23 กันยายน 2567, 23:03:49
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 459 460 [461] 462 463 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3465179 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 29 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11500 เมื่อ: 02 มกราคม 2557, 09:34:09 »


สวัสดีปีใหม่ครับ คุณกรรณะ (Uncle Na)

ปีใหม่นี้ ขอคุณของพระพุทธ  พระธรรม พระสงค์ จงบันดาลให้คุณกรรณะ  สุขกาย  สุขใจ สมปราถนาในทุกสิ่ง เทอญ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11501 เมื่อ: 02 มกราคม 2557, 09:43:23 »



สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

วันขึ้นปีใหม่ ๒๕๕๗ วันที่ ๑ มกราคม  ผ่านพ้นไปแล้ว เป็นอดีตไปแล้ว เราจงมากระทำในสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ที่แต่ละคนยังต้องกระทำเพื่อการดำรงชีวิต ต่อไป  คนที่ยังทำงาน ก็ต้องทำต่อไป  คนที่ไม่ได้ทำงานก็ยังต้องอยู่กับครอบครัว ยังมีหน้าที่รับผิดชอบอยู่ ก็ต้องกระทำต่อไป

แต่สำหรับคนที่สูงอายุ ไม่ได้ทำอะไรแล้วปล่อยวางแล้ว เราระวังตนเองอย่างเดียว ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำให้เป็นภาระของใคร ไม่ทำอะไรที่ไม่สมควรกระทำเพราะจะทำให้มีคนเป็นห่วง เราต้องกระทำในสิ่งที่พึงกระทำ และนึกอยู่เสมอว่า มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราทำไม่ได้อย่างเดิมแล้ว เพราะร่างกายมันแก่แล้ว เราต้องกระทำตามฐานะที่ร่างกาย และเงินมันจะอำนวยประโยชน์ให้เท่านั้น คืออย่าทำเกินกำลัง นั่นเอง

พี่สิงห์  หาเรื่องมาเขียนทุกวันเพียงเพื่อให้คนที่ยังระลึกถึงกันอยู่ ได้รู้ว่า พี่สิงห์  ยังอยู่ ยังไม่เจ็บ ยังไม่ป่วย ยังแข็งแรง ยังมีชีวิตอยู่ ยังสุขคคสะบาย ดีอยู่  ถึงยังเขียนอยู่ได้  ถ้าไม่ได้มาเขียน ติดต่อกันนาน ๆ แสดงว่า เจ็บ ป่วย อาการไม่ดีแล้ว  จะได้รู้กัน

เช้านี้พี่สิงห์  ขอนำ "สัลเลขธรรม ๔๔" ประการของพระพุทธองค์  มาให้ศึกษา เอาไปปฏิบัติ กิเลสจะได้จางลง หรือหมดไปจากจิตได้ คำว่า "นิพพาน" พึงพบได้ในชาตินี้

สวัสดี


สัลเลขธรรม ๔๔

สัลเลขธรรม ๔๔ คือธรรมขัดเกลากิเลส ๔๔ ประการ ที่พระพุทธองค์ ได้ทรงแนะนำให้สาวกนำไปปฏิบัติเพื่อขจัดหรือขัดเกลากิเลส (สลฺเลโข  กรณีโย) ในเรื่องต่อไปนี้ คือ
๑. คนอื่นเบียดเบียนกัน  เราจะไม่เบียดเบียนกัน
๒. คนอื่นฆ่าสัตว์  เราจักงดเว้นจากปาณาติบาต
๓. คนอื่นลักทรัพย์  เราจักงดเว้นจากอทินนาทาน
๔. คนอื่นเสพเมถุนธรรม  เราจักประพฤติพรหมจรรย์
๕. คนอื่นกล่าวเท็จ  เราจักงดเว้นมุสาวาท
๖. คนอื่นกล่าวส่อเสียด  เราจักงดเว้นปิสุณวาจา
๗. คนอื่นกล่าวคำหยาบ  เราจะงดเว้นผรุสวาท
๘. คนอื่นพูดเพ้อเจ้อ  เราจักงดเว้นสัมผัสปลาปะ
๙. คนอื่นเพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่น  เราจักไม่เพ่งเล็งอย่างนั้น
๑๐. คนอื่นมีจิตพยาบาท  เราจักไม่มีจิตพยาบาท
๑๑. คนอื่นมีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ)  เราจักมีความเห็นถูก (ข้อ ๒ - ๑๑ คือ กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ)
๑๒. คนอื่นมีความดำหริผิด  เราจักมีความดำหริถูก
๑๓. คนอื่นมีวาจาผิด  เราจักมีวาจาถูก
๑๔. คนอื่นมีการงานผิด  เราจักมีการงานถูก
๑๕. คนอื่นมีอาชีพผิด  เราจักมีอาชีพถูก
๑๖. คนอื่นมีความเพียรผิด  เราจักมีความเพียรถูก
๑๗. คนอื่นมีสติผิด (ระลึกผิด เช่นโจรเวลาปล้นก็มีสติ) เราจักมีสติถูก (ระลึกได้ และไม่ผิดศีล)
๑๘. คนอื่นมีสมาธิผิด  เราจักมีสมาธิถูก
๑๙. คนอื่นมีญาณผิด  เราจักมีญาณถูก
๒๐. คนอื่นมีวิมุติผิด  เราจักมีวิมุติถูก (ข้อ ๑๑ - ๒๐ คือ มิจฉัตตะ ๑๐ ข้อ ว่ามีญาณผิด คือความหลงผิดว่า ความชั่วของตนเป็นอุบายที่ดี  ข้อวิมุติผิด  คือยังไม่ได้วิมุติ  แต่สำคัญผิดว่าตนได้วิมุตติ)
๒๑. คนอื่นถูกถีนมิทธะครอบงำจิต  เราจักไม่ถูกถีนมิทธะครอบงำจิต
๒๒. คนอื่นฟุ้งซ่าน  เราจักไม่ฟุ้งซ่าน
๒๓. คนอื่นมีวิจิกิจฉา  เราจักข้ามพ้นจากวิจิกิจฉา ( ๓ ข้อนี้ ได้แก่ ข้อ ๒๑ - ๒๓  นับเนื่องอยู่ใน นิวรณ์ ๕)
๒๔. คนอื่นมีความโกรธ  เราจักไม่มีความโกรธ
๒๕. คนอื่นผูกโกรธ  เราจักไม่ผูกโกรธ
๒๖. คนอื่นลบหลู่ท่าน  เราจักไม่ลบหลู่ท่าน
๒๗. คนอื่นตีเสมอเขา  เราจักไม่ตีเสมอเขา
๒๘. คนอื่นมีความริษยา  เราจักไม่มีความริษยา
๒๙. คนอื่นมีความตระหนี่  เราจักไม่มีความตระหนี่
๓๐. คนอื่นโอ้อวด  เราจักไม่โอ้อวด
๓๑. คนอื่นมีมารยา  เราจักไม่มีมารยา
๓๒. คนอื่นดื่อรั้น  เราจักไม่ดื้อรั้น
๓๓. คนอื่นดูหมิ่นท่าน  เราจักไม่ดูหมิ่นท่าน
๓๔. คนอื่นว่ายากสอนยาก  เราจักเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย (ข้อที่ ๒๔ - ๓๔ นี้ นับเนื่องอยู่ในอุปกิเลส ๑๖)
๓๕. คนอื่นมีมิตรชั่ว  เราจักมีมิตรดี
๓๖. คนอื่นเป็นผู้ประมาท  เราจักไม่เป็นผู้ประมาท
๓๗. คนอื่นเป็นผู้ไม่มีศรัทธา  เราจักเป็นผู้มีศรัทธา
๓๘. คนอื่นไม่ละอายต่อบาป  เราจักละอายต่อบาป
๓๙. คนอื่นไม่เกรงกลัวบาป  เราจักเกรงกลัวบาป
๔๐. คนอื่นด้อยการศึกษา (มีสูตะน้อย)  เราจักเป็นพหูสูต
๔๑. คนอื่นเกรียจคร้าน  เราจักระดมความเพียร
๔๒. คนอื่นมีสติเลอะเลือน  เราจักมีสติมั่นคง
๔๓. คนอื่นมีปัญญาทราม  เราจักเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา (ที่ถูกต้อง)
๔๔. คนอื่นหลงผิดไปกับทิฐิของตน ยึดมั่นถือมั่น สลัดทิ้งได้ยาก  เราจักไม่หลงผิดอย่างนั้น  



