23 พฤศจิกายน 2567, 05:05:11
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 363 364 [365] 366 367 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3551727 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 21 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #9100 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2556, 17:33:03 »

เพิ่มเติม.........


สปส. ไม่ให้สิทธิใดๆ กับผมครับ รวมทั้งภรรยาและบุตรคนโตที่ทำงานในบ้านด้วย
เขาหาว่าผมเป็นนายจ้าง มีหน้าที่ส่งเงินให้ ลูกจ้าง และเพิ่มเงินในส่วนของนายจ้างเท่านั้น
ผมต้องทำประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุเองทั้งหมด
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9101 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2556, 20:22:12 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 17 พฤษภาคม 2556, 17:33:03
เพิ่มเติม.........


สปส. ไม่ให้สิทธิใดๆ กับผมครับ รวมทั้งภรรยาและบุตรคนโตที่ทำงานในบ้านด้วย
เขาหาว่าผมเป็นนายจ้าง มีหน้าที่ส่งเงินให้ ลูกจ้าง และเพิ่มเงินในส่วนของนายจ้างเท่านั้น
ผมต้องทำประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุเองทั้งหมด


สวัสดีครับ คุณเหยง

                      เป็นเฒ่าแก่เหยง นั้นน่ะ ดีแล้ว ขอให้เป็นเฒ่าแก่ที่ดี  ได้สงเคราะห์ลูกน้อง ได้บุญ

                      อย่ามาเป็นลูกจ้าง แบบ ผม เลย เป็นไม่ได้หรอก  ลูกเมีย อดตาย

                      ผมคนเดียว  ไม่เป็นไร  อยู่บ้านหุงข้าว ซื้อกับข้าววันละ ๑๐๕ บาท ซื้อขนมหม้อแกงใส่บาตรอีก ๓๕ บาท  เอาเงินใส่บาตรในถุงขนมอีก ๒๐ บาท สามารถกินได้ทั้งลุงทั้งหลาน และได้ใส่บาตรพระด้วย

                      แต่เวลามาทำงานที่นครศรีธรรมราช ต้องเสียค่า Taxi ไป-กลับ ๒๗๐ บาท ค่า Tip แม่บ้านที่นำเสื้อผ้า เอาผ้าห่มมาปูพื้นเป็นที่นอน และเก็บ อีก ๑๐๐ บาท  บางวันก็ซื้อกับข้าวไปรับประทาน และน้ำส้มคั้นตอนเย็นอีก ๑๐๐ บาท  รวม ๆ แล้วไปทำงานที่นครศรีธรรมราช ใช้เงินประมาณ ๑๐๐๐ บาท ต่อหนึ่งอาทิตย์ หรือมากกว่า เพราะบางครั้งต้องเลี้ยงลูกน้อง และพรรคพวก

                      ชีวิตมันก็มีแค่นี้  ชีวิตคนแก่  รอความตายที่จะมาถึง

                      วันนี้ที่โรงแรมมีผู้มาพักเต็ม เป็นพวกมาเลเซีย พวกขับมอเตอร์ไซด์ ฮาเลย์ และทัวร์นายทหารที่มาสัญจร แต่แขกส่วนใหญ่ไม่รับประทานอาหารเย็นที่โรงแรม  ชอบไปตามร้านอาหาร

                       ตอนนี้บ่าย ๆ หรือ เย็น ๆนครศรีธรรมราช ฝนจะตกทุกวัน

                       ราตรีสวัสดิ์ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9102 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2556, 20:31:41 »

สวัสดียามค่ำครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                       วันนี้เป็นวันพระ ขอนำพระสูตรของพระพุทธองค์ ในเรื่องของการสมาทานธรรม มาฝากก่อนนอน  จะได้รู้ว่าเราควรจะสมาทานอย่างไร  ให้เกิดประโยชน์กับตน

