22 พฤศจิกายน 2567, 20:31:33
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 512 513 [514] 515 516 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3546966 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 11 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12825 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2557, 05:36:55 »



เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย  ผลจึงมีสังขารา

เพราะความไม่รู้  คนจึงต้องคิดปรุงแต่งไปในอนาคต และอดีตที่ผ่านมา



เมื่อเปลี่ยนอวิชชาให้เป็นวิชชา คือให้มีสติ หรือรู้สึกตัว คนจะไม่คิด

เมื่อรู้  ความไม่รู้ก็หมดไป การคิดก็ดับ เพราะ อวิชชาดับ

มันเป็นเช่นนี้แล

สวัสดีตอนเช้าครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12826 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2557, 05:56:41 »



เพราะมี สังขาร เป็นปัจจัย  ผลจึงมี วิญญาณ

เมื่อท่านคิดปรุงแต่ง  ท่านจึงสามารถรับรูุ้ หรือรู้แจ้ง ได้

วิญญาณ แปลว่าความรู้แจ้ง รู้แจ้งทางตา หู  จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะภายใน) ที่สัมผัสกับ รูป เสียง กลอ่น รส สัมผัสกาย  สัมผัสใจ (อายตนะภายนอก) เกิดจักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานะวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายะวิญญาณ และมโนวิญญาณ

วิญญาณ  ไม่ได้แปลว่าดวงวิญญาณ ตามที่เราเข้าใจกัน เพราะเวลาคนตายก็ไม่เห็นดวงวิญญาณลอยออกจากร่างแต่ประการใด

วิญญาณ เป็นส่วนหนึ่งของ นาม หรือจิต ไม่มีรูปร่างทั้งสิ้น เป็นเพียงการรู้แจ้งทางอารมณ์ที่มากระทบหรือสัมปัสทางทวารทั้งหก หรืออยาตนะ เท่านั้น คนจึงรู้สึกได้ สัมปัสได้ในความรับรู้นั้น

แต่ถถ้าท่านไม่รู้สึกตัว แสดงว่าท่านกำลังคิด หรือปล่อยจิตออกนอกกาย จึงก่อความทุกข์ร่ำไป

ถ้าปราศจากสังขาร  ก็ไม่มีวิญญาณ หมายความว่า

ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ แสดงว่าท่าน มีสติ หรือรู้สึกตัวอยู่ที่กาย เวทนา จิต ธรรม และทางทวารทั้ง ๖

กรณีท่านตาย ท่านก็ไม่คิดปรุงแต่ง  การรับรู้ก็ไม่มี คือวิญญาณไม่มี

สังขาร  วิญญาณ  มันเป็นธรรมชาติที่จะต้องอิงอาศัยกันแลกัน จึงเป็นผล-ปัจจัย ซึ่งกันและกัน

ด้วยประการฉะนี้แล

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12827 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2557, 08:24:49 »


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

เมื่อคืนนอนที่นารายฮิลล์รีสอร์ท

ตอนเช้าเลยออกกำลังกายตีกอล์ฟ ครบ ๑๘ หลุมแล้ว กำลังจะออกจากรีสอร์ท ไปทำงานทีา PSTC คอนกรีต  

เช้านี้อากาศที่สนามกอล์ฟดีมาก มีลมพัดเย็น ๆ มีแสงแดดอ่ออน เหมาะแก่การรับวิตามีน D จากแสงแดดมากเลย

สนามกอล์ฟนารายฮิลล์รีสอร์ท มีราคาพิเศษสำหรับผู้สูงอายุ ๖๐ ปีขึ้นไปคิดราคา 540 บาท วันหยุดคิดราคา 1080 บาท

ใช้เวลาในการตีกอล์ฟ ๑๘ หลุม ไม่ถึงสองชั่วโมง เพราะใช้รถ เนื่องจากต้องไปทำงานด้วย จึงไม่ได้เดินตี

สวัสดี

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12828 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2557, 16:00:51 »













