khesorn mueller
|
|
« ตอบ #9825 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2556, 04:21:18 » |
|
พี่สิงห์ที่เคารพ, พี่กวางดำไหนคะ? พี่สมเกียรติ จอนโคกกรวด คนเดียวกะพี่กวางดำ สมเกียรติ จิตรพรหมพันธ์ (กวางดำ)รึไม่??
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #9826 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2556, 04:35:12 » |
|
พี่สิงห์ที่เคารพ, ร้อนใจก็เลยต้อง..recherchiert มือเป็นระวิง ว่าพี่สมเกียรติ จอนโคกกรวด กับพี่สมเกียรติ จิตรพรมพันธุ์ พี่กวางดำคนเดียวกันหรือไม่
พบว่า:
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #9827 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2556, 04:48:21 » |
|
พี่สิงห์ที่เคารพ,
พี่สมเกียรติ-กวางดำ ดีต่อหนิงคะ จึงรู้สึกตกใจ เมื่อทราบว่าพี่เค้าสูญเสียคุณแม่ในวันนี้. พี่สมเกียรติ เป็นพี่ชาวหอเก่าผู้มีspiritที่เต็มที่ ร่วมงานของชาวหอมิได้ขาด หนิงจึงรู้สึกผิดที่ ไม่สามารถมาอยู่เคียงข้าง เป็นเพื่อนพี่เค้าได้ ในสภาวะแห่งความเศร้าโศก สลดต่อการสูญเสีย อันยิ่งใหญ่นี้ หนิงอยากจะบอกพี่เค้าว่า พวกเราพี่น้องชาวหอ ขอร่วมไว้อาลัยต่อการจากไปของคุณแม่พี่เค้าคะ พวกเราอยู่ เคียงข้างพี่เค้าคะ
พี่สมเกียรติ, ถ้าพี่ได้เข้ามาอ่านกระทู้นี้ หนิงและครอบครัวที่เยอรมันนี ขอร่วมแสดงความไว้อาลัยต่อการจากไป ของคุณแม่พี่ด้วย ขอให้พี่เข้มแข็งผ่านพ้น สภาวะแห่งความเศร้าโศกนี้โดยเร็ววันด้วยคะ
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9828 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2556, 13:07:48 » |
|
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก ถูกต้องแล้ว คุณสมเกียรติ หรือ กวางดำ เป็น คนเดียวกัน เป็นคนที่ให้ความบันเทิงแด่ชาวซีมะโด่ง ในการจัดทัวร์ทุกครั้ง ถ้ารู้ล่วงหน้าตั้งแต่วันพฤหัสบดี พี่สิงห์ คงต้องไปร่วมงานศพคุณแม่เขาได้ แต่กระทันหันเกินไป และอยู่ไกล ได้แต่ส่งใจไปแทน ขอใหุ้คุณแม่ของ คุณน้องสมเกียรติ ไปสู่สุขคติภพใหม่ในภูมิสวรรค์ เทอญ ขอบคุณเธอมาก ไม่ได้คุยกันนานมากแล้ว เธอและหลาน ๆ หวังว่าคงสบายดี นะ สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9829 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2556, 13:26:19 » |
|
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน
วันนี้ได้แต่สวดมนต์ทำวัตรเช้า และรีบออกจากบ้านเวลาตีห้า จึงไม่ได้สอนธรรมะ
เมื่อเพลที่ผ่านมาตั้งใจ จะไปรับปรทานอาหารเพลที่ร้านฟูจิ เ็นทรัลลาดพร้าว ปรากฏว่าคนรอคิวแยะมากและห้าโมงครึ่งแล้วรอไม่ไหว จึงรับประทานอาหารเวียตนามแทน เพื่อไม่ให่เลยเที่ยง พี่สิงห์ ไม่ได้รับประทานตาทร้านอาหารนานแล้ว ปรากฏว่า เสียสตางค์ไป ห้าร้อยเจ็ดสิบบาท รู้อย่างนี้ กลับบ้านหุงข้าวกินดีกว่าเลย
แสดงให้เห็นเลยว่า ค่าครองชีพแพงมาก เงินร้อยบาทไม่มีความหมายเลย
ปกติอยู่บ้านซื้อกับข้าว105 บาทกินได้สามคนทั้งวัน รวมใส่บาตรพระตอนเช้าด้วย ึึ เดี๋ยวนี้ รับประทานผักมากไป เวลาเจอเนื้อสัตว์ แม้กระทั่งเนื้อปลา ก็เหม็นไม่อยากรับประทานเลย ต้องฝ นใจ
เงินมีมูลค่าเล็กลงทุกวัน เพราะข้าวของแพง เป็นผลมาจากการขึ้นค่าแรงก้าวกระโดน ที่ผ่านมา
คนรากหญ้า ลำบากขึ้นทุกวัน มีแตืรทยจ่าย มากกว่ารายรับ อยู่ลำบาก
อยู่บ้าน ครับ
สวัสดี
|
|
|
|
suriya2513
|
|
« ตอบ #9830 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2556, 15:18:35 » |
|
ก็รัฐบาลจะกู้เงินมากระตุ้นเศรษฐกิจสักสองสามล้านล้านบาท ก็ขัดขากันอยู่นั๊นหละ
|
[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี คลิ๊ก->
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9831 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2556, 16:00:31 » |
|
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9832 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2556, 16:03:19 » |
|
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9833 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2556, 16:06:07 » |
|
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9834 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2556, 16:07:29 » |
|
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9835 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2556, 18:31:03 » |
|
ขอขอบคุณ เวบมาสเตอร์ ผู้ปิดทองหลังพระ ที่จัดการให้อ่านงายขึ้น
ไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่คอยช่วยเหลือเสมอ ขอขอบคุณ
สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9836 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2556, 20:31:36 » |
|
| | อ้างถึง | | | | | | | | สังเวคปริกิตตนปาฐะ
อิธะ ตะถาคะโต โลเก อุปปันโน, พระตถาคตเจ้าเกิดขึ้นแล้ว ในโลกนี้;
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, เป็นผู้ไกลจากกิเลส, ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง; ธัมโม จะ เทสิโต นิยยานิโก, และพระธรรมที่ทรงแสดง เป็นธรรมเครื่องออกจากทุกข์; อุปะสะมิโก ปะรินิพพานิโก, เป็นเครื่องสงบกิเลส, เป็นไปเพื่อปรินิพพาน; สัมโพธะคามี สุคะตัปปะเวทิโต ; เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม, เป็นธรรมที่พระสุคตประกาศ; มะยันตัง ธัมมัง สุตฺวา เอวัง ชานามะ : - พวกเราเมื่อได้ฟังธรรมนั้นแล้ว, จึงได้รู้อย่างนี้ว่า : -
ชาติปิ ทุกขา, แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์;
ชะราปิ ทุกขา, แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์;
มะระณัมปิ ทุกขัง, แม้ความตายก็เป็นทุกข์;
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา, แม้ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์;
อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข, ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์; ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข, ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์; ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง, มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์; สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา, ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์; เสยยะถีทัง, ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ :-
รูปูปาทานักขันโธ, ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือรูป; เวทะนูปาทานักขันโธ, ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือเวทนา; สัญญูปาทานักขันโธ, ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือสัญญา;
สังขารูปาทานักขันโธ, ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือสังขาร; วิญญาณูปาทานักขันโธ, ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือวิญญาณ; เยสัง ปะริญญายะ, เพื่อให้สาวกกำหนดรอบรู้อุปาทานขันธ์เหล่านี้เอง, ธะระมาโน โส ภะคะวา, จึงพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เมื่อยังทรงพระชนม์อยู่, เอวัง พะหุลัง สาวะเก วิเนติ, ย่อมทรงแนะนำสาวกทั้งหลาย เช่นนี้เป็นส่วนมาก;
เอวัง ภาคา จะ ปะนัสสะ ภะคะวะโต สาวะเกสุ อะนุสาสะนี พะหุลา ปะวัตตะติ, อนึ่ง คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น, ย่อมเป็นไปในสาวกทั้งหลาย, ส่วนมาก, มีส่วนคือการจำแนกอย่างนี้ว่า :-
รูปัง อะนิจจัง, รูปไม่เที่ยง;
เวทะนา อะนิจจา, เวทนาไม่เที่ยง;
สัญญา อะนิจจา, สัญญาไม่เที่ยง;
สังขารา อะนิจจา, สังขารไม่เที่ยง;
วิญญาณัง อะนิจจัง, วิญญาณไม่เที่ยง; รูปัง อะนัตตา, รูปไม่ใช่ตัวตน;
เวทะนา อะนัตตา, เวทนาไม่ใช่ตัวตน; สัญญา อะนัตตา, สัญญาไม่ใช่ตัวตน;
สังขารา อะนัตตา, สังขารไม่ใช่ตัวตน;
วิญญาณัง อะนัตตา, วิญญาณไม่ใช่ตัวตน; สัพเพ สังขารา อะนิจจา, สังขารทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง;
สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ. ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ใช่ตัวตน ดังนี้. เต (หญิงว่า : ตา) มะยัง โอติณณามะหะ, พวกเราทั้งหลาย เป็นผู้ถูกครอบงำแล้ว ;
ชาติยา, โดยความเกิด; ชะรามะระเณนะ, โดยความแก่ และความตาย;
โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ, โดยความโศก ความร่ำไรรำพัน, ความไม่สบายกาย,ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ทั้งหลาย ;
ทุกโขติณณา, เป็นผู้ถูกความทุกข์ หยั่งเอาแล้ว; ทุกขะปะเรตา, เป็นผู้มีความทุกข์ เป็นเบื้องหน้าแล้ว;
อัปเปวะนามิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยา ปัญญาเยถาติ. ทำไฉน การทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้, จะพึงปรากฎชัด แก่เราได้.
สวัสดียามเช้าตรู่ครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือนที่รักทุกท่าน
เช้ามืดนี้ ได้นั่งภาวนาเจริญสติแล้ว ได้สวดมนต์ทำวัตรเช้าแล้ว ถึงเวลาที่จะสอนธรรม ให้กับบรรดาผีสาง วิญญาณที่ร่องลอย สัตว์เดรฉาร หมู่เทวดา และมนุษย์ แล้ว ขอทุกท่านจงมีสติ-สัมปชัญญะ ตั้งใจฟังธรรมเถิด
มนุษย์เรานั้นพระพุทธองค์ ทรงสอนว่า ประกอบด้วย "รูป - นาม"
รูปนั้น คือร่างกายตามที่เราเห็นเราเข้าใจกันดีนั่นแหละ และรูปนั้นประกอบไปด้วยธาตุทั้ง ๔ คือธาตุดิน ธาตุลม ธาตุน้ำ และธาตุไฟ มาประชุมกันด้วยเหตุ-ปัจจัย จึงเกิดเป็นรูปขึ้น
ธาตุดิน คือส่วนที่รวมตัวกันเป็นก้อน หรือของแข็ง
ธาตุน้ำ คือส่วนที่เป็นของเหลว
ธาตุลม คือส่วนที่เป็นอากาศธาตุ
ธาตุไฟ คือส่วนที่เป็นไออุ่น หรืออุณหภูมิร้อน-เย็น
ท่านจงพิจารณาด้วยปัญญาเองเถิด โลกใบนี้ และทุกดวงดาวในสุริยะจักรวาร ล้วนประกอบด้วยธาตุที่ง ๔ นี้สิ้น เมื่อเราตายไป ธาตุทั้งสี่ก็แตกสะลายกลับไปดังเดิม
นาม คือส่วนที่เรียกว่าจิต ไม่มีตัวไม่มีตน ไม่มีที่อยู่ที่แน่นอน เป็นเพียง "ธรรมชาติของการรู้อารมณ์" เมื่อเราระลึกขึ้นมาได้ที่ส่วนไหนในร่างกาย จิตก็อยู่ตรงนั้น เช่น ระลึกอยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออก ผ่านรู้จมูก จิตของเราก็อยู่ตรงนั้น ระลึกอยู่ที่การนั่ง จิตของเราก็อยู่ในท่าเคลื่อนไหวกิริยานั่ง ระลึกได้อยู่ในท่าเดิน จิตของเราก็อยู่ที่การเคลื่อเท้า หยุดเท้า ระลึกได้อยู่ในท่านอน จิตของเราก็อยู่ที่หลังหรือส่วนของร่างกายสัมผัสกับที่นอน ระลึกได้กับความสุข ความทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ จิตของเราก็อยู่ที่หัวใจหรือทรวงอก ระลึกได้ว่าจิตของเรากำลังคิด จิตก็อยู่ที่สมอง สรุป ก็คือ ขึ้นอยู่กับว่าเราระลึกได้ที่ไหน จิตก็อยู่ที่นั้น ของให้ระลึกได้เท่านั้น และระลึกให้บ่อย ๆ จนติดเป็นนิสัย ท่านก็จะอยู่กับปัจจุบันได้เองโดยอัตโนมัติ
นามหรือจิต ยังแยกออกได้ ตามอารมณ์ คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
เวทนา คือ ธรรมชาติของอารมณ์ที่สัมผัสได้ และสมมติมีชื่อว่าอารมณือย่างนี้คือความสุข อารมณ์อย่างนี้คือความทุกข์ อารมณือย่างนี้คือความไม่สุข ไม่ทุกข์ เป็นที่เข้าใจได้ มนุษย์นั้น อารมณือันไหนที่สุข ก็โสมนัส ร่าเริง ชอบ และอยากได้ อยากประสบอีกเสมอ ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะจิตชอบ จิตเพลิดเพลิน จิตหลง แต่อารมณ์ใดที่ประสบแล้วมีแต่ทุกข์ ไม่ชอบ เกิดโสมนัส ย่อมไม่อยากประสบอีก ส่วนอารมณืไม่สุข ไม่ทุกข์นั้น มักเกิดจากจิตที่เห็นด้วยปัญญาในความจริงแห่งธรรมนั้น ไม่ยึดมั่นถือมั่น จึงปล่อยวางได้ ด้วยปัญญาเป็นแบบอัตโนมัติ เแพาะผู้ที่พิจารณาธรรมและเห็นความเป็นจริง
สัญญา คือ อารมณ์ที่เคยสัมผัสมาก่อน มีการสมมุติชื่อเรียก และเก็บเอาไว้ในหน่าวยความจำคือสมอง เมื่อประสบอีก หรือนึกขึ้นมาได้ ก็จำได้ขึ้นมา เป็นธรรมชาติของอารมณ์ในการจำได้หมายรู้
สังขาร คือ อารมณ์ที่เกิดการคิด หรือภาษาพระท่านว่าการปรุงแต่ง เป็นธรรมชาติของจิต ที่จิตมันชอบคิด ไม่จบสิ้นจนกว่าร่างกายจะดับ คิดจากอะไร คิดจากในสิ่งที่ได้สัมผัส หรือประสบ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต นั่นเอง โดยเฉพาะการคิดที่เกิดจากจิต และเมื่อคิดแล้วก็หลงอยู่ในความคิด เป็นความเคยชินตั้งแต่เกิด จนไม่สามารถแยกออกได้ หรือไม่เห็นความคิดตนเองเลย เมื่อคิดแล้วก็กระทำตาม ย่อมมีผลตามมาทั้งดีและไม่ดี
ขอเวลานอกไป เดินจงกรมออกกำลังกายยามเช้า ฝึกชิกง-โยคะ ฝูงนกเอี้ยงร้องเตือนแล้ว ครับ
สวัสดี
สวัสดียามสายครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน
ออกกำลังกายเรียบร้อยแล้ว รับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว มาสอนธรรมะกันต่อดีกว่า
สังขาร คือความคิดปรุงแต่ง
คนเรานั้น มีทั้งทุกกาย และทุกใจ แต่ตัวที่เป็นปัจจัยหลักที่นำทุกข์มาให้คือ ความคิดปรุงแต่งนี่ละ คือ สังขาร จึงสรุปได้ว่า เมื่อคิด ก็ประสบทุกข์ เมื่อไม่คิด ก็ไม่ทุกข์ จะไม่ให้คิดได้ ก็ต้องมีความรู้สึกตัว หรือมีสติ หรือระลึกได้ แต่ถ้าจะคิดต้องคิดในทางพิจารณาธรรมะของพระพุทธองค์ เพราะมันไม่มีทุกข์ทั้งสิ้น
วิญญาณ คือธรรมชาติของอารมณ์ที่รู้แจ้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เมื่อตาได้เห็น(สัมผัส)รูป ก็รู้แจ้ง เป็นมโนวิญญาณ เมื่อหูได้ยิน(สัมผัส)เสียง ก็รู้แจ้งเป็นโสตวิญญาณ เมื่อจมูกได้ดม(สัมผัส)กลิ่น ก็ได้รู้แจ้งเป็นฆานะวิญญาณ เมื่อลิ้นได้ลิ้ม(สัมผัส)รส ก็ได้รู้แจ้งเป็นชิวหาวิญญาณ เมื่อกายได้สัมผัส ก็ได้รู้แจ้งเป็นผัสสะวิญญาณ และเมื่อใจได้นึกคิด(สัมผัส) ก็ได้รู้แจ้งเป็นมโนวิญญาณ
ดัง พระพุทธองค์ท่านทรงสอนว่า อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์
ผู้ใดที่ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ผู้นั้นย่อมประสบในทุกข์เสมอ และเมื่อตายไปย่อมไปสู่อีกภพหนึ่งเสมอ
นอกจากนี้พระสารีบุตร ได้สอนท่านอาณาบิณฑิกคฤหบดีก่อนตายว่า อย่ายึดมั่นใน ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ และวิญญาณธาตุ เมื่อไม่ยึดมั่นใด ๆ แล้วก็จะจากโลกมนุษย์ไปแบบไม่มีอะไรติดค้าง ที่จะต้องมาเกิดอีก
วิญญาณธาตุ ที่เพิ่มเติมมานั้น เป็นธรรมชาติของอารมณ์ที่รู้แจ้ง ไม่มีตัวตน ถือเป็นธาตุหนึ่งที่เมื่อยังยึดมั่นอยู่ ย่อมไปจุติในภพหน้าเสมอ โดยมีกรรมตามไปด้วยเป็นเงาตามตัว ที่จะต้องชดใช้กันต่อไป จนกว่าจะหมด และไม่สร้างกรรมอีก
วิญญาณธาตุ เป็น นาม คือไม่มีตัวไม่มีตน
ก็สมควรแก่เวลา สำหรับธรรมะ ประจำวันนี้ สอนมากกว่านี้ ท่านก็จะไม่อ่าน มันก็จะไม่ก่อประโยชน์
ขอทุกท่านจงพิจารณาด้วยปัญญา เห็นตามนี้
สวัสดี
| | | | | สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งและแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน
พรุ่งนี้เป็นวันแม่ คนที่แม่จากไปยังไม่ถึงปี ย่อมหวลนึกถึงแม่เสมอ ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เราดูแลท่านไม่สมบูรณ์ เมื่อคิดขึ้นมามีแต่ทุกข์ ต้องเอาชนะด้วยการกระทำความดี ตั้งหน้าปฏิบัติธรรม เป็นลูกที่ดีของท่าน ตามที่ท่านได้สั่งสอน ส่งให้เรียนหนังสือ จนมีอาชีพ มาถึงปัจจุบัน เพราะทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว เป็นการจากไปโดยสิ้นเชิง ทุกคนไม่ละเว้นก็ประสบอย่างนี้ทุกคน คือความพลัดพรากจากบิดา-มารดา เป็นทุกข์
ธรรมะ ในวันนี้ก็คือ ธรรมะ ที่ผมนำมากล่าวไว้ข้างต้น
พระพุทธองค์กล่าวว่า อุปทานขันธ์ ๕ เป็นตัวทุก ไม่ใช่ตัวตนของเรา เพราะเราไม่มีตัวตนทั้งสิ้น มีเพียง รูป กับ นาม ที่มีจิตมาอาสัยรูปนี้อยู่ ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อร่างกายดับ จิตก้ไปหาภพอื่นอยู่ต่อไป ถ้าเรายังมีความยึดมั่นถือมั่น อยู่ ไม่มีที่สิ้นสุด การเกิดทุกครั้งล้วนมีแต่ทุกข์ เสมอ
ทุกข์ คือความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ความโทมนัส การปริวิตก ความกังวลเป็นต้น
ทุกข์นั้น ในโลกนี้ มนุษย์ทุกคนต้องประสบไม่ละเว้น ประกอบไปด้วย
ความเกิด ก็เป็นทุกข์
ความแก่ ก็เป็นทุกข์
ความเจ็บไข้ ป่วย ก็เป็นทุกข์
ความประสบกับสิ่งที่ไม่รัก ไม่ชอบ ก็เป็นทุกข์
ความปราถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น ก็เป็นทุกข์
ความพลัดพราก จากสิ่งที่รัก ก็เป็นทุกข์
มนุษย์ทุกคนที่เกิดมา ย่อมประสบทุกข์ทั้ง ๗ นี้เสมอ จะมาก จะน้อย ขึ้นอยู่กับ การวางจิตของท่าน
ผู้ใด มีสติ-สัมปชัญญะ ก้สามารถวางจิตของตน ให้พ้นทุกข์ได้
อย่าลืม จิตมนุษย์นั้น ย่อมคิด และวิตกกังวลไปในอนาคต คือ ทุกข์ในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงเสมอ
อย่าลืม จิตมนุษย์นั้น ย่อมเสียดาย(เวลา) ในสิ่งที่ผ่านไปแล้วเสมอ
อย่าลืมจิตมนุษย์นั้น ไม่เคยอยู่กับปัจจุบัน ที่กาย เวทนา จิต ธรรม เลย จึงไม่รู้ว่าความพ้นทุกข์เป็นอย่างไร
และอย่าลืม มนุษย์นั้น หลงเพลิน ยินดี พอใจ ในสิ่งที่ตนชอบ หรือหลงอยู่ในความคิด เพราะความเคยชิน มาตั้งแต่ จำความได้ จึงไม่สามารถแยกจิตตนเองออกจากความคิดได้เลย จึงคิดว่าตังเองนั้น มีตัวตน จึงกระทำเพื่อตนเอง เสมอ
การเจริญสติภาวนา ให้มาก ๆ จะสามารถแยกตัวตนของเราออกมาเป็นรูป-นาม หรือสติ-ความคิดได้ จนเห็นความคิด ว่าเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ ว่ "าทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และดับไปเป็นธรรมดา" เพียงแต่เราอุเบกขาได้เท่านั้น เราก็จะห่างไกลจากทุกข์ทั้งสิ้น
ราตรีสวัสดิ์ครับค่ำนี้
|
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #9838 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2556, 21:19:55 » |
|
พี่สิงห์ที่เคารพ แม่หนิงก็บ่นค่ะ ว่าข้าวของแพง.. เมืองอู่ข้าวอู่น้ำแต่ซื้อกินแล้วไม่อิ่ม?? แม่หนิงเลยเดินตามทางของตัวเองคะ! โดยการจ่ายตลาด ทำกินเอง..คุ้มกว่าคะ
เพราะกินไม่อิ่มเป็นสาเหตุของการกินจุบจิบ ไม่มีวินัยคะในระยะยาว.
หนิงไปอิตาลี่..แวะร้านชำเค้า,ซื้อน้ำมันโอลีฟ verginคะ ซื้อข้าว"Riso"เค้าคะให้เค้าอธิบายให้ฟัง หุงยังไง เพราะไม่คล้ายข้าวหอม หุงไม่เป็นคะ! เค้าบอกว่าเอาข้าวคั่วผัดกะเนยก่อนให้เม็ดข้าวร้อน จึงจะเทน้ำลงต้มไฟอ่อนจนน้ำระเหิดแล้วรมไอต่อไฟอ่อนสุด พี่สิงห์,หนิงหุงข้าวอิตาเลี่ยนทุกวันเลยพี่
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9839 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2556, 11:59:07 » |
|
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9840 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2556, 11:59:46 » |
|
|
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9842 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2556, 12:02:05 » |
|
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9843 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2556, 13:32:44 » |
|
สองล้านล้านบาทนั้น
20% ชักค่าต๋งเข้ากระเป๋าพรรคเพื่อไทย สามารถไล่ซื้อ สส. เป็นรัฐบาลได้อีกนาน สามารถแก้กกฏมายจากผิดเป็นถูกได้ ตามที่ปราถนา และไม่ได้แก้ไขเศรษฐกิจที่แท้จริง เป็นการสร้างหนี้ครัวเรือนให้เพิ่มพูนมากขึ้น สร้างปัญหาในอนาคตของประเทศในด้านเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาก็เห็น ๆ กันอยู่แต่ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีใครกล้าแสดงตน แต่ตอนนี้ผลมันกำลังเกิดขึ้นแล้ว ตัวใครตัวมันก้แล้วกัน
ที่ผ่านมาก็ไปบังคับแบ้งชาติให้ลดดอกเบี้ย ผ่านไปไม่ถึงสอง-สามเดือน ขณะนี้รัฐบาลกำลังจี้ให้แบ้งชาติขึ้นดอกเบี้ย เพื่อป้องกันเงินเฟ้อและสกัดกั้นหนี้ภาคครัวเรือน คือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อพวกพ้อง มันก็สร้างปัญหาตัวอื่นเกิดขึ้นแบบนี้ละ ดร.สุริยา ไม่มีประเทศไหนเขาทำกันแบบนี้
สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9844 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2556, 13:46:51 » |
|
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก
ดีแล้วที่กระทำกินเอง อยู่แบบพอเพียง ไม่รวย เราก็สุขได้ อิ่มได้เหมือนกัน
วันนี้ขณะขับรถกลับบ้าน ช่วง 10:00-11:00น. ฟังข่าวจากวิทยุ รองประธานอุตสาหกรรมออกมาให้ข่าว ผ่านทาง FM 100.5 ว่า ขณะนี้ธุรกิจ SME กำลังจะตาย ทางแบ้งได้จำกัดและเข้มงวดในการให้เงินกู้ และ SME ทางผู้ผลิตอพหลั่ยรถยนต์กำลังจะตายเพราะการผลิตรถยนต์ปีนี้ลดลงจากปีที่แล้ว 30'40%
นอกจากนี้หนี้ภาคครัวเรือนสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ และไม่มีทางใช้คืน ไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังแรก รถคันแรก กองทุนหมู่บ้าน จนรัฐบาลกำลังออกกกหมายการทวงหนี้เร็ว ๆ นี้
และสภาวะทดถอยทางเศรษฐกิจของไทย เงินที่เฟ้อ ค่าครองชีพที่สูงขึ้นมาก ๆ
สามารถชี้ชัดได้แล้วว่า เศราฐกิจไทยกำลังถดถอย กำลังซื้อลดลงอย่างมาก และฟองสบู่อาจจะแตกเมื่อไรก็ได้ เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างมากจะโทษค่าแรง 300 บาท ที่ก้าวกระโดด จนไม่สามารถอั้นราคาสิ้นค้าที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก หรือนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมา มันกำลังสร้างปัญหาระยะยาวทางเศรษฐกิจ
หนี้ครัวเรือนน่ากลัวมาก นี้คือคำชี้แจงที่พอสรุปได้
ดังนั้น ตัวใครตัวมัน ต้องอยู่อย่างมีสติ อย่าประมาท ระวังจงหนัก เข้าสู่สภาวะที่น่ากลัวทางเศรษฐกิจแล้ว
ที่ผ่านมาธุรกิจที่ผมดูแล นั้นผลิตเสาเข็มกันไม่ทันขาย ราคาก็สูง แต่ปัจจุบัน ชักแย่งงานกันแล้ว นี่ละรางบอกเหตุการถดถดยของเศรษฐกิจ ละ ระวังจงหนัก
สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9845 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2556, 19:52:08 » |
|
แม่ในศาสนา
วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล แม่เป็นบุคคลที่ศาสนายกย่องเชิดชูมากเป็นพิเศษ เพราะความรักของแม่เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่มากจนเกินกว่าที่จะตอบแทนได้ ความกตัญญูรู้คุณเป็นคุณธรรมที่ศาสนาสอนให้ผู้เป็นลูกมีอยู่ทั้งในใจและในการกระทำ ลูกที่มีความกตัญญูรู้คุณแม่เป็นตัวอย่างของคนดีในศาสนา คำสอนทางศาสนาจึงเน้นความสำคัญของแม่ ความรักของแม่ และวิธีตอบแทนพระคุณแม่อย่างสูงยิ่ง
ในทัศนะของพระพุทธเจ้า แม่คือพรหม ผู้ให้ชีวิต เป็นพระอรหันต์ผู้มีความรักบริสุทธิ์เป็นครูคนแรกที่สอน ให้ความรู้ คำแนะนำและคำตักเตือนที่มีคุณประโยชน์ เป็นเทวดาผู้ให้ความคุ้มครองปกปักรักษาในทุกเมื่อ และเป็นผู้ที่เมื่อเคารพบูชาแล้วได้บุญกุศลเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อแม่เป็นพระอรหันต์ในครัวเรือนอยู่ใกล้เรา จึงไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปแสวงหาพระอรหันต์ที่อยู่ห่างไกลสำหรับกราบไหว้บูชาให้ได้กุศลผลบุญ
สำหรับความรักของแม่นั้น พระพุทธเจ้าทรงถือว่า ความรักของแม่สูงส่งเหนือความรักใดเพราะเป็นความรักที่มีคุณธรรมของพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วน คือมีเมตตา ความปรารถนาดีต่อลูกตั้งแต่ตอนอยู่ในครรภ์ กรุณาช่วยเหลือให้ลูกให้พ้นทุกข์ มุทิตายินดีเมื่อลูกได้ดี และอุเบกขารู้จักวางเฉยในเรื่องและในเวลาที่สมควร
ในพุทธศาสนาแม่ที่กล่าวถึงกันมากได้แก่พระนางมัทรี พระชายาของพระโพธิสัตว์เวสสันดรในพระชาติสุดท้ายก่อนที่จะถือกำเนิดเป็นพระพุทธเจ้า “กัณฑ์มัทรี” ในวรรณกรรมพุทธศาสนา เรื่อง เวสสันดรชาดก วรรณกรรมเรื่องนี้พรรณนาความรักของพระนางที่มีต่อพระกัณหาและพระชาลีได้อย่างน่าจับใจ เป็นตัวอย่างความรักของแม่ที่เต็มไปด้วยความอาลัยรักและเป็นห่วงเป็นใยในความทุกข์สุขของลูกจนไม่คำนึงถึงตัวเอง พระนางสิริมหามายาพระพุทธมารดาเป็นแบบอย่างของแม่ที่มีบุญคุณต่อโลกอย่างล้นเหลือในข้อที่ ได้ให้กำเนิดแก่พระพุทธเจ้าผู้ช่วยมวลมนุษย์ให้พ้นทุกข์และพบความสุขที่สูงส่งกว่าความสุขทั้งหลายจนหาที่เปรียบไม่ได้
พุทธศาสนามหายานถือว่า พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเป็นพระโพธิสัตว์แห่งความเมตตา ในงานปฏิมากรรมและจิตรกรรม พระโพธิสัตว์องค์นี้มีรูปลักษณ์ต่างๆ ในบางปางมีพระพักตร์พันพระพักตร์และมีพระหัตถ์เป็นจำนวนพัน แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่จะสอดส่องมองเห็นความทุกข์สุขของสัตว์โลกได้ทั่วถึง พร้อมทั้งทรงมีอานุภาพที่จะช่วยเหลือ ให้พ้นทุกข์ได้ มีเรื่องเล่าว่าน้ำในมหาสมุทรในโลกของเรานี้ เกิดจากน้ำพระเนตรของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเมื่อครั้งที่ท่านประทับอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต และทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ของสัตว์โลกทั่วจักรวาล จึงมีพระทัยมุ่งมั่นที่จะไม่เข้านิพพานจนกว่าจะช่วยเหลือสัตว์โลกทุกชีวิตให้ข้ามห้วงมหรรณพไปได้
พระโพธิสัตว์องค์นี้มีปางต่างๆที่เป็นสตรีหลายปางด้วยกัน ปางที่รู้จักกันมากคือปางที่เป็นเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งมีหลายรูปลักษณ์เช่นกัน เช่นภาพที่ประทับนั่งบนดอกบัวแสดงให้เห็นความรักความเมตตาอันบริสุทธิ์ที่ทรงมีต่อสัตว์โลก ภาพที่ถือหม้อน้ำมนต์สำหรับรักษาเยียวยาผู้มีความทุกข์ทั้งกายและใจ ภาพที่ประทับบนก้อนเมฆที่ปลิวไปทุกสารทิศพาพระองค์ไปช่วยเหลือคนในที่ต่างๆ รูปเจ้าแม่กวนอิมอีกรูปหนึ่งที่รู้จักกันมากมีพระพักตร์งามพิเศษ แสดงว่าพระองค์ทรงเป็นเทพมารดาแห่งสันติภาพและความดีงาม ผู้ที่เคารพบูชาเจ้าแม่กวนอิมจึงจะได้รับพลังบริสุทธิ์จากพระองค์ที่จะช่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ และความทุกข์นานาประการ พร้อมทั้งมีพลังมากพอที่จะสร้างสันติภาพความดีงามให้เกิดขึ้น ในโลกได้
ในเรื่องของความกตัญญูกตเวทีนั้น พระพุทธเจ้าทรงเป็นตัวอย่างที่ดี ได้เสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาที่จุติเป็นเทวบุตรถึงในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และทรงเทศน์สั่งสอนเป็นเวลา ๓ เดือนจึงเสด็จกลับ
พระพุทธเจ้าทรงมีความกตัญญูรู้คุณตั้งแต่ในสมัยที่เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ดังที่เล่าไว้ในชาดกต่างๆ เช่น ชาดกเรื่อง พระสุวรรณสามผู้เลี้ยงดูบิดามารดา ตาบอดในป่าด้วยความกตัญญูรู้คุณ แม้เมื่อเสวยพระชาติเป็นสัตว์ พระโพธิสัตว์ก็มีคุณธรรมของความกตัญญูกตเวทีอยู่เช่นกัน พระชาติที่เป็นช้างเผือกดูแลแม่ช้างตาบอดเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด
โดยเหตุที่ความกตัญญูกตเวทีเป็นคุณธรรมที่มีความสำคัญเช่นนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาตให้พระสงฆ์นำบิดามารดาของตนมาเลี้ยงดูที่วัดได้โดยไม่ถือว่าเป็นการทำผิดพระธรรมวินัย และทรงสอนวิธีต่างๆที่ลูกจะตอบแทนบุญคุณแม่เช่นเชื่อฟังคำสั่งสอนและคำตักเตือนของท่านไม่ประพฤติตนเหลวไหลให้แม่เสียใจไม่สบายใจ รักษาชื่อเสียงของ วงศ์ตระกูล เลี้ยงดูท่านให้สบายทั้งทางกายและทางใจ และทำบุญอุทิศกุศลให้เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว การสนองคุณพ่อแม่ที่พุทธศาสนาเน้นเป็นพิเศษคือการช่วยให้พ่อแม่รู้ธรรมจะได้มีโอกาสมีความสุขที่สูงส่งกว่าความสุขทั่วไป และสามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ในที่สุด
ในศาสนาคริสต์ แม่ได้รับการยกย่องเชิดชูเช่นกัน ศาสนาคริสต์ใช้ความรักของพระมารดาของพระเยซูเป็นตัวอย่างของความรักของแม่ที่มีต่อลูกที่เริ่มมีตั้งแต่ ยังทรงครรภ์จนถึงเมื่อพระเยซูสิ้นชีพลง จิตรกรและปฏิมากรที่มีชื่อเสียงของโลกหลายคนได้นำความรักนี้มาแสดงให้เห็นในเรื่องราวต่างๆในประวัติของพระเยซู เช่นตอนพระนางอุ้มพระเยซูที่เป็นทารกพร้อมกับการทำงานอาชีพซึ่งได้แก่การทอผ้าไปด้วย และตอนที่พระเยซูถูกตรึง ไม้กางเขน พระนางก็ไปเฝ้าดูทุกวันด้วยความอาลัยรักและห่วงใย นอกจากนั้นเมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์แล้วพระนางก็เป็นผู้รับพระเยซูลงจากไม้กางเขน ภาพความรักที่พระนางมีต่อพระเยซูเป็นตัวอย่างความรักของแม่ในศาสนาคริสต์ ภาพที่คุ้นตากินใจชาวคริสเตียนทั่วโลก คือภาพของพระนางอุ้มพระเยซูที่เป็นทารกและ เรียกภาพนี้ว่ามาดอนนาหรือ “แม่พระ” ศาสนาคริสต์นิกายโรมันแคทอลิคให้ความสำคัญแก่ “แม่พระ” มากเป็นพิเศษ ในโบสถ์ของชาวคริสตังมักมีรูปมาดอนนาแม่พระประดิษฐานอยู่พร้อมเครื่องบูชา ในประเทศสเปน ฝรั่งเศสและอิตาลีมีพิธีแห่แม่พระเป็นประจำปีเพื่อให้คนทั่วไปได้แสดงความเคารพนับถือ
ศาสนาอิสลามเป็นอีกศาสนาหนึ่งที่ยกย่องเชิดชูผู้เป็นแม่อย่างสูงส่ง วจนะของ ท่านนบีมุฮัมมัดที่ว่า “สวรรค์อยู่ใต้ฝ่าเท้าของมารดา” แสดงให้เห็นว่าการที่ผู้เป็นลูกจะขึ้นสวรรค์หรือตกนรกนั้น อยู่ที่การปฏิบัติต่อมารดาบังเกิดเกล้า เพราะแม่เป็นผู้มีบุญคุณล้นเหลือเริ่มตั้งแต่ที่อุ้มครรภ์ แม่ก็มีภาระหนักโดยกล้ำกลืนอาหารเข้าไปเจือจานทำนุบำรุงทารกในครรภ์ ภาระอันหนักนี้บางคราวบางครั้งถึงกับทำให้แม่เป็นลมหน้ามืดหรือถึงกับล้มลง สิ้นสติและในขณะที่คลอดลูก แม่ก็ต้องเสี่ยงชีวิต ต้องเสียเลือดจำนวนมากกับการคลอดลูก แม่ที่เสียชีวิตจากการคลอดลูกมีอยู่หลายราย และเมื่อคลอดลูกแล้ว แม่ก็ต้องทำนุบำรุงเลี้ยงดูลูกแบบที่เรียกว่า ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเป็นเวลาหลายปีกว่าลูกจะเติบโต ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮฺจึงบัญญัติให้ลูกทุกคนรู้คุณของแม่และรู้จักตอบแทนบุญคุณนั้นให้ถูกต้องเหมาะสมดังคำตรัสของอัลลอฮฺที่ว่า “และเราได้สั่งการแก่มนุษย์เกี่ยวกับบิดามารดาของเขา โดยที่ มารดาของเขาได้อุ้มครรภ์เขาอ่อนเพลียลงครั้งแล้วครั้งเล่า และการหย่านมของเขา ในระยะเวลาสองปี เจ้าจงขอบคุณข้า และบิดามารดาของเจ้า.........และจงอดทนอยู่กับเขา ทั้งสองในโลกนี้ด้วยการทำความดี” ความรักของแม่นอกจากเป็นการฟูมฟักเลี้ยงดูลูกตามธรรมชาติของความเป็นแม่แล้ว ยังประกอบด้วยการทำหน้าที่ตามพระบัญชาของอัลลอฮฺด้วย หน้าที่นี้ได้แก่การสั่งสอนอบรมลูกให้เป็นมุสลิมที่ดี ดังนั้นในทัศนะของศาสนาอิสลามแม่จึงเป็นผู้มีบุญคุณต่อลูกทั้งในฐานะผู้ให้ชีวิต ผู้อุปการคุณและผู้ช่วยเหลือในการพัฒนาตนให้เป็นคนดีตามคำสอนของศาสนา การปฏิบัติต่อแม่อย่างรู้คุณเป็นความดีที่จะทำให้อัลลอฮฺเมตตาและส่งผลให้ผู้นั้นได้รับความสุขนิรันดร์ในสวรรค์หลังสิ้นชีวิต
