26 พฤศจิกายน 2567, 19:47:09
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 508 509 [510] 511 512 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3582044 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 13 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #12725 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2557, 21:20:50 »




พี่สิงห์ครับ

ป้ายบอกเตือนศีลข้อ 4 มากที่สุด-เพราะตัวหนังสือใหญ่มาก
เปรียบเหมือนคำว่า "อยู่คนเดียวระวังความคิด อยู่ท่ามกลางญาติมิตรให้ระวังวาจา"
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #12726 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2557, 21:25:40 »

เรื่องแรงงานต่างด้าวนั้น

ผมว่า คนจำนวนมากมาเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพและครอบครัวที่อยู่ข้างหลัง
หากเราดูแลเรื่องสุขภาพตามหลักเกณฑ์ คือส่งตรวจโรค และทำประกันการรักษาพยาบาล
ก็เป็นวิธีที่ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อที่ติดตัวเขามา
แต่คนไทยมักง่ายครับ เป็นนายจ้างที่แย่มาก ไม่ยอมพาไปตรวจโรค-ไม่พาไปขึ้นทะเบียน
เพราะไม่อยากเสียเงิน และมีเหมือนกันครับที่รับเงินจากแรงงาน แต่ไม่พาไปตรวจ ไปจดทะเบียน


สร้างเครื่องมือเพื่อให้แรงงานไทยเป็นผู้ควบคุม ก็ดีครับ จ้างคนไทยนั้น-ผมยินดี เพราะพูดกันรู้เรื่อง
แต่เขาจะตั้งเกณฑ์เงินเดือนเท่าไหร่? อย่างไร?
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12727 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2557, 21:38:05 »

สวัสดีครับ คุณเหยง

คุณเหยง  ก็ยังเป็น คุณเหยง  ช่างสังเกต

สาเหตุที่เน้นศีลข้อที่ ๔ เพราะมันทำยาก การพูดเท็จนั้น คนอื่นไม่รู้แต่ตนเองก็รู้ แต่ถ้าทำได้ผลคือ คน ๆ นั้้นจะเป็นที่เชื่อถือของคน เป็นเครื่องหมายของคนดี

ทุกบริษัท ต้องการคนซื่อสัตย์  คนไหนซื่อสัตย์ ดูได้จากศีลข้อ ๔ ครับ

จึงต้องเน้นเป็นพิเศษ

สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12728 เมื่อ: 08 กรกฎาคม 2557, 05:19:43 »



สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ได้ไปบรรยายให้นักศึกษาของมหาวิทยาลัยชุมชนท้องถิ่น  ของจังหวัดสิงห์บุรี เรื่อง "อยู่อย่างไร ให้ไร้โรค"

นักศึกษา นั้น เป็นอดีข้าราชการเกษียรอายุ ประจำปี 2556 ของสิงห์บุรี เพื่อให้ทุกท่านได้เอาไปดูแลร่างกายในยามแก่เฒ่า ที่ท่านเหล่านี้จะกระจายไปเป็นผู้นำชุมชนท้องถิ่นของสิงห์บุรี

ปีนี้ผมเน้นเรื่องอารมณ์ผ่องใสก่อน เพราะว่า การนอนหัวค่ำ อาหาร  ออกกำลังกาย มันจะทำไม่ได้เลย ถ้าทุกคนยังแพ้ใจตนเองที่ประกอบไปด้วยความอยาก  ยังคิดว่านี่ตัวกู  นี่ของกู อยู่ มันก็ไม่สามารถดูแลร่างกายในเรื่อง นอนหัวค่ำ อาหาร ออกกำลังกาย  ได้

แต่ถ้าทุกคนทำสติปัฏฐาน ๔ ให้มันรู้สึกตัว ไม่หลงอยู่ในความคิดได้ เรื่องอื่น ๆ มันทำได้แน่นอน เพราะเมื่อรู้สึกตัว มันก็ถอนออกจากความคิดได้ อยูู่ได้ด้วยปัญญา ว่า สิ่งใดควรกระทำสิ่งใดไม่ควรกระทำ กระทำแต่สิ่งที่เป็นกุศล  เชื่อเรื่องกรรม และเหตุ-ปัจจัย ในการเกิด-ดับ ในธรรม ทุกสิ่ง เมื่อมีสติรู้ความจริงอันนี้ เรื่องออกกำลังกาย  เรื่องอาหาร และรอนหัวค่ำ มันก็เป็นเรื่องง่ายเพราะมันสำคัญต่อการดำรงชีวิต ที่ยังต้องมีชีวิตอยู่ และจะอยู่อย่างไรให้ำร้โรคเรื้อรัง  ยังช่วยตัวเองได้ ไม่พึงยา ไม่พึงคุณหมอ  ชีวิตก็มีแต่สุขสงบ  นี่คือความจริงที่ทุกคนจะหาม่ได้ด้วยตนเอง

ปีนี้ มีนักศึกษาเข้าฟังบรรยาย 68 ท่าน  รุ่นนี้มีข้าราชการเกษียรอายุราชการน้อย  กว่าทุกปี ที่ผ่านมา

ส่วนเงินค่าบรรยายนั้น  ก็เซ็นชื่อรับ ตามกติกา  แต่ได้มอบคืนให้กับ ผู้อำนวยการโครงการเอาไปใช้ทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย แทน

ลืมบอกไปงบประมาณในการจัดฝึกอบรม เป็นงบของท่านผู้ว่าราชการจังหวัด และกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม

เมื่อมีผู้สนใจ  เราก็ตั้งใจสอนครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12729 เมื่อ: 08 กรกฎาคม 2557, 12:26:49 »

อ.อารมณ์ (มีสติ-สัมปชัญญะ)







เนื่องจากทุกท่านที่เข้ามารับการอบรมครั้งนี้ เป็นผู้บริหารขององค์กรสูงสุด หรือเกือบสูงสุดในหน่วยงาน ทุกท่านประสพความสำเร็จในการทำงานราชการ  อยู่มาจนเกษียรอายุ  ผมเชื่อว่าทุกท่านรู้เรื่อง การต้องนอนหัวค่ำ การต้องกินอาหารสุขภาพ และต้องออกกำลังกาย เพราะส่วนมากท่านเป็นครู  ท่านเคยสอนเด็กมาแล้ว

แต่คำถามคือ ทำไมท่านต้องมาเรียนรู้ใหม่เพื่อย้ำเตือน  และที่สำคัญทำไม? ท่านทำไม่ได้ !

ปัญหาคือ ท่านแพ้ใจตนเอง อยากกินตามความอยากเพราะสตางค์ก็มี  เวลาก็มี  งานก็ไม่ต้องทำ  

ผลคือน้ำหนักเพิ่ม เป็นโรคเรื้อรัง ความดัน  เบาหวาน หลอดเลือดหัวใจ  ไม่ช้าก็เร็ว ท่านตระหนักเอาไว้บ้างหรือเปล่า  ว่าโรคเหล่านี้ ต้องใช้เงิน  ท่านต้องมีคนดูแล  ตายช้า มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น หนีไม่พ้นแน่นอน  ถ้ายังไม่ตระหนักในเรื่องเหล่านี้ และต้องป้องกันให้ได้

มันจะป้องกันได้  ท่านต้องพึ่งธรรมะของพระพุทธองค์ คือ หาวิธีที่จะเอาชนะใจตนเองด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ให้เห็นจริงในธรรม อย่างน้อย ท่านต้องแยกอารมณ์ในตัวท่าน ออกเป็นสองส่วนให้ได้ คือ ความคิด และสติ(ความรู้สึกที่กาย เวทนา  จิต ธรรม) ถ้าท่านสามารถแยกสติออกจากความคิดได้  ท่านจะรู้ตัว และใช้ปัญญาเสมอในการกระทำทางกาย วาจา  ใจ โดยพ่วงธรรมของพระพุทธองค์ไปอีก คือเราจะกระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ส่วนรวม เป็นไปในทางกุศล ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเพราะเรา เมื่อมีความคิดอย่างนี้ ถึงเวลานั้น ท่านจะเป็นผู้ให้  ใฝ่ศึกษา เห็นรูป-นาม เห็นความเป็นไตรลักษณ์ ไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อเรื่องกรรม เพียงเท่านี้ชีวิตท่านก็มีแต่สุขสงบ  อยู่กับการรู้สึกตัว คราวนี้ละ การนอนหัวค่ำ  การรับประทานอาหารสุขภาพ การออกกำลังกาย และอยู่อย่างพึ่งพาตนเองแบบพอเพียงมันจะเกิดขึ้นในจิตของท่านเอง โดยที่ท่านไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย  มันเป็นเรื่องจริง เพราะผมก็ผ่านมันมาแล้วทั้งสิ้น  อุเบกขามันจะเกิดขึ้นเอง ด้วยจิตของเราเองนี่ละ