หลวงพ่อคำเขียน  สุวณฺโณ

เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ตั้งแต่ปี 2549

ปัจจุบันหลวงพ่อ  รักษาตัวอยู่ที่วัดป่าสุคะโต  อำเภอแกร่งค้อ จังหวัดชัยภูมิ

สังขาร แลร่างกาย จิตใจ รูปธรรม  นามธรรม  มันไม่เที่ยงหนอ !
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #12829 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2557, 18:01:15 »

ท่าทางท่านยังเข้มแข็งมากเลยครับพี่สิงห์
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12830 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2557, 19:43:45 »




หลวงพ่อสมบูรณ์  ท่านก็เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง  แต่ท่านหายแล้ว

หลวงพ่อคำเขียน  ก็เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ท่านก็รักษา

เหตุ-ปัจจัย อะไรหนอ? ที่ทำให้พระสายวัดป่าทางกรรมฐานสายนี้ ระดับอาจารย์ ต้องเป็นมะเร็ง

หลวงพ่อเทียน  บรมครูสายนี้ ท่านก็จากโลกนี้ไปด้วยโรคมะเร็ง (เข้าใจว่า มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เช่นกัน)

มะเร็งนี้  มันเกิดจากอะไร  อาหาร หรือ?

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12831 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2557, 19:46:08 »

อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 29 กรกฎาคม 2557, 18:01:15
ท่าทางท่านยังเข้มแข็งมากเลยครับพี่สิงห์



หลวงพ่อคำเขียน ไปเยี่ยม อาจารย์กำพล

อาจารย์กำพล ไปเยี่ยม หลวงพ่อคำเขียน



สวัสดีครับ ป๋าพธู

หลวงพ่อคำเขียน ท่าน ไม่ได้ป่วยใจ  แต่กายมันป่วย ไปตามกาลและตามเหตุ-ปัจจัย ของมัน

ระลึกถึงครับ ป๋าพธู

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
supichaya
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2524
คณะ: เศรษฐศาสตร์
กระทู้: 213

« ตอบ #12832 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2557, 11:27:49 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 29 กรกฎาคม 2557, 08:24:49

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

เมื่อคืนนอนที่นารายฮิลล์รีสอร์ท

ตอนเช้าเลยออกกำลังกายตีกอล์ฟ ครบ ๑๘ หลุมแล้ว กำลังจะออกจากรีสอร์ท ไปทำงานทีา PSTC คอนกรีต 

เช้านี้อากาศที่สนามกอล์ฟดีมาก มีลมพัดเย็น ๆ มีแสงแดดอ่ออน เหมาะแก่การรับวิตามีน D จากแสงแดดมากเลย

สนามกอล์ฟนารายฮิลล์รีสอร์ท มีราคาพิเศษสำหรับผู้สูงอายุ ๖๐ ปีขึ้นไปคิดราคา 540 บาท วันหยุดคิดราคา 1080 บาท

ใช้เวลาในการตีกอล์ฟ ๑๘ หลุม ไม่ถึงสองชั่วโมง เพราะใช้รถ เนื่องจากต้องไปทำงานด้วย จึงไม่ได้เดินตี

สวัสดี


พี่สิงห์รักษาสุขภาพดีมากเลยค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12833 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2557, 20:46:54 »


เพราะมี วิญญาณ เป็นปัจจัย ผลจึงมี นาม-รูป

วิญญาณ ประกอบด้วย จักษุวิญญาณ  โสตวิญญาณ ฆานะวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายะวิญญาณ และมโนวิญญาณ เพราะวิญญาณเหล่านี้รับรู้จากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเป็นประตูในการรับรู้ หรือรู้แจ้ง

ดังนั้น จึงต้องมีนาม-รูป มันก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ

นาม-รูป ประกอบไปด้วย รูป เวทนา สัญญา  สังขาร วิญญาณ

รูป ประกอบไปด้วยธาตุ ดิน  น้ำ  ไฟ  ลม ที่ประชุมร่วมกันด้วยเหตุ-ปัจจัย จึงประกอบเป็นรูปร่างหน้าตา มีอวัยยวะ ๓๒ และมีตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ เป็นประตูในการรู้แจ้ง(วิญญาณ)

