22 พฤศจิกายน 2567, 23:08:37
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 366 367 [368] 369 370 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3548393 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 21 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
nok15
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 529

« ตอบ #9175 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2556, 13:25:59 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 25 พฤษภาคม 2556, 13:17:21
อ้างถึง
ข้อความของ nok15 เมื่อ 25 พฤษภาคม 2556, 13:07:10
อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 25 พฤษภาคม 2556, 13:04:35
อ้างถึง
ข้อความของ nok15 เมื่อ 25 พฤษภาคม 2556, 12:51:50
อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 25 พฤษภาคม 2556, 11:32:26
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 25 พฤษภาคม 2556, 08:57:56
ให้ระวัง ๓  ปลาย

                            ระวังปลายเท้า  ตื่นเช้าขึ้นมาเอาจิตกำหนดกุมเท้า  แล้วถามว่า เท้าจ๋าเช้านี้จะไปไหน  ให้ระวังปลายเท้าให้ดี  ไปทำดีจงไป  ไปทำชั่วอย่าไป

                             ระวังปลายมือ  ตื่นเช้าขึ้นมาให้ถามมือว่า  มือจ๋าเช้านี้เธอจะทำอะไร  ถ้าไปทำดี   ก่อประโยชน์  จงไป  ถ้าไปทำชั่วอย่าไป
                        
                             ระวังปลายลิ้น  ตื่นเช้าขึ้นมาให้ถามว่า  ปลายลิ้นจ๋า เช้านี้เธอจะพูดอะไร   พูดดี เธอจงไป  แต่ถ้าไปพูดทำให้คนอื่นเดือดร้อน  อย่าพูดเลย


                              สวัสดี
ให้ระวังปลายนิ้ว (ที่จะกดคีย์บอร์ด) ไม่มีกำหนดไว้ด้วยเหรอครับ

   นี่แหละใช่เลย...ทิดป๋อง. ปากน้ำโพ
ขอบคุณครับ
โดนมาอีกหนึ่งกัณฑ์ เห็นแล้วใช่ไหมครับ


พี่ไม่รีบสาธุล่ะคะ. ได้บุญนะคะ
แฮ่ !

น้องเตือนแล้วนะท่านพี่



      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9176 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2556, 15:15:41 »



                           มาร่วมงานบรรจุศพ ดร.พระครูศรีสุตาภิรม  เจ้าอาวาสวัดผาสุการาม  ชลบุรี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9177 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2556, 16:54:42 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9178 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2556, 16:56:01 »

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9179 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2556, 21:37:42 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                    พี่สิงห์ และ ดร.กุศล  กลับถึงบ้านแล้วเรียบร้อย  เสร็จสิ้นภาระกิจ  ที่รับปากหลวงพ่อ ดร.พระมหาสุเทพ  อกิญจโณ ว่าจะไปสอนโยคะ - ชิกง ให้กับผู้ปฏิบัติธรรม

                     การสอนนั้นสอนทั้งเช้า และบ่าย  เนื่องจากนั่งสวดมนต์ ห้าชั่วโมง  ย่อมปวดเหมื่อยเป็นธรรมดา ประกอบกับเป็นผู้สูงอายุ และเป็นสุภาพสตรีเสีย 98% คือมีผู้ชาย ๔ ท่าน นอกนั้นเกือบสองร้อยคนเป็นสุภาพสตรี

                     มีแต่คนมาถาม  ราวกับว่าผมเป็นหมอจริง ๆ  ทั้ง ๆ ที่บอกความจริงให้ทราบ เพราะโรคปวดตามร่างกาย และข้อ กับผู้สูงอายุ มันคู่กัน  ผมคงต้องทำ CD แล้ว เพราะมีแต่คนถามตลอดเวลา เพราะชอบ  อยากทำมาก  แต่จำท่าไม่ได้

                     หลวงพ่อบอกว่า  คราวหลังเอาใหม่  จัด ปฏิบัติธรรม และเน้นสอนโยคะ - ชิกง ให้ญาติโยมโดยเฉพาะ เพราะคนสนใจมากจริง ๆ

                     เนื่องจากยังเหลืองานอีกหนึ่งวัน เป็นการปลุกเสก  หล่อพระ  ญาติธรรมสายหลวงพ่อชอบ  และมีกิจกรรมทั้งวัน  ผมและ ดร.กุศล  จึงขอลาหลวงพ่อ  กลับก่อน  เพราะหมดภาระกิจแล้ว

                      หลวงพ่อ  บอกว่า จะชวนไปเมืองดาลัต และแคชเมีย  ไปกลุ่มเล็ก ๆ ไปกันเอง  ราคาไม่แพง

                      ผม และ ดร.กุศล  ได้ตอบรับไปแล้ว โดยมี ดร.พระปลัดธีระศักดิ์  เป็นไกด์  เพราะเชี่ยวชาญ  อินเดียมาก  กว่าหลวงพ่อ เสียอีก

                      ต้องขอโทษ  ที่กดแป้นพิมพ์ผิดมาก เพราะ ต้องจำให้ทันจากสิ่งที่พระเทศน์ เป็นการรายงานสด และใช้เครื่อง SAMSUNG มันแก้ไขอยาก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  ปรับอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เพราะไม่คุ้นเคย  และไม่ได้ตรวจ เพราะมันแก้ไขอยาก ตัวหนังสือมันขึ้นช้า  ไม่ชอบเลย

                      วันนี้ได้ฟังพระสี่องค์เทศน์มหาชาติครบทั้ง ๑๓ กันฑ์ ตั้งแต่ห้าโมงเช้า ถึง บ่านสองโมงครึ่ง โดยไม่ได้พัก

                       ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ

                   
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9180 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2556, 21:47:43 »

สวัสดีค่ะ คุณน้อง Nok 15 ที่รัก

                       ขอบคุณมากที่เข้ามาขัดตาทัพ  ทำให้ไม่เหงา

                       ดร.พระมหาบุญช่วย  ท่านเน้นการทำบาปต้องมีเจตนา

                       เจตนานั้น มันอยู่ในใจเรา  คนอื่นไม่รู้แต่เรารู้ดี

                       ถ้ามันมีเจตนาแอบแฝง  มันก็เป็นไปในทางอกุศล  ที่จิตมันชอบ

                       แต่เราก็สมยอมมันเพราะตกเป็นทาสมัน(ความคิด)

                       เราควรจะต้องสร้างนิสัยให้จิต  มันมีเจตนา แต่ในทางกุศล  

                       ตามสัมมาสังกัปโป และสัมมาวายาโม  ตามมรรคมีองค์ ๘

                       ส่วนหนอ นั้น มันเป็นเรื่องของคนฝึกหัดระดับแรก ในการปฏิบัติธรรม  เพื่อให้รู้ตัว และรู้จังหวะ เป็นการเตือนจิต  แต่ไปบังคับจิตเกินไป  ไม่เป็นธรรมชาติ  ที่จิตมันจะต้องรู้ขึ้นมาเอง เพราะมันเป็นอนัตตา  บังคับ ไม่ได้  สติต้องเกิดเองแบบธรรมชาติ