จะเห็นว่าธรรมของพระพุทธองค์นั้น ปฏิบัติหาเอาเองได้ ด้วยการภาวนา

แต่ถ้าไม่ภาวนาหาเอาเอง  ก็ให้ปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน ก็จะไปถึงจุดหมายปลายทางคือ นิพพาน ได้เช่นกัน

ธรรมของพระพุทธองค์ เป็นธรรมง่าย ๆ ที่เราทุกคนรู้กันอยู่แล้ว แต่ปฏิบัติไม่ได้ หรือไม่ให้ความสนใจ นั่นเอง

ธรรมของพระพุทธองค์ เป็นธรรมที่ ถ้าเราปฏิบัติได้  จะห่างไกลกิเลส  มีแต่ความสงบสุข

ปีใหม่นี้ พี่สิงห์ ขอให้ทุกท่านนำธรรมนี้ไปปฏิบัติตาม  โดยพี่สิงห์  จะปฏิบัติตนเอง เป็นตัวอย่าง ครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11502 เมื่อ: 02 มกราคม 2557, 16:46:54 »

ขบวนแห่พระไตรปิฎก  ออกจากวัดไทยมคธพุทธวิปัสสนา ของ ดร.พระมหาสุเทพ  อากิณจโณ



สงสัยจริง ๆ !
ดร.สุริยา  คงเกลียดเรา  ที่เราลืมวันเกิดของเขา  จนเขาคิดถึงเรา  โทรศัพท์มาหาเรา  แต่เราก็ลืมวันนั้นไปได้  นึกไม่ออกว่า ทำไมเขาคิดถึง  โทรศัพท์มาหา

หรือไม่ !
ดร.สุริยา  ก็บรรลุธรรม มากแล้ว ปล่อยวางได้ จนไม่ต้องมาเข้าเวบ หรือเป็นห่วง www.cmadong.com แล้ว  ถ้าเป็นตามนี้ ก็ขออนุโมทนา

ปีใหม่ที่ผ่านไปนี้ ก็ขอให้ทั้ง ดร.สุริยา  อาจารย์  รุ่งศักดิ์  มีความก้าวหน้าในธรรม มากขึ้น จนปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นใน รูป-นาม ลงได้

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11503 เมื่อ: 02 มกราคม 2557, 19:12:02 »



บอกลา Thailand Senior Open ไปได้เลย ลงแข่งไม่ไหวแล้ว สู้โปร.หนุ่ม ๆ อายุ ๕๐ ปี ไม่ได้

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

พี่สิงห์ ลืมคำนวณอายุใหม่
ปีนี้ พ.ศ. 2557 - 2494 = 63 ปี
เราผ่านร้อน  ป่านหนาว มาถึง ๖๓ ปี แล้ว จริง ๆ
หลายสิ่ง หลายอย่าง เราต้องปล่อยวาง เพราะเราทำไม่ได้

เราทำได้ คือเป็นเสาหลัก ให้คำแนะนำ ในฐานะผู้มีประสบการณ์ แก่ผู้ที่ต้องการคำแนะนำ ไม่ว่าจะเป็นน้องสาว หลาน เหลน ตลอดจนลูกน้อง รุ่นน้อง ทั้งหลาย นั่นคือสิ่งที่เราพอที่จะทำได้ นั่นคือหน้าที่

นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ในการต้องไปเลือกตั้ง ส่วนจะกาอย่างไร ก็เป็นความลับส่วนบุคคล

ส่วนการงานที่รับปากเพื่อนฝูงไว้ ก็ต้องกระทำต่อ แต่ขอให้เขาประเมินเราปีต่อปี ว่ายังจะทำต่อไปได้หรือไม่  ถ้ามีประสิทธิภาพต่ำลง  ก็ขอไม่ทำดีกว่า

วันนี้รับปากทาง SIW ว่าเนื่องในโอกาสที่ SIW ตั้งมาครบ ๒๐ ปี ผมยินดีจะเขียนหนังสือ คอนกรีตอัดแรง ให้หนึ่งเล่ม เพื่อเป็นที่ระลึก เอาไว้แจกให้กับลูกค้า เป็นคู่มือในการผลิต และออกแบบผลิตภัณฑ์คอนกรัตอัดแรง ให้กับลูกค้าของ SIW ฟรี

ที่เหลือคือ ต้องเพิ่มความเพียรในการศึกษา และเจริญสติให้ต่อเนื่อง ให้มากขึ้น และ
ใครมีศรัทธา ก็จะแนะนำหรือสอนการปฏิบัติธรรม ให้เพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น

และแนะนำการกิน นอน ออกกำลังกาย  ให้ห่างไกลโรค ให้กับผู้ที่สนใจดูแลร่างกาย

กว้าง ๆ ก็มีเท่านี้  จนกว่าจะจากโลกใบนี้

ซึ่งเราจะต้องพิจารณา รูป-นาม ของเราทุกวัน ยอมรับในการเสื่อมไปของสังขาร ด้วยความไม่ประมาท

พรุ่งนี้ วันที่ ๓ มกราคม  ต้องเดินทาง ไปทำงานที่นครศรีธรรมราช

ไชโย  อำเภอทับทัน  บ้านของ ดร.สุริยา  ทางผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี ประกาศให้เป็นเขตภัยพิบัติหนาว  ดร.สุริยา  คงได้รับการแจกผ้าห่ม และความช่วยเหลือจากทางจังหวัด และ ดร.สุริยา  ได้สัมผัสอากาศหนาว  ดูแลร่างกายดี ๆ  แนะนำให้ไปเอาฟางข้าวมาทำเป็นอุโมงค์ นอนครับ สมัยที่อยู่บ้านตอนเป็นเด็กที่อินทร์บุรี มันหนาวมาก เสื้อผ้า  ผ้าห่ม มีน้อยต้องก่อกองไฟผิง และขออนุญาติพ่อ ไปนอนในกองฟาง ที่หน้าบ้านที่ญาติ ๆ มาทำลานนวดข้าว เพื่อความอบอุ่น ในฤดูหนาว

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11504 เมื่อ: 03 มกราคม 2557, 08:27:43 »



สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

เช้านี้อยู่บ้าน ได้ใส่บาตรพระ พระมหาอมริทร์ รองเจ้าอาวาสวัดลาดพร้าว และพระ-เณรอีก ๒ รูปมาบิณฑบาตร และ วันนี้มีเพื่อนบ้าใส่บาตรพระ ๔ ท่าน

