร  เมื่อหลวงพ่อ ได้ฉันอาหารเสร็จสิ้นแล้ว ไม่มีญาติโยมไปกราบท่าน มีแต่ผมคนเดียว หลวงพ่อได้เดินมา ผมจึงได้ไปกราบท่านอีกครั้ง และได้รายงานเรื่องการปฏิบัติธรรม ที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มต้น ให้หลวงพ่อได้รับทราบ และถามข้อข้องใจในผลการปฏิบัติที่ผ่านมา

หลวงพ่อ ได้ตอบกลับมาว่า “อาตมาขออนุโมทนากับโยมด้วย เพราะน้อยคนนักที่จะมาถึงจุดนี้ได้  การปฏิบัติธรรมนั้น มันง่าย ๆ ธรรมดา ๆ อย่างนี้แหละ  ไม่มีอะไร มีแต่สติ-ความรู้สึกตัวล้วน ๆ นี่เอง  ขอให้ปฏิบัติต่อไป มาถูกทางแล้ว” หมดข้อสงสัยแล้ว หลวงพ่อก็เดินจากไป

ผมได้ไปอาบน้ำ เก็บเสื่อ ผ้าห่ม มุ้ง เอาไปคืนวัด ใจคิดว่า คงไม่ได้ถ่ายภาพกับหลวงพ่อแล้วตอนนั้น

แต่เมื่อไปถึงที่ ที่คืนสิ่งของ ของวัด เห็นหลวงพ่อ กำลังยืนรดน้ำต้นไม้ และมีพยาบาลยืนอยู่สองท่าน กำลังถ่ายภาพกับหลวงพ่ออยู่ ในกระเป๋าของเรามีกล้องถ่ายรูปอยู่พอดี จึงขออนุญาตหลวงพ่อ ขอถ่ายรูปกับหลวงพ่อเป็นที่ระลึก โดยได้ให้พยาบาลช่วยถ่ายให้

เป็นอันว่าความปรารถนาทั้งสามนั้นครบ ตามที่ได้ตั้งความปรารถนาเอาไว้

แต่สิ่งที่ได้ คือธรรมที่หลวงพ่อคำเขียน  สอนในเช้าวันนั้น เพราะตั้งแต่นั้นมาไม่มีความลังเลสงสัยในพระธรรม และวิธีเจริญสติเลย

พระคุณของหลวงพ่อคำเขียน  สุวณฺโณ  ยิ่งใหญ่นักที่ศิษย์ได้รับความเมตตาจากท่านในวันนั้น ขอทำความดี ละบาปทั้งปวง ตามแบบที่หลวงพ่อได้สอนเอาไว้ และหลวงพ่อได้ปฏิบัติจนเห็นผลมาแล้วว่า พระนิพพาน นั้นสามารถไปถึงได้

ขออนุโมทนา

มานพ   กลับดี
      บันทึกการเข้า
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #12963 เมื่อ: 06 กันยายน 2557, 06:40:48 »

สวัสดีค่ะพี่สิงห์
กราบขอบพระคุณในคำสอน สาธุ

อาทิตย์นี้มีไปฟังเทศน์ "อธิฐานบารมี" ที่วัดจัดช่วงเข้าพรรษาค่ะ
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12964 เมื่อ: 06 กันยายน 2557, 11:59:03 »



อักษรสุดท้ายที่หลวงพ่อเขียนก่อนละสังขาร "พวกเราขอให้หลวงพ่อตาย"
หลังจากนั้นท่านก็นอนพนมมือ หลับตา ละสังขารจากไปด้วยสติ-สัมปชัญญะ สาธุ





พี่สิงห์  อยู่วัดภูเขาทองวนาราม  หมู่บ้านมะไฟหวาน แกร่งคร้อง ชับยภูมิ มาร่วมงานละสังขารของหลวงพ่อคำเขียน  สุวณฺโณ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12965 เมื่อ: 06 กันยายน 2557, 12:11:19 »








ตอนนี้พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ทะยอยมาร่วมงานละสังขาร หลวงพ่อคำเขียน  สุวณฺโณ ตอนนี้จะเต็มวัดแล้ว

รู้สึกว่าทาง โทรทัศน์ NBT จะถ่ายทอดสดครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12966 เมื่อ: 06 กันยายน 2557, 13:34:17 »



หลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ

ท่านอยู่แบบไม่มีอะไร  ไม่เป็นอะไร

ฝนตกแต่ไม่มาก หลวงพ่อพระไพศาล  วิสาโล

กำลังบรรยายธรรม

พวกเราขอให้หลวงพ่อตาย(ท่านเขียนใส่กระดาศให้ลูกศิษย์) ท่านพนมมือบอกลาลูกศิษย์ที่ดูแล

ท่านขอตัวไปล้างหน้า ทำความสะอาดร่างกาย เดินกลับมานอนพนมมือ ท่านก็พนมมือหลับตาและจากไปเมื่อตีห้า ท่านอยู่ด้วยสติ ตายจากไปด้วยมีสติ

ความตายไม่มีใครหนีพ้น แต่การมีสติสามารถยกขึ้นเหนือความตายได้ การจากไปด้วยสตินั้นเป็นไปได้ที่หลวงพ่อแสดงให้ดูตอนจากไปด้วยการมีสติรู้ตัวจากไปเฉย ๆ ด้วยการมีสติในวินาทีสุดท้าย

หลวงพ่อคำเขียน จากไปแต่สังขาร แต่หลวงพ่อไม่ได้เอาธรรมที่สอนไปด้วย ธรรมนั้นยังอยู่ ขอให้ทุกท่านปฏิบัติตามคำสอนของท่าน มีสติ รู้สึกตัว ไม่ประมาท นั่นละจึงได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ของหลวงพ่อคำเขียน แท้จริง ในสิ่งที่ท่านแสดงให้ดูในวาระสุดท้ายจากไปด้วยสติ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12967 เมื่อ: 06 กันยายน 2557, 14:11:49 »



ฝนหยุดตก

ได้สวดมาติกาพระอภิธรรม พร้อมคำแปล

สิบห้านาทีก่อนที่หลวงพ่อคำเขียนจะละสังขาร

ท่านได้เดินไปเข้าห้องน้ำด้วยตัวของท่านเอง ล้างหน้า  ล้างมือ ชำระร่างกายให้สะอาด พนมมือไหว้ขอบคุณศิษย์ ที่ดูแล ไปนอนตะแคงขวา ขอกระดาษมาเขียนหนังสือ ขอให้ท่านตาย ท่านนอนพนมมือหลับตา และละสังขารไปด้วยการมีสติ

ตอนนี้ได้เริ่มพิธี วางเทียนหอม สักการะ เป็นครั้งสุดท้าย ทั้งพระ อุบาสก อุบาสิกา หน้าจิตกาธาร  จบพิธี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12968 เมื่อ: 06 กันยายน 2557, 21:09:30 »



การวางเทียนหอมสักการะสรีระสังขารของหลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ

นั้น แทนการใช้ดอกไม้ไฟ เพราะครูของท่านคือ หลวงพ่อเทียน ส่วนความหอมนั้น เป็นความหอมของธรรมชาติ ที่หลวงพ่อคำเขียน ท่านรักป่า ปลูกป่า และอนุรักษ์ป่าไม้

พระภิกษุ สามเณร วางดอกเทียนหอมที่หน้าจิตกาธาร

แม่ชี อุยาสก  อุบาสิกา วางดอกเทียนหอม ที่รูปยืนของหลวงพ่อ ตามจุดต่าง ๆ ๕ จุดรอบ ๆ เมรุ เพื่อให้คนจำนวนมากได้สักการะ หลวงพ่อ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12969 เมื่อ: 06 กันยายน 2557, 21:16:22 »



ประชาชนที่ศรัทธา หลวงพ่อ ภายหลังวางดอกเทียนหอมเสร็จ ก็ทะยอยกันกลับบ้าน

เนื่องจากมีคนจำนวนมาก ทุกคนจึงไม่ได้ยึดมั่่นถือมั่น อะไรมากนัก ขอเป็นส่วนหนึ่งที่มากราบท่าน เป็นครั้งสุดท้าย ก็พอแล้ว

ของชำร่วยเป็นหนังสือ CD และรูปของหลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ

ตอนนี้อยู่สระบุรีแล้วครับ นอนค้างอีกหนึ่งคืน กลับ กทม.พรุ่งนี้เช้า

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12970 เมื่อ: 06 กันยายน 2557, 21:19:45 »



ได้แวะไปวัดป่าสุคะโต  เห็นภาพนี้ก็รู้ได้ทันทีว่า กระดูกธาตุขันธ์ ของหลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ  ส่วนหนึ่งคงจะเอามาบรรจุที่นี้ ที่ได้เตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

เพราะวัดป่าสุคะโต  หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ  เป็นผู้จับจองที่ดิน และสร้างวัด  ได้ตั้งชื่อให้ว่า วัดป่าสุคะโต แปลว่า ไปแล้วด้วยดี(นิพพาน)

ลูกศิษย์  จึงอยากเอาธาตุขันธ์ของท่านเอามาไว้ที่วัดป่าสุคะโต เพราะหลวงพ่อขอตายที่สุคะโต

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12971 เมื่อ: 07 กันยายน 2557, 08:56:37 »



ของชำร่วย ที่แจกในงานละสังขาร หลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ

เป็นหนังสือสองเล่มคือ รู้ซื่อ ๆ และ ตถตา ทางวัดป่าสุคะโต จัดพิมพ์ขึ้นเนื่องในงานละสังขารของหลวงพา่อโดยเฉพาะในครั้งนี้ เป็นธรรมของหลวงพ่อคำเขียน  สุวณฺโณ

และยังมีรูปหลวงพ่อ และ CD บรรยายธรรมของหลวงพ่อ

รู้ซื่อ ๆ ไม่เป็นอะไร  ไม่เอาอะไร ? คือ ความเป็น "อนัตตา" ได้แก่ ความไม่มีเรา ไม่เป็นตัวตนของเรา เราไม่ได้มีนั่น นั่นไม่ได้เป็นเรา-เป็นของเรา

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12972 เมื่อ: 07 กันยายน 2557, 09:02:12 »





ช่องบรรจุธาตุขันธ์ ของหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ  ที่วัดป่าสุคะโต จัดเตรียมเอาไว้(คาดเดาเอาครับ)


วัดป่าสุคะโต เปลี่ยนไปมาก

ถนนที่เคยเป็นดิน ได้เปลี่ยนเป็นถนนคอนกรีต และทำที่จอดรถ
ใต้ถุนหอไตร ก็ปูกระเบื้อง เพื่อให้สามารถกางเต้นนอนในหน้าฝน
ห้องน้ำทำใหม่ ปูกระเบื้องทุกหลัง และเปลี่ยนโถส้วมใหม่
ศาลาไก่ หลังเก่าที่เป็นอาคารไม้ที่เป็นศาลาธรรม ทำบุญ และที่อยู่ของหลวงพ่อคำเขียน  ได้รื้อและสร้างใหม่ ทำเป็นสถานที่อยู่ ห้องทำงานของหลวงพ่อพระไพศาล

ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลง แต่เป็นไปในทางที่ดีขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติธรรม

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12973 เมื่อ: 07 กันยายน 2557, 10:01:19 »



สรีระสังขาร ของหลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ บนจิตกาธาร เมรุวัดภูเขาทอง แกร่งคร้อ ชัยภูมิ



สรีระสังขาร ของผู้รู้ซื่อ ๆ ไม่เป็นอะไร ไม่เอาอะไร = ความเป็นอนัตตา

หลวงพ่อคำเขียน   สุวัณโณ



พระสงฆ์ แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ประชาชนทั่วไป สวดพระอภิธรรม แปล



จุดวางดอกไม้เทียนหอม แทนดอกไม้จัน ธูป เทียน





ถึงฝนจะโปรยปรายลงมา แต่เหล่าศิษย์ ก็ไม่ได้ถ้อถอย อยู่จนฝนหาย มีแต่ความชุ่มชื่นจิต ที่ได้เป็นส่วนร่วมในการละสังขารของหลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12974 เมื่อ: 07 กันยายน 2557, 16:28:52 »














วันนี้เช้าที่วัดภูเขาทอง แกร่งคร้อ  ชัยภูมิ

หลวงพ่อขพระไพศาล  วิสาโล  เป็นประธานทำบุญเช้าฉลองอัฏฐิธาติ หลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ

พี่สิงห์  นำภาพมาจากที่ทางวัดป่าสุคะโต ครับ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 517 518 [519] 520 521 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><