24 พฤศจิกายน 2567, 02:49:07
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 481 482 [483] 484 485 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3567472 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 19 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12050 เมื่อ: 06 มีนาคม 2557, 08:36:04 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องจันทร์ฉาย ที่รัก

ขอบคุณมาก

แล้วจะไปคุยกับแพรว  ตอนนี้กำลังจะส่ง Thesis วันนี้เขาไปหาอาจารย์ที่ปรึกษา

เมื่อวานเขาไปหาอาจารย์ อาจารย์ถามหาเหตุผลว่า ทำไมเด็กทีาเรียนปกติก็มีคะแนนสูงกว่าเดิม แต่เด็กที่สอนโดยเครื่องมือทดลองทางศิลปของเขามีผลทางการพัฒนาการที่สูงกว่าเด็กปกติมาก ๆเขาตอบไม่ได้ พอพี่สิงก์ติ่นตีสีา เขาก็มาอธิบายให้หังและอยากถามความเห็น ก็ตอบไปว่า พระพุทธองค์สอนว่ามนุษย์เ็นสัตว์ประเสริฐสามารถสอนได้  การที่เด็กปกติมีพัฒนาการที่ดีเพราะเขาก็เรียนตามปกติ สมองก็ย่อมพัฒนาขึ้นด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว จะไม่หยุดนิ่ง เพราะสอนให้รู้ หรือมีประสพการณ์เพิ่มขึ้นตามวัยย์ และการเรียนรู้ตามปกติ แต่เพิ่มไม่มาก

แต่เมื่อเราใส่เครื่องมือทางศิลปเข้าไป มันเป็นการเร่งการพัฒนาการให้กับมนุษย์สำหรับเด็กวัยย์นี้ที่กำลังเรัยนรู้ ถูกหลัก มันจึงสามารถพัฒนาการได้สูง เร็วกว่าเด็กที่เรียนตามภาคปกติ

พี่สิงห์ ไม่มีความรู้มีแจ่ธรรมะ  ก็ตอบไปตามนั้น เขาก็เข้าใจ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #12051 เมื่อ: 06 มีนาคม 2557, 11:22:34 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 05 มีนาคม 2557, 09:18:05


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

คุณน้องเปี๊ยก  ส่งมาให้จากกระบี่
มาเตือนพี่สิงห์ ว่าให้หาเวลาไปปฏิบัติธรรมกับกลวงพ่อสมบูรณ์  ที่สำนัสงฆ์วัดถ้ำเขาพระ กระบี่ และ

เชิญชวนให้ชาวซีมะโด่ง ไปพักผ่อนทะ้ลกระบี่ มีตั๋วเครื่องบินถูก และมีที่พักในราคามิตรภาพ รออยู่ที่กระบี่ อ่าวนาง

ใครสนใจจะไผพักผ่อน ปฏิบัติธรรม แสดงความคิดเห็นมาได้เลยครับ

สวัสดี

พี่สิงห์กำหนดวันได้หรือยังครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12052 เมื่อ: 06 มีนาคม 2557, 16:21:24 »

สวัสดีครับ ท่าน ขุน

ยังไม่ได้กำหนด  แล้วแต่พวกเราครับ ถ้าจะให้ดี ศุกร์-อาทิตย์ ช่วงไหนก็ได้ แล้วแต่พวกเรา หลวงพ่อท่านก็อยู่วัด วัดก็ว่าง ที่พักอ่าวนางก็มี ราคาตั๋วเครื่องบินก็ไม่แพง  จะอยู่นานกว่านั่นก็ได้ แล้วแต่พวกเรา กำหนดมาเลยได้ทั้งนั้น ครับ

จะจัดให้

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12053 เมื่อ: 06 มีนาคม 2557, 18:30:04 »

 ชาวซีมะโด่ง โปรดทราบ บัญชี singhamanop@gmail.com ของผมมีคน hack ไปแล้ว ผมไม่มีแล้ว ใครส่งอะไรไปนั้นไม่ใช่ผมครับ โปรดทราบด้วย

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12054 เมื่อ: 06 มีนาคม 2557, 20:03:27 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

วันนี้เช้า ไปออกกำลังกายเดินตีกอล์ฟที่สนามกอล์ฟ President

ตอนเพล มีนัดรับประทานอาหารกับ ผู้จัดการแผนกขายตรง-ผ่าน ของ SIW ที่ร้านอาหารฟูจิ ที่เทสโก้ ลาดพร้าว ที่เขามาเลี้ยงฉลองวันเกิดย้อนหลังให้ และมาขอปรึกษาเรื่องการจัดกอล์ฟ เลี้ยงลูกค้าใหญ่ประจำปี และปีนี้บริษัท SIW มีอายุครบ ๒๕ ปี จึงต้องจัดให้ยิ่งใหญ่ กว่าทุกครั้ง พี่สิงห์ เลยมอบให้ คุณอิทธิ เป็นคนจัดการแทนให้ พนักงาน SIW จะได้ไม่เหนื่อย เหมือนทุกปี