ขณะนี้พี่สิงห์  อยู่ที่สนามบินดอนเมือง รอขึ้นเครื่อง Nok Air เดินทางไปทำงานที่นครศรีธรรมราช ครับ

พระพุทธองค์ ทรงสอนว่า รูป ประกอบไปด้วยมหาธาตุทั้ง ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ

พระสารีบุตรสอนท่านอาณาบิณฑิกเศรษฐีว่า มนุษย์ประกอบไปด้วยธาตุ ๕ คือ ธาตุดิน  ธาตุน้ำ  ธาตุลม  ธาตุไฟ  และวิญญาณธาตุ

ถ้ามีเพียงธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ก็มีแต่ร่าง คือรูปเท่านั้น แต่ถ้ามีวิญญาณธาตุ เข้าไปด้วย ก็เป็นทั้งรูปและนาม คือมีการรับรู้อารมณ์ขึ้นมารวมเป็นมนุษย์ประกอบด้วยขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ

ถ้าเราอยากจะอยู่อย่างสงบสุขตามเหตุ-ปัจจัย เราต้องมองร่างกายของเราให้เห็น ให้เข้าใจ เป็นอารมณ์ เป็นความรู้สึกว่า ร่างกายของเราประกอบไปด้วยธาตุดิน  ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุลม มาประชุมรวมกันด้วยเหตุปัจจัย เป็นรูปขึ้นมา และมีวิญญาณธาตุ มาอาศัยร่างนี้อยู่ จึงทำให้เรามีทั้งรูป และนาม

เป็นเพียงรูป และนาม

นามที่ประกอบไปด้วยเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  

รูป-นาม นี้ไม่มีความเป็นตัวตนของเราเลย  ตัวตนที่เป็นอัตตา หรือตัวเรามันอยู่ที่ไหน มันไม่มีเลย มีเพียงรูปและนามเท่านี้ ต้องรู้สึกอย่างนี้

แต่ทุกวันนี้ที่เราทุกข์ มีความอยาก เกิดขึ้น ตามมาด้วยริษยา ตระหนี่ ล้วนเกิดจากเราหลงผิดว่าเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา เป็นจิตของเรา จึงมีความต้องการ มีความอยาก เพื่อตัวเรา จึงมีแต่ทุกข์ตามมาทั้งสิ้น

ดังนั้น เราต้องทำความจริงให้ปรากฏ ภาวนาให้เห็น รูป-นาม เห็นในอารมณ์ในความรู้สึกที่สามารถแยกรูป-นามได้ แยกสติออกจากความคิด เห็นความเกิดดับเกิดขึ้นในนาม หรือความคิด เกิดขึ้น ดำรงอยู่ ถ้าไม่คิดต่อ ความคิดก็หายไป ธรรมชาติของความคิดมันเป็นอย่างนี้ ให้ได้ นั่นละขั้นแรกของการภาวนาละ

ต้องใช้เวลา ต้องมีศรัทธา ต้องมีความวิริยะ จึงจะผ่านด่านนี้ได้

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11505 เมื่อ: 03 มกราคม 2557, 12:51:54 »











เมื่อเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา ดร.กุศล  ไปทำบุญฉลองวันเกิดที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11506 เมื่อ: 03 มกราคม 2557, 13:07:27 »

ภาพจากกล้องของ ดร.กุศล  งานสวดสาธยายพระไตรปิฎกภาษาบาลี นา ๆ ชาติ ครั้งที่ ๙ พุทธคยา อินเดีย





























ขบวนของเราเริ่มต้นที่วัดไทยมคธพุทธวิปัสสนา ของหลวงพ่อ ดร.พระมหาสุเทพ  อากิญฺจโณ เดินขบวนมาประมาณ หนึ่งกิโลเมตรกว่า ๆ มาสบทบกับวัดไทยทั้งหมดที่อยู่ที่พุทธคยา ตั้งขบวนใหม่เป็นของประเทศไทย ที่วัดไทยมคธ โดยมีพระธิเบต เป่าแตรนำขบวน

เป็นขบวนที่ใหญ่ที่สุด จำนวนคนมากที่สุด ไปร่วมพิธีเปิดที่ ศูนย์กรจักร

พระไตรปิฎกนั้น ถือเป็นสิ่งสูงสุด เป็นตัวแทนของพระพุทธองค์  จึงต้องทูลไว้บนศรีษะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11507 เมื่อ: 03 มกราคม 2557, 13:27:27 »

ภาพสวดสาธยายพระไตรปิฎกภาษาบาลีนานาชาติ ครั้งที่ ๙



ลืมบอกไปเวลาเดินไปเป็นขบวน จะสวดบทอิติปิโสภัควา  สวาขาโต และสุปํฏฏิปันโน ไปด้วยครับ























ปีนี้เป็นปีที่มีคนไทยมาสวดสาธยายพระไตรปิฎกมากที่สุด ลงทะเบียนทางการ พันกว่าคน มากกว่าทุกชาติ

ปีนี้ ๒๕๕๗ พี่สิงห์  ก็จะไปร่วมสวดสาธยายพระไตรปิฎก อีกครับ

ใครอยากไปสวดสาธยายพระไตรปิำก ปีนี้ วันที่ ๒ - ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๗

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11508 เมื่อ: 03 มกราคม 2557, 13:42:57 »


ทางซ้ายมือ คือหลวงพ่อฉลอง  เจ้าอาวาสวัดไทยไวสาลี วัดไทยเกษรียา และประธานสำนักปฏิบัติธรรมโรงพยาบาลภูมิพะโล เป็นเลขาพระธรรมฑูต สายอินเดีย  ท่านอยู่อินเดียมา ๔๐ ปี สอนให้คนอินเดียมานับถือพุทธศาสนามากกว่า หกพันคน  เป็นคนอนุรักษ์ประเพณีของคนชาวไวสาลี ในเรื่องศิลปวัฒนธรรม เป้าหมายต้องการฟื้นฟูพุทธศาสนาในเมืองไวสาลีให้รุ่งเรืองเหมือนในสมัยพระเจ้าปเสนธิโกศล

องค์กลางไม่ทราบชื่อท่าน อยู่วัดไทยมคธ

ขวามือ คือหลวงพ่อ ดร.พระมหาสุเทพ  อากิณจโฌ  เจ้าอาวาสวัดไทยมคธพุทธวิปัสสนา วัดไทยเชตวันพุทธวิปัสสนา  และวัดไทยพาราณาสีพุทธวิปัสสนา

ดร.กุศล  ศรัทธาในหลวงพ่อ ดร.พระมหาสุเทพ

ส่วนพี่สิงห์  ศรัทธาในหลวงพ่อฉลอง  ได้ไปกราบท่านที่กรจักร และถวายเงินให้ท่านไปทำกุศล ๕๐๐๐ บาท ท่านเสนอให้รัฐบาลอินเดีย ไปขอบาตรพระพุทธเจ้า คืนจากประเทศอาฟกานิสถาน ที่ท่านสืบประวัติบาตร จนพบอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของอาฟกานิสถาน และท่านไปดูของจริงมาแล้ว เพราะกลัวว่าจะถูกทำลายเช่นเดียวกันพระพุทธรูปที่บาบียัน ถ้าตาลีบันคุมอำนวจรัฐได้