                       เธอสบายดีนะ

                       ราตรีสวัสด์ค่ะ
      บันทึกการเข้า
nok15
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 529

« ตอบ #9181 เมื่อ: 26 พฤษภาคม 2556, 01:31:54 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 25 พฤษภาคม 2556, 21:47:43
สวัสดีค่ะ คุณน้อง Nok 15 ที่รัก

                       ขอบคุณมากที่เข้ามาขัดตาทัพ  ทำให้ไม่เหงา

                       ดร.พระมหาบุญช่วย  ท่านเน้นการทำบาปต้องมีเจตนา

                       เจตนานั้น มันอยู่ในใจเรา  คนอื่นไม่รู้แต่เรารู้ดี

                       ถ้ามันมีเจตนาแอบแฝง  มันก็เป็นไปในทางอกุศล  ที่จิตมันชอบ

                       แต่เราก็สมยอมมันเพราะตกเป็นทาสมัน(ความคิด)

                       เราควรจะต้องสร้างนิสัยให้จิต  มันมีเจตนา แต่ในทางกุศล 

                       ตามสัมมาสังกัปโป และสัมมาวายาโม  ตามมรรคมีองค์ ๘

                       ส่วนหนอ นั้น มันเป็นเรื่องของคนฝึกหัดระดับแรก ในการปฏิบัติธรรม  เพื่อให้รู้ตัว และรู้จังหวะ เป็นการเตือนจิต  แต่ไปบังคับจิตเกินไป  ไม่เป็นธรรมชาติ  ที่จิตมันจะต้องรู้ขึ้นมาเอง เพราะมันเป็นอนัตตา  บังคับ ไม่ได้  สติต้องเกิดเองแบบธรรมชาติ

                       เธอสบายดีนะ

                       ราตรีสวัสด์ค่ะ





           Nok15

      บันทึกการเข้า
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #9182 เมื่อ: 26 พฤษภาคม 2556, 13:32:05 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 24 พฤษภาคม 2556, 20:35:43


                            ศพเจ้าอาวาสวัดผาสุกการาม  ดร.พระครูศรีสุตาภิรม

                            มีลิเกรำหน้าศพ  ไม่น่าถูกต้องแน่ ๆ

นอกจากการปฎิบัติธรรมวัดสมานราชแล้ว ในวันวิสาขบูชาหลังเวียนเทียน และสวดให้โยมมารดาของพระครู ดร.สุเทพแล้ว
กลางคืนหลวงพ่อเชิญชวนญาติธรรมร่วมกันไปสวดศพเจ้าอาวาสอีกวัดหนึ่ง ซึ่งลูกศิษญ์จัดให้มีลิเกดังภาพ
และเมื่อกลับมาที่วัดหลวงพ่อเล่าว่าท่านก็ไม่เห็นด้วยกับกิจกรรมดังกล่าวจึงงดการสร้างเวทีลิเกใว้ในวัดสมานราชตั้งแต่ท่านเริ่มเป็นเจ้าอาวาสใหม่ๆ
      บันทึกการเข้า
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #9183 เมื่อ: 26 พฤษภาคม 2556, 13:37:36 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 25 พฤษภาคม 2556, 15:15:41


                           มาร่วมงานบรรจุศพ ดร.พระครูศรีสุตาภิรม  เจ้าอาวาสวัดผาสุการาม  ชลบุรี
และในวันถัดมา หลังกิจกรรมฟังเทศที่วัดสมานราชแล้วจึงเดินทางไปร่วมพิธีบรรจุศพที่วัดดังกล่าวอีกครั้ง
      บันทึกการเข้า
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #9184 เมื่อ: 26 พฤษภาคม 2556, 14:04:53 »

อ้างถึง
ข้อความของ KUSON เมื่อ 26 พฤษภาคม 2556, 13:37:36
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 25 พฤษภาคม 2556, 15:15:41


                           มาร่วมงานบรรจุศพ ดร.พระครูศรีสุตาภิรม  เจ้าอาวาสวัดผาสุการาม  ชลบุรี
และในวันถัดมา หลังกิจกรรมฟังเทศที่วัดสมานราชแล้วจึงเดินทางไปร่วมพิธีบรรจุศพที่วัดดังกล่าวอีกครั้ง
             Welcome back  my dear ดร.กุศล
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9185 เมื่อ: 26 พฤษภาคม 2556, 21:11:29 »



สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                     วันนี้พักผ่อนอยู่บ้าน  เช้าไปตีกอล์ฟ  บ่ายอยู่บ้าน

                     วันจันทร์ต้องเดินทางไป สระบุรีเพื่อไปทำงานและตอนเย็นเดินทางต่อไปโคราช

                     วันอังคารอยู่ที่โคราช ไปติดตามงานทำแท่นผลิตสำหรับหล่อผนังสำเร็จรูปที่โคราช

                     วันพุธ หนักหน่อย ต้องสอนหนังสือทั้งเช้า-บ่าย และประชุม ที่สมุทรสาคร

                     วันพฤหัสบดี-เสาร์ เดินทางไปนครศรีธรรมราช

                     ดังนั้นอาทิตย์นี้ค่อนข้างหนักเอาเรื่องเหมือนกัน 

                     ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อความอยู่รอด ในการดำรงค์ชีวิต

                     เพราะไม่มีบำนาญแบบ ดร.กุศล  หรือมีสมบัติที่พ่อ-แม่  เก็บเอาไว้ให้ แบบ ดร.สุริยา 

                     คงทำงานแบบนี้ได้อีกไม่นานนัก จนเขาเห็นว่าไม่จำเป็นแล้ว ก็คงเลิกจ้าง 

                     ถึงตอนนั้น คงทำใจได้แล้ว  ว่าต้องปลดภาระทั้งหมดออกจากตนเอง  เป็นคนแก่  คนหนึ่ง  ที่รอความตายจะมาถึง

                      ดร.สุริยา  หรือคุณรองรัตน์  คงทำไม่ได้อย่าง ดร.กุศล  ที่ถืออุโบสถย์ศีล ปฏิบัติธรรม  และสวดมนต์ทำวัตรเช้า - เย็น