คนเรานั้นทุกข์เพราะคิด  ถ้าจะไม่ให้คิดต้องมีสติที่กาย เวทนา  จิต ธรรม เพราะในชีวิตเราส่วนใหญ่อยู่ในการเคลื่อนไหวร่างกาย ใช้ร่างกายในการอยู่  มีเวทนาเกิดขึ้นตลอดเวลา  มีอารมณ์เกิดขึ้นทางใจตลอดเวลา เมื่อเรารู้ตัวอยู่กับ กาย เวทนา  จิต เราก็ตัดความคิดออกไปได้แล้วตามธรรมชาติ ไม่หลงอยู่ในความคิด และถ้าอยากจะคิดก็คิดในธรรมของพระพุทธองค์มาพิจารณาให้เห็นจริงในธรรมนั้น  ท่านก็จะไม่ทุกข์เลย และที่สำคัญ วิปัสสนาปัญญาในธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ มันจะเกิดรู้ของมันเอง  ไม่ต้องไปบังคับมันทั้งสิ้น

ปัจจุบันท่านหลงอยู่ในความคิด  วิตกกังวล คิดไปเองในเรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึง  เสียดายในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ไม่รู้ตัวเลยว่า ณ ปัจจุบันกาย  เวทนา จิต ธรรม มันเกิดขึ้นหรือเปล่า เพราะหลงอยู่แต่ในความคิด ความเป็นตัวตน  บุคคล สัตว์ สิ่งของไปหมด จิตจึงประกอบไปด้วยความริษยา  ตระหนี่ อันเป็นต้นเหตุแห่งความอยากไปเสียสิ้น และจะตามมาด้วยความทุกข์  ถึงจะสุขบ้างก็เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

ตอนนี้ท่านมีเวลา  มีเงิน  มีทุกอย่างบริบูรณ์ อย่าเสียโอกาสในการเกิดมาเป็นมนุษย์เลย  ลองมาตั้งสติปัฏฐาน ๔ เอาจิตไปผูกอยู่กับกาย  เวทนา  จิต  ธรรม  ท่านจะเห็นความคิดของท่าน  จิตท่านจะรู้เร็วเท่ากับความคิดของท่าน หนทางนี้มีจริงครับ

ในสมัยพุทธกาล คณกโมคคัลลานพราหมณ์ได้ถามพระพุทธองค์ว่า ท่านมีแนวทางในการฝึก  ลำดับในการปฏิบัติอย่างไรให้ถึงซึ่งพระนิพพาน  เราเป็นครูเราก็มีวิธีการสอนของเราให้ลูกศิษย์เข้าใจได้ รู้ได้ในสิ่งที่เรารู้

พระพุทธองค์ทรงตอบว่า เราก็บัญญัติ ในข้อศึกษาและวิธีปฏิบัติอันเป็นหนทางไปสู่พระนิพพาน คือ
- การมีศีลสำรวมในปาฏิโมกข์
- การสำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ
- ความเป็นผู้รู้ประมาณในอาหาร
- ความประกอบความเพียรเป็นเครื่องตื่น
- การมีสติ-สัมปชัญญะ
- การบำเพ็ญสมาธิชำระจิตจากนิวรณ์ ๕
- การสงบจากกาม  จากอกุศลธรรม บำเพ็ญญาณที่ ๑ ถึง ญาณที่ ๔ ให้เกิดขึ้น

คณกโมคคัลลานพราหมณ์ ถามว่า ในเมื่อพระนิพพานมีอยู่  หนทางในการดำเนินไปก็มีอยู่ แต่ทำไม พระภิกษุ  พระภิกษุณ๊  อุบาสก  อุบาสิกา  จึงไปถึงพระนิพพานบ้าง  ไปไม่ถีงพระนิพพานบ้าง

พระพุทธองค์ทรงตอบเปรียบเทียบว่า  หนทางไปเมืองราชคฤห์ก็มีอยู่  แต่บางคนก็ไปถึง บางคนก็ไปไม่ถึง  บุคคลที่ไปถึงเพราะมีความวิริยะ เดินไปตามทางที่ชีแนะนั้น  แต่ที่เหลือที่ไปไม่ถึงเพราะเดินทางผิด ไม่ไปตามแนวทางที่ได้ชีแนะไว้  จึงไปไม่ถึงซึ่ง พระนิพพาน

ดังนั้น  ถ้าเรามีศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์แล้ว  จงใช้ความเพียร ไปตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงสอนเอาไว้  ย่อมไปถึงพระนิพพานแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว หรือในชาติหน้าก็ถึงได้  สมดังข้อเปรียบเปรยของพระอานนท์

พระอานนท์ได้อธิบายเอาไว้ว่า เปรียบเหมือนไข่ที่แม่ไก่ฟักอย่างถูกวิธี และไข่นั้นก็มีเชื้อตัวผู้ผสมอยู่ เมื่อถึงเวลาลูกไก่ก็ถูกฟักเป็นตัวและสามารถเจาะเปลือกไข่ออกมาได้  โดยที่แม่ไก่จะปราถนาไห้ลูกไก่เกิดหรือไม่ก็ตาม ลูกไก่ก็จะเจาะออกมาจากเปลือกได้ฉันใดฉันนั้น การปฏิบัติธรรมก็เป็นทำนองนี้ เมื่อถึงเวลามันจะรู้เอง

นอกจากนี้ทุกท่านเป็นผู้ใหญ่ เป็นอดีตข้าราชการ ความคิดของท่านประชาชนในชุมชนจะเชื่อถือท่านอยู่แล้ว ท่านต้องดำรงตนของท่านในทางธรรม และยึดหลัก กาลามสูตร ไม่เชื่อสิบประการเป็นหลัก เพราะคนจะเคารพเชื่อฟังท่าน และขอให้นำธรรมที่พระสารีบุตรแสดงธรรมแก่ท่านอาณาบิณฑิกเศรษฐีก่อนตาย ในเรื่องของการไม่ยึดมั่นถือมั่นใน อายตะนภายใน  อายตะนภายนอก วิญญาณ  ผัสสะ เวทนา ธาตุ ๕ รูป-นาม  อรูปนาม ๔ ไม่ยึดถือในโลกหน้า ไม่ยึดถือในโลกปัจจัน และวิญญาณ (ความรับรู้) จะไม่เกิดขึ้น เมื่อเป็นดังนี้ จิตท่านจะไม่มีเชื้อ เมื่อไม่มีเชื้อก็ไม่รู้จะไปเกิดในภพไหน ทั้งสิ้น

อย่าลืมพระพุทธองค์ทรงสอนเอาไว้ "จิตมนุษย์นั้นฝึกได้ ท่านฝึกจิตไปในทางที่ดี มันก็เป็นไปในทางที่ดี  แต่ถ้าท่านฝึกจิตไปในทางที่ไม่ดีเป็นอกุศล มันก็จะไปในทางอกุศล นั้น

ทุกสิ่งล้วนเป็นปัจจัตตัง ผู้รู้ รู้ได้เฉพาะตน

การมีสติ-สัมปชัญญะ นั้น คือการที่จิตผ่องใส  นั่นเอง ก็จะห่างไกลโรคได้ เพราะไม่คิด  ไม่คิดก็ไม่ทุกข์


      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12730 เมื่อ: 08 กรกฎาคม 2557, 13:25:45 »

ฝึกให้เป็นหมอ

ทุกท่านสังเกตุไหมครับ? เวลาป่วย ท่านไปพบคุณหมอ คุณหมอมีหน้าที่ถาม เรามีหน้าที่ตอบ ใช้เวลาไม่มากเลย คุณหมอก็สรุป จ่ายยาทันที

ปัญหา คือเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า คุณหมอ ท่านจะวินิจฉัยโรคของท่านได้ถูกต้อง  ท่านว่าจริงไหม?

ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องเป็นหมอด้วยตัวของท่านเอง เพื่อที่ท่านจะได้ตอบได้ตรงประเด็น คุณหมอจะได้วินิจฉัยโรคของท่านได้ถูกต้อง หรือท่านสามารถที่จะป้องกัน รักษา เป็นหมอดูแลตนเองได้

ถ้าท่านผ่านการปฏิบัติธรรม มีสติ เอาสติที่ท่านผูกเอาไว้กับกาย เวทนา จิต ธรรม  สติมันจะเป็นผู้ดู  

ดังนั้น ท่านก็ง่ายต่อการที่จะสำรวจกาย-จิต ของท่านได้ในแต่ละวัน โดยยึดหลักธรรมของพระพุทธองค์ ที่ว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะกาย-จิต ล้วนมีเหตุ-ปัจจัยทั้งสิ้น มันเกิดขึ้นเองไม่ได้  ถ้าเหตุ-ปัจจัยนั้นไม่มี ผลจึงไม่มี"

เราคอยเอาสติมาดูกาย-จิตของเราว่า เราเริ่มเกิดความไม่ผ่อนคลายที่ส่วนใดของร่างกาย หรือจิต ซึ่งนี้คือจุดเริ่มต้นของการเจ็บป่วยที่จะตามมาภายหลัง

เราต้องหาจุดที่เกิดความไม่ผ่อนคลายนั้นให้พบ  เมื่อพบแล้วพิจารณาต่อไปว่า

จุดที่เกิดความไม่ผ่อนคลายนั้นเกิดจากเหตุ-ปัจจัยอะไร  เราต้องพิจารณาหาต้นเหตุ-ปัจจัยนั้น ให้พบ  

เมื่อพบแล้ว การรักษา คือให้ทำตรงกันข้ามกับสาเหตุ-ปัจจัยนั้น เป็นการดับที่เหตุ ตามหลัก "อิทัปปัจจยตา"

ด้วยหลักการนี้้  ท่านก็สามารถเป็นหมอ  ดูแลตนเองได้ หรือนำเหตุ-ปัจจัยนั้นไปบอกคุณหมอ ท่านก็จะหายป่วยโดยเร็ว

สรุป เราต้องดับเหตุแห่ง-ปัจจัย ที่เกิดความไม่ผ่อนคลายนั้น เป็นการป้องกัน ไม่ให้เกิดความเจ็บป่วยภายหลัง นั่นเอง
      บันทึกการเข้า
supichaya
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2524
คณะ: เศรษฐศาสตร์
กระทู้: 213

« ตอบ #12731 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2557, 10:44:50 »

สาธุค่ะ พี่สิงห์
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12732 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2557, 16:22:14 »

สวัสดีครับ คุณน้องก้อย ที่รัก

ขอบคุณาก

วันนี้พี่สิงห์  มาทำงานที่โรงงานบ้านแพ้วสมุทรสงคราม

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12733 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2557, 16:36:41 »

โรคนอนไม่หลับในผู้สูงอายุ

โรคนอนไม่หลับในผู้สูงอายุ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้สูงอายุทุกคนต้องประสพ

ทำไม? เราหนอนไม่หลับ

คำตอบคือ เพราะเรามัวหลงอยู่ในความคิด  ยังวิตกกังวล ยังร่ำไรรำพันเสียดายในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว วิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ดูละครมากไปยังคิดต่อ กำลังกังวลอยู่ในเรื่องที่ต้องประสพ.......อีกมากมายเป็นเพราะคิด  จึงนอนไม่หลับ

แต่ถ้าหยุดคิดได้  มันก็จะหลับเพราะได้เวลาต้องนอนพักผ่อน  แต่ไม่รู้ทำยังไง  ทำไม่ได้

ง่ายนิดเดียว เพราะท่านอยู่ในท่านอน  และได้เวลานอน  ถ้าท่านมีสติอยู่ที่ลมหายใจเข้า มีสติอยู่ที่ลมหายใจออก ไม่ช้าไม่นานท่านจะหยุดคิด(ละนิวรณ์ ๕ ได้) ท่านจะเกิดภวังค์และหลับไปแบบมีสติ  คือไม่ฝัน

ถ้ามันต้องตื่นกลางดึกไปเข้าห้องน้ำ ท่านก็ไปเข้าห้องน้ำแล้วก็มานอน ตามลมหายใจเข้า-ลมหายใจออกต่อ ท่านก็จะหลับได้อีก หรือถ้าไม่หลับ ท่านมีสติก็เป็นการพักผ่อนไปในตัวอยู่แล้ว

แต่ชนิดที่ตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำแล้ว  นอนไม่หลับก็ไปเปิดทีวีดู  อ่านหนังสือพิมพ์ ทำงาน กินขนม  นั้นอย่าทำเด็ดขาด ท่านยิ่งจะนอนไม่หลับใหญ่ สู่ไปนอน และตามลมหายใจเข้า-ออกดีกว่าครับ

มันง่าย ๆ อย่างนี้ละ  ลองทำดูครับ

ผมใช้วิธีนี้ทุกคืน เพื่อให้หลับอย่างมีสติ ถ้าฝันก็ให้รู้ตัวเร็วๆ ไม่ปล่อยให้อยู่ในความฝัน กลับมามีสติต่อ และหลับไปอย่างมีสติ คือไม่ฝันอีก  จนกว่าจะได้เวลาตื่นนอนยามเช้ามืด
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12734 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2557, 16:53:54 »

การนอนหัวค่ำ

ร่างกายคนเรานั้น ในแต่ละวันร่างกายจะสูญเสียเซลไป ในการใช้งาน และโดยธรรมชาติของมนุษย์  ร่างกายมันจะสามารถซ่อมแซมตัวของมันเองได้  ในตอนกลางคืน เวลาประมาณ 22:00 - 03:00 น. ถ้าท่านหลับสนิท คือหลับอย่างมีสตินั่นเอง

ดังนั้น สามทุ่ม ท่านต้องเตรียมตัวเข้านอนแล้ว  อย่าไปมัวดูหนัง  ดูละคร แล้วคิดต่อ ตื่นเต้น จนนอนไม่หลับเลย  ไม่ก่อประโยชน์

และอย่าลืมก่อนนอน ดื่มน้ำสักหนึ่งแก้ว ยืดเหยียดกล้ามเนื้อเบา ๆ ให้คลายและนอนตามลมหายใจเข้า  ตามลมหายใจออก จนหลับอย่างมีสติ คือหลับไม่ฝัน  เท่านี้ ท่านจะหลับลึก หลับแบบตาย  ร่างกายมันจะซ่อมแซมตัวของมันเอง เมื่อตื่นขึ้นมาท่านจะรู้สึกสดชื่น

อย่าลืมตื่นขึ้นมาเช้ามืด ดื่มน้ำหนึ่งแก้วใหญ่ ๆ และมาเจริญสติจนเป็นสมาธิ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12735 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2557, 21:13:05 »

เมื่อขาดสติ  หลงอยู่ในความคิด  มันจึงไม่มีปัญญา

จำทีมบราซิล เป็นตัวอย่าง

ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12736 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2557, 13:46:14 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

วันนี้ อยู่ กทม. ไม่ได้ทำงาน เลยไปออกกำลังกายตีกอล์ฟยามเช้า เสร็จแล้ว มาเข้าคอสเพื่อเช็ควงสวิงในการพัต กับคุณเฉลิมวงศ์ และโปร. อีกท่านหนึ่งเพื่อเช็คกับโปร.แกรมว่า เรามัพัตติ้งสวิงแบบไหน มีอะไรผิดพลาด และต้องทำอย่างไร ?

สิ่งที่เห็นคือ
-  สวิงพาท(แนวการเดินทางของพัดเตอร์) ผิด
-  การยืนไหล่เปิด
-  ตำแหน่งลูกกอล์ฟผิด

ผลคือจะพัตไลน์ซ้ายแม่น แต่จะผิดไลน์ขวา

จึงต้งทำการแก้ไขใหม่หมด  ใช้เวลาในการเช็คแก้ไข สองชั่วโมง เสียเงินไป สามพันบาท

เมื่อเรารู้ข้อผอดพลาด ต้องเอาทาแก้ไข และต้องซ้อม เท่านั้น จึงจะทำได้ดีขึ้น

พรุ่งนี้เป็นวันอาสาฬหบูชา  ต้องไปทำบุญที่วัดพระนอน  วันนี้เรัยนเพลิน ไม่ได้รับประทานอาหารเพล  ยกยอดไปเป็นพรุ่งนี้เช้าเลย 

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
lek_adisorn
Hero Cmadong Member
***

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,595

« ตอบ #12737 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2557, 09:09:57 »

สวัสดี วันอาสาฬหบูชาครับพี่สิงห์และพี่น้องที่ติดตามกระทู้นี้ครับ

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=wb_XvdFS27Q" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=wb_XvdFS27Q</a>

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=OJEdVymJ9Y8" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=OJEdVymJ9Y8</a>
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12738 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2557, 11:05:59 »

สวัสดี อดิสร

วันนี้ เป็นวันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่มีพระรัตนตรัยครบทั้งสาม คือ พระพุทธ  พระธรรม  และพระสงฆ์

พี่สิงห์ มาทำบุญ อยู่ที่วัดพระนอน  ตำบลทับยา  อำเภออินทร์บุรี  จังหวัดสิงห์บุรี

และวันนี้ ชาวคณะซีมะโด่ง ได้จัดซีมะโด่งทัวร์ ที่เขื่อนภูมิพล  จังหวัดตาก เพื่อจัดงานเกษียรอายุการทำงานให้กับท่านรองผู้ว่า กฝผ. คือท่านรองจ๋าย  ขอให้ทุกท่านเดินทางปลอดภัย  สำเร็จในวัตถุประสงค์ เทอญ

สวัสดี

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12739 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2557, 19:30:27 »





สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

วันนี้ พี่สิงห์  มาทำบุญที่วัดพระนอน และะได้จัดการบรรยายธรรม  และการดูแลสุขภาพ  ให้กับผู้สูงอายุ  ที่ปฏิบัติธรรม ฟัง เพราะส่วนมากมีปัญหา  โรคอ้วน  ข้อเข่าเสื่อม  ความดัน  เบาหวาน และหัวใจ  สาเหตุเพราะอาหารที่รับประทาน และไม่ออกกำลังกาย

ตอนเย็น ก็ไปเวียนเทียนเนื่องในวันอาสาฬหบูชา  ตามประเพณี  ที่ต้องรักษาเอาไว้

พรุ่งนี้  คงไปทำบุญเข้าพรรษา  ถวายผ้าอาบน้ำฝน อยู่วัด อีกหนึ่งวันครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12740 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2557, 19:32:47 »







เช้าวันนี้มาทำบุญเข้าพรรษา ที่วัดพระนอน ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12741 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2557, 19:36:50 »









บรรยากาษ การหล่อเทียนพรรษา ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12742 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2557, 19:52:27 »









การถวายผ้าอาบน้ำฝน - ผ้าสบง

ปีนี้พี่สิงห์  จับได้เณรองค์ สุดท้าย เบอร์ ๓๒ ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12743 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2557, 20:14:35 »

สวัสดัครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

วันนี้พี่สิงห์ ทำบุญเข้าพรรษา ที่วัดพระนอน

ได้หล่อเทียนพรรษา ถวายสบงให้เณร และได้ซื้อแปลงสีฟัน  ยาสีฟัน ขนมต่าง ๆ กล้วยตาก และปัจจัย ถวายเณร

ภายหลังจากทำบุญเสร็จ ผู้ที่จะถืออุโบสถศีล  จะนิมนต์พระมาให้ศีลและฟังพระเทศน์ตามประเพณี หลังจากนั้น พี่สิงห์ ก็สอนการปฏิบัติธรรม และบรรยายธรรมที่เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม จนถึงเพล

ภายหลังรับประทานอาหารเพล พี่สิงห์ ก็ให้ญาติโยม เดินจงกรม ซึ่งปกติทุกคนจะนอนเมื่อกินเข้าเพล  แต่ทุกคนวันนี้ไม่นอน ได้เดินจงกรม เพื่อให้อาหารย่อยได้ดี

ช่วงบ่ายโมงเณร มาเทศน์ หลังจากนั่นพี่สิงหฺ์ ก็บรรยายธรรม เรื่องการไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นธรรมที่พระสารีบุตร สอนให้ท่านอาณาบิณฑิกเศรษฐีฟัง ก่อนตาย ให้ญาติโยมได้ฟัง  และวิญญาณของศพที่ตั้งอยู่บนศาลาได้รับฟังไปด้วย เพื่อไม่ให้นึดมั่นในโลกนี้และโบกหน้า ลงได้

บ่ายสองโมงครึ่งทำวัตรเย็น เพราะต้องมอบศาลาวัดให้ทางเจ้าภาพได้เตรียมงานสวดพระอภิธรรมตอนสองทุ่มคืนนี้

พี่สิงห์  กลับมาถึงบ้านที่ กทม. ห้าโมงเย็น

วันพระหน้าไปถืออุโบสถศีลที่วัดพระนอนต่อครับ เพื่อสอนการปฏิบัติธรรม และการดูแลร่างกายให้ญาติโยม ทุกวันพระ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #12744 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2557, 20:17:13 »

สวัสดีครับพี่สิงห์


ไม่ทราบว่าพี่สิงห์อยู่บ้านในช่วงบ่ายของวันที่ 10
จะได้ขอให้พาไปดูที่ดินที่รามอินทรา...คงเป็นโอกาสหน้านะครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12745 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2557, 20:24:15 »

สวัสดีครับ คุณเหยง

ขอบคุณมาก

พี่สิงห์  ไปทำบุญที่วัดพระนอนมาสองวัน ครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #12746 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2557, 10:59:32 »

พี่สิงห์

เห็นด้วยครับว่า ทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว-ไม่สมควรนอนทันที
หากจะนอนจริงๆ ต้องทานแต่น้อย เพราะมันจะอ้วนเอาจริงๆ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12747 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2557, 15:14:45 »

สวัสดีครับ คุณเหยง

ขอบคุณมากครับ

ชาวบ้านไม่รู้กินอิ่ม  ท้องมันตึง ง่วงนอน ไม่มีอะไรทำ  ก็นอน  ผลคือ ชาวบ้านเป็นโรคอ้วน  ความดัน  เบาหวาน หลอดเลือดอุดตัน

เพราะเขาไม่รู้  แต่พอ พี่สิงห์ อธิบายเรื่องอาหาร และประโยชน์ของการเดินจงกรม ภายหลังที่รับประทานอาหาร ที่พระพุทธองค์ทรงสอนเอาไว้  ทุกคนก็เห็นจริงตามนั้น และเมื่อไม่นอนกลางวัน  เดินจงกรมแทน  มันก็ทำได้  ไม่เห็นต้องนอนตามที่จิตมันคิดเลย

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12748 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2557, 19:56:39 »



ทุกข์ คือความไม่สบายกาย  ความไม่สบายใจ  ความคับแค้นใจ ความวิตกกังวล ......

แต่ส่วนใหญ่ เกิดจาก "การทุกข์ใจ"

ทำไมถึงทุกข์ใจ ?

เกิิดจากสิ่งที่ประสพ หรือสัมผัสทางทวารทั้งหก ได้แก่ทาง ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  และใจ

เมื่อประสพแล้ว ก็เกิดความไม่พอใจ เมื่อไม่พอใจก็ทุกข์ใจ นั่นเอง

ทำไมถึง ไม่ชอบใจ ?

เพราะสิ่งที่ประสพ หรือสัมผัสนั้น มันไม่ตรงกับความคิดของเรา นั่นเอง

ทำไม? มันไม่ตรงกับความคิดของเรา เพราะเรายึดมั่นในตัวกู  ของกู นั่นเอง

ทำไมจึงยึดมั่นในตัวกู  ของกู  เพราะ ไม่รู้ความจริงในรูป-นาม ความเป็นไตรลักษณ์ นั่นเอง

ดังนั้น คนเราจึงทุกข์ เพราความคิด

ทำอย่างไรจะไม่ให้คิด ?

ก็ต้องมีความรู้สึกตัว หรือ มีสติ นั่นเอง เพราะขอเพียงรู้สึกตัว ความคิดก็เป็นอดีตไปแล้ว และถ้าท่านเห็นความจริงนี้ ท่านก็จะอุเบกขาด้วยปัญญา

แต่น่าเสียดาย คนส่วนใหญ่ ไม่เห็นความจริงในธรรม นี้ จึงมีแต่ทุกข์ใจ  จมปรักอยู่กับความคิดตนเองเสียสิ้น


นั่นคืิอความเศร้าของ มนุษย์ ละ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12749 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2557, 20:03:55 »

พุทธพจน์ "ผู้ใด ชื่นชม ยินดี เพลิดเพลินใน หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ  ผูใด ชื่นชม  ยินดี  เพลิดเพลินใน รูป เสียง  กลิ่น  รส ได้สัมผัสทางกาย  ได้ปบ่อยใจนึกคิด  เรากล่าวว่า ผู้นั้นไม่วามารถพ้นทุกข์ไปได้"

มันก็เป็นความจริง

เราต้องเห็นธรรมนี้  จึงจะพบความจริงได้

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 508 509 [510] 511 512 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><