ในงานสาธยายพระไตรปิฏกภาษาบาลีครั้งที่ ๙ นี้ ส่วนใหญ่หลวงพ่อฉลองจะแสดงปาฐกถาธรรม เป็นภาษาอังกฤษ และเป็นผู้แปลให้ชาวต่างชาติฟัง ท่านแสดงธรรมในโอวาทปาฏิโมก หลวงพ่อฉลอง พูดภาษาอินเดีย  บาลี ภาษาอังกฤษ ได้ดีเท่ากับภาษาไทย  จึงต้องทำหน้าที่ล่ามในครั้งนี้ด้วย และเป็นหัวเรือใหญ่ ฝ่ายไทย ในการจัดงานครั้งนี้

วันที่ ๑๕ ก.พ. พี่สิงห์  จะได้ไปกราบท่านที่วัดไทยไวสาลี  ได้ทำบุญกับท่าน และจะนิมนต์ให้ท่านสวดองคุลิมารสูตร ฉลองวันเกิดครบ ๖๓ ปีพี่สิงห์ ด้วยครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11509 เมื่อ: 03 มกราคม 2557, 16:15:05 »

ภาพสาธยายพระไตรปิฎกบาลีนานาชาติ ครั้งที่ ๙









พี่สิงห์  ไปอย่างผู้ทรงศีล จึงต้องสำรวม กาย วาจา ใจ ให้มาก































กรจักร

กรจักร เต้นใหญ่ หรือปะลัมสำหรับกระทำพิธีเปิด - ปิด การสาธยายพระไตรปิฎกภาษาบาลีนานาชาติครั้งที่ ๙  ปีนี้ ประเทศพม่าเป็นผู้จัดการ

กรจักร ยังเป็นสถานที่แสดงศิลปวัฒนธรรมนานาชาติของแต่ละประเทศที่จัดมาแสดงในเวลากลางวันหมุนเวียนกันไป

ของไทยนั้นแสดงโดยศิลปินแห่งชาติ เป็นหมอรำอิสาน คนลาวชอบมาก

กรจักร ยังเป็นโรงทานอาหารกลางวันนานาชาติ ที่ ดร.กุศล  มาใช้บริการทุกวัน พี่สิงห์ ไม่ได้มาเพราะไม่อยากเสียเวลา ต้องมารอเข้าคิวยาวมาก จนมันจะเลยเที่ยง ไม่ดี ขอกินผัดผักไข่เจียว  ไข่เจียวผัดผักทุกวันดีกว่าที่ตันพระศรีมหาโพธิ์

ส่วน ดร.กุศล  ก็ใช้ข้ออ้าง  ต้องมาประเคนพระ เลยได้อานิสสงจากพระ และกินอาหารนานาชาติ ทุกชาติ โดยเฉพาะอาหารอินเดีย


สำหรับประเทศไทยนั้น  ถ้าไม่นับพระ ส่วนมากเป็นอุบาสิกา 95%

ถ้ารวมทั้งหมด เป็นอุบาสิกา 90% เช่นกัน

แสดงว่า ผู้ชายนั้นอยู่ห่างพุทธศาสนามาก
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11510 เมื่อ: 04 มกราคม 2557, 05:51:23 »

เพราะความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน หรืออัตตาในรูป-นาม นี่แหละ

มนุษย์จึงต้องมีความริษยา ความตะหนี่ หรือความอยาก ที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์...ทั้งหลาย




สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

วันนี้ได้นั่งภาวนาเจริญสติ  สวดมนต์ทำวัตรเช้า  เดินจงกรมออกกำลังกายที่ลานเอนกประสงค์ของโรงแรม ชั้นสาม ได้ฝึกชิกง-โยคะ ร่างกายของเราหรือรูป มันร่วงโรยไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น  ถึงแม่เราจะดูแลอย่างดีพอสมควรในเรื่องอาหาร นอนหัวค่ำ เจริญสติ แล้วก็ตาม มันก็ยังร่วงโรยไป ตามกาล ตามธรรมชาติของมัน เพียงแต่มันไม่ร่วงโรยเร็วนัก แต่ก็รู้สึกได้ว่า ปีนี้มันแย่ลงกว่าปีที่แล้ว  เราจึงต้องตระหนักเอาไว้ ต้องไม่ไปยึดติด หรือกังวลกับมัน ยอมรับสภาพ จะได้ปล่อยวางได้พอสมควร  ความสุข  สงบก็จะบังเกิดขึ้น  คือเราปรับตนเองได้ ในภาษาสมัยใหม่นั่นเอง

ผมขึ้นต้นหัวข้อว่า เพราะ อัตตา หรือการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนว่าเป็นของเรา นี่ละ เป็นต้นเหตุแห่งความอยาก ความริษยา ความตระหนี่  ที่จะเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์กาย ทุกข์ใจ  กังวล เสียใจ วิตก ตามมา  มันเป็นความจริงทั้งสิ้น ท่านเมื่อเจริญภาวนาได้ระดับหนึ่งแล้ว ปัญญามันจะเกิด มันจะเห็นความจริงอันนี้  ลองกระทำให้เกิดหรือแยกสติออกมาจากความคิด พิจารณาด้วยความแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ท่านก็จะพบความจริงอันนี้ได้ตัวของท่านเอง

ในทางดำเนินชีวิต ท่านจะพบว่าเพราะความหลงว่าเป็นตัวตนของเรา  เป็นจิตของเรา เป็นของเรา นี่ละเราจึงต้องการ หรืออยาก ไปเสียหมด และเกิดการริษยาเกิดขึ้น เกิดความตระหนี่เกิดขึ้น  เมื่อเกิดขึ้นแล้วในจิต มันก็ต้องหามาเสพ มาสนองตัณหา  มาให้กับตัวเองให้ได้  ถ้าหามาได้แบบไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็พอใช้ได้  แต่ถ้าการหามานั้นทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน มีแต่ทุกข์ตามมาทั้งสิ้น

ในทำนองเดียวกัน ท่านลองพิจารณาด้วยตัวท่าน ดูความต้องการของท่าน เสื้อผ้า การแต่งตัว ที่อยู่อาสัย อาหาร ปัจจัยสี่ ล้วนหามาสนองในตัวเองทั้งสิ้น และไม่รู้จักพอ ด้วยความริษยา มันเป็นความจริงครับ เพื่อตนเอง เพราะหลงว่าเป็นตัวตนนี่ไงล่ะ

ดูเอาเถิดทำไมพวกเศรษฐีที่ร่ำรวยเงินทอง  ทำไม่จึงไม่รู้จักพอ  ทั้ง ๆ อีกสิบชาติก็กินไม่หมด เพราะความโลภ เพราะความหลงอยู่ในความคิดตนเอง เพราะความเป็นตัวตน นั่นเอง  จึงอยากจะให้มันรวยกว่าเดิม  มีคนสรรเสริญ  มีอำนาจ ....อีกมาก โดยลืมไปว่า ตายก็เอาไปไม่ได้  ตายไปแล้วคนก็ลืมสิ้น  เพราะอะไร เพราะหลงอยู่ในความคิดตัวเอง หลงกระทำเพื่อตนเอง ทั้งสิ้น แต่ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองอย่างแท้จริง ทำไปในทางที่ผิด

มันเป็นเช่นนี้ มองให้ออก เรามีเพียงปัจจัย ๔ ต่อการดำรงชีวิต เราก็อยู่ได้  อย่าไปต้องการ ไปอยากให้มากนักเลย ล้วนนำทุกข์มาให้