                      โดยเฉพาะการสวดมนต์บทชินบัญชร  สวดมนต์บทธัมมะจักกัปปวัตนสูตร  สวดมนต์บทอนันตลักขณสูตร สวดมนต์บทมหาสมัยสูตร และสวดมนต์มหาสันติงหลวง  ที่ต้องใช้เวลาสวดมนต์ต่อเนื่องยาวนานประมาณ ๕-๖ ชั่วโมงติดต่อกัน  ทั้งเหมื่อยที่ต้องนั่งสวดมนต์  ง่วงนอน  ใช้เสียง ....  อย่างน้อยอานิสสงค์ที่ ดร.กุศล ได้รับ เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว  ก็จะได้ไปจุติในภพที่ประเสริญกว่าชาติปัจจุบัน และเมื่อยังมีชีวิตอยู่  จะประสบแด่สิ่งดี ๆ  สิ่งร้าย ๆ จะแพ้พ่ายไปทั้งสิ้น  นี่คืออานิสสงค์ของการสวดมนต์ ๕ บท นั้น  เขาจะสวดก็ต่อเมื่อมีภัยกับประเทศชาติ เพราะมันใช้เวลาเป็นอย่างมาก  จึงไม่มีใครได้มีโอกาสสวดมนต์ ๕ บทนั้น

                       คนเรานั้น เมื่อยังต้องทำงาน  ติดต่อกับคนทั่วไป  ย่อมประสบกับสิ่งที่พอใจ  และไม่พอใจ เกิดขึ้นตลอดเวลา 

                       แต่การที่เรามีเกราะป้องกันตัว คือ ศีล ๘  จะทำให้ตัวเราอย่างน้อย ก็ระวังกิเลสอย่างหยาบได้  คือกิเลสที่จะเกิดขึ้นจากกาย  วาจา ของเรา ที่เราจะยังสามารถระวังกาย  วาจา  ของเราให้เป็นปกติ  ไม่ก่อให้ใครได้รับทุกข์เพราะเราได้  เราจะต้องประคองจิต  ด้วยความเพียร  ให้รู้เท่าทันจิตตนเอง  ตลอดเวลา  และไม่อายใคร   

                       ส่วนใจนั้น มันเป็นธรรมดา  ที่จะต้องไม่หยุดนิ่งได้  เราต้องติดตามจิตของเราให้รู้ตลอดเวลา  การทำงาน  กับพบปะผู้คนนั้น  จะทำให้เราหลงอยู่ในความคิด  จนลืมตนไปชั่วขณะ  แต่หลงไปในทางที่เป็นกุศล  มันเป็นเช่นนั้น

                       พรุ่งนี้ต้องเดินทาง และตื่นเช้า  ขอลาไปก่อนครับ

                       ราตรีสวัสดิ์ทุกท่าน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9186 เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2556, 06:01:38 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                      เช้านี้ได้หุงข้าวเพื่อเตรียมใส่บาตรพระยามเช้า

                      หลังจากนั้นได้ สวดมนต์ทำวัตรเช้า  ภาวนา จิตมันได้น้อมนำถึง "นิวรณ์ ๕" คือธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี  หรือที่เราเรียกว่าตัวกิเลส  ที่มาเกาะจิต นั่นเอง

                      อุปสรรคในการปฏิบัติธรรม ภาวนา ก็คือ นิวรณ์ ๕ นั่นเอง 

                      ดังนั้นวันนี้ผมขอน้อมนำเอา "นิวรณ์ ๕" มาแจกแจงให้ทุกท่านได้ทราบ  เพราะจากการไปปฏิบัติธรรมที่วัดสมานราษฎร์  ซึ่งหลวงพ่อใช้วิธีอาณาปนสติ  ผลคือ ผ่านไปสิบห้านาที พอจิตเกิดภวังค์ คือหลงอยู่ในความคิด หลุดออกไปจากตัวสติ จะเห็นผู้ปฏิบัติธรรมนั่งสัปปะงก หลับ เป็นส่วนมาก เป็นเพราะเจ้า "นิวรณ์ ๕" ตัวนี้ละ

                       ลองมาทำความเข้าใจกันครับ

                       สวัสดี



นิวรณ์ ๕

   
        นิวรณ์, นิวรณธรรม, นิวรณูปกิเลส  ธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี,  กิเลส(สิ่งขุ่นมัว)ที่ขัดขวางจิตไม่ให้ก้าวหน้าในธรรม, สิ่งขุ่นมัวหรือกิเลสที่ทำให้เกิดทุกข์ขึ้นนั่นเอง มี ๕ อย่าง คือ

        ๑. กามฉันท์  ความพอใจ,ความกำหนัด หรือราคะ คือ ความพอใจ ความยินดีใน รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ  หรือกามคุณ ๕

        ๒. พยาบาท  คิดร้ายผู้อื่น  ความอาฆาต พยาบาท  ความขุ่นเคือง  ความขัดข้อง

        ๓. ถีนมิทธะ  ความหดหู่ซึมเซา  ถีนะ - ความหดหู่ใจ  ความท้อแท้ใจ จิตหดหู่,  มิทธะ - ความง่วงเหงาหาวนอน ความง่วงงุน  ความซึมเซา อันเกิดแต่จิตเป็นเหตุ,  ส่วนการต้องการนอนเพราะร่างกายต้องการการพักผ่อนเป็นเรื่องปกติธรรมชาติ หรือสภาวธรรมของชีวิต

        ๔. อุทธัจจกุกกุจจะ  ความฟุ้งซ่านและรำคาญใจ  อุทธัจจะ - ความฟุ้งซ่าน, กุกกุจจะ - ความรำคาญใจ อันเกิดจากความฟุ้งซ่านออกไปปรุงแต่งไปในสิ่งต่างๆอันไม่ควร ซึ่งเมื่อเกิดการผัสสะกับเหล่าความคิดฟุ้งซ่านนั้นๆ ย่อมยังให้เกิดเวทนาเป็นไปตามธรรมหรือธรรมชาติ จึงย่อมเกิดเวทนาหรือความรู้สึก(Feeling)จากการผัสสะต่างๆ จนเกิดความรำคาญใจต่างๆนาๆขึ้นได้เป็นธรรมดา

        ๕. วิจิกิจฉา  ความลังเลสงสัย  ความลังเลสงสัยในธรรมต่างๆ  ในการปฏิบัติ ฯ. เพราะเกิดจากศรัทธาหรือจากอธิโมกข์ จึงยังไม่เข้าใจหรือยังไม่สามารถเห็นได้ด้วยปัญญาจักขุเอง เมื่อปฏิบัติไปย่อมพบปัญหาบ้างเป็นธรรมดาก็ย่อมไม่สามารถแก้ไขได้ ย่อมเกิดวิจิกิจฉาขึ้นเป็นธรรมดา  จึงพึงแก้ไขได้ด้วยปัญญาจึงถึงที่สุด

        การสงบระงับของนิวรณ์ทั้ง ๕ ลงด้วยอำนาจฌานสมาธินั้น ล้วนเกิดขึ้นเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรมนั่นเอง  ยังเป็นการชั่วคราวอยู่  เกิดแต่จิตไปอยู่กับอารมณ์ คือแน่วแน่หรือแช่อยู่ในอารมณ์นั้นๆได้ดี แม้ในวิถีจิต  จิตจึงย่อมหยุดการคิดนึกปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านออกไปปรุงแต่งในขณะนั้นๆลงไปได้ระดับหนึ่งๆ ชั่วขณะระยะหนึ่งๆ จึงยังเป็นการสงบระงับแบบชั่วคราวอยู่ จึงทำให้เกิดความสุขหรือวิมุตติชนิดวิกขัมภนวิมุตติ ซึ่งยังไม่เที่ยงแปรปรวนได้อยู่  ที่จำเป็นต้องเจริญวิปัสสนาต่อไปเพื่อยังให้เกิดปัญญาวิมุตติ ที่ไม่แปรปรวนกลับกลายหายสูญอีกต่อไป

        นิวรณ์ ๕ หรือนิวรณธรรมเป็นธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ หรือธรรมคู่ปรับกับฌาน,สมาธิ โดยสภาวธรรมคือโดยธรรมชาติเอง  ดุจดั่งนํ้ากับไฟ หรือนํ้ากับนํ้ามัน ที่ย่อมมีสภาวธรรมหรือธรรมชาติทั่วไปที่ไม่ยอมรวมอยู่ด้วยกันโดยดีเป็นธรรมดา,   ก็เป็นไปและเกิดขึ้นด้วยความเป็นเหตุเป็นปัจจัยกันหรือปฏิจจสมุปบันธรรม กล่าวคือ เมื่อมีนิวรณ์ ๕ เหล่านี้เกิดขึ้นในจิต  เหล่าฌาน,สมาธิก็ไม่สามารถเกิดขึ้นหรืองอกงามได้อย่างดีงาม,  และเช่นเดียวกัน เมื่อเจริญในสมาธิหรือฌานอยู่ เหล่ากิเลสในนิวรณ์ทั้ง ๕ เหล่าใดเหล่านี้ก็เป็นอันไม่สามารถงอกงามได้ดีหรือระงับไปได้ในระยะหนึ่งๆเช่นกัน  การระงับนี้ กินเวลาได้นานเท่าใด ขึ้นอยู่กับความชำนาญ,จริต,การสั่งสม,แนวทางปฏิบัติ ฯ.  จึงไม่ใช่เกิดขึ้นแต่เฉพาะในขณะการนั่งสมาธิแบบมีรูปแบบเท่านั้น กล่าวคือความสุข,ความสงบ,ความสบายตลอดจนการระงับไปของนิวรณ์นั้น สามารถดำเนินเกิดขึ้นและเป็นไปอยู่ในวิถีจิตคือในการดำเนินชีวิตตามปกติธรรมดาได้ อีกระยะหนึ่งๆด้วย แต่ก็ย่อมยังแฝงอยู่ภายใต้อำนาจของภพชนิดรูปภพอยู่นั่นเอง กล่าวคือคือจิตก็ยังอยู่ภายใต้กำลังของฌานสมาธิอยู่ได้โดยไม่รู้ตัวนั่นเอง

        ดังนั้นจึงพึงสังวรและทำความเข้าใจให้ถูกต้องด้วยว่า กิเลสที่พึงระงับไปด้วยอำนาจของสมาธิหรือฌานนี้  จึงเป็นไปอย่างชั่วคราว ยังไม่ถาวร ยังยึดถือไม่ได้ เป็นความสุข สงบ สบาย ที่ยังเป็นวิกขัมภนวิมุตติอยู่  จึงยังมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องดำเนินการวิปัสสนาให้เกิดปัญญาต่อไปอีก จนกว่าจะเกิดปัญญาวิมุตติจึงเป็นการถาวรไม่กลับกลายหายสูญ,   และถ้าเกิดไปติดเพลิน(นันทิ)ในฌานหรือสมาธิเสียด้วยเหตุคือความสุข, ความสงบ หรือความสบายที่เกิดขึ้นเป็นเครื่องล่อลวง ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ดี ก็จะกลับกลายเป็นผลร้ายแทนผลดี ดังแสดงออกด้วยอาการจิตส่งในเพราะไปติดสุข หรือติดสงบ หรือไปติดสบาย อันล้วนย่อมสั่งสมจนเป็นสังขารอันให้โทษอย่างรุนแรงในภายหน้า  ทั้งไม่สามารถก้าวหน้าในธรรมได้อีกด้วย

        ลักษณาการของการเป็นปฏิปักษ์ของฌานสมาธิกับนิวรณ์ทั้ง ๕ นี้ เป็นไปโดยธรรม คือโดยอาการธรรมชาติ  หรือเป็นไปตามหลักอิทัปปัจจยตา หรือปฏิจจสมุปบันธรรม คือเกิดขึ้นจากการเป็นเหตุปัจจัยกันนั่นเอง กล่าวคือ สมาธิหรือฌาน มีเหตุอันเป็นองค์ประกอบหลักสำคัญอยู่ที่การมีจิตแน่วแน่หรือเป็นเอกอยู่กับสิ่งที่กำหนด(อารมณ์)  ดังนั้น เมื่อเกิดกิเลสในนิวรณ์ ๕ เหล่าหนึ่งเหล่าใดขึ้นแก่จิตก็ดี  ย่อมหมายถึง จิตในขณะนั้นย่อมฝักใฝ่สอดแส่คือส่งส่ายหรือตกไปในอารมณ์ของนิวรณ์ ๕ เหล่าใดเหล่านั้นอันใดอันหนึ่ง กล่าวคือ จิตย่อมมีการส่งออกไปคิดนึกปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านไปในนิวรณ์เหล่าใดเหล่านั้นที่เกิดขึ้นมา  ซึ่งเมื่อเกิดการคิดนึกปรุงแต่งขึ้นแล้วย่อมเป็นเหตุปัจจัยยังให้เกิดการผัสสะกันขึ้นเป็นธรรมดา  ซึ่งแน่นอนว่าย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดเวทนาและจิตสังขารต่างๆนาๆขึ้นจากการผัสสะกับสิ่งเหล่านั้น  จึงย่อมต้องเกิดความรู้สึก(เวทนา)เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นเป็นธรรมดา  นั่นหมายถึงจิตย่อมไม่สามารถตั้งมั่นหรือแน่วแน่อยู่กับสิ่งที่กำหนดเป็นอารมณ์ได้ดี  หมายถึงย่อมต้องซัดส่ายสอดแส่ไปตามกระแสของเวทนา(ความรู้สึก-felling)ที่ย่อมเกิดขึ้นมาตามการคิดนึกปรุงแต่งคือฟุ้งซ่านนั้นๆ(จิตสังขาร)ที่เกิดดับ..เกิดดับๆๆ..ขึ้นเสมอๆเหล่าใดเหล่านั้น,  องค์ประกอบหลักที่สำคัญที่สุดของฌานและสมาธิ ก็คือความมีจิตตั้งมั่นหรือจิตที่แน่วแน่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง จึงย่อมเกิดขึ้นไม่ได้   จึงเป็นผลให้จิตย่อมไม่สามารถรวมเป็นหนึ่งเป็นฌานสมาธิระดับประณีตได้นั่นเอง,   อนึ่งพึงโยนิโสมนสิการโดยแยบคายว่า เหตุการณ์เหล่านี้กล่าวคือความสุข สงบ สบาย ที่เกิดขึ้นมาแต่อำนาจของจิตเป็นฌานสมาธิ จึงเกิดขึ้นและเป็นไปโดยธรรมหรือธรรมชาติ คือเป็นไปตามหลักอิทัปปัจจยตา หรือปฏิจจสมุปบันธรรม จึงไม่ได้เป็นไปด้วยอำนาจวิเศษแต่ประการใด ตามความเชื่ออย่างงมงายหรือผิดๆคือสีลัพพตปรามาส

         ส่วนเมื่อจิตเป็นฌาน,สมาธิแล้ว ก็เช่นกัน  ก็เป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรมเช่นกัน กล่าวคือ แสดงว่าจิตในขณะนั้นมีอารมณ์เป็นหนึ่งหรือเป็นเอกอยู่ในสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำหนดนั้น(เอกัคตา)ได้ดี  จึงย่อมเป็นปัจจัยให้ คือเกิดผลให้จิตย่อมไม่ซัดส่ายสอดแส่ไปปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านในเหล่ากิเลสในนิวรณ์ทั้ง ๕ ข้างต้นนั้น  จึงย่อมเป็นเหตุปัจจัยไม่เกิดการผัสสะกับเหล่าความคิดฟุ้งซ่านอันประกอบด้วยกิเลสขึ้น  จึงย่อมไม่เกิดเวทนา และจิตสังขารที่ฟุ้งซ่านซัดส่ายไปให้เกิดทุกข์ (เมื่อผัสสะดับจากการหยุดปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่าน   เวทนาจึงดับ เป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบาทธรรม ฝ่ายปฏิโลมหรือนิโรธวารหรือฝ่ายดับทุกข์)  ซึ่งหมายความว่า กิเลสอันเร่าร้อนจากนิวรณ์ทั้ง ๕ นั้นจึงเป็นอันระงับไปนั่นเอง  จึงย่อมต้องเกิดความสงบ  เมื่อเกิดความสงบย่อมเกิดความสุข เป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรมอีกเช่นกัน กล่าวคือเมื่อเกิดความสุขแล้ว จิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิ จึงยังให้เกิดสมาธิ(ที่เรียกกันทั่วไปสั้นๆว่าสมถะ,สมถสมาธิ,สมาธิ)หรือฌานระดับละเอียดประณีตได้ดี   ดังนั้นความสุข สงบ สบายจึงเกิดขึ้นอันเป็นไปดังพุทธพจน์ที่ตรัสถึงธรรมหรือธรรมชาตินี้ไว้ในปาฏลิยสูตร ว่า เมื่อกายสงบ ย่อมพบความสุข  เมื่อเป็นสุข จิตย่อมตั้งมั่น
 
         นำมาเขียนแสดงความเป็นเหตุปัจจัยกันตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรมได้ดังนี้

         จิตแน่วแน่อยู่กับอารมณ์   ความสงบ   ความสุข   สัมมาสมาธิ   สมาธิหรือฌานระดับประณีต

         ดังที่กล่าวอยู่เนืองๆเป็นอเนกว่า ความสุข,ความสงบ,ความสบายที่เกิดขึ้นเหล่าใดเหล่านั้นอันเกิดแต่อำนาจของฌานสมาธินั้น เป็นเราเป็นผู้ปรุงแต่งขึ้น จึงย่อมเป็นสังขารอย่างหนึ่ง จึงไม่เที่ยง คงทนอยู่ไม่ได้ จึงทรงอยู่ไม่ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเชี่ยวชาญชำนาญยิ่งสูงสุดสักเพียงใดก็ตามที จึงมีอาการเสื่อมไป ดับไปโดยธรรมหรือธรรมชาติ  ตลอดจนเมื่อจิตหวั่นไหวเลื่อนไหลหลุดออกจากสมาธิหรือฌานอันเนื่องจากมีเหตุแห่งทุกข์จรมากระทบผัสสะเข้าโดยธรรมหรือธรรมชาติดังเช่นทุกขอริยสัจทั้งหลาย  จึงยังเป็นวิกขัมภนวิมุตติ ที่เหล่ากิเลสยังกำเริบเสิบสานกลับกลายได้อีก   ด้วยเหตุดังนี้นี่เอง เมื่อถอนออกจากฌานสมาธิในระดับประณีตแล้ว จึงต้องเจริญวิปัสสนาทางปัญญากำกับไปด้วยทุกครั้ง ที่มีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดความเข้าใจระดับปัญญาญาณหรือนิพพิทาญาณ ที่ยังให้เกิดสัมมาวิมุตติอันไม่กลับกลายหายสูญเป็นที่สุด  และเป็นการป้องกันวิปัสสนูปกิเลส อันเป็นผลข้างเคียงอันเกิดจากการติดเพลินไปในความสุขความสงบความสบาย อันเกิดแต่อำนาจของฌาน,สมาธิ ดังที่ตรัสไว้ในปาฏลิยสูตร  อันมักแสดงอาการออกมาในรูปของจิตส่งในหรือจิตส่องในไปแช่นิ่งความสงบ หรือไปคอยเสพรสของความสุขความสงบความสบายจากอำนาจของสมาธิหรือองค์ฌานต่างๆ ที่เกิดขึ้นแต่กายหรือภายในจิตแห่งตนโดยไม่รู้ตัว จนเสียการคือเกิดวิปัสสนูกิเลสคือติดสุข

         อนึ่ง วิจิกิจฉา ที่พึงระงับได้ด้วยอำนาจของฌานสมาธินั้น  เกิดขึ้นแต่ในขณะนั้นจิตแน่วแน่หรือตั้งมั่นอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใด จิตจึงวางคือหยุดการปรุงแต่งในเหล่าวิจิกิจฉาเหล่าใดเหล่านั้นลงไปชั่วระยะขณะหนึ่ง  จึงยังจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องดำเนินการเจริญวิปัสสนาให้เกิดปัญญาในการเห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง วิจิกิจฉาหรือความคลางแคลงสงสัยจึงดับไปอย่างถาวร  และเมื่อมีวิจิกิจฉาจิตย่อมเกิดสมาธิไม่ได้ เพราะจิตย่อมไปวุ่นวายซัดส่ายไปในความคิดนึกสงสัยจึงปรุงแต่งจนเกิดเวทนาต่างๆนาๆ ดังเช่น วิจิกิจฉาคือสงสัยในการปฏิบัติว่า ใช้พุทโธหรือสัมมาอรหังหรือลมหายใจเป็นอารมณ์ในการปฏิบัติดีกว่ากัน?  ปฏิบัติถูกหรือผิด?  ของอาจารย์คนไหนดีกว่ากัน?....จิตจึงย่อมสงบหยั่งลงสู่สมาธิหรือฌานไม่ได้เป็นธรรมดาเป็นไปตามธรรมหรือปฏิจจสมุปบันธรรมอีกนั่นเอง
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #9187 เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2556, 06:53:55 »

พี่สิงห์


เดินทางปลอดภัยครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9188 เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2556, 07:59:03 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 27 พฤษภาคม 2556, 06:53:55
พี่สิงห์


เดินทางปลอดภัยครับ


สวัสดีครับ คุณเหยง

                           ขอบคุณมาก และ

                           ขอให้ครอบครัว จงประสบแด่สิ่งที่รักที่ชอบ  ถ้าประสบสิ่งที่ไม่ชอบ ก็วางจิตตนเองให้ถูก อย่าไปหลงปรุงแต่งตาม  และปราถนาสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้นแต่ต้องกระทำเอาเองจริง ๆ  อย่าหวังให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย เพราะว่ามันไม่มีหรอก

                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9189 เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2556, 20:50:43 »

รายการกบนอกกะลา

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                               วันนี้โชคดี  ไม่ต้องไปนอนโคราช  ได้กลับมาอยู่ กทม.

                               และวันนี้ช่วงบ่ายสี่โมงเย็น  พิธีกรสาวของรายการ "กบนอกกะละ" ได้มาที่โรงงาน PSTC สระบุรีเพื่อจะมาเก็บข้อมูลในการเตรียมการถ่ายทำสาระคดี เกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของปูนซิเมนต์และลวดเส้นเล็ก ๆ ที่เรียกว่าลวดอัดแรง ในการผลิตชิ้นส่วนคอนกรีตอัดแรง  เนื่องในโอกาสที่บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) ก่อตั้งมาครบ ๑๐๐ ปี

                               ทีแรกผมนึกว่าจะสะบายได้กลับ กทม.เร็วขึ้นภายหลังเลิกประชุม  แต่ปรากฏว่า  ถูกคุณดิเรกเรียนเชิญ ให้ไปตอบคำถามของพิธีกร  ที่อยากจะรู้เรื่องการผลิตชิ้นส่วนคอนกรีตอัดแรง และความมหัสจรรย์ของปูนซิเมนต์และลวดอัดแรง ที่เป็นวัสดุเริ่มต้นในการทำงานก่อสร้าง เพราะถ้าไม่มีโรงงานประเภทนี้แล้ว ประเทศจะพัฒนาในสิ่งก่อสร้างช้า และมีราคาแพง  อย่างเช่นถ้าใครจะไปลงทุนในพม่าขณะนี้  ซึ่งไม่มีโรงงานคอนกรีตอัดแรงเลย ผลคือ จะก่อสร้างอาคารต่าง ๆ มันก็ไม่มีเสาเข็ม  ไม่มีแผ่นพื้น  ไม่มีคาน.....อีกมาก ผมเลยต้องไปนั่งบรรยายและตอบคำถามให้คุณพิธีกรทราบในเทคนิคต่าง ๆ และการรับแรงของพฤติกรรมโครงสร้างอัดแรงให้พิธีกรที่จบทางสื่อสารมวลชน  ให้เข้าใจและพาชมโรงงาน เพื่อดูการผลิตจริง ๆ  ว่าเขาทำกันอย่างไร  เพื่อเอาไปเขียนสคริป  กลับมาถ่ายทำเป็นสาระคดี  ผมใช้เวลาบรรยายและชมฌรงงาน ๒ ชั่วโมงเศษ

                               ก็หวังว่าเวลาถ่ายทำจริง  ผมคงไม่ต้องมาเป็นผู้แสดงในสาระคดี  เพราะกลัว ดร.สุริยา  ว่าเอา

                               แต่ผมก็อธิบาย และตอบคำถามจนพิธีกรสาว  เข้าใจในพฤติกรรมการรับแรงง  ความแตกต่างของ โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก และโครงสร้างคอนกรีตอัดแรง  ความแตกต่างของเหล็กเสริม และลวดอัดแรง และประโยชน์ของโครงสร้างคอนกรีตอัดแรง  และเธอขอเบอร์ติดต่อ เพื่อเวลาไปเขียนสคริปแล้ว  ติดขัดตรงไหน  จะได้โทรศัพท์  มาถามได้  ก่อนที่จะไปถ่ายทำเป็นสาระคดีจริง

                               ก็เรียนให้ทุกท่านได้ทราบ

                               พรุ่งนี้อยู่บ้าน  คงได้ใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน และจะเดินทางไปทำพาสปอร์ต เพราะเล่มเก่ากำลังจะหมออายุในอีกสามเดือนข้างหน้า  เพราะจะต้องเดินทางไปพม่า  ไปดูเรื่องการออกแบบและสร้างโรงงานคอนกรีตอัดแรงที่นั่น และไปญี่ปุ่นในเดือนตุลาคมก่อนหนาว ไปเกาะฮอกไกโด และอินเดีย แคชเมีย และ ๔ สังเวย์

                               ดร.สุริยา  วันนี้ พระปกรณ์ แห่งวัดศาลพันท้ายนรสิงห์  จะทำการสร้างศาลา ในบ่อกุ้งเก่า  โดยไม่ต้องถมดิน เพราะบ่อลึกมากได้โทรศัพท์มาสอบถามในหลายเรื่อง  ผมก็เลยแนะนำว่า ให้บอกเจ้าอาวาส  อย่าไปทำหน้าที่เป็นวิศวกรเลย ให้ละเอาไว้  ให้หลวงตาเตรียมเงินในการก่อสร้าง และแบบที่ตั้งใจเอาไว้  ผมจะหาสถาปนิกให้  ก็ต้องอาศัยอาจารย์เผ่า  และ ดร.สุริยา  เป็นผู้ออกแบบให้  และแนะนำให้ไปดูโบสถ์  ของหลวงพ่อปัญญา  ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ก่อนเป็นตัวอย่าง ในการสร้าง  สิ่งก่อสร้างกลางน้ำ  ก็เรียนให้ทราบไว้

                               ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #9190 เมื่อ: 28 พฤษภาคม 2556, 02:08:39 »


สวัสดีค่ะพี่สิงห์ที่เคารพ

ดีใจที่พี่สิงห์สนับสนุนให้ฟังธรรมค่ะ ติ๋มยังต้องอาศัยฟังมากๆให้เกิดความมุ่งมั่นในสัมมาทิฐิ แล้วนำไปสู่การปฏิบัติอันเป็นนิสัยทุกๆวันค่ะ
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 25 พฤษภาคม 2556, 11:24:55
สวัสดีค่ะ  คุณน้องจันทร์ฉาย  ที่รัก

                           ฟังเทศน์   ก็ดีเกิดปัญญาไปอีกอย่าง  เพราะพระท่านแต่ละองค์  ก็ต้องเอาสิ่งดี ๆ  มาบอก มากล่าว  ให้ฟัง

                           พี่สิงห์แผ่เมตตา  ให้พวกเราชาวซีมะโด่ง เพื่อนฝูง ทุกคน

                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9191 เมื่อ: 28 พฤษภาคม 2556, 05:48:35 »

อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 28 พฤษภาคม 2556, 02:08:39

สวัสดีค่ะพี่สิงห์ที่เคารพ

ดีใจที่พี่สิงห์สนับสนุนให้ฟังธรรมค่ะ ติ๋มยังต้องอาศัยฟังมากๆให้เกิดความมุ่งมั่นในสัมมาทิฐิ แล้วนำไปสู่การปฏิบัติอันเป็นนิสัยทุกๆวันค่ะ
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 25 พฤษภาคม 2556, 11:24:55
สวัสดีค่ะ  คุณน้องจันทร์ฉาย  ที่รัก

                           ฟังเทศน์   ก็ดีเกิดปัญญาไปอีกอย่าง  เพราะพระท่านแต่ละองค์  ก็ต้องเอาสิ่งดี ๆ  มาบอก มากล่าว  ให้ฟัง

                           พี่สิงห์แผ่เมตตา  ให้พวกเราชาวซีมะโด่ง เพื่อนฝูง ทุกคน

                            สวัสดี

สวัสดีค่ะ คุณน้องจันทร์ฉาย ที่รัก

                   คุณสมบัติข้อหนึ่งของอุบาสก อุบาสิกา คือ สุตะ  คือการใฝ่ศึกษาในธรรม  จะทางใดทางหนึ่งได้ทั้งนั้น เช่นจากการอ่าน การพิจารณา  การคิด และการฟังธรรม (ในสมัยพุทธกาล  ฟังธรรมอย่างเดียว)

                   การฟังธรรม  ถ้าจะให้ได้ธรรม  ต้องมีสติ  พิจารณาข้อธรรมไปด้วย  นิวรณ์ ๕ จะไม่มารบกวน และเกิดปัญญาจากภายใน  เข้าใจได้เองในข้อธรรมนั้น ๆ แต่สู้จากการอ่านไม่ได้

                    สำหรับการฟังธรรมนั้น  ปกติพระท่านจะเทศนาทีละหัวข้อ  ถ้าเป็นพระนักเทศน์ ท่านจะดูออกว่า  กลุ่มคนประเภทไหน  จะต้องเทศนาแบบใด  เพื่อให้ถูกใจ  แต่อย่างน้อย  ท่านต้องเลือกธรรม ที่ดีมาสอนเพื่อให้เราปฏิบัติตาม  โดยเฉพาะเรื่องศีล ๕ และการเกิดมาเป็นมนุษย์

                     แต่เราในฐานะอุบาสก  อุบาสิกา  ปฏิบัติธรรม มาถึงขั้นนี้แล้ว  มันจะเกิดปัญญา ที่จาสามารถพิจารณาได้เองว่า  อะไรถูก  อะไรผิด  อะไรควร  อะไรไม่ควร  ไม่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และไม่เชื่อตามหลักกาลามสูตร

                      อย่าลืมพระนักเทศน์ ท่านมีประสบการณ์ เป็นนักจิตวิทยา  และรู้ว่าบุคคลทั่วไปหลงเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์  มีฤทธิ์  มีปาฏิหาร  มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ คนทั่วไปเป็นแบบนั้น  และถ้าเทศน์แบบนั้น คนจะศรัทธา และลาภสักการะจะตามมา

                       อย่างหลวงพ่อท่านเจ้าคุณวัดบูรพาราม สุรินทร์  หลานหลวงปู่ดุลย์  อตุโล  ท่านบอกพี่สิงห์ ว่า  ปัจจุบันพระส่วนใหญ่ท่านชอบแสดง  หมายความว่า  ท่านจะทำอะไรก็ต้องทำให้คนสนใจออกข่าวทางวิทยุ  โทรทัศน์  หนังสือพิมพ์  เพื่อแสดงตน  ให้คนทั่วไปรู้  จะได้เกิดความเลื่อมใส  ศรัทธา  ที่จะตามมาด้วยลาภ  สักการะ  พูดง่าย ๆ คือ PR ตนเอง นั่นเอง และมันก็เป็นความจริง  จะเอาไปปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์นั้น มีน้อยมาก เพราะนิวรณ์ ๕ มันมาปิดกั้นเอาไว้

                        ดังนั้น เราต้องระวังตนของเราให้ดี  ต้องมีวิริยะในทางกุศลธรรม ตามสัมมาวายะมะ ครับ

                        สวัสดีตอนเช้าครับ

                  
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9192 เมื่อ: 28 พฤษภาคม 2556, 09:32:42 »

                                  ดร.สุริยา   ช่วงนี้มารมารบกวนจิตใจตลอด  โดยเฉพาะนิวรณ์ ๕  กำลังจะเพรี่ยงพร้ำ !
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #9193 เมื่อ: 28 พฤษภาคม 2556, 11:04:16 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 28 พฤษภาคม 2556, 09:32:42
                                  ดร.สุริยา   ช่วงนี้มารมารบกวนจิตใจตลอด  โดยเฉพาะนิวรณ์ ๕  กำลังจะเพรี่ยงพร้ำ !
เดี๋ยวขอไปเปิดตำราว่าด้วย นิวรณ์ ๕ ก่อน ถ้าได้ความอย่างไร จะกลับมาช่วยให้คำแนะนำ
แต่ถ้าผมไม่สามารถหาความอะไรได้ ก็ต้วใครตัวมัน
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #9194 เมื่อ: 28 พฤษภาคม 2556, 11:23:41 »

            พี่สิงห์ พี่ป๋อง ทำให้ต้อยนึึกถึึงท่าเต้นเรปของเด็กสามขวบที่มาฝึกภาวนาร้องว่า
            ความทุกข์ ความสุข เดี๋ยวมา เดี๋ยวไป  มันบังคับไม่ด้ายยย.............
      บันทึกการเข้า

Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #9195 เมื่อ: 28 พฤษภาคม 2556, 12:15:39 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 28 พฤษภาคม 2556, 11:04:16
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 28 พฤษภาคม 2556, 09:32:42
                                 ดร.สุริยา   ช่วงนี้มารมารบกวนจิตใจตลอด  โดยเฉพาะนิวรณ์ ๕  กำลังจะเพรี่ยงพร้ำ !
เดี๋ยวขอไปเปิดตำราว่าด้วย นิวรณ์ ๕ ก่อน ถ้าได้ความอย่างไร จะกลับมาช่วยให้คำแนะนำ
แต่ถ้าผมไม่สามารถหาความอะไรได้ ก็ต้วใครตัวมัน

  ตกลงนิวรณ์ 5 เนี้ย กวน พี่สิงห์ หรือ กวน พี่ป๋อง   งง งง งง งง เหอๆๆ
   น่าจะไม่ใช่ พี่ป๋อง เพราะ พี่ป๋อง ไม่ทราบ    .........เมื่อสิ่งนี้ไม่รู้  สิ่งนั้นก็ไม่ ทราบ (ไม่ปรากฏ)........ไม่มีเกิด ก็ ไม่มีดับ
      บันทึกการเข้า
nok15
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 529

« ตอบ #9196 เมื่อ: 28 พฤษภาคม 2556, 13:19:10 »

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 28 พฤษภาคม 2556, 12:15:39
อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 28 พฤษภาคม 2556, 11:04:16
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 28 พฤษภาคม 2556, 09:32:42
                                  ดร.สุริยา   ช่วงนี้มารมารบกวนจิตใจตลอด  โดยเฉพาะนิวรณ์ ๕  กำลังจะเพรี่ยงพร้ำ !
เดี๋ยวขอไปเปิดตำราว่าด้วย นิวรณ์ ๕ ก่อน ถ้าได้ความอย่างไร จะกลับมาช่วยให้คำแนะนำ
แต่ถ้าผมไม่สามารถหาความอะไรได้ ก็ต้วใครตัวมัน

   ตกลงนิวรณ์ 5 เนี้ย กวน พี่สิงห์ หรือ กวน พี่ป๋อง   งง งง งง งง เหอๆๆ
   น่าจะไม่ใช่ พี่ป๋อง เพราะ พี่ป๋อง ไม่ทราบ    .........เมื่อสิ่งนี้ไม่รู้  สิ่งนั้นก็ไม่ ทราบ (ไม่ปรากฏ)........ไม่มีเกิด ก็ ไม่มีดับ

 ตกลงนิวรณ์ 5 เนี้ย กวน พี่สิงห์ หรือ กวน พี่ป๋อง   งง งง งง งง เหอๆๆ



 

      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #9197 เมื่อ: 28 พฤษภาคม 2556, 13:24:13 »

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...และสมาชิกทุกท่าน...
...ตอนนี้ตู่อยู่ที่กาญจน์ค่ะ...
...อากาศร้อนมว๊ากกกกกก...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9198 เมื่อ: 28 พฤษภาคม 2556, 21:06:16 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                              บางครั้งสภาวะธรรม  ที่มากระทบกับเรานั้น มันมีทั้งสิ่งที่เป็นอารมณ์ธรรมชาติ  ที่ต้องพึงมีพึงเป็น เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์  เมื่อมันเกิดขึ้นเราไม่สามารถบังคับมันได้  แต่สามารถสลัดมันทิ้งได้ ด้วยการภาวนา  ให้รู้ตัว ภาวนาให้นาน และยึดหลักมรรค ๘ ให้มั่นก็จะผ่านพ้นไปได้  (ยกเว้นเรายังมีวิจิกิจฉา เพื่อทดลองดูว่า ผลมันจะเป็นอย่างไร  ทั้งๆ ที่ทราบผลดี  แต่ก็อยากลองดู เพื่อการตัดสินใจในอนาคต) เพื่อยุติการปรุงแต่งที่เสริมเข้าไปอีก

                              แต่สำหรับสภาวะธรรมที่ไม่ใช่เกิดจากธรรมชาติ  มันจะมีเหตุ-ปัจจัยทั้งสิ้นอันนั้นไม่ยาก  อยู่ที่การวางจิตของเราให้ถูกที่ ด้วยการรู้เท่าทันมัน  คือเราต้องรู้ให้เร็วเท่ากับมันนั่นเอง

                               ตราบใดที่เรายังเป็นคนธรรมดา ๆ มันก็ต้องเรียนรู้ให้มากอย่างนี้ เพื่อมาเอาชนะมัน  ให้จิตมันปล่อยวาง  กิเลสอย่างละเอียด  มันแก้อยาก  มันต้องใช้ปัญญาภายในเท่านั้น

                               นี่ละจิตคน ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง  เพราะมันเป็นอนัตตา  จะจับใส่โซ่ล่ามก็ไม่ได้  ได้แต่ให้รู้เท่าทันมันเท่านั้น

                               ขอบคุณ  คุณน้องต้อย  ที่อุตส่าห์จำได้  ความจำมันก็ดี  แต่พอประสบจริง ๆ มันวางไม่ได้หรอกครับ  ต้องให้มันวางจากภายในของมันเอง  มันถึงจะวางได้  การรู้แบบนั้นมันเป็นความรู้ทางโลก  ช่วยไม่ได้  เพราะมันสายไปแล้ว

                               วันนี้ต้องสวดมนต์ และรับศีล ๘ ใหม่ เพราะบกพร่องไปสองข้อ พรุ่งนี้ไปวัดศาลพันธ์ท้ายนรสิงห์  มีโอกาสพบหลวงตา  คงต้องรับศีลจากพระอีกครั้ง ให้มันสมบูรณ์  ต้องใช้อธิษฐานะบาระมีแล้วคราวนี้

                               ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9199 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2556, 11:14:07 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                            เมื่อเช้าตอนเจ็ดโมง  มาที่วัดศาลพันท้ายนรสิงห์  โคกขาม สมุทรสาคร เป็นวัดสอนการปฏิบัติธรรม  แต่เต็มไปด้วยสิ่งศักดิ์  เครื่องลางของขลัง  พีธีกรรม  หลอกลวงให้เลื่อมใสทั้งนั้น

                           ผิดวิสัยตามแนวทางของพระพุทธองค์ และสำนักปฏิบัติธรรม   ที่ต้องอยู่กับปัจจุบัน และเป็นจริง  ไม่เชื่องมงาย

                           ผมเชื่อว่า  ถ้าปฏิบัติธรรม  ตามที่พระพุทธองค์  ทรงสอน  มันจะไม่เป็นแบบที่เห็น  แน่นอน  คือ  ไม่งมงาย ไม่เชื่อตามหลักกาลามะสูตร ไม่รอคอยหรือหวังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

                           น่าเสียดาย  น่าเสียดาย  คนชอบทำบุญด้วยการจ่ายเงินซื้อบุญ มันง่ายดี  คนเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ต้องมีอิทธิฤทธิ์  ลาภสักการะจะตามมา

                           การบวชไม่ใช่คำตอบที่ดีสำหรับผม  เมื่อเห็นวัดแบบนี้

                           อยู่สมุทรสาคร

                           สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 366 367 [368] 369 370 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><