ช่วงนี้แพ้ใจตนเอง  ขาดสัจจะ ก็ต้องตั้งตอนกันใหม่ คือ ศีลขาดบางข้อ ก็ต้องนับหนึ่งกันใหม่  มันก็เป็นอย่างนี้ละมนุษย์ ย่อมหลงในความคิดตนเองจนได้

ไม่เป็นไรเริ่มต้นใหม่ได้ เหมือนขึ้นต้นไม้แล้วตกลงมา ย่อมมีประสพการณ์ว่าเราทำอะไรผิด แก้ไขให้ถูก  จริง ๆ ไม่ได้ผิดอะไรมากมายทั้งสิ้น เพราะไม่มีผลกับใครเลยในทางเสียหายหรือไม่ดี มันก็ปกติ

ธรรมะ ก็ไม่รู้จะหยิบยกเรื่องใดมาสอนจิตตนเอง ที่จะเป็นประโยชน์ได้ ประกอบกับ มีงานมาก ที่จะต้องกระทำ เหนื่อยครับ

ดร.กุศล  หลวงพ่อให้ออฟส่งข่าวมาว่า จะไปแคชเมียร์ วันที่ 25 เมษายน - 1 พฤษภาคม  รับจำนวน ๑๕ ท่าน เท่านั้น ตอนนี้ยังขาดอยู่ ๙ ท่าน  พี่สิงห์  ไปหนึ่งท่าน เพราะโอกาสไปคงมีไม่มาก จึงขอไปกับหลวงพ่อในครั้งนี้ เลย

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12055 เมื่อ: 07 มีนาคม 2557, 05:50:00 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

เช้านี้ได้สวดมนต์ ทำวัตรเช้า สมาทานศีล ๘ เพื่อชำระจิตให้สะอาด ด้วยการถือศีล และนั่งเจริญสติ เพื่อตามจิตตนเอง พิจารณาธรรม ที่เกิดขึ้นกับ รูป-นาม ที่เรากลงไแยึดว่าเป็นตัวตนของเรา

เราต้องทบทวนอยู่ตลอดเวลา  ลำดับธรรมที่ควรพิจารณาคือ

- ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นล้วนมีเหตุ-ปัจจัยทั้งสิ้น ถ้าเหตุ-ปัจจัยนั้นดับ ผลนั้นย่อมไม่มี
- อริยะสัจสี่ คือนี้คือทุกข์ นี้คือสาเหตุแห่งทุกข์ นี้คือวิธีแก้ทุกข์ และนี้คือวิธีปฏิบัติให้พ้นทุกข์(มรรค ๘) และทางสายกลางในการดำรงชีวิต
- สรุป หลักการของพุทธศาสนา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
- เชื่อเรื่องกรรม
- เชื่อเรื่องทำดีไปขึ้นสวรรค์ ทำชั่วไปตกนรก คือเชื่อว่าสวรรค์-นรก นั้นมีจริง ไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์
- คนต้องอยู่ด้วยศีล ๕ เป็นอย่างน้อย สังคมจึงจะสงบสุข
- คนเรานั้นประกอบขึ้นด้วย รูป-นาม มีมีตัวตนที่แสดงว่าเป็นเรา เป็นเขา สัตว์ บุคคล เพราะเราไม่มีอำนาจสั่งการในรูป-นาม ทั้งสิ้น
- ทุกสิ่งล้วนเกิิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามเหตุ-ปัจจัย
- วิธีพ้นทุกข์ถาวร คือการตั้งสติปัฏฐาน ๔
- จุดมุ่งหมายของพุทธศาสนา คือ นิพพาน

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12056 เมื่อ: 07 มีนาคม 2557, 08:45:11 »



สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

พี่สิงห์ อยู่สนามบินดอนเมือง รอขึ้น Nok Air ไปทำงานที่นครศรีธรรมราช

ในคืนที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ ในยามที่ ๒ พระพุทธองค์ ได้ทรงตรัสรู้ว่า ธรรมทั้งหลายที่มนุษย์ประสพทั้งสุข ทุกข์ นั้นล้วนเกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัย ทั้งสิ้น มันเกิดขึ้นเองไม่ได้ ดังนั้น เมื่อเราทราบเหตุ-ปัจจัยนั่นแล้ว เราป้องกันไม่ให้มีเหตุ-ปัจจัยนั้นเสีย หรือดับที่ต้นเหตุ ผลจากเหตุนั้น ก็จะไม่บังเกิดขึ้น

เพราะมี อวิชชาเป็นปัจจัย ผลจึงเกิด สังขาร(คิด กรือปรุงแต่ง)
เพราะมี สังขารเป็นปัจจัย ผลจึงเกิด วิญญาณ
เพราะมี วิญญาณเป็นปัจจัย ผลจึงเกิด นาม-รูป
เพราะมี นาม-รูปเป็นปัจจัย ผลจึงเกิด สฬายตนะ
เพราะมี สฬายตนะเป็นปัจจัย ผลจึงเกิด ผัสสะ
เพราะมี ผัสสะเป็นปัจจัย ผลจึงเกิด เวทนา
เพราะมี เวทนาเป็นปัจจัย ผลจึงเกิด ตัณหา
เพราะมี ตัณหาเป็นปัจจัย ผลจึงเกิด อุปาทาน
เพราะมี อุปาทานเป็นปัจจัย ผลจึงเกิด ภพ
เพราะมี ภพเป็นปัจจัย ผลจึงเกิด การเกิดแก่ เจ็บตาย ทุกข์ และอวิชชา

ถ้าดับตัณหาคือความทะยานอยากเสียได้ ความทุกข์ก็สิ้นไป
ดังนั้น ธรรมทั้งหลายล้วนเกิดจากเหตุ-ปัจจัยทั้งสิ้น

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12057 เมื่อ: 07 มีนาคม 2557, 11:12:15 »


ตกลงพี่สิงห์สามารถกลับมาใช้ " singhamanop@gmail.com " ได้อีกครั้งแล้ว และได้ทำการเปลี่ยนรหัสใหม่เรียบร้อยแล้ว ครับ

จึงแจ้งให้ทราบทั่วกัน

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12058 เมื่อ: 07 มีนาคม 2557, 12:05:42 »


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

พี่สิงห์ อยู่ที่นครศรีธรรมราช เดินทางปลอดภัย นั่งภาวนาตลอดเวลา เพราะไม่มีกิจอย่างอื่นต้องกระทำ

เพราะมี การเกิด ผลคือ จึงมีการแก่ เจ็บ ทุกข์ อวิชชา จนกระทั่งตายจากโลกนี้ไป ตามมา
เพราะมี ภพ ผลคือ จึงต้องมีการเกิด ตามมา
เพราะมี อุปาทาน ผลคือ จึงต้องมีภพ ตามมา
เพราะมี ตัณหา ผลคือ จึงต้องมีอุปาทาน ตามมา
เพราะมี เวทนา ผลคือ จึงต้องมีตัณหา ตามมา
เพราะมี ผัสสะ ผลคือ จึงต้องมีเวทนา ตามมา
เพราะมี สฬายตนะ ผลคือ จึงต้องมี ผัสสะ ตามมา
เพราะมี นาม-รูป ผลคือ จึงต้องมี สฬายตนะ ตามมา
เพราะมี นาม-รูป ผลคือ จึงต้องมีวิญญาณ ตามมา
เพราะมี วิญญาณ ผลคือ จึงต้องมี สังขาร ตามมา
เพราะมี สังขาร ผลคือ จึงต้องมี อวิชชา ตามมา

ดังนั้นพระพุทธองค์จึงสรุปไก้ว่า ถ้าขาดเหตุ-ปัจจัยเสียแล้วจึงจะไม่มีผลตามมา คือ ดับที่ต้นเหตุ นั่นเอง

สิ่งที่ได้คือ ในการทำงาน ทำอะไรก้แล้วแต่ เกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่ ธรรมทั้งหลายนั้น มีเหตุ-ปัจจัย จึงเกิดขึ้น เมื่อเหตุดับ ผลจึงไม่มี

ขอให้นำหลักการนี้ไปใช้ในการทำงาน ในการดำรงค์ชีวิต ท่านจะพบกับสุข สงบ ประสพความสำเร็จทั้งสิ้น

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #12059 เมื่อ: 07 มีนาคม 2557, 21:45:14 »

สาธุค่ะพี่สิงห์
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 07 มีนาคม 2557, 12:05:42

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

พี่สิงห์ อยู่ที่นครศรีธรรมราช เดินทางปลอดภัย นั่งภาวนาตลอดเวลา เพราะไม่มีกิจอย่างอื่นต้องกระทำ

เพราะมี การเกิด ผลคือ จึงมีการแก่ เจ็บ ทุกข์ อวิชชา จนกระทั่งตายจากโลกนี้ไป ตามมา
เพราะมี ภพ ผลคือ จึงต้องมีการเกิด ตามมา
เพราะมี อุปาทาน ผลคือ จึงต้องมีภพ ตามมา
เพราะมี ตัณหา ผลคือ จึงต้องมีอุปาทาน ตามมา
เพราะมี เวทนา ผลคือ จึงต้องมีตัณหา ตามมา
เพราะมี ผัสสะ ผลคือ จึงต้องมีเวทนา ตามมา
เพราะมี สฬายตนะ ผลคือ จึงต้องมี ผัสสะ ตามมา
เพราะมี นาม-รูป ผลคือ จึงต้องมี สฬายตนะ ตามมา
เพราะมี นาม-รูป ผลคือ จึงต้องมีวิญญาณ ตามมา
เพราะมี วิญญาณ ผลคือ จึงต้องมี สังขาร ตามมา
เพราะมี สังขาร ผลคือ จึงต้องมี อวิชชา ตามมา

ดังนั้นพระพุทธองค์จึงสรุปไก้ว่า ถ้าขาดเหตุ-ปัจจัยเสียแล้วจึงจะไม่มีผลตามมา คือ ดับที่ต้นเหตุ นั่นเอง