แต่ถ้าไม่มีวิญญาณ  ก็ไม่มีรูป-นาม  หรือไม่ก็เมื่อคนตายแล้ว รับรู้ไม่ได้  รูป-นาม ก็คือธาตุดิน  น้ำ  ไฟ  ลม ธรรมดา รับรู้อะไรไม่ได้เลย มีแต่ผุ เน่า เปื่อย ไปตามกาล

ดังนั้น เมื่อมีวิญญาณ  จึงต้องมี รูป-นาม  ถ้าไม่มีรูปนาม - ก็ไม่มีวิญญาณ  ฉันใดฉันนั้น ด้วยประการฉะนี้แล
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12834 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2557, 08:58:21 »

สวัสดีชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่านครับ

พี่สิงห์ อยู่สนามบินดอนเมือง รอขึ้นเครื่องไปสุราษฎร์ธานี และไปนครศรีธรรมราช

วันนี้ต้องทำงานหนัก และเดินทางมาก

เพราะการเกิดนีี่ละ  จึงมีแต่ทุกข์ 

ที่สุราษฎร์ธานี เขาจะขอคำปรึกษาเรื่องการทำไม้หมอนคอนกรีตรถไฟ เขาจะเอาแบบ ผู้ว่าจ้าง มาคุยด้วย

หลังจากนั่นก็เดินทางโดยรถยนต์ไปทำงานที่นครศรีธรรมราช

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12835 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2557, 09:07:54 »



เพราะมี รูป-นาม เป็นปัจจัย ผลจึงมี สฬายตนะ

รูป-นาม  ประกอบไปด้วย รูป เวทนา  สัญญา  สังขาร และวิญญาณ ไม่มีความเป็นตัวตนเลย เพราะเราไม่มีอำนาจเหนือรูป-นาม แต่ประการใด

สฬายตนะ นั้น ประกอบไปด้วย อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖
อายตนะภายใน ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
อายตนะภายนอก  ๖คือรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย สัมผัสทางใจ

เพราะมีรูป-นาม  จึงต้องมีสฬายตนะ เพื่อเอาไว้รับรู้ หรือ รู้แจ้ง หรือวิญญาณ เพราะนี้คือธรรมชาติของมนุษย์ ที่ต้องพึงมีพึงเป็น

ถ้าไม่มี รูป-นาม สฬายตนะ ก็ไม่มี

ถ้าสฬายตนะ หมดสภาพไม่ ทำงาน คนก็ตาย รูป-นาม มีแต่เน่าเปื่อย เท่านั่นเอง

ท่านจงมองให้เห็นธรรมที่ต้องพึงมีพึงเป็น ซึ่งกันและกันมันเป็นกลไกของชีวิต ที่ธรรมชาติสร้างมา ตามเหตุ-ปัจจัย ทั้งนั้น มันเป็นประการฉะนี้แล ในขบวนการเกิด และการก่อทุกข์ของมนุษย์

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #12836 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2557, 09:56:55 »

สวัสดีครับ พี่สิงห์

ขอบคุณครับ ที่ช่วยเอาเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท มาเผยแผ่ ครับ

รายละเอียด คำอธิบาย แต่ละข้อ ช่วยให้ผู้อ่าน ทำความ เข้าใจได้ง่ายครับ

ผมตามอ่านกระทู้นี้มาตลอดครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #12837 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2557, 11:58:36 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 31 กรกฎาคม 2557, 08:58:21
สวัสดีชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่านครับ

พี่สิงห์ อยู่สนามบินดอนเมือง รอขึ้นเครื่องไปสุราษฎร์ธานี และไปนครศรีธรรมราช

วันนี้ต้องทำงานหนัก และเดินทางมาก

เพราะการเกิดนีี่ละ  จึงมีแต่ทุกข์ 

ที่สุราษฎร์ธานี เขาจะขอคำปรึกษาเรื่องการทำไม้หมอนคอนกรีตรถไฟ เขาจะเอาแบบ ผู้ว่าจ้าง มาคุยด้วย