เพราะความอยาก  อยากมีคนสรรเสริญ  อยากมีเกียรติ อยากเป็นใหญ่  อยากรวย  อยากมีบริวารมาก นี่ละ จะเห็นว่าหลงตัวเองทั้งนั้น เพื่อตนเองทั้งนั้นพวกนักการเมืองจึงมีแต่ความขัดแย้ง ไม่สิ้นสุด  ไม่ได้ทำเพื่อชาติ  เพื่องสังคน เพื่อประชาชนที่แท้จริง ทำเพื่อตนเอง เพื่อสนองตัณหาตนเอง และก็ไม่รู้จักพอ จนกว่าจะตายไป  (คนใกล้ตายก็ยังไม่รู้ตัว ยังเห็นทำงานการเมืองเพื่อตนเองอยู่เช่น คุณเฉลิม  คุณบรรหาญ เป็นต้น) นี่ละมนุษย์ที่หลงว่าเป็นตนเอง ว่ามีตัวตน  ทั้งๆ แท้จริงผู้ที่ได้สดับคำสอนของพระพุทธองค์ มีเพียง รูป-นาม เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนเพราะเราบังคับรูป-นาม ไม่ได้เลยทั้งสิ้น ล้วนเป็นไปตามกฏแห่งพระไตรลักษณ์

ดังนั้น จงละความเห็นผิดที่ไปยึดติดว่าเป็นตัวเรา จิตของเราเสียเถิด ท่านจะพบกับสุขยิ่ง  กระทำได้สองทางคือ หาด้วยตนเองจนพบจากการภาวนาเจริญสติ หรือปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ หรือ อยู่ในศีล  สมาธิ  ปัญญา นั่นเอง

สวัสดี
 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11511 เมื่อ: 04 มกราคม 2557, 12:38:55 »

ชมภาพการสวดสาธยายพระไตรปิฎกภาษาบาลีนานาชาติ ครั้งที่ ๙



จะเห็นยอดฉัตรทองคำชัดเจนสวยมากครับ





ขวามือ อาจารย์สำอางค์ (ผู้บริจาดรายใหญ่สร้างวัดไทยมคธพุทธวิปัสสนา, จบอักษรศาสตร์จุฬา รุ่น ๐๒)



ตำแหน่งที่ ดร.กุศล ยืนอยู่ตำแหน่งที่พระยืนมารยืน จะรู้สึกว่าร้อนที่ฝ่าเท้า











ศูนย์อาหารนานาชาติที่ กรจักร ดร.กุศล มาใช้บริการทุกเที่ยงวัน

(แย่งคิว  แซงคิว  ทำไม่ได้และไม่ควรกระทำ ต้องสำรวมกาย  วาจา  ใจ)

พี่สิงห์ มาไม่ทันเพราะกว่าจะถึงคิวก็เที่ยง เพราะคนมาใช้บริการจำนวนมากจึงต้องพึ่งข้าวถุงพลาสติก



การสวดสาธยายพระไตรปิฎก  ก็คือการอ่านภาษาบาลี เหมือนกับเราสวดมนต์ทั่วไปนั่นเอง

ภาษาบาลีมีเสียงสั้น  ยาว  ควบกร่ำ เมื่อออกเสียงถูกต้อง มันก็คือการสวดมนต์ธรรมดานี่เอง ไม่ยาก แต่ต้องมีสมาธิสูง และมีวิริยะ





เพียงคิด หรือละสายตา หรือขาดสมาธิ ก็ตามไม่ทันแล้วครับ

ตาต้องดู-อ่าน  หูต้องฟังเสียงส่วนรวม  ปากต้องออกเสียง  มันจะลืมความเจ็บปวดจากการนั่งนาน ๆ ได้ เพราะไม่ได้คิดถึงเลย

ไม่ได้เอาแว่นอ่านหนังสือไปด้วย  จึงอ่านตัวหนังสือได้ไม่คมชัด





      บันทึกการเข้า
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #11512 เมื่อ: 04 มกราคม 2557, 14:33:20 »



สวัสดีปีใหม่ครับ... พี่สิงห์ และพี่น้องทุกท่าน

ขออนุโมทนาในส่วนบุญกุศลด้วยครับ...




      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #11513 เมื่อ: 04 มกราคม 2557, 20:49:59 »

พี่สิงห์ และสมาชิกห้องนี้


สวัสดีปีใหม่ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11514 เมื่อ: 05 มกราคม 2557, 11:27:01 »



สวัสดีครับ คุณเหยง และคุณน้องแหลม

หวังว่าคงได้อิ่มกับการพักผ่อนกับครอบครัวอยู่ชายทะเล ดีครับเป็นการให้รางวัลกับตัวเองเพราะทำงานเหนื่อยมาทั้งปี ไปกับครอบครัวสุข-สบายใจ

คุณน้องแหลมก็คงได้พักผ่อนเช่านกัน ขอให้มีความสุข สมปราถนาในทุกสิ่ง เทอญ

อย่างพี่สิงห์  ไปเที่ยวมันไม่สุขแล้ว ได้เห็นแต่ความประมาทของคน เพราะตัวเองพยายามรักษาสติให้มั่นคง  ไม่หลงอยู่ในความคิด จะคิดแต่ธรรมเป็นส่วนใหญ่  ทำใจได้มากขึ้นแล้ว ปล่อยวางได้มากขึ้นเพราะรู้ความจริงในพฤติกรรมของจิต

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11515 เมื่อ: 05 มกราคม 2557, 16:19:39 »



สวัสดีครับชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

วันนี้วันอาทิตย์ เป็นวันพักผ่อน
สำหรับทุกท่านที่แวะมาทักทาย ไม่มีธรรมะ มาบอกคงจะผิดหวังอย่ากระนั้นเลย ลองมาทบทวนกันดูครับ

ศีล  สมาธิ  ปัญญา

ศีล คือ เครื่องมือที่พระพุทธองค์ทรงให้ไว้เพื่อให้คนที่ปฏิบัติตามศีลนั้น ยังจะรักษากาย  วาจา  ได้เป็นปกติ  ไม่เป็นที่รังเกียจของสังคม ในทางตรงกันข้ามจะได้ความไว้วางใจ และสรรเสริญในสังคมเสียด้วยซ้ำ เช่นศีล ๕ มหาศีล ถ้าใครรักษาได้ครบไม่บกพร่อง คนนั้นจะเป็นคนดีมีศีลธรรม เป็นคนดีของสังคม ท่านว่าจริงหรือไม่ ท่านลองหาข้อบกพร่องของศีล ๕ ว่ามันไม่ดีตรงไหน ?  กิเลสอย่างหยาบ คือ กิเลสที่เกิดจากการกระทำที่ขาดความยั้งคิด หาภัยมาสู่ตนทั้งสิ้นเพราะการกระทำทางกาย และคำพูด ล้วยหาภัยมาให้ถ้าผิดศีล ๕ หรือ ถ้าท่านละเมิดศีล ๕  นอกจากนี้ พระพุทธองค์ทรงเน้นว่า อานิสสงของศีล ๕ คือ คนที่รักษาศีล ๕ เมื่อตายไปจะไม่ตกนรกภูมิ เป็นจริงครับ ณ ชาตปัจจุบันก็ได้อานิสสง เพราะได้รับคำสรรเสริญ  เชื่อถือ จากคนในสังคม ว่าเป็นคนดีมีศีลธรรม

ต่างจากคำว่า คนดีมีจริยธรรม เพราะอาจะทำดีก็ตาม แต่ผิดศีลธรรม เช่น นักการเมือง ที่เราเห็นๆ อยู่กันทุกวันนี้

ทุกวันนี้เพราะคนเราผิดศีล ๕ ไม่รักษาศีล ๕  จึงมีแต่ความแตกแยกในสังคม ประเทศชาติ ความคิดต่างกัน ไร้ความสามัคคีในสังคมเพราะคนไม่มีศีล ๕ โดยเฉพาะนักการเมือง ไม่มีศีล ๕ มันเลยไม่มีใครเชื่อ มีแต่คนกอบโกย เบียดเบียนย่ำยีเพื่อนนักการเมืองด้วยกัน จนประเทศหาความเจริญไม่ได้  จนหาทางลงในทางการเมืองไม่พบเช่นประเทศไทย ขณะนี้ เพราะคน นักการเมือง ข้าราชการ ไม่รักษาศีล ๕ นั่นเอง

ดังนั้นประเทศไทยของเราจะกลับมาสันติที่แท้จริงได้ คนต้องรักษาศีล ๕ เท่านั้นครับ  จึงจะแก้ปัญหาประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน  แต่มันคงเป็นไปไม่ได้

ต้องเป็นคนดีมีศีลธรรม จึงจะเป็นคนดี

ไม่ใช่เป็นคนดีมีจริยธรรม

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #11516 เมื่อ: 05 มกราคม 2557, 18:28:27 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 03 มกราคม 2557, 13:42:57

ทางซ้ายมือ คือหลวงพ่อฉลอง  เจ้าอาวาสวัดไทยไวสาลี วัดไทยเกษรียา และประธานสำนักปฏิบัติธรรมโรงพยาบาลภูมิพะโล เป็นเลขาพระธรรมฑูต สายอินเดีย  ท่านอยู่อินเดียมา ๔๐ ปี สอนให้คนอินเดียมานับถือพุทธศาสนามากกว่า หกพันคน  เป็นคนอนุรักษ์ประเพณีของคนชาวไวสาลี ในเรื่องศิลปวัฒนธรรม เป้าหมายต้องการฟื้นฟูพุทธศาสนาในเมืองไวสาลีให้รุ่งเรืองเหมือนในสมัยพระเจ้าปเสนธิโกศล

องค์กลางไม่ทราบชื่อท่าน อยู่วัดไทยมคธ

ขวามือ คือหลวงพ่อ ดร.พระมหาสุเทพ  อากิณจโฌ  เจ้าอาวาสวัดไทยมคธพุทธวิปัสสนา วัดไทยเชตวันพุทธวิปัสสนา  และวัดไทยพาราณาสีพุทธวิปัสสนา

ดร.กุศล  ศรัทธาในหลวงพ่อ ดร.พระมหาสุเทพ

ส่วนพี่สิงห์  ศรัทธาในหลวงพ่อฉลอง  ได้ไปกราบท่านที่กรจักร และถวายเงินให้ท่านไปทำกุศล ๕๐๐๐ บาท ท่านเสนอให้รัฐบาลอินเดีย ไปขอบาตรพระพุทธเจ้า คืนจากประเทศอาฟกานิสถาน ที่ท่านสืบประวัติบาตร จนพบอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของอาฟกานิสถาน และท่านไปดูของจริงมาแล้ว เพราะกลัวว่าจะถูกทำลายเช่นเดียวกันพระพุทธรูปที่บาบียัน ถ้าตาลีบันคุมอำนวจรัฐได้

ในงานสาธยายพระไตรปิฏกภาษาบาลีครั้งที่ ๙ นี้ ส่วนใหญ่หลวงพ่อฉลองจะแสดงปาฐกถาธรรม เป็นภาษาอังกฤษ และเป็นผู้แปลให้ชาวต่างชาติฟัง ท่านแสดงธรรมในโอวาทปาฏิโมก หลวงพ่อฉลอง พูดภาษาอินเดีย  บาลี ภาษาอังกฤษ ได้ดีเท่ากับภาษาไทย  จึงต้องทำหน้าที่ล่ามในครั้งนี้ด้วย และเป็นหัวเรือใหญ่ ฝ่ายไทย ในการจัดงานครั้งนี้

วันที่ ๑๕ ก.พ. พี่สิงห์  จะได้ไปกราบท่านที่วัดไทยไวสาลี  ได้ทำบุญกับท่าน และจะนิมนต์ให้ท่านสวดองคุลิมารสูตร ฉลองวันเกิดครบ ๖๓ ปีพี่สิงห์ ด้วยครับ

องค์กลางคือ ท่านเจ้าคุณวีรยุทธ หรือ พระราชรัตนรังษี

ในการประชุมมหาเถรสมาคม 15/2554 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2554 ที่ประชุมมหาเถรฯ ได้พิจารณาเห็นชอบแต่งตั้ง พระราชรัตนรังษี (วีรยุทธ วีรยุทโธ) อายุ 56 พรรษา 36 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย และหัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล สืบแทนพระเทพโพธิวิเทศ ที่มรณภาพ

เมื่อปี 2550 ทีผมไปอินเดีย ท่านเจ้าคุณวีรยุทธ เป็นเจ้าอาวาสวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ และวัดไทย ลุมพินีประเทศเนปาล และเป็นรองหัวหน้าพระธรรมทูตไทยสายอินเดีย-เนปาล
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11517 เมื่อ: 05 มกราคม 2557, 21:11:30 »

อ้างถึง
ข้อความของ Khun28 เมื่อ 05 มกราคม 2557, 18:28:27
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 03 มกราคม 2557, 13:42:57



ทางซ้ายมือ คือหลวงพ่อฉลอง  เจ้าอาวาสวัดไทยไวสาลี วัดไทยเกษรียา และประธานสำนักปฏิบัติธรรมโรงพยาบาลภูมิพะโล เป็นเลขาพระธรรมฑูต สายอินเดีย  ท่านอยู่อินเดียมา ๔๐ ปี สอนให้คนอินเดียมานับถือพุทธศาสนามากกว่า หกพันคน  เป็นคนอนุรักษ์ประเพณีของคนชาวไวสาลี ในเรื่องศิลปวัฒนธรรม เป้าหมายต้องการฟื้นฟูพุทธศาสนาในเมืองไวสาลีให้รุ่งเรืองเหมือนในสมัยพระเจ้าปเสนธิโกศล

องค์กลางไม่ทราบชื่อท่าน อยู่วัดไทยมคธ

ขวามือ คือหลวงพ่อ ดร.พระมหาสุเทพ  อากิณจโฌ  เจ้าอาวาสวัดไทยมคธพุทธวิปัสสนา วัดไทยเชตวันพุทธวิปัสสนา  และวัดไทยพาราณาสีพุทธวิปัสสนา

ดร.กุศล  ศรัทธาในหลวงพ่อ ดร.พระมหาสุเทพ

ส่วนพี่สิงห์  ศรัทธาในหลวงพ่อฉลอง  ได้ไปกราบท่านที่กรจักร และถวายเงินให้ท่านไปทำกุศล ๕๐๐๐ บาท ท่านเสนอให้รัฐบาลอินเดีย ไปขอบาตรพระพุทธเจ้า คืนจากประเทศอาฟกานิสถาน ที่ท่านสืบประวัติบาตร จนพบอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของอาฟกานิสถาน และท่านไปดูของจริงมาแล้ว เพราะกลัวว่าจะถูกทำลายเช่นเดียวกันพระพุทธรูปที่บาบียัน ถ้าตาลีบันคุมอำนวจรัฐได้

ในงานสาธยายพระไตรปิฏกภาษาบาลีครั้งที่ ๙ นี้ ส่วนใหญ่หลวงพ่อฉลองจะแสดงปาฐกถาธรรม เป็นภาษาอังกฤษ และเป็นผู้แปลให้ชาวต่างชาติฟัง ท่านแสดงธรรมในโอวาทปาฏิโมก หลวงพ่อฉลอง พูดภาษาอินเดีย  บาลี ภาษาอังกฤษ ได้ดีเท่ากับภาษาไทย  จึงต้องทำหน้าที่ล่ามในครั้งนี้ด้วย และเป็นหัวเรือใหญ่ ฝ่ายไทย ในการจัดงานครั้งนี้

วันที่ ๑๕ ก.พ. พี่สิงห์  จะได้ไปกราบท่านที่วัดไทยไวสาลี  ได้ทำบุญกับท่าน และจะนิมนต์ให้ท่านสวดองคุลิมารสูตร ฉลองวันเกิดครบ ๖๓ ปีพี่สิงห์ ด้วยครับ

องค์กลางคือ ท่านเจ้าคุณวีรยุทธ หรือ พระราชรัตนรังษี

ในการประชุมมหาเถรสมาคม 15/2554 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2554 ที่ประชุมมหาเถรฯ ได้พิจารณาเห็นชอบแต่งตั้ง พระราชรัตนรังษี (วีรยุทธ วีรยุทโธ) อายุ 56 พรรษา 36 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย และหัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล สืบแทนพระเทพโพธิวิเทศ ที่มรณภาพ

เมื่อปี 2550 ทีผมไปอินเดีย ท่านเจ้าคุณวีรยุทธ เป็นเจ้าอาวาสวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ และวัดไทย ลุมพินีประเทศเนปาล และเป็นรองหัวหน้าพระธรรมทูตไทยสายอินเดีย-เนปาล



หลวงพ่อฉลอง   พระเทพโพธิวิเทศ   หลวงพ่อ ดร.พระมหาสุเทพ
สวัสดีครับ ท่านขุน

ขอบคุณมาก ที่นำข้อมูลมาบอก ครับ

ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ผ่านมาเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม  ท่านได้เลื่อนสมณะศักดิ์ จากชั้น ราช เป็นชั้น เทพ แล้วครับ
ที่พระเทพโพธิวิเทศ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
lek_adisorn
Hero Cmadong Member
***

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,595

« ตอบ #11518 เมื่อ: 05 มกราคม 2557, 21:13:26 »

สว้สดีครับพี่สิงห์
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11519 เมื่อ: 06 มกราคม 2557, 05:33:34 »

อ้างถึง
ข้อความของ lek_adisorn เมื่อ 05 มกราคม 2557, 21:13:26
สว้สดีครับพี่สิงห์


สวัสดีครับ คุณอดิสร ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

ขอบคุณมาก  ที่เข้ามาทักทาย  ปีใหม่ที่ผ่านมาเธอคงไปพักผ่อนกับลูก ๆ คงมีความสุขตามเหตุ-ปัจจัย  กลับมาทำงานจะได้มีสมาธิในการทำงานมากยิ่งขึ้น

ขอให้สำเร็จในงานอย่าลืม อิทธิบาท ๔ มีฉันทะ  วิริยะ  จิตตะ และวิมังสา เอาไปเป็นตัวช่วยในการทำงาน จะสำเร็จทุกประการ และ

แถมด้วย พรหมวิหาร ๔ คือมีเมตตา  กรุณา  มุฑิตา  และอุเบกขา  จะทำให้เราทำงานกับลูกน้อง  ติดต่อกับลูกค้า อยู่กับครอบครัวคนข้างกาย  สามารถวางใจของเราถูกที่ถูกทาง  จะมีแต่สุขยิ่ง

แต่ถ้าแถม รักษาศีล ๕ ด้วยแล้วละก็ จะได้รับการสรรเสริญในสังคม ว่าเราเป็น "คนดี มีศีลธรรม"

และอย่าลืม ท่องเอาไว่ในใจเสมอ ให้ใจมันได้ตระหนักในความจริงว่า ได้ลาภ-ก็เสื่อมลาภ  ได้ยศ-ก็เสื่อมยศ  ได้รับการสรรเสริญ-มีคนนินทา และได้รับความสุขสุข-ก็ได้รับความทุกข์  นี่คือโลกธรรม ๘ ที่มันเป็นเรื่องที่คนทุกคนจะต้องประสบไม่ละเว้น  อยู่ที่ใครจะวางใจได้ถูกต้องก็จะมีแต่สุข ไม่หลงระเริงไปกับสิ่งที่เราประสบหรือได้รับ

จะให้ดีต้องเพิ่ม สังคหะวัตถุ ๔ คือ ทาน(การเสียสละแบ่งปันให้กัน)  ปิยวาจา(การพูดจาอ่อนหวานไพเราะน่าฟัง  อัตถจริยา(การประพฤติตนให้เป็นประโยชน์) และสมานัตตตา(การวางตนให้เหมาะสมแก่ฐานะ)

และ ทิศ ๖ เข้าไปด้วยครับ เพราะทิศ ๖ เป็นหน้าที่ ที่เราจะต้องเกี่ยวข้องกับบุคลในสังคม ได้แก่ บิดา-มารดา ครู-อาจารย์ มิตร-สหาย บุตร-ภรรยา  นายจ้าง-ลูกจ้าง และสมณะ เราจะได้รู้หน้าที่  ที่เราใช้ในการปฏิบัติตนที่ดีต่อบุคคลที่เราต้องเกี่ยวข้องทุกวัน

ทั้งหมดนี้คือธรรม ที่ควรน้อมนำเอาไปใช้ในการดำรงชีวิต เพื่อความสุข  สงบ สำเร็จ ในชีวิต

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11520 เมื่อ: 06 มกราคม 2557, 12:17:48 »

ภาพสวดสาธยายพระไตรปิฎกภาษาบาลีนานาชาติ ครั้งที่ ๙





















อาหารนานาชาติทีโรงทาน กรจักร ที่ ดร.กุศล ไปรับประทานทุกวันตอนเที่ยง



จาดงานทำบุญพระสงฆ์  ถวานทานให้คนยากไร้ ๒๐๐๐ คน ที่กรจักร ถวายในหลวง











เวียนเทียนรอบวิหารพุทธคยาและต้นพระศรีมหาโพธิ์รอบใหญ่่
 สวดอิติปิโส สวาขาโต  สุปฏิปันโณ ไปด้วย เพื่อถวายในหลวง



ปฏิบัติธรรม ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ๕ ธันวาคม



พระธิเบต ที่ ดร.กุศล ไปเสวนาด้วย



การจัดงาน ๕ ธันวามหาราช เทอดในหลวง ที่พุทธคยา เวียนเทียนรอบพุทธมณฑล พุทธคยา

      
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11521 เมื่อ: 06 มกราคม 2557, 20:53:41 »

ภาพสวดสาธยายพระไตรปิฎกภาษาบาลีนานาชาติ ครั้งที่ ๙




















คงเป็นอาหารอินเดียที่ ดร.กุศล  ใฝ่ฝันว่าจะได้กิน







พระธิเบต สวดชยันโตให้ในหลวง เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม



ทุกท่านได้ชมภาพแล้ว อย่าลืมถ้าท่านมีศรัทธา ปีนี้วันที่ ๑-๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ ไปกันครับ

สวดสาธยายพระไตรปิฎกภาษาบาลีนานาชาติ ครั้งที่ ๑๐ พุทธคยา ประเทศอินเดีย

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11522 เมื่อ: 07 มกราคม 2557, 07:15:55 »



สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

พี่สิงห์ มาออกกำลังกายที่สนามกอล์ฟ President

ฟังวิทยุ ขั้นรายการ ระหว่างชั่วโมง ที่ทางสถานีของ อสมท. นำมาเปิด เป็นเสียงของสมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระญาณสังวร ท่านแสดงธรรมว่า "เพียงสมถะและสมาธิ" ยังไม่พอที่จะพ้นกิเลสไปได้  ต้องใช้ "วิปัสสนาปัญญา" ด้วย จึงจะพ้นกิเลสไปได้

พี่สิงห์ เห็นจริงตามที่ท่านแสดงนั้นทุกประการ

สวัสดี




หลายท่านคงตั้งปัญหาในใจว่า แล้ว "วิปัสสนาปัญญา" มันคืออะไร ?