                       ลองอ่านดูครับ

                       ราตรีสวัสดิ์ทุกท่าน



พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔

มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์


๕. จูฬธรรมสมาทานสูตร

ว่าด้วยธรรมสมาทาน ๔


             [๕๑๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่วิหารเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย.
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว.
             [๕๑๕] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสมาทานนี้มี ๔ อย่าง
๔ อย่างเป็นไฉน ธรรมสมาทานที่มีสุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์เป็นวิบากต่อไปก็มี ธรรมสมาทาน
ที่มีทุกข์ในปัจจุบัน และมีทุกข์เป็นวิบากต่อไปก็มี ธรรมสมาทานที่มีสุขในปัจจุบัน และมีสุข
เป็นวิบากต่อไปก็มี.
             [๕๑๖]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมสมาทานที่มีสุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์เป็นวิบากต่อไป
เป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า โทษใน
กามทั้งหลายมิได้มี สมณพราหมณ์พวกนั้น ย่อมถึงความเป็นผู้ดื่มในกามทั้งหลาย. ย่อมบำเรอ
กับพวกนางปริพาชิกาที่เกล้ามวยผมและกล่าวอย่างนี้ว่า ไฉนท่านพระสมณพราหมณ์พวกนั้น
เห็นภัยในอนาคตในกามทั้งหลาย จึงกล่าวการละกามทั้งหลาย บัญญัติความกำหนดรู้กามทั้งหลาย
(อันที่จริง) การสัมผัสที่แขนมีขนอ่อนนุ่มแห่งนางปริพาชิกานี้ นำให้เกิดสุข ดังนี้แล้ว ก็ถึง
ความเป็นผู้ดื่มในกามทั้งหลาย. สมณพราหมณ์เหล่านั้น ครั้นถึงความเป็นผู้ดื่มในกามทั้งหลายว่า
แล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก. เสวยทุกขเวทนา
หยาบ เผ็ดร้อน ในที่ที่ตนเกิดนั้น และกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านสมณพราหมณ์พวกนั้น เห็นภัย
ในอนาคตในกามทั้งหลายนี่แหละ จึงกล่าวการละกามทั้งหลาย บัญญัติความกำหนดรู้กามทั้งหลาย
พวกเรานี้ ย่อมเสวยทุกขเวทนาหยาบ เผ็ดร้อน เพราะกามเป็นปัจจัย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบ-
*เหมือนลูกสุกแห่งเครือถามาลุว่า (ย่านซายหรือย่างซาย) พึงแตกในเดือนท้ายฤดูร้อน. พืชแห่ง
เครือเถามาลุวานั้น ตกลงที่โคนต้นสาละต้นใดต้นหนึ่ง เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นสาละนั้น กลัวหวาดเสียว
ถึงความสะดุ้ง. พวกอาราม วนเทวดา รุกขเทวดา และพวกเทวดา ที่สิงอยู่ที่ต้นไม้อันเป็นป่าหญ้า
และต้นไม้เป็นเจ้าไพร ผู้เป็นมิตรสหาย ญาติสาโลหิต แห่งเทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นสาละนั้นต่างก็พา
กันมาปลอบอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญอย่ากลัวเลย ท่านผู้เจริญอย่ากลัวเลย พืชแห่งเครือเถามาลุวา
นั้น บางทีนกยูงพึงกลืนกินเสีย เนื้อพึงเคี้ยวกินเสีย ไฟป่าพึงไหม้เสีย พวกทำงานในป่าพึง
ถอนเสีย ปลวกพึงกัดเสีย หรือไม่เป็นพืชต่อไป. แต่พืชแห่งเครือเถามาลุวานั้น นกยูงก็ไม่
กลืนกิน เนื้อก็ไม่เคี้ยวกิน ไฟป่าก็ไม่ไหม้ พวกทำการงานในป่าก็ไม่ถอน ปลวกไม่กัด ยังคง
เป็นพืชต่อไป. ถูกเมฆฝนตกรดเข้าแล้วก็งอกขึ้นโดยดี.เป็นเครือเถามาลุวาเล็ก อ่อน มีย่านห้อยย้อย
เข้าไปอาศัยต้นสาละนั้น. เทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นสาละนั้นจึงกล่าวว่า ไฉนพวกท่าน อารามเทวดา
วนเทวดา รุกขเทวดา และเทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นไม้อันเป็นป่าหญ้าและต้นไม้เป็นเจ้าไพร ผู้เป็น
มิตรสหาย ญาติสาโลหิต จึงเห็นภัยในอนาคตในเพราะพืชแห่งเครือเถามาลุวา พากันมาปลอบ
อย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญอย่ากลัวเลย ท่านผู้เจริญอย่ากลัวเลย พืชแห่งเครือเถามาลุวานั้น บางที
นกยูงพึงกลืนกินเสีย เนื้อพึงเคี้ยวกินเสีย ไฟป่าพึงไหม้เสีย พวกทำการงานในป่าพึงถอนเสีย
ปลวกพึงกัดเสีย หรือไม่เป็นพืชต่อไป เครือเถามาลุวานี้ เล็กอ่อน มีย่านห้อมย้อยอยู่ มีสัมผัส
นำความสุขมาให้. เครือเถามาลุมานั้นเข้าพันต้นสาละนั้น. ครั้นเข้าพันแล้ว ทำให้เป็นดังร่มอยู่
ข้างบน ให้แตกเถาอยู่ข้างล่าง ทำลายลำต้นใหญ่ๆ ของต้นสาละนั้นเสีย. เทวดาที่สิงอยู่ที่ต้น
สาละนั้นก็กล่าวอย่างนี้ว่า พวกท่านอารามเทวดา วนเทวดา รุกขเทวดา และพวกเทวดาที่สิงอยู่
ที่ต้นไม้อันเป็นป่าหญ้าและต้นไม้เป็นเจ้าไพร เป็นผู้มิตรสหาย ญาติสาโลหิต เห็นภัยในอนาคต
ในเพราะพืชแห่งเครือเถามาลุวานี้ จึงพากันมาปลอบอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญอย่ากลัวเลย ท่านผู้
เจริญอย่ากลัวเลย พืชแห่งเครือเถามาลุวานั้น บางทีนกยูงพึงกลืนกินเสีย เนื้อพึงเคี้ยวกินเสีย
ไฟป่าพึงไหม้เสีย พวกทำการงานในป่าพึงถอนเสีย ปลวกพึงกัