26 พฤศจิกายน 2567, 10:45:50
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 381 382 [383] 384 385 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3580797 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 50 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9550 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2556, 19:08:34 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9551 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2556, 19:09:36 »



                         Par 3  ตีลงเนินมาก
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9552 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2556, 19:10:33 »



                     ขอบคุณมาก
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9553 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2556, 19:11:46 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9554 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2556, 19:13:36 »



                            ลองชิมแล้วอร่อยจริง อยู่ที่ ถนนมาลัยแมน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9555 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2556, 19:17:37 »



                     เมื่อหกโมงครึ่ง เช้า ไปทดสอบสนามกอล์ฟใหม่ ป้ายแดง  สนามกรังปรีดิ์

             ่        ขากลับแวะตามรายทาง  ซื้อข้าวโพด  หน่อไม้สดต้ม  รังผึง  ข้าวหลาม  และขนมตตาล  จากชาวบ้าน ข้างถนน

                     เป็นการอุดหนุนชาวบ้าน  ราคามาตรฐาน 20 บาท

                      พรุ่งนี้ ไปทำงานที่สมุทรสาคร และตอนเย็นเดินทางไปทำงานที่ นครศรีธรรมราช

                      ตีกอล์ฟมาห้าวัน  สบายมาก  ร่างกายแข็งแรงมาก ไม่ปวดเหมื่อย หรือ เดินไม่ไหวเลยสำหรับสนามเขา

                       คุณหมอสรรเสริญ  ยังชม หุ่นดี  มีแต่กล้ามเนื้อ


                      นี่คือผลลัพธ์จากการแข่งกอล์ฟครั้งนี้ คือ ได้สุขภาพคืนมา


                      สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #9556 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2556, 20:27:33 »

ดีครับ ซื้อสินค้าจากชาวบ้านโดยตรง

กินของไทย ใช้ของไทย ไทยมั่นคง
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9557 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2556, 21:24:31 »

อ้างถึง
ข้อความของ เริง2520 เมื่อ 12 กรกฎาคม 2556, 20:27:33
ดีครับ ซื้อสินค้าจากชาวบ้านโดยตรง

กินของไทย ใช้ของไทย ไทยมั่นคง


สวัสดีครับ คุณน้องเริง 20 ที่รัก

                    เวลาพี่สิงห์ กลับบ้าน หรือไปต่างจังหวัดที่ผ่านชนบท มักซื้อของกินเสมอ เพราะถูก เป็นของชาวบ้าน และอร่อยอีกด้วย  เป็นการช่วยเหลือชาวบ้าน  ถ้าพวกเราคนกรุงเทพฯ ไม่ซื้อ ชาวบ้านก็ไม่รู้จะขายให้ใคร เพราะชาวบ้านด้วยกันเขาก็ไม่ซื้อ  แล้วคนชนบทจะอยู่อย่างไร  การอุดหนุนสินค้าชาวบ้านเป็นสิ่งที่ควรกระทำ ครับ

                     วันนี้ยังเสียดายเลย ทำไมเราไม่ซื้อรังผึ้งทั้งหมดเลย เพียงหนึ่งร้อยบาท สองรัง  เหตุที่ไม่ซื้อรังนั้น เพราะ มันมีตัวผึ้งเป็น ๆ และตัวอ่อนบนเชิง  กลัวทำบาป คือ ฆ่าผึ้ง แต่รังที่ซื้อนั้น มีแต่น้ำหวาน ไม่มีรังหรือเชิงผึ้งให้เห็นผึ่ง  จึงซื้อ 

                     หน้านี้เป็นหน้าฝน  หน่อไม้กำลังออกจำนวนมาก ซื้อหน่อไม้ต้มมากินกับน้ำพริก  ชาวบ้านวางขายทั่วไป ตลอดเส้นทางที่เมืองกาญจน์บุรีจากบ่อพลอยมาถนนมาลัยแมน

                      ส่วนข้าวโพดข้าวเหนี๋ยวต้มนั้น  เห็นที่ไหนซื้อทุกครั้ง แต่ข้าวโพดหวานไม่เอา

                      และแวะซื้อข้าวหลาม  จากชาวบ้าน  เจ้าของเขารับรองอร่อย  ไม่มีใส้ เป็นข้าวกับถั่วดำ ทำแบบโบราณ

                      ขนมตาลนั้น  เห็นร้านน่าอร่อยเลยอุดหนุน  ทั้งหมดนั้น ซื้อก่อนเพล

                      ส่วนข้าวแกงแวะรับประทานที่ร้านข้างทางที่กำแพงแสน เป็นข้าวแกงลาดแกงขี้เหล็กใส่ปลาทู และไข่พะโล้  กินเพราะมันต้องกิน

                      แบบที่แดเนี่ยนบอกไว้ในทีวี  ของกินตามบ้านนอกอร่อย  ถูก และชาวบ้านมีน้ำใจ

                     ขอบคุณมากที่แวะมาทักทาย

                     สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9558 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2556, 21:38:16 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                              ผ่านบางเลน  ได้แวะ โรงงาน CPM เพื่อเยี่ยมเพื่อนฝูง  ปรากฏว่า ทั้งสุรพล พี่สุรชัย และลูกสาว - ลูกเขย พี่สุรชัย ไม่มีใครอยู่โรงงาน  พนักงานก็ไม่รู้จักอาจารย์มานพ  กลับดี  เพราะเป็นคนรุ่นใหม่  ที่ไม่เคยได้เรียนกับอาจารย์มานพ  จึงไม่ได้รับการต้องรับอะไรเลย  นี่ละชีวิต ขนาดเจ้านายสั่งแล้วก็ไม่ใยดี  จึงขอตัวกลับ เพราะไม่อยากให้ใครเดือดร้อน และเราก็ไม่ต้องชี้แนะการทำงานให้  ได้แต่บอกว่า ถ้าพี่สุรชัยมา ให้เรียนท่านว่า  อาจารย์มานพ  มาแวะที่โรงงาน

                              หลังจากนั้นพอผ่านบางเลน ก็แวะไปเยี่ยม คุณกฤษณา และคุณแม้ว  ลูกสาวที่ดูแลกิจการแท่นพ่อ คือคุณยิ่งศักดิ์  ที่โรงงานนี้ อาจารย์มานพ  ได้รับการต้อนรับอย่างดี  เพราะไปให้ความรู้ไว้มาก และสนิทกันดี เลยอยู่คุยด้วยเสียหนึ่งชั่วโมง  ได้สอนเรื่องการดูแลสุขภาพ และการปฏิบัติธรรม  ให้ตามจิตตนเองให้ทัน

                              นอกจากนี้ได้ขอบคุณ คุณกฤษณา  ที่ไปเผาศพ แม่ และร่วมทำบุญด้วย  เมื่อผ่านมา เราก็ต้องแวะเยี่ยม เพราะไม่ได้ไปหากันง่าย ๆ มันไกล เมื่อผ่านก็ต้องแวะ เพื่อถามสุข-ทุกข์ และมีอะไรที่เราสามารถช่วยเหลือเขาได้  ก็จะยินดีเสมอ

                               สำหรับโรงงานคอนกรีตไลน์ และ CPOST  ไม่ได้แวะ เพราะต้องเข้าไปทางสายรองไกล

                               แวะเยี่ยมเพื่องฝูง เพื่อไม่ให้ตัวเอง ขับรถนานเกินไป และได้ประโยชน์

                               ดร.สุริยา  อาจารย์รุ่งศักดิ์  Computer ผม ยังไม่สามารถโหลดรูปได้ครับ  ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร มันแฮ้งอยู่ที่ 1% อย่างนั้น

                               ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #9559 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2556, 23:03:23 »

ผ่านมาที่ออฟฟิส ปี๊ด-ปู ให้ช่างดูอาการหน่อย
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9560 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2556, 05:27:20 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 12 กรกฎาคม 2556, 23:03:23
ผ่านมาที่ออฟฟิส ปี๊ด-ปู ให้ช่างดูอาการหน่อย

                               พฤติกรรม ก่อนที่จะเป็นคือ  ผมไป copy รูปจากโทรศัพท์มือถือ มาใส่เครื่อง  เมื่อก่อนก็ทำแบบนี้และไม่มีปัญหา

                               แต่ทำไมคราวนี้มีปัญหา คือ โหลดรูปไม่ได้

                               สวัสดียามเช้าครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9561 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2556, 05:47:24 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน

                                 ผมยังมีความเชื่อมั่นว่า ตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนว่า "ตราบใดคนยังปฏิบัติดี  ปฏิบัติชอบ ตามมรรคมีองค์ ๘ เมื่อนั้นพระอรหันต์ ไม่สิ้นไปจากนโลก"

                                แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ คน พระ ไม่มีความอดทน  มีแต่ความโลภที่อยากจะบรรลุ  มันก็เลยไปตกหลุมพรางของอวิชชา  มีแต่ของปลอมเสียสิ้น  ประกอบกับลาภ  สักการะ  ความมีชื่อเสียงขึ้นมาจากคนมานับถือ  กราบไหว้  เลยหลงตัวเองไปใหญ่ เป็นทาสความคิด  ยึดมั่นถือมั่นไปใหญ่  คิดว่าตนเองบรรลุ  ผลคือ ไม่บรรลุอะไรเลย  มีแต่อวิชชาเข้าครอบงำจิต  หลงอยู่ในความคิดของตน  ละเลยมรรคมีองค์ ๘  มันก็เลยมีพฤติกรรม  ดังที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไปคือ ทำพระขาย  โดยมีข้ออ้างเอาเงินไปบำรุงพุทธศาสนา  พระพุทธองค์ ท่านก็สอนเอาไว้  การสร้างวัดเป็นเรื่องของชาวบ้าน  ที่ศรัทธา  ไม่ใช่กิจของพระ  พระต้องปล่อยวางทุกสิ่ง  อยู่แบบธรรมชาติ เพราะ ทุกสิ่ง เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา และดับไปเป็นธรรมดา  ไม่มีอะไรน่ายินดี  น่ายึดถือทั้งสิ้น  การหยุดการปรุงแต่งเสียได้  คือความสุขที่ประเสริฐ

                                เมื่อใดพระยังรับปัจจัย  ส่งเสริมในทางให้คนมาทำบุญ  หล่อพระ  สร้างวัด  เป็นหมอดูทายทัก(ติรัจฉานวิชา)  เชื่อในคุณไสย  เจ้าพิธีกรรม  ยกตนเป็นผู้วิเศษ โดยอ้างเพื่อรักษาพุทธศาสนา  นั่นละ เป็นข้ออ้างเข้าข้างตนเองในการหาปัจจัย มีแต่ความโลภ  ทั้งนั้น

                                พุทธศาสนา  ไม่ต้องไปรักษา  มันอยู่ไดด้วยของมันเอง  เพราะเป็นธรรมชาติที่ถ้าทุกคนปฏิบัติ  จะพบความจริงตามนั้น  มันคงอยู่ของมันเองอย่างนั้น

                                เพราะความโลภของพุทธบริษัท  ที่ตู่คำสอน   ไม่อยู่ในมรรค ๘  นั่ละคือผู้ทำลายพุทธศาสนาที่แท้จริง

                                    สวัสดี
             
      บันทึกการเข้า
nok15
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 529

« ตอบ #9562 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2556, 06:00:37 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 12 กรกฎาคม 2556, 19:06:03


                          ใครจะไปทดสอบสนามกรังปรีดิ์ เรียนเชิญ  สนามระดับ 5 ดาว

ไม่ได้เห็นนายแบบมานาน. ยังเท่ห์เหมียลล...เดิมครับท่านผู้โช้ม
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9563 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2556, 16:04:59 »

อ้างถึง
ข้อความของ nok15 เมื่อ 13 กรกฎาคม 2556, 06:00:37
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 12 กรกฎาคม 2556, 19:06:03


                          ใครจะไปทดสอบสนามกรังปรีดิ์ เรียนเชิญ  สนามระดับ 5 ดาว

ไม่ได้เห็นนายแบบมานาน. ยังเท่ห์เหมียลล...เดิมครับท่านผู้โช้ม

สวัสดค่ะ คุณน้อง Nok15 ที่รัก

                      ขอบคุณมากที่ชม

                      การรักษาสุขภาพ เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด ของผู้สูงวัยย์ ที่ปราถนาจะไม่ต้องการให้ใครเดือดร้อน เพราะต้องมาดูแลเรา  การอดเปรี้ยวกินหวาน จึงมีความจำเป็นมาก  ไม่อยากตามใจที่มันปราถนา แต่จะกระทำตามสิ่งที่เห็นว่าต้องกระทำ  ไปถามใคร ใครก็ตอบว่าต้องกระทำ  โดยเฉพาะเรื่องการดูแลสุขภาพ

                      การที่ไม่มีคู่สมรส  และลูก  จึงต้องระวังเป็นพิเศษ  ต้องคิดว่า เราต้องช่วยตัวเองในทุกสิ่ง  เมื่อถึงคราวที่จะต้องจากร่างกายนี้ไป  คงไม่ทุกข์ เท่าไร และถ้าเราปฏิบัติธรรม รักษาศีล  คงจะมีคนเมตตามาเผาศพให้

                      สวัสดี

                    
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9564 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2556, 16:22:17 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                   พี่สิงห์  อยู่สนามบินดอนเมือง  รอขึ้นเครื่อง Nok Air Boarding 17:35 น. เดินทางไปประชุมที่นครศรีธรรมราช

                   การแต่งกายชุดอุบาสก(ขาว) และเป็นผู้สูงวัยย์  ก็ดีไปอย่าง  จะได้รับความเมตตาจากทุกท่านที่ใจดี มีแต่คนไหว้

                   วันนี้นั่ง Taxi จากบ้านมาสนามบินดอนเมือง คนขับรถเป็นคนวัยย์กลางคน พอเราจะลง จ่ายเงินให้ เขาก็ยกมือไหว้ด้วยความเคารพ

                   ผมจะพบเหตุการณ์แบบนี้เสมอ สำหรับคนไทย ที่มีจิตเมตตา และเป็นชาวพุทธ ที่มาจากต่างจังหวัด  เลยทไให้เราต้องระวังกิริยามารยาท  ระวังกาย  วาจา  และใจ ของเราให้เป็นปกติ  ไม่ยินดี ยินร้ายในรูป  เสีง  กลิ่น  รส  และสัมผัสทางกาย

                    เรื่องการกินนั้น  ตอนนี้ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ใหญ่  ที่ใหญ่กว่าไก่  แต่ไก่ก็ไม่รับประทาน  แต่ก็มีความจำเป็นต้องรับประทานโปรตีน เพราะร่างกายยังต้องการ  ก็ได้อาศัยเนื้อปลา และโปรตีนจากถั่ว เป็นตัวเสริม  ไม่ให้ขาดสารอาหาร

                    การรักษาศีล ๘  ทำให้ช่วงหลังเที่ยง หมดความกัววลไปมากในเรื่องอาหาร  ขนม  ผลไม้และตัดความอยากได้มาก

                    ตอนนี้ก็งดกาแฟ  โดยเด็ดขาด  ดังนั้น เวลาขับรถต้องระวังมาก ต้องมีสติ  ไม่ให้คิด เพราะกลัวเผลอหลับใน

                     คุณสนธยา   ผมจะทำอย่างไรดีกับ Computer ของผมที่โหลดรูปไม่ได้  วันนี้ให้เด็กที่โรงงานเอเซียคอนกรีต  ตรวจสอบดู ก็ไม่เป็นไร  ไม่มีไวรัสมารบกวน  เขาบอกว่าต้องติดต่อคนดูแลเวบ  ว่าทำไมมันโหลดรูปไม่ได้  มันแฮ้งค์อยู่ที่ 1% ทุกครั้ง

                      สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #9565 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2556, 16:32:59 »

สนธยาบอกว่าในเบื้องต้นให้ลง โปรแกรม Java Script ใหม่ โดยยกไปให้ปูประชาลงให้ ที่ โชคชัย 4
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9566 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2556, 20:38:17 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 13 กรกฎาคม 2556, 16:32:59
สนธยาบอกว่าในเบื้องต้นให้ลง โปรแกรม Java Script ใหม่ โดยยกไปให้ปูประชาลงให้ ที่ โชคชัย 4

                   ขอบคุณมากครับ คุณสนธยา

                   คงต้องเป็นวันอาทิตย์ หรือวันพฤหัสบดี

                   วันจันทร์ - อังคารหน้า ต้องไปสระบุรี และนครราชสีมา ครับ

                   สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9567 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2556, 21:25:58 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                    พี่สิงห์ อยู่นครศรีธรรมราชเรียบร้อยแล้ว

                    พนักงานโรงแรมบอกว่าเมื่อสักครู่ ฝนตก  ลมแรงมาก น่ากลัว  อาจารย์มาได้อย่างไร ลมแรงขนาดนี้  ผมก็ตอบว่า มากับพระ เราปฏิบัติดี  ปฏิบัติชอบ  ย่อมพ้นภัยได้

                    วันนี้นั่งข้างหน้าคนเดียว เลยได้ทบทวนการปฏิบัติธรรมและพิจารณา "วันอาสาฬหบูชา" ปรากฏว่าเวลาผ่านไปรวดเร็วมาก พิจารณาเกือบจบ เครื่องบินก็ผ่านเกาะสมุย  ลดระดับเตรียมจอดทันทีที่นครศรีธรรมราช

                    สิง่ที่ได้พิจารณา คือ       


                     วันอาสาฬหบูชา คือวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้ได้ 2 เดือน   โดยแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ จน พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้บรรลุธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา จึงถือว่าวันนี้มีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์ครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช 45 ปี

                      พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 เรียกว่า  "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม ซึ่งหลังจากปฐมเทศนา หรือเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงจบลง พระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน จึงขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานอุปสมบทให้ด้วยวิธีที่เรียกว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" พระโกณฑัญญะจึงได้เป็น พระอริยสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ต่อมา พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม และได้อุปสมบทตามลำดับ

                     ใจความสำคัญของการปฐมเทศนา มีหลักธรรมสำคัญ 2 ประการ คือ

           1. มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลาง ๆ ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดำเนินชีวิตที่เอียงสุดกู่ 2 อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือ

                        หนึ่ง คือ การหลงหมกมุ่น  ยินดี  เพลินเพลิน ในความสุข มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทางกาย และปล่อยใจนึกคิด รวมความเรียกว่าเป็นการหลงเพลิดเพลิน หมกมุ่น ยินดี ในกามสุข หรือ "กามสุขัลลิกานุโยค"

                       มอง คือ การสร้างความลำบากให้กับตนเอง ดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย ไร้จุดหมาย เช่น บำเพ็ญตบะ  การทรมานตน คอยพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น ซึ่งการดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกาย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรียกว่า "อัตตกิลมถานุโยค"

                       ดังนั้น เพื่อละเว้นห่างจากการปฏิบัติทางสุดโต่งเหล่านั้น ต้องใช้ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ 8 ประการ เรียกว่า  มรรคมีองค์ 8 ได้แก่
     
                       1. สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง ตามอริยสัจ ๔ ทุกประการ

                       2. สัมมาสังกัปปะ คือความดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงามได้แก่ มีความดำริในการออกจากกาม คือไม่ยินดีในรูป เสียง  กลิ่น  รส  สัมผัสทางกาย  และไม่ปล่อยใจนึกคิดโดยไร้จุดหมาย  ไม่คิดเบียดเบียนสัตว์  ไม่คิดมุ่งร้าย  ไม่คิดอยากได้สิ่งของที่ไม่ใช่ของตน  และไม่คิดพรากลูก-เมีย ผู้อื่น

                      3. สัมมาวาจา คือความเจรจาชอบ คือ กล่าวแต่คำสุจริต มีปิยะวาจา  ไม่พูดเพ้อเจอ  ไม่พูดคำหยาบ ไม่พุดส่อเสียด ไม่พูดทำให้คนแตกแยกกัน

                      4. สัมมากัมมันตะ คือการกระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่พรากลูกเมียคนอื่น

                      5. สัมมาอาชีวะ คือมีอาชีพที่ชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพ หรืออาชีพที่สุจริต ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน รวมทั้งสัตว์เดรฉาร

                      6. สัมมาวายามะ คือความพยายามชอบ คือ เพียรละชั่ว บำเพ็ญดี ได้แก่ เพียรสร้างกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น เพียรละอกุศลที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น เพียรละอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ให้หมดไป และเพียรสร้างกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

                      7. สัมมาสติ คือระลึกชอบ คือ การระลึกได้ที่กาย เวทนา  จิต  ธรรม ทั้งของเรา และของผู้อื่น  โดยมีตัวชีวัดคือ การไม่คิด มีแต่การรู้ตัวในกาย  เวทนา  จิต  และคิดในธรรมะของพระพุทะองค์

                      8. สัมมาสมาธิ คือ ความตั้งใจมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน อยู่กับการระลึกได้ที่กาย เวทนา  จิต และธรรม จนสามารถ ไม่มีวิตก ไม่มีวิจารณ์ ไม่มีปีติ ไม่ทุข์ ไม่สุข มีแต่สติ-สัมปชัญญะ ที่สมบูรณ์เป็นเอตคตา


           2. อริยสัจ 4 แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ได้แก่ 
   
                       1. ทุกข์ ได้แก่ ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ  ความคับแค้นใจ  ความโศกเศร้า ความวิตกกังวล ที่เกิดขึ้นกับจิต  ทุกข์นั้น ต้องกำหนดรู้ ประกอบไปด้วย การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ความประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบ ปราถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น และความพลัดพลากจากสิ่งที่รัก ที่ชอบ  เป็นทุกข์ที่มนุษย์ทุกคนต้องประสบ  เมื่อประสบเราต้องวางใจของเราให้ถูกที่ถูกทาง ทุกคนย่อมประสบเช่นเดียวกับเรา

                           ทุกข์นั้น พระพุทธองค์ท่านให้กำหนดรู้
   
                       2. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการสำคัญของทุกข์ คือ ตัณหาหรือความทะยานอยากแห่งจิต เป็นกิเลสที่มาเกาะจิต แล้วทำให้จิตเศร้าหมอง ประกอบไปด้วย

                         กามตัณหา  คือความทะยานอยากในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสทางกาย

                         ภวตัณหา คือความทะยานอยากแห่งจิต ที่อยากได้  อยากมี  อยากเป็น

                         วิภวตัณหา คือความทะอยากแห่งจิต ที่ไม่อยากหลุดพ้น

                         สมุทัยนั้น พระพุทธองค์ท่านให้ละ
 
                         3. นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ คือให้ดับหรือละตัณหา ที่เป็นต้นเหตุแห่งการเกิดทุกข์ ได้แก่ละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ลงเสีย

                          นิโรธ นั้น พระพุทธองค์ท่านให้เจริญ คือปฏิบัติให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปในการละตัณหา ละความยึดมั่นถือมั่นในตนเอง 

                         4. มรรค ได้แก่ กระบวนการ หรือ วิธีแห่งการแก้ปัญหา อันได้แก่ การปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 ประการดังกล่าวข้างต้น

                           มรรค นั้น พระพุทธองค์ท่านทรงสอนให้ กระทำให้แจ้ง ให้รู้ เห็นจริง ตามนั้น ด้วยปัญญา

                          พิจารณามาถึงตอนนี้ ก็ใกล้ถึงนครศรีธรรมราชแล้วครับ  ฝนไม่ตก  ลมไม่แรง ขณะเครื่องบินลดระดับ และลงจอด

                          ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9568 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2556, 05:43:34 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                        ขอเพิ่มเติมในสิ่งที่ได้นั่งพิจารณาบนเครื่องบิน คือ สติปัฏฐาน ๔ ดังนี้

                        สติ แปลว่า การระลึกได้ เช่นการระลึกได้เป็นปัจจุบันของอิริยาบถ การเคลื่อนไหว การหายใจ การตามจิตตนเองว่าอยู่ตรงไหน หรือกำลังคิดอะไร  และการระลึกได้ หรือมีสติ หรือรู้สึกตัวนี้ มันมีคุณ  ไม่มีโทษ คือเมื่อระลึกได้  มันจะปราศจากความคิด  เมื่อไม่คิดก็ไม่ทุกข์

                        ความคิด คือสิ่งที่จิตมันปรุงแต่ง หรือคิด ในสิ่งที่นึกขึ้นมาได้จากความจำ (สัญญา) หรือในสิ่งที่ประสบ  ความคิดเป็นต้นเหตุแห่งการทุกข์  โดยเแพาะอย่างยิ่ง คนที่ปล่อยให้คิดแบบใจลอย ไม่รู้เนื้อรู้ตัว นั้นอันตราย เพราะมันจะหลงไปเกิดนิมิตร เมื่อหลงไปนิมิตรก็คิดว่าตนเองนั้นเห็นจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่เป็นเพียงความคิดดในสมอง เช่น เห็นนรก  เห็นสวรรค์เป็นต้น มันเป็นภาพมายาทั้งสิ้น

                         การตั้งสติประกอบไปด้วย ๔ อาการที่พิจารณาคือ พิจารณากาย เวทนา  จิต และธรรม เมื่อพิจารณาแล้ว เราต้องไม่ยินดี กับมันปล่อยให้เป็นธรรมชาติด้วยการพิจารณาให้เห็นความจริง นั้น ๆ คือวางอุเบกขา

                          การพิจารณากายในกาย คือ ณ ปัจจุบัน คนเราต้องอยู่ในท่าอิริยาบถหลัก คือยืน เดิน นั่งนอน เสมอ เมื่อใดเรารู้ตัวว่ากำลังยืน  กำลังเดิน  กำลังนั่ง กำลังนอน เมื่อนั้นละ เราได้ภาวนาแล้ว เมื่อเราระลึกได้ จะพบว่าเราไม่คิด  เมื่อไม่คิดก็ไม่ทุกข์ ระลึกได้ให้บ่อยๆ เอาไว้ สติมันจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ คือรู้ตัวมากขึ้น

                          ณ ปัจจุบัน คนเรานั้น ต้องหายใจเข้า ต้องหายใจออกตลอดเวลา  ยกเว้นตายเท่านั้น เมื่อหายใจเข้าก็ระลึกได้ว่าหายใจเข้า เมื่อหายใจออกก็ระลึกได้ว่าหายใจออก เมื่อระลึกได้ จะพบว่าเราไม่คิด เมื่อไม่คิดก็ไม่ทุกข์ นั่นละคือการภาวนาที่ถูกต้อง  ขอให้ระลึกได้ที่ลมหายใจเข้า-ออก บ่อย ๆ จิตมันจะระลึกได้บ่อยขึ้นๆ  จนอยู่ในโลกของการมีสติได้เองแบบอัตโนมัติ  คือรู้ตัวมากขึ้น

                            ณ ปัจจุบัน เราต้องเคลื่อนไหวอวัยวะตลอดเวลาหรือไม่ก็หยุดการเคลื่อนไหว เช่นการเหยียดแขน  คู้แขน หยุดแขน เป็นต้น เมื่อใดเราหยุด หรือเคลื่อน เรารู้สึกตัว นั่นละคือการภาวนาที่ถูกต้อง การระลึกขึ้นได้ว่าเรากำลังเคลื่อนมือ กำลังหยิบสิ่งของ กำลังหยุดมือ นั่นละภาวนาแล้ว ขอให้รู้สึกตัวในสิ่งนั้นบ่อย ๆ สตอมันจะเกิดขึ้นของมันเอง

                             ณ ปัจจุบัน เราต้องกิน  ต้องปัดสาวะ  อุจจาระ .........อีกมากขอให้รู้ตัว  แต่มีข้อแม้ ต้องเป็นไปในทางกุศลธรรมด้วย เพราะโจร  ขโมย  เวลามันกระทำชั่วมันก็รู้ตัว   เราต้องรู้ตัวในทางที่ไม่เยีดเบียนสัตว์-มนุษย์ ก่อประโยชน์ เท่านั้น  จึงจะมีคุณสมบัติบรรลุธรรม

                             ย่าลืม นะครับ การพิจารณากายนั้น สำคัญมาก จะทำให้เราตัดขาดจากโลกของความคิดได้   สามารถแยกรูป  แยกนาม  เห็นรูป-นาม วันมันเป็นอนัตตา  ไม่สมควรที่จะยึดมั่นถือมั่น ในรูป-นาม นั้นเลย  เพราะมันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง  มีแต่จิตมาอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น  จิตเองก้เป็นเพียงธรรมชาติของการรู้อารมณ์ เท่านั้น ไม่ใช่ตัวตนของเราเลย

                              ขอพักเอาไว้ก่อน  ต้องเตรียมตัวไปเดินจงกรมออกกำลังกาย ชิกง โยคะ ยามเช้าแล้วครับ

                              สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9569 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2556, 08:04:34 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                        ออกกำลังกาย  รับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ยังไม่ได้อาบน้ำ ครับ

                        พี่สิงห์ ได้ย้ำเตือนเรื่องการพิจารณากายในกาย ของการตั้งสติปัฏฐาน ๔ ไปแล้วว่าการพิจารณากายในกายนั้น คือให้เรามีสติ เอาสติกลับมามองดูกาย  มามองดูใจของเรา เราจะพบความจริงในจิตที่มันมีอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยเห็นมันเท่านั้น  ท่านจะเห็นจิตท่าน(เป็นอารมณ์ ได้สัมผัสมัน) ท่านจะเห็นความเป็นรูปนาม เห็นความเป็นไตรลักษณ์ได้

                        เรามามีสติ หรือระลึกได้กันต่อครับ

                        การพิจารณาเวทนาในเวทนา ทั้งภายนอก และภายใน ไม่ยินดี  ไม่เศร้าโศกเสียใจกับมันในเวทนานั้น

                         ณ ปัจจุบันเราย่อมประสบความสุข  หรือไม่ก็ประสบความทุกข์ หรือไม่ก็ประสบความไม่สุขไม่ทุกข์ คือรู้สึกเฉย ๆ เป็นประจำทุกเวลานาที เพียงขอให้ท่านรู้สึกตัวว่า อ่อนี่คือความสุขที่เราประสบ  นี่คือความทุกข์ที่เราประสบ  นี่คือความไม่สุขไม่ทุกข์ที่เราประสบ ขอเพียงระลึกได้ เราก็จะไม่หลงอยู่ในสุข  ไม่หลงอยู่ในทุกข์ ไม่หลงอยู่ในไม่สุขไม่ทุกข์นั้นได้ เราจะพบว่า เมื่อเราไม่หลงไปกับเวทนาที่เกิดขึ้น เราไม่คิด  เมื่อไม่คิดก็ไม่ทุกข์ ขอให่ท่านระลึกถึงบ่อย ๆ สติขอท่านจะมีมากขึ้น ๆ โดยอัตโนมัติเอง

                         อย่าลืม ความสุข  ความทุกข์ มันเกิดจากเหตุ-ปัจจัยที่เราประสบทั้งนั้น เมื่อท่านประสบขอให้ท่านวางจิตของท่านให้ถูก คืออย่าตกไปในโลกของความคิด  ให้อยู่ในโลกของความรู้สึกตัวที่กาย หรือตามจิตให้ทัน ความสุข  คามทุกข์ที่ประสบมันก็หายไปแล้วเป็นอดีตไปแล้ว  ความสุข  ความทุกข์ มันไม่มีตัวไม่มีตน เป็นเพียงอารมณ์ที่ผ่านเข้ามาให้จิตรู้สึกได้เท่านั้น เมื่อมีสติ อารมณ์เวทนานั้น มันก้หายไปแล้ว

                         การพิจารณาจิตในจิตทั้งภายในและภายนอก ไม่ยินดี  ไม่เศร้าโศก ไม่ปรุงแต่งไปกับมัน

                         ณ ปัจจุบัน ทุกนาที ทุกชั่วโมง ท่านย่อมประสบกับความโลภ  ความโกรธ ความหลง(หลงอยู่ในความคิด) เสมอ ความโลภ  ความโกรธ  ความหลงนี้ มันเกิดขึ้นโดยมีเหตุ-ปัจจัยทั้งสิ้น  ของเพียงท่านมีสติ หรือรู้สึกตัว ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง มันก็หายไปแล้ว เมื่อรู้สึกตัว  ความคิดปรุงแต่งก็ไม่มี เมื่อไม่คิด ความทุกข์ก็ไม่มี

                         แต่ความเป็นจริงโดยทั่วไป เมื่อประสบกับความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  คนจะหลงตนลืมตัว ตกอยู่ในความคิดเหมือนโยนน้ำมันเข้าไปในกองไฟ  ไฟยิ่งลุกขึ้นทันที ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง ทำให้คนลืมตัว หลงไปตามความคิด  จึงมีแต่ทุกข์ที่เกาะจิตร่ำไป  สลัดเท่าไรก็ไม่ออก ขอเพียงท่านรู้ตัว  หรือตามจิตท่านพบ ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง มันก็หายไป  ท่านจะก่อเกิดปัญญาพิจารณาได้ว่า สมควรที่จะกระทำ(หลงไปในความคิด) หรือไม่

                         ดังนั้น ท่านจะต้องไม่หลงตนลืมตัว  ตามจิตของท่านให้ท่าน เมื่อท่านรู้ตัว ท่านรู้ตัว ท่านก็ไม่คิด เมื่อไม่คิดก็ไม่ทุกข์ นี่คือการภาวนาแล้ว ตามให้ทันบ่อย ๆ มากขึ้น ๆ จิตท่านจะตื่นขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ อยู่ในโลกของการรู้สึกตัวมากขึ้น  ความทุกข์ก็ไม่มีเพราะจิตมันเห็นความจริงด้วยปัญญาภายในเอง  จนสามารถวางอุเบกขาได้

                         พิจารณาธรรม ทั้งภายในและภายนอก

                         ณ ปัจจุบัน ทุกนาที ทุกชั่วโมง  จิตท่านไม่เคยหยุดพัก มันชอบคิด เมื่อคิด มันมีแต่ทุกข์  ท่านไม่สามารถให้มันหยุดคิดได้  ท่านต้องมีความระลึกได้ ท่านจึงสามารถหยุดคิดได้  แต่มันต้องคิด  ดังนั้นพระพุทธองค์ท่าน จึงให้พิจารณาธรรม คือคำสอนของพระพุทธองค์  ให้เห็นความจริงในธรรมนั้น  ซึ่งธรรมของพระพุทธองค์ ไม่ทำให้ท่านทุกข์ แต่ถ้าไม่คิดในธรรม ไปคิดในเรื่องอื่นที่ไม่ก่อประโยชน์มีแต่ทุกข์ร่ำไป

                         ทุกนาที จิตท่านคิดและกังวล หรือรอคอยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะมาช่วย  คิดไปในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง  หรือจิตท่านเสียดาย สิ่งท่านผ่านไปแล้วเป็นอดีตไปแล้ว  จิตท่านไม่คิดอยู่กับปัจจุบันในสิ่งที่กระทำตรงหน้าเลย  ท่านจึงมีแต่ทุกข์

                         แต่ถ้าท่านให้จิตท่านคิดในข้อธรรมเช่น อริยสัจ ๔ อิทธิบาท ๔ นิวรณ์ ๕ โพชฌงค์ ๗  รูป-นาม  ความเป็นไตรลักษณ์ มรรค ๘  ท่านจะไม่ทุกข์เลย

                         ดังนั้น ทุกนาที ถ้าท่านตามจิตท่านพบ หรือท่านระลึกได้อยู่ที่กาย ระลึกได้อยู่ที่เวทนา  ระลึกได้อยู่ที่จิต และระลึกได้ในธรรมของพระพุทะองค์  ท่านจะอยู่ในโลกของการมีสติ รู้สึกตัว  ไม่หลงไปอยู่ในโลกของความคิด  ท่านก็จะไม่มีทุกข์  แต่น่าเสียดาย ท่านคอยจะหลงอยู่แต่ในโลกของความคิด  จนชินชา  แยกสติออกมาจากความคิดไม่ได้เลย  จึงมีแต่ทุกข์ร่ำไป  น่าเสียดาย ๆ ๆ ๆ

                         สวัสดีครับ

 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9570 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2556, 10:28:15 »



สวัสดีครับ คุณสนธยา และ ดร.สุริยา

                    ผมเข้า cmadong.com ตามปกติ(e) ไม่สามารถโหลดรูปได้  แต่ถ้าเข้าผ่าน google ผ่านโครม สามารถโหลดรูปได้

                    แล้วผมจะทำอย่างไรดีครับ

                    ขอบคุณมาก

                    สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9571 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2556, 12:50:21 »

อาหารเช้าที่โรงแรมทวินโลตัส ทุกครั้งที่พักโรงแรม


                      เป็นอันว่า internet explorer มีปัญหา  ทำไงดี ดร.สุริยา
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9572 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2556, 15:26:26 »







สวัสดียามบ่ายแก่ ๆ ครับชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                            พี่สิงห์ อยู่ที่สนามบิน นครศรีธรรมราช  รอขึ้นเครื่อง Nok Air Boarding 15:55 น. กลับกรุงเทพฯ

                            การเข้า internet ทาง google นี่ก็ดีสามารถโหลดรูปเร็วมาก  และพิมพ์ได้เร็ว  ไม่เหมือนกับ internet 10 โหลดรูปไม่ได้ และพิมพ์ได้ช้ามาก  ไม่รู้เป็นสาเหตุอะไร

                           อากาศที่นครศรีธรรมราชดี  ฝนไม่ตก  ไม่เป็นอุปสรรคในการบิน

                           สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #9573 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2556, 15:48:28 »

ดีแล้วชอบแล้วครับ ใช้อะไรได้ก็ใช้ไปก่อน
เหมือนอย่างพระ โยมเอาอะไรใส่บาตร ฉันได้ก็ฉัน
ฉันไม่ได้ก็ เสสังมังคลา มอบให้เด็กวัดไป
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9574 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2556, 21:17:46 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 14 กรกฎาคม 2556, 15:48:28
ดีแล้วชอบแล้วครับ ใช้อะไรได้ก็ใช้ไปก่อน
เหมือนอย่างพระ โยมเอาอะไรใส่บาตร ฉันได้ก็ฉัน
ฉันไม่ได้ก็ เสสังมังคลา มอบให้เด็กวัดไป


                    เดี๋ยวนี้การทำบุญ ลดน้อยลงไป เพราะไม่อยากส่งเสริมไปในทางที่ไม่ถูก ไม่ควร

                    คน หรือพระ ก็เช่นกัน เมื่อมีเงินความโลภ  ความหลง มันมาคลุมจิตใจ ทำให้เห็นผิดเป็นชอบ

                    ต้องระวัง  โดยเฉพาะพระนักสร้าง.....ต่าง ๆ ไปยึดติดกับบารมี ตำแหน่ง และชื่อเสียง

                    สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 381 382 [383] 384 385 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><