สิ่งที่ได้คือ ในการทำงาน ทำอะไรก้แล้วแต่ เกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่ ธรรมทั้งหลายนั้น มีเหตุ-ปัจจัย จึงเกิดขึ้น เมื่อเหตุดับ ผลจึงไม่มี

ขอให้นำหลักการนี้ไปใช้ในการทำงาน ในการดำรงค์ชีวิต ท่านจะพบกับสุข สงบ ประสพความสำเร็จทั้งสิ้น

สวัสดี

      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12060 เมื่อ: 08 มีนาคม 2557, 05:01:55 »



สวัสดียามเช้าค่ะ คุณน้องจันทร์ฉาย ที่รัก

พี่สิงห์ บอกแพรวแล้วเรื่องการเรียนต่อ ระดับปริญญเอก  
วันที่ ๒๘ เมษา เขานัดอาจารย์สอบ Thesis

หลังจานั้นต้องเตรียมตัวสอบภาษาอังกฤษ ตามที่เธอแนะนำก่อน เขาถามว่ามันแพงไหม ? ค่าเรียน เพราะเขากลัวพี่สิงห์ ส่งไม่ไหว

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12061 เมื่อ: 08 มีนาคม 2557, 05:59:14 »

อริยสัจ ๔

ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ที่พระพุทธองค์ทรงสอน มันคือปรัชญา หรือหลักการของพุทธศาสนาในการปฏิบัติตนเองสำหรับการดำเนินชีวิตเมื่อเกิดมาเป็นคน คือให้รู้เรื่องทุกข์ เหตุแห่งการเกิดทุกข์ วิธีดับทุกข์ และแนวทางปฏิบัติให้พ้นทุกข์ถาวร หรือนิพพาน ได้

ทุกข์ คือความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความวิตกกังวล หรือการคิดล้วนมีแต่ทุกข์
สรุป คือ ความยึดมั่นในขันธ์ ๕ หรือรูป-นาม นั้นเป็นทุกข์
มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาล้วนมีความทุกข์ทั้งสิ้น หนีไม่พ้น

ความทุกข์นั้น มีสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์อยู่ ๗ ประการ คือ
การเกิด ก็เป็นทุกข์
การแก่ ก็เป็นทุกข์
การเจ็บ ก็เป็นทุกข์
การตาย ก็เป็นทุกข์
การประสพกับสิ่งที่ไม่รัก ไม่ชอบ ก็เป็นทุกข์
ปราถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ก็เป็นทุกข์
ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบ ก็เป็นทุกข์

ถ้าใครพิจารณาให้เห็นความจริงอันนี้ได้ ความทุกข์ก็จะจางหายไป หรือมีทุกข์น้อย เพราะมนุษย์ทุกคนก็ได้รับทุกข์เหมือนกันทุกคน ไม่มีใครหนีทุกข์ไปได้พ้น ยกเว้นเหล่าพระอรหันต์เท่านั้น

สวัสดียามเช้าครับ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12062 เมื่อ: 08 มีนาคม 2557, 07:16:22 »



อาหารเช้าวันนี้

นางปาฎาจารีย์ เห็นทุกข์

ในสมัยพุทธกาล นางสาวปาฎาจารีย์ เป็นลูกสาวเศรษฐี ได้หนีตามสามีที่เป็นคนรับใช้ ไปอยู่ชนบท มีลูกสองคน ตอนลูกคนที่สองจะเกิดนางปราถนาให้สามีพากลับบ้านเพื่อไปคลอดลูก ระหว่างทางเกิดฝนตกหนัก สามีถูกงูกัดตาย นางคลอดบุตรคนที่สองอย่างอนารถ เมื่อนางคลอดลูกเรียบร้อยแล้ว นางตัดสินใจพาลูกน้อยทั้งสองกลับไปหาพ่อแม่ของนาง เมื่อถึงแม่น้ำอจิรวดี นางให้ลูกคนโตรอที่ฝั่ง ส่วนนางพาบูตรน้อยแรกเกิดข้ามฝั่งไปก่อน เอาไปวางไว้ยังอีกฝั่งหนึ่งแล้วเดินข้ามน้ำกลับมารับลูกคนโต

ขณะนางถึงกลางแม่น้ำเหยี่ยวใหญ่มาโฉบลูกน้อยของนางไป นางโบกมือ ไล่เหยี่ยว ลูกคนโตนึกว่าแม่เรียก จึงเดินลงมาที่แม่น้ำถูกกระแสน้ำพัดจมน้ำตายต่อหน้านาง นางเสียใจยิ่งที่สามี-ลูกจากนางไป จิตนางเกือบเป็นบ้า นางเดินไปถึงบ้านพ่อ-แม่ พบว่าบ้าน พ่อ และแม่โดนไฟเผาคลอกตายไปหมดสิ้น มีแต่ควันไฟยังครุกรุ่นอยู่ นางสูญสิ้นทุกอย่างสิ้น จิตเลยวิปลาสได้แต่เดินแก้ผ้า ร้องคร่ำครวญถึงสามี ลูก บิดา มารดา ที่จากไปอย่างน่าเวทนายิ่ง

บ่ายวันหนึ่งที่วัดเชตวันฯ ขณะที่พระพุทธองค์กำลังแสดงธรรม นางปาฎาจารีย์ ได้เดินกระเซอะกระเซิงเข้าไปในที่ประชุมนั้น ไม่ได้นุ่งผ้า ดูอุจจาดตายิ่ง แต่มีภิกษุรูปหนึ่งได้ห่มผ้าให้ พระพุทธองค์ทรงใช้เมตตาธรรมทำให้นางมีสติกลับคืนและไต่ถามความทุกข์ของนาง

นางก็เล่าให้ฟังสิ้น พระพุทธองค์เลยออกอุบายให้นางลองไปถามคนตามหมู่บ้านว่า มีบ้านไหนบ้างไหมที่ไม่มีการสูญเสียคนอันเป็นที่รัก อันได้แก่ พ่อ แม่ สามี ภรรยาและบุตร

นางไปทุกบ้าน หมู่บ้านใกล้เคียงไปถามปรากฏว่า ไม่มีบ้านใดเลยที่ไม่สูญเสียคนอันเป็นที่รักอันมีพ่อ แม่ สามี ภรรยา และบุตร นางได้คิดว่า ทุกคนล้วนเสียบุคคลอันเป็นที่รักทั้งสิ้น ความสลดหดหู่เสียใจที่เกิดขึ้นกับนางสลายไปสิ้น นางเห็นธรรม เห็นความจริงแล้วว่า ความพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักเป็นทุกข์ ทุกคนต้องประสพเหมือนกันหมด ทุกคนก็ยังดำรงค์ชีวิตต่อไป แล้วทำไม่นางต้องโศกเศร้าเสียใจไปด้วย

เมื่อนางได้คิดดีงนี้ ก็กลับไปเฝ้าพระพุทธองค์เล่าให้ทรงทราบในสิ่งที่พระพุทธองค์ให้ไปถามนั้น ด้วยใบหน้าที่สงบเพราะเห็นความจริงแล้ว

พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องทุกข์ให้นางรับทราบ นางขอบวชในสำนักภิกษุณี และต่อมาภายหลังขณะนางทำความสะอาดวิหารเห็นเสียงเทียนที่กำลังมอดไหม้ นางเห็นสัจจธรรมในแสงเทียนนั้น เปรียบเหมือนกิเลสที่มาเกาะจิตทำให้ทุกข์ นางได้ดวงตาเห็นธรรม คลายความยึดมั่นถือมั่นในรูป-นามลงได้ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ และในเวลาต่อมาเป็นเอกทัคคะทางด้านทรงวินัย

ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก เป็นทุกข์
ใครที่สูญเสีย บิดา มารดา สามี ภรรยา และบุตร จงเอานางปาฎาจารีย์ เป็นตัวอย่าง ว่าใครจะทุกข์กว่านางบ้าง

สาธุ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12063 เมื่อ: 08 มีนาคม 2557, 14:44:26 »



สวัสดีครับ พี่สิงห์ อยู่สนามบินนครศรีธรรมราช รอขึ้นเครื่อง Nok Air กลับ กทม.

อริยสัจ ๔ ต่อ
สมุทัย

สมุทัย คือมูลเหตุ หรือสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์
เป็นเพราะความยึดมั่นถือมั่นว่า เรามีตัวมีตน ว่ารูป-นาม นั้นมันเป็นตัวตนของเรา มันก็เลยต้องแสวงหาสิ่งต่าง ๆ ในอย่างน้อยปัจจัย ๔ มาบำเรอหรือสนองตนเอง สนองความคิดตนเอง
ซึ่งการแสวงหานั้น พระพุทธองค์ท่านเรียกว่า ตัณหา หรือความทะยานอยาก นั่นเอง

ตัณหา นั่น ประกอบไปด้วย

๑. กามะตัณหา คือความทะยานอยากที่เกิดขึ้น อยากได้ อยากมี อยากเป็น เอามาเป็นของตน เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้ดมกลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส กายได้สัมผัส แล้วอยากได้ อีกเสมอในสิ่งที่ตนเองรัก ตนเองชอบ และไม่อยากประสพอีกเสมอในสิ่งที่ตนเองไม่รัก ไม่ชอบ
๒. ภวตัณหา คือความทะยานอยากแห่งจิต ที่อยากได้ อยากเอา คือความปราถนาของตนเอง
๓. วิภวตัณหา คือความทะยานอยากแห่งจิต ที่ไม่อยากหลุดพ้น คือไม่อยากนิพพาน

ในวงจรทุกข์ เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดอุปาทาน(ความยึดมั่นถือมั่น) ดังนั้น ถ้าไม่มีความอยากเกิดขึ้น  อุปาทาน ก็ไม่มี วงจรทุกข์ก็ขาดสะบั่นลงทันที

ตัณหา คือเหตุแห่งการเกิดทุกข์ ที่แท้จริง

ท่านสามารถละตัณหาได้หรือไม่
ถ้าละได้เพียงบางส่วนก็ทุกข์น้อย
ถ้าละได้หมด ก็ไร้ทุกข์ นี่คือสัจจธรรม

อยู่เฉย ๆ ไม่มีอะไรทำ ก็เขียนธรรมะ มาเตือนจิตตนเอง ครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12064 เมื่อ: 08 มีนาคม 2557, 20:39:55 »



สวัสดีครับ  พี่สิงห์ อยู่บ้านครับ พรุ่งนี้เช้าไปตีกอล์ฟ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12065 เมื่อ: 09 มีนาคม 2557, 06:53:53 »



อรัณสวัสดิ์ ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12066 เมื่อ: 09 มีนาคม 2557, 08:05:25 »



ก่อนรุ่งอรุโณทัยยามสุดท้ายของวิสาขะปุนมี พระพุทธองค์ ได้ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ใหม่ของโลก

อริยสัจ ๔

นิโรธ

นิโรธ คือ การดับทุกข์
การดับทุกข์นั้น ต้องดับที่สาเหตุแห่งการเกิดทุกข์ เมื่อสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์ คือ ตัณหา หรือความทะยานอยากของจิตมนุษย์ ดังนั้นต้องละตัณหาให้ได้ จึงจะละทุกข์ได้

ถ้าจะละต้องตัณหาได้ ต้องคลายความยึดมั่นถือมั่นแห่งจิตที่คิดว่า มีเรา มีเขา มีสัตว์ บุคคล มีตัวตน เสียให้ได้

วิธีที่จะละความยึดมั่นถือมั่นได้นั้น ต้ิงเริ่มกระบวนตั้งแต่การคิด ว่าเราไม่มีตัวตน เป็นเพียงรูป กับ นาม เท่านั้น นามคือจิต หรือธรรมชาติของการรู้อารมณ์ มาอาศัยรูปอยู่นั่นเอง

ทุกท่านที่ปฏิบัติตามการตั้งสติปัฏฐาน๔ จะสามารุแยกแยะ รูป-นาม คือสามารถแยกความคิดออกจากจิต สามารถแยะการรู้สึกตัวหรือสติออกจากความคิดได้ และสามารถแยกหรือเห็นได้ด้วยความรู้ทั้งสติและความคิดอยู่ในรูปเดียวกัน

การจะละตัณหาได้นั้น มันเริ่มต้นที่เราต้องไม่ยินดีในตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้ดมกลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส กายได้สัมผัส และไม่ปล่อยให่การคิดมาครอบงำจิต และเมื่อเกิดเวทนาเราก็ต้องไม่ยินดีในเวทนานั้น

สิ่งต่าง ๆเหล่านี้ท่านจะสามารถเห็นจริงได้ด้วยตัวเองจากการตั้งสติปัฏฐาน ๔

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12067 เมื่อ: 09 มีนาคม 2557, 14:19:15 »



พระสารีบุตร บรรลุธรรมเพราะคลายความยึดมั่นชถือมั่นในรูป-นาม

ที่ถ้ำสุกรขาตา พระพุทธองค์ ได้โต้ตอบกับปริพาชกไว้เล็บยาวที่มีศักดิ์เป็นญาติกับพระสารีบุตร ปริพาชกชังพระพุทธองค์เพราะทำให้พี่-น้อง พระสารีบุตรถึงหกคนออกบวชหมด ณ ขณะนั้นพระสารีบุตรยืนพัดให้พระพุทธองค์อยู่

ปริพาชกเล็บยาวเริ่มต้นด้วย ว่าตนนั้นมีจริง ก็คือร่างกายและจิตนี่ละที่เป็นตัวตน ทำให้เกิดความรัก ความชอบที่จะสรรหาปัจจัย ๔ มาสู่ตน อะไรที่ชอบก็จะชอบเสมอ อะไรที่ไม่ชอบก็ไม่อยากประสบ ตนชอบนั่น ชอบโน่น

พระพุทธองค์ตรัสว่าในเมื่อท่านปริพาชกคิดว่ารูปนั้นเป็นตัวตนของท่าน  แสดงว่าท่านสามารถมีอำนาจสามารถบังคับบัญชา เหมือนกับกษัตริย์ที่มีอำนาจสามารถสั่งประหารใครก็ได้ ท่านลองสั่งรูปของท่านที่เป็นตัวตนของท่านซิว่า รูปเอย จงอย่าเจ็บ จงเป็นอย่างนั้น จงเป็นอย่างนี้ จงอย่าแก่เลย ท่านสามารถสั่งรูปท่านได้ไหม ปริพาชกเล็บยาวยอมรับว่าสั่งไม่ได้

เวทนาซึ่งเป็นตัวตนของท่าน ท่านจงสั่งเวทนาดูซิว่า ขอให้ท่านมีแต่สุขตลอดไป อย่าได้มีทุกข์เลย ท่านสั่งได้ไหม ปริพาชกก็ยอมรับว่าสั่งไม่ได้ ไม่มีอำนาจเหนือเวทนานั่น

ในทำนองเดียวกัน ปริพาชกเล็บยาวก็ยอมรับว่าสัญญา สังขาร วิณญาณ ก็เช่นเดียวกัน ไม่สามารถสั่งการหรือควบคุมมันได้เช่นเดียวกับรูป เวทนา เช่นกัน

เมื่อเป็นเช่นนั้น พระพุทธองค์จึงสรุปว่าเมื่อท่านไม่สามารถสั่งการในรูป-นามของท่านได้  ท่านไม่ควรจะยึดมั่นถือมั่นในรูป-นามนั่นเลย ต้องคิดว่ารูป-นาม นั้น มันไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ตัวตนทั้งสิ้น มีเพียงรูป-นาม ที่ปรากฏเท่านั้น

ปริพาชกได้ฟังแล้วได้ดวงตาเห็นธรรม แสดงตนเป็นอุบาสกตลอดชีวิต บรรลุโสดาบัน

ส่วนพระสารีบุตรตั้งใจฟังจิตท่านปล่อยวางในรูป-นามนั้น เห็นจริงตามนั้นไม่ยึดมั่นถือมั่นในรูป-นาม บรรลุเป็นพระอรหันต์
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12068 เมื่อ: 09 มีนาคม 2557, 17:17:55 »



ปัจจวัคคีย์ บรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะคลายความยึดมั่นถือมั่นใน "รูป-นาม"

ภายหลังจากพระพุทธองค์ ทรงประการจักรธรรม คือทรงสอนปัจจวัคคีย์ ให้ดำเนินชีวิตด้วยทางสายกลาง ปฏิบัติตาม มรรคมีองค์ ๘ จนปัญจวัคคีย์ ทั้ง ๕ บรรลุเป็นพระโสดาบัน และขอบวชครบทั้ง ๕ องค์แล้

ค่ำวันหนึ่ง พระพุทธองค์ได้เรียกภิกษุปัญจวัคคีย์ ทั้ง ๕ มาสอนเรื่องพระไตรลักษณ์ ขณะนั้นปัญจวัคคีย์ก็ได้เจริญสติ จนเป็นสมาธิ ควรแก่งานที่จะบรรลุธรรม พระพุทธองค์ ทรางสอนว่า

ร่างกาย-จิตใจที่เราเข้าใจว่ามันเป็นตัวตนเรานั้น แท้ที่จริงมันไม่ควรจะเข้าใจอย่างนั้น สิ่งที่เราเห็นเราเข้าใจนั้นมันประกอบไปด้วย รูป และนาม

รูปคือ ร่างกายที่ประกอบไปด้วย ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ มาประชุมกันด้วยเหตุ-ปัจจัย เป็นร่างกายที่เห็นได้ ส่วนนามนั้น ไม่มีตัวตนเป็นเพียงธรรมชาติของการรู้อารมณ์ ที่เรียกว่า จิต ที่ประกอบไปด้วย เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ

ทั้งรูปทั้งนาม นั้น มันไม่จิรัง คือไม่สามารถที่จะคงสภาพเดิมได้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุ-ปัจจัย

อะไรก็ตาม ในที่นี้ คือรูป-นามนั้นเมื่อมันไม่คงอยู่ในสภาพเดิม มันย่อมเป็นทุกข์

อะไรที่มันเป็นทุกข์โดยเฉพาะรูป-นามนั่น เราไม่สามารถที่จะบังคับให้เป็นไปในสิ่งที่เราต้องการได้เลย เมื่อเราไม่สามารถบังคับบัญชามันได้คือรูป-นาม เราต้องถือว่า รูป-นามนั้น ไม่ใช่ตัวตนของเรา

ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป โดยเฉพาะความคิด หรือทุกข์ สุข ที่เกิดกับจิตของเรานั้น มันเกิดขึ้น ดับไป เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้น ถ้าเรา ไม่ไปปรุงแต่งตาม

หลังจากนั้นพระพุทธองค์ทรงถามภิกษุปัญจวัคคีย์ว่า
รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง ภิกษุปัญจวัคคีย์ตอบว่า ไม่เที่ยง
รูปที่ไม่เที่ยงนั้น เป็นสุข หรือทุกข์ ภิกษุปัญจวัคคีย์ตอบว่า เป็นทุกข์
รูปที่เป็นทุกนั้น ควรหรือที่เราจะยึดว่าเป็นตัวตนของเราหรือไม่ ภิกษุปัญจวัคคีย์ตอบว่า รูปนั้นไม่ควรยึดถือว่าเป็นตัวตนของเรา

และในทำนองเดียวกัน พระพุทธองค์ทรงถาม เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ  ก็ได้คำตอบเช่นเดียวกันคือ
รูป-นาม ไม่เที่ยง
รูป-นาม เป็นทุกข์
รูป-นาม เป็นอนัตตา

ในขณะที่พระพุทธองค์ทรงถามนั้น จิตของพระภิกษุปัญจวัคคีย์ ได้เห็นความจริงในธรรมนั้น สามารถคลายความยึดมั่นถือมั่นในรูป-นาม ลงได้ บรรลุเป็นพระอรหันต์ ทั้ง ๕ องค์

จะเห็นว่า ผู้ที่จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้นั่น จิตต้องตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียวเป็นเอกคตา คือบรรลุญาณที่ ๔ เมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ จิตพิจารณาเห็นจริงตามนั้น ก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12069 เมื่อ: 09 มีนาคม 2557, 17:34:54 »



วันนี้เป็นวันอาทิตย์ พักผ่อนอยู่บ้าน

วันจันทร์ ต้องไปทำงานที่โรงงาน PSTC สระบุรี

ดอกไม้สวย ๆ จากสนามกอล์ฟ President ครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #12070 เมื่อ: 09 มีนาคม 2557, 20:55:49 »



ดอกไม้สวยๆที่บ้านค่า
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
ประทาน14
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2514
คณะ: เภสัชศาสตร์
กระทู้: 999

« ตอบ #12071 เมื่อ: 09 มีนาคม 2557, 22:08:07 »

ดอกไม้ของพี่สิงห์ก็สวย ดอกไม้ของน้องป้อมก็สวย

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ชอบนะ ชอบนะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12072 เมื่อ: 10 มีนาคม 2557, 05:32:02 »



สวัสดียามเช้าครับ คุณประทาน และคุณน้องป้อม ที่รัก

ขอบคุณมาก
หน้าร้อน เป็นหน้าที่ต้นไม้ออกดอกสวยงามโดยเฉพาะไม้ใหญ่ ๆ จะออดดอกทั้งต้น และผลัดใบทิ้งหมด จึงสวยงาม

สนามกอล์ฟ President เป็นสนามหนึ่งที่ปลูกต้นไม้พวดนี้เอาไว้มาก จึงมีดอกไม้สวยงามให้ชื่นตา ในสถานการณ์ทางการเมืองที่วิวาททางความคิดและล้วงละเมิดสิทธิผู้อื่น  ตอบแทนผู้อื่น โดยไม่ยึดกลักศีลธรรม

ต้นไม้บางต้น ดอกสวยงาม ฉูดฉาด เพื่อดึงดูดแมลงให้มาดมดอม  แต่อนิจจา ไร้ซึ่งความหอมทั้งสิ้น และยังส่งกลิ่นเหมือน เปรียบเหมือนบุรุษ-สตรี ที่มีรูปโฉมหล่อ-สวย แต่ขาดศีลธรรม ขาดมารยาทที่ดี มีวาจาสามหาว ก็ไม่น่าคบหาสมาคมทั้งสิ้น กับมีพฤติกรรมที่น่ารังเกียจเพราะกระทำชั่ว ทุจริต เห็นประโยชน์ส่วนตน และกระทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เป็นดอกไม้ที่สวย อต่ไม่มีแมลงมาดมดอม เพราะส่งกลิ่นเกม็น มนุษย์ถ้าขากศีล ๕ ก็มีแต่น่ารังเกียจ เช่นเดียวกัน

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12073 เมื่อ: 10 มีนาคม 2557, 05:42:43 »


แสงสว่างแห่งชีวิต

อริยสัจ ๔ ต่อ

นิโรธคามินีปฏิปทา

นิโรธคามินีปฏิปทา คือทางสายกลางในการดำรงค์ชีวิตของมนุษย์ อันได้แก่การปฏิบัติตามอริยะมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง
จะปฏิบัติมาก ปฏิบัติน้อย ก็มีอานิสสงค์ทั้งสิ้น และถ้าข้ามเส้นได้ คือพระนิพพาน ที่เป็นจุดมุ่งหมายของพุทธศาสนา

อริยมรรคมีองค์ ๘ ประกอบด้วย
- สัมมาทิฏฐิ   ความเห็นชอบ
- สัมมาสังกัปโป   ความดำริชอบ
- สัมมาวาจา   การพูดจาชอบ
- สัมมากัมมันโต   การกระทำที่ชอบ
- สัมมาอาชีโว   การเลี้ยงชีวิตชอบ
- สัมมาวายาโม  ความพากเพียรชอบ
- สัมมาสติ   ความระลึกชอบ
- สัมมาสมาธิ ความตั้งใจมั่นชอบ

นี้คือทางสายกลางที่จะพาให้มนุษย์ อยู่อย่างสุข สงบ และถึงซึ่ง พระนิพพาน

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #12074 เมื่อ: 10 มีนาคม 2557, 06:10:09 »



อย่าลืม!

ธรรมของพระพุทธองค์นั้น ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วย "ตรรกะ"

แต่มันต้องพิจารณาจากจิตภายใน หรือตัวรู้  รู้ด้วยวิปัสสนาปัญญาภายใน มันจึงจะเอามาใช้ประโยชน์ได้ เพราะมันมีศรัทธา เชื่อมั่น เห็นความจริงตามธรรมนั้น จิตมันจึงยอมรับที่จะกระทำตามธรรมนั้น

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 481 482 [483] 484 485 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><