ต้องบอกก่อนว่า "วิปัสสนาปัญญา" ไม่ได้เกิดจากการรู้ที่เกิดจาก การอ่าน  การฟัง และการคิด แล้วมีความเข้าใจเอา นะครับ อย่าเข้าใจผิดอย่างนั้น มันไม่เหมือนกัน มันต้องรู้ขึ้นมาเองจากภายใน และไม่ได้ตั้งใจที่อยากจะรู้

สมถะ คือการที่จิตเข้าไปแช่อยู่ในความสงบ เฉยๆ ไม่มีสติ-สัมปชัญญะที่เรียกว่าเข้า "ฌาณ" นั่นเอง

ส่วนสมาธิ คือการที่เรามีอารมณ์ตั้งมั่นอารมณ์เดียว แต่มีสติ-สัมปชัญญะ ที่เรียกว่าเข้า "ญาณ"

โดยเริ่มตั้งแต่ ละนิวรณ์ ๕ ได้ ละวิตก-วิจารณ์ได้ ละปีติได้ และละสุข-ทุกข์ได้ มีแต่สติ-สัมปชัญญะ และอุเบกขา ที่เรียกว่าเข้าญาณที่ ๑ ๒ ๓ ๔ นั่นเอง

ทั้งสมถะและสมาธิ ยังไม่สามารถละกิเลสได้หมด

ต้องใช้วิปัสสนาปัญญาภายใน ที่จิตมันเห็นจริงในอารมณ์ที่เห็นนั้น หรือจิตมันรู้-เข้าใจของมันเองในอารมณ์หรือธรรมนั้น และเมื่อมันรู้แล้ว เวลาเราประสบในสิ่งที่ก่อกิเลส คือความโลภ ความโกรธ ความหลง เข้ามาจะครอบงำจิต  จิตมันจะปล่อยวาง สงบระงับด้วยตัวของมันเอง เพราะจิตมันรู้เท่าทันในกิเลสที่กำลังจะประสบนั้น จิตมันจะปล่อยวางของมันเอง เราก็ยังรักษากาย  วาจา  ใจ ของเราเป็นปกติอยู่ได้ไม่หลงไปกระทำหรือ ไม่ปรุงแต่งไปตามอารมณ์ที่ประสบอยู่นั้นทาง ตา  หู  จมูก  ลิ้น กาย และใจ

สั้นๆ แบบนี้ละครับ หวังว่าคงเข้าใจได้

เล่นกอล์ฟจบ ๑๘ หลุมแล้วครับ คงต้องอาบน้ำ  ขับรถกลับบ้านไปกินข้าวเพล

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11523 เมื่อ: 07 มกราคม 2557, 19:29:00 »

คนคิดไม่เหมือนกัน !



ดร.สุริยา  ก็คิดอย่างหนึ่ง

ดร.กุศล  ก็คิดอย่างหนึ่ง

คุณเหยง  ก็คิดอย่างหนึ่ง

พี่สิงห์   ก็คิดอีกอย่างหนึ่ง

คนจะคิดเหมือนกันได้  พระพุทธองค์ บอกว่า ต้องมีธาตุเดียวกัน จึงจะอยู่ด้วยกันได้ เพราะมีแนวคิดและการกระทำคล้าย ๆ กัน

นี่ละธรรมชาติของจิตมนุษย์  ที่เราทุกคนต้องศึกษาต้องรู้อีกอย่างหนึ่ง เพราะมันจะเกิดขึ้นกับคนทุกคน  แต่ถ้าเราไม่ทราบในสิ่งนี้ คือให้จิตมันรู้ของมันแล้วละก็  เราจะหลงไปกับจิตตนเองนั้น  ก็จะเกิดการพลั้งเผลอ อาจเกิดวิวาท กับคนที่คิดต่างกับเราได้

ตอนนี้ ดร.สุริยา  หรืออีกหลาย ๆ ท่าน ไม่ได้เข้ามาใช้บริการของ www.cmadong.com แล้ว ดร.สุริยา  ไปใช้ Face book เราก็ต้องยอมรับในความคิดของเขา cmadong.com คงไม่มีสาระดีพอ พึ่งไม่ได้  แคบเกินไป และ.........อีกหลายเหตุผล

นั่นคือความจริง ของความคิดคน

สำหรับพี่สิงห์  อย่างที่บอกไปแล้ว เขียนเพื่อให้คนที่รู้จัก ได้แวะเวียนมาหา มาดูว่า พี่สิงห์  ยังดีอยู่  ยังไม่เจ็บไข้ และยังไม่ตาย เท่านั้น

วันนี้ขณะเดินจงกรม จิตมันก็หวลเข้ามาคิดอีก ชีวิตตอนนี้เราไม่มีอะไรต้องห่วง  ต้องกังวล  ต้องรับผิดชอบ  ในสิ่งที่กระทำอยู่นั้นสามารถละได้ทั้งหมด  ทำไม ? เราไม่บวช ถึงไม่บวช ก็เหมือนบวช  ต่างกันที่สีขาว กับ สีเหลือง เท่านั้น

มันก็เป็นจริง  หรือเราควรที่จะบวช  จะได้ตั้งใจภวนาอย่างเดียว  ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร  ให้ชาวบ้านเลี้ยงดูเอง และเราก็สอนธรรมตามกาลเป็นการตอบแทน  ข้าวที่เขาเลี้ยงเราไปจนกว่าเราจะตาย

นี่ละความคิด  เมื่อคิดก็มีความวิตกกังวล ตามมาเพื่อหาเหตุผลสนับสนุน มันเป็นเช่นนี้เอง

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11524 เมื่อ: 07 มกราคม 2557, 20:51:55 »

ภาพการสาธยายพระไตรปิฎกภาษาบาลีนานาชาติ ครั้งที่ ๙



จุดนี้เป็นจุดขายที่คนอินเดียมายืนถ่ายภาพ  แต่ต้องเสียเงิน



















คุณหมอโสพันธุ์



ด้วยความศรัทธา ภูมืใจ ที่สามารถสวดสาธยายพระไตรปิฎกได้ครบตามจุดมุ่งหมาย

เป็นกัลยาณมิตรของ ดร.กุศล  จบจุฬาฯ เหมือนกัน ที่ ดร.กุศล  ไปนั่งด้วย





คอยชมภาพสวดสาธยายพระไตรปิฎกภาษาบาลีนานาชาติ ครั้งที่ ๑๐ เดือนธันวาคม

หวังว่าภาพเหล่านี้ที่นำเสนอมาให้ชม  คงเป็นประโยชน์กับท่านบ้าง

สวัสดี

      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 459 460 [461] 462 463 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><