อาจสรุปได้ว่าในทุกศาสนาโดยเฉพาะศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลามต่างถือว่าแม่เป็นบุคคลสำคัญที่ควรได้รับการยกย่องเชิดชู ความรักของแม่เป็นความรักที่ทดแทนได้ยากหรือแทบไม่ได้เลย บุญคุณของแม่เริ่มจากการให้กำเนิดชีวิตลูก ตามด้วยการรับภาระหนักในการอุ้มครรภ์ ความเจ็บปวดในการคลอดลูกการทะนุบำรุงดูแลลูกที่ยังเป็นทารกแบบไม่ให้ริ้นยุงถูกเนื้อถูกตัวไปจนถึงการสอนอบรมลูกให้เป็นคนดี ถึงแม้ว่าการแพทย์สมัยใหม่จะช่วยให้การอุ้มครรภ์และการคลอดลูกมีอันตรายต่อแม่น้อยลง แต่ในการมีลูกแต่ละคนนั้นแม่ก็ยังต้องเสี่ยงชีวิตอยู่นั่นเอง ดังนั้นบุญคุณของแม่ยังคงมีอยู่ผู้เป็น “แม่อุ้มท้อง” ผู้อุ้มครรภ์แทนแม่เกิดจึงเป็นผู้มีบุญคุณต่อเราเช่นเดียวกับ “แม่เลี้ยง” ผู้เลี้ยงดูอุปถัมย์เราแทนแม่ในสายเลือดที่ตายไปก่อน การเลี้ยงลูกเป็นงานละเอียดอ่อนและซับซ้อน แม่ทำงานนี้โดยไม่หวังการตอบแทนประโยชน์ให้แก่ตน แต่ทำด้วยความเสียสละทั้งเวลา แรงกายแรงใจ และทุนทรัพย์ดังนั้นศาสนาจึงสอนลูกให้รู้บุญคุณแม่และรู้จักตอบแทนบุญคุณนี้ให้เหมาะสม การมีความกตัญญูกตเวทีต่อแม่จึงเป็นหน้าที่สำคัญของลูกทุกคน การปฏิบัติหน้าที่นี้ได้สำเร็จจะมีผลดีต่อลูกทั้งในโลกนี้และในสัมปรายภพ
ของขวัญวันแม่ที่ดีที่สุดคือ การทำความดีต่อแม่เดี๋ยวนี้เวลานี้ ก่อนที่แม่จะแก่ชราและล่วงลับจากไป
|
|
|
|
Dtoy16
Hero Cmadong Member
ออฟไลน์
รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424
|
|
« ตอบ #9846 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2556, 20:15:45 » |
|
สวัสดีวันแม่ค่ะพี่สิงห์ วันแม่มีความหมายในทุกๆวันพี่สิงห์เป็นตัวอย่างของลูกที่มีความก รักความกตัญูญูต่อคุณแม่ ปีนี้ ลูกชายทำกับข้าวให้กิน เป็นของขวัญวันแม่ค่ะสำหรับต้อยค่ะ กำลังจัดโปรแกมทัวร์ให้พี่อยู่นะค่ะ ชอบรูปภาพสมเด็จราชินีและข้อเขียนระยะนี้ของพี่เสียดาย ไม่มีเวลาอ่าน
|
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9848 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2556, 20:23:12 » |
|
สวัสดีค่ะ คุณน้องต้อย ที่รัก
ไม่ต้องจัดทัวร์ อะไรทั้งสิ้น พี่สิงห์ ต้องการไปพักผ่อน หาอากาศริมทะเล เท่านั้น
ถ้าจะกรุณา ขอให้พี่สิงห์ ได้ไปพบคุณแม่ ของเธอ ไปคุยกับท่าน จะดีที่สุดสำหรับพี่สิงห์
ขอบคุณมาก ในความกรุณา
สำหรับรูปพระราชินี นั้น เข้าใจว่า ไม่มีใครมีแน่นอน มันนานมากแล้ว ที่พี่สิงห์ ได้เก็บรักษาเอาไว้
สวัสดีค่ะ
|
|
|
|
เหยง 16
|
|
« ตอบ #9849 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2556, 20:47:43 » |
|
พายุลูกใหม่ ตามหลัง "มังคุด" เข้ามาแล้วพยากรณ์อากาศ ประจำวันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม 2556 ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "พายุไต้ฝุ่น อูตอร์" ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 12 สิงหาคม 2556
ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 16:00 น. เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (12 ส.ค.56) พายุไต้ฝุ่น “อูตอร์” (UTOR) มีศูนย์กลางอยู่บริเวณเกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์ หรือที่ละติจูด 16.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 119.5 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 140 กม./ชม. พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือด้วยความเร็วประมาณ 20 กม./ชม. คาดว่าจะเคลื่อนตัวเข้าใกล้เกาะไหหลำ ประเทศจีน ในวันที่ 14 สิงหาคมนี้ สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศจีนตอนใต้ขอให้ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนเดินทางด้วย อนึ่ง ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนาม ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักไว้ด้วย
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 17:00 วันนี้ ถึง 17:00 วันพรุ่งนี้. ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ตาก อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ อุณหภูมิต่ำสุด 22-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดหนองคาย บึงกาฬ ชัยภูมิ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ สุรินทร์ และอุบลราชธานี อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี อุทัยธานี และนครสวรรค์ อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดจันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีเมฆมากกับมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆมากกับมีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีเมฆมาก โอกาสมีฝนตก ร้อยละ 60 ส่วนมากในช่วงบ่ายถึงค่ำ อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
|
|
|
|
|