หลังจากนั่นก็เดินทางโดยรถยนต์ไปทำงานที่นครศรีธรรมราช

สวัสดี


พี่สิงห์

ผมจำได้ว่า พี่เคยพูดเรื่องไม้หมอนคอนกรีตไปบ้างแล้ว แต่ไม่ประสบผลสำเร็จในการเสนอขายให้ รฟท
นี่เพิ่งไม่กี่วันที่ผ่านมา รถไฟขบวนพิเศษของสิงคโปร์ตกราง ขณะจะไปเมืองกาญจนบุรี
อ้างว่าหมอนไม้จมน้ำจากฝนตกหลายวัน เป็นเหตุให้รางบิด ตกราง 5 ตู้ทีเดียว ดีว่ามีแค่เจ็บ
ถ้าเปลี่ยนเป็นหมอนคอนกรีต ก็คงถาวรขึ้น
      บันทึกการเข้า
jeam
สมาชิกวิสามัญ
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 574

« ตอบ #12838 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2557, 12:45:42 »

ฝากพี่สิงห์ ครับ

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=_MKcTbYDP7w" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=_MKcTbYDP7w</a>
      บันทึกการเข้า

I think, therefore I am.
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12839 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2557, 16:25:51 »

สวัสดีครับ คุณเจียม

ขอบคุณมากสำหรับ VDO ที่แนะนำ

เดี๋ยวนี้การวางรางรถไฟ รื้อรางเก่าทำใหม่ มันง่ายมาก ๆ ให้เครื่องจักรทำงานแทนคนงาน และถูกสตางค์ด้วย

แต่เมืองไทย การรถไฟ มันเป็นแดนสนธยาจริง ๆ

เมื่อเดือนที่แล้ว การรถไฟเปลี่ยนรางที่ดอนเมือง ยังใช้คนงานอยู่เลย มันจึงไปไม่ถึงไหน ครับ

นี่ก็มีนายหน้า ทั่งนักการเมือง และสาย... ติดต่อ ให้เสนอราคา

มันก็เป็นแดนสนธยาอยู่ดี  และสหภาพก็เป็นใหญ่ แต่คอลัฟชั่น ทั้งนั้น พูดได้เพียงแค่นี้

จากภาพจะเหฌนว่าการเปบี่ยนรางใหม่  การว่งรางรถไฟ ง่ายนิดเดียว ขอให้ทำโดยไม่มีผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง

แต่เสียดาย มีแต่เหลือบ  อีแอบ เต็มไปหมด

อยู่นครศรีธรรมราช  แล้วครับ

ระลึกถึงเสมอ  ขอบคุณมาก

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12840 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2557, 18:57:09 »

สวัสดีครับ คุณเหยง

โครงการรถไฟรางคู่ สมัยนี้ คสช. พวกเหลือบมันน่าจะหมดไป เพราะเมื่อหัวไม่กระดิก หางมันก็ไม่น่าจะขยับ

แต่หางมันขยับไปหมด  ทั้ง ๆ ที่โครงการยังไม่เปิด TOR เลยมีทั้งสายจีน และสายญี่ปุ่น ที่คาดว่าจะเป็นแหล่งเงินกู้ มีเหลือบออกหากินว่อนไปหมด

กลายเป็นว่า เปลี่ยนเป็นเหลือบตัวใหม่เท่านั้น  อนิจจา ประเทศไทย

สวัสดี

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12841 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2557, 19:05:52 »

สวัสดีครับ คุณสมชาย

ขอบคุณมาก ที่ติดตาม

ผิด ถูก คุณสมชาย พิจารณาเอาเอง ก็แล้วกัน

แต่อยากให้คุณสมชาย  พิจารณาปฏิจจสมุปบาท นี้เอาเอง จากจิตตนเอง ในขบวนการเกิดทุกข์ และขบวนการเกิดในวัฏฏะสงสาร มันจะได้เห็นธรรมนี้ เพราะมันมีอยู่แล้วของมันเป็นธรรมชาติอย่างนี้ เพียงแต่พระพุทธองค์ทรงค้นพบคนแรก และได้บัญญัติเอาไว้ ให้เราได้ศึกษา

อย่าลืม ในรูปของคุณสมชาย นั้น มีทั้งสติ  มีความคิด และมีผู้รู้  ผู้ดู  ผู้เบิกบาน  อยู่ในรูปนั้น แยกมันออกมาให้ได้จากการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ที่พระพุทธองค์ ทรงชี้ทางแห่งพระนิพพานเอาไว้ให้

เราต้องเป็นผู้รู้   ผู้ดู  ผู้เบิกบาน  ไม่เป็นผู้อยู่ในความคิด

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12842 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2557, 05:41:40 »


เพราะมี สฬายตนะ เป็นปัจัย ผลจึงมี ผัสสะ

ธรรมชาติได้สร้าง รูป-นาม และสฬายตนะมาให้ เพื่อใช้ในการรับรู้ของจิต จะมีประสาทรับรู้ที่ทางทวารทั้ง ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เรียกว่า อายตนะภายในและรับรู้ใน อายตนะภายนอก ที่ประกอบไปด้วย รูป เสียง กลิ่นรส โผฏทัพพะ(สัมผัสได้ทางกาย) ธรรมารมณ์(สัมผัสได้ทางใจ) การที่จะรับรู้ได้ต้องมีกาีผัสสะ หรือสัมผัสระหว่างอายตนะภายใน และอายตนะภายนอก เกิดขึ้น ซึ่งธรรมชาติเป็นผู้สร้างมาเพื่อให้ดำรงค์ชีวิตอยู่ได้ คือ

เมื่อ ตา เห็น รูป จะเกิดผัสสะ ระหว่าง ตา กับ รูป ที่เรียกว่า จักษุสัมผัส

เมื่อ หู ได้ยินเสียง จะเกิดผัสสะ ระหว่าง หู กับ เสียง ที่เรียกว่า โสตสัมผัส

เมื่อ จมูก ได้ดมกลิ่น จะเกิดผัสสะ ระหว่าง จมูก กับ กลิ่น ที่เรียกว่า ฆานะสัมผัส

เมื่อ ลิ้น ได้ลิ้มรส จะเกิดผัสสะ ระหว่าง ลิ้นกับสิ่งที่มากระทบลิ้น คืออาหาร ที่เรียกว่า ชิวหาสัมผัส

เมื่อ กาย ได้สัมผัส จะเกิด ผัสสะ ระหว่างกาย กับสิ่งที่มากระทบกาย ที่เรียกว่า กายะสัมผัส

เมื่อ ใจ ได้ สัมผัส จะเกิด ผัสสะ ระหว่าง ใจ กับอารมณ์(ธรรม ได้แก่ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก) ที่เรียกว่า มโนสัมผัส

จะเห็นว่า มันเป็นธรรมชาติระหว่างอายตนะภายนอก และอายตนะภายใน ที่ต้องเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน ในการที่จะรับรู้ ดำรงชีวิตอยู่ของมนุษย์ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ มนุษย์นั้นก็พอการในการที่จะรับรู้ และสัมผัส กับสิ่งภายนอก ได้ หรือถ้าคนตาย ทุกสิ่งก็ไม่มี รูปสลาย เน่าเปื่อยไป มันเป็นธรรมชาติที่พึงมีพึงเป็น เช่นนี้แล

เมื่อมี สฬายตนะ เป็นปัจจัย ย่อมมี ผัสสะ

เมื่อ สฬายตนะ ดับ จึงไม่มี ผัสสะ เกิดขึ้น

ขอทุกท่านจงพิจารณารูป-นามของท่าน ให้เห็นความจริงอันนี้เถิด

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12843 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2557, 07:40:10 »



พี่ชาญวิทย์  วสยางกูร  ชาวซีมะโด่ง  ได้รับแต่งตั้งให้เป็น สนช.

ว่าง ๆ ต้องไปชวนท่านตีกอล์ฟ แล้ว ไม่ได้ตีกับท่านมานานมาก ตั้งแต่ท่านเป็นนายอำเภอสูงเนิน  โคราช
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #12844 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2557, 08:27:17 »

สวัสดีครับพี่สิงห์


ยินดีด้วยที่พี่ชาญวิทย์ ได้เป็น สนช.
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12845 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2557, 08:29:03 »

สวัสดีครับ คุณเหยง

ที่นครศรีธรรมราช  อากาศดี  ฝนไม่ตก แดดไม่ร้อนมาก

อย่าลืมออกกำลังกาย และกินอาหารให้เป็นยา

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12846 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2557, 09:47:25 »


เพราะ มีผัสสะ เป็นปัจจัย  จึงเกิด เวทนา

เพราะมี สัมผัส ที่เกิดจาก อายตนะภายใน ได้สัมผัส อายตนะภายนอก จึงทำให้เกิดปราสาทสัมผัส คือรับรู้ได้ และเกิดผลแห่งการรับรู้นั้น

ผลแห่งการรับรู้ไดนั้น คือ เวทนา อันประกอบด้วย โสมนัส(ความสุข  ความยินดี  ความเพลิดเพลิน)  โทมนัส(ความเสียใจ  ไม่ชอบ  ไม่ยินดี  ไม่เพลิดเพลิน) และความไม่ทุกขไม่สุข(ความรู้สึกเฉย ๆ หรืออุเบกขา  ไม่ยินดียินร้าย) เกิดขึ้นตตามมา อันได้แก่

ความสุขที่เกิดจาก ตาเห็นรูป ความทุกข์ที่เกิดจาก ตาเห็นรูป  อุเบกขาที่เกิดจากตาเห็นรูป

ความสุขที่เกิดจาก หูได้ยินเสียง  ความทุกข์ที่เกิดจากหูได้ยินเสียง  ความอุเบกขาที่เกิดจากหูได้ยินเสียง

ความสุขที่เกิดจาก จมูกได้ดมกลิ่น  ความทุกข์ที่เกิดจาก จมูกได้ดมกลิ่น ความอุเบกขาที่เกิดจาก จมูกได้ดมกลิ่น

ความสุขที่เกิดจาก ลิ้นได้ลิ้มรส  ความทุกข์ที่เกิดจาก ลิ้นได้ลิ้มรส  ความอุเบกขาที่เกิดจาก ลิ้นได้ลิ้มรส

ความสุขที่เกิดขึ้น เมื่อได้สัมผัสทางกาย  ความทุกข์ที่เกิดขึ้น เมื่อได้สัมผัสทางกาย  ความอุเบกขาที่เกิดขึ้น เมื่อได้สัมผัสทางกาย

ความสุขที่เกิดขึ้น เมื่อได้สัมผัสทางใจ  ความทุกข์ที่เกิดขึ้นเมื่อได้สัมผัสทางใจ  ความอุเบกขาที่เกิดขึ้น เมื่อได้สัมผัสทางใจ

จะเห็นได้ว่า เพราะผัสสะ(อายตนะภายใน ๖ สัมผัส อายตนะภายนอก ๖) ผลจึงเกิดเวทนา (สุข  ทุกข์  ไม่สุขไม่ทุกข์)  จะเห็นว่าธรรมชาติของรูป-นาม ของมนุษย์มันเป็นของมันอย่างนั้น บังคับก็ไม่ได้  ความสุข  ความทุกข์ อุเบกขา เกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น เมื่อไรท่านรู้สึกตัว หรือมีสติ ความสุข  ความทุกข์  อุเบกขานั้น  มันก็หายไปแล้ว(ดับ) ธรรมชาติมันเป็นเช่นนี้แล

ขอทุกท่านจงเจริญภาวนาสติ  จนเห็นความจริงอันนี้ในรูป-นามของท่านเถิด

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12847 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2557, 11:36:12 »


เพราะมี เวทนาเป็นปัจจัย  จึงเกิดตัณหา

เวทนา คือความสุข  ความทุกข์  ความไม่สุขไม่ทุกข์ ที่เกิดจากอายตนะภายใน สัมผัส อายตนะภายนอก

เมื่อเกิดเวทนาขึ้นแล้ว รู้สึกชอบ ยินดี เพลิดเพลิน ติดใจ อยากได้อีกเสมอ ไม่มีสิ้นสุด(เกิดความโลภ)

เมื่อเกิดเวทนาขึ้นแล้ว รู้สึกไม่ชอบ ไม่ยินดี ไม่เพลินเพลิน ไม่ติดใจ ไม่อยากได้สัมผัส ไม่อยากประสพอีกเสมอ (เกิดความโลภ)

เมื่อเกิดเวทนาขึ้นแล้ว รู้สึกเฉย ๆ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ก็มี

จิตมนุษย์มันเป็นเช่นนี้แล

ตัณหา คือความทะยานอยากของจิต เนื่องจิตมันมีเกิเลสมาติดเกาะ  ยึดเกาะ จนหลง มันจึงอยากเสมอ

ตัณหา หรือความทะยายอยาก แบ่งออกได้ ๓ ประการด้วยกัน คือ

๑. กามะตัณหา คือความทะยานอยากที่เกิดขึ้นเมื่อ ตาได้รูป หูได้ยินเสียง จมูกได้ดมกลิ่น  ลิ้นได้ลิ้มรส ได้สัมผัสทางกาย เกิดความชอบ ความยินดี ความเพลิดเพลิน  อยากได้สัมผัสอีกเสมอ ไม่มีสิ้นสุด

๒. ภวตัณหา คือความทะอยากแห่งจิต ที่อยากมี  อยากเป็น  ไม่มีที่สิ้นสุด

๓. วิภวตัณหา คือความทะยานอยากแห่งจิตที่ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น คือจิตไม่อยากหลุดพ้น  ไม่อยากมีใครสั่ง-ถูกบังคับ

จะเห็นว่าตัณหา หรือความทะยานอยากแห่งจิตนั้น  มันจะเป็นธรรมชาติของมนุษย์โดยทั่วไปก็ตาม แต่อย่าลืม ถ้าไม่มีตัณหา วงจรทุกข์นี้ก็ขาดสะบั่นลงทันที และความทะยานอยากนี้ พระพุทธองค์ทรงสอนว่า สามารถตัดมันทิ้งได้  จิตมนุษย์นั้นสามารถฝึกจนสามารถละตัณหาได้ มันมีอยู่จริง ๆ

เอาให้ง่าย ๆ คือ ถ้าเราสามารถเอาชนะจิตตนเองได้ ด้วยให้จิตมันเห็นความจริงในธรรม จิตมันก็ละของมันได้  โดยยึดหลัก กระทำในสิ่งที่ก่อประโยชน์  ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เป็นไปในกุศลกรรม  ความละอายต่อบาป  ความเกรงกลังต่อบาป  การกระทำที่เป็นกุศล มันสามารถจะยังยั้งชั่งใจ ใช้ปัญญา  ไม่หลงอยู่ในความคิด ตัณหามันก็เบาบางลง และสามารถตัดออกได้ด้วยอุเบกขา

เพราะมีเวทนา เป็นปัจจัย  จึงเกิดตัณหา มันเป็นเช่นนี้แล  แต่เวทนา มันตัดไม่ได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติที่ต้องพึงมีพึงเป็น ของมัน

ขอทุกท่านจงมองเห็นธรรมนี้ด้วยการเจริญสติ เถิด แล้วท่านจะเข้าใจเอง ในขบวนการก่อทุกข์ และขบวนการเกิด-ตาย อยู่ในวัฏฏะสงสารนี้

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12848 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2557, 17:32:12 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

พี่สิงห์  มาถึง กทม. เรียบร้อยแล้ว

พรุ่งนี้อยู่บ้าน  เช้าคงไปเดินออกกำลังกายตีกอล์ฟ

บ่ายก็อยู่บ้าน เย็นอาจจะเดินทาง ไปค้างคืนที่สิงห์บุรี

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #12849 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2557, 07:26:48 »

สวัสดีครับ พี่สิงห์

ช่วงนี้ได้อ่าน ธรรมะดี จุใจ จริงๆครับ

และได้ทำความเข้าใจ เรียนรู้เพิ่มเติม ว่าเวทนาเป็นธรรมชาติ มันเป็นของมันอย่างนั้น ตัดไม่ได้

แต่กิเลส ความทะยานอยาก นั้นตัดได้ ค่อยๆทำให้ลดลงจนหมดหรือเกือบหมดได้

เดิมผมเข้าใจว่าตัดได้หมด ทั้งกิเลส และ เวทนา ครับ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 512 513 [514] 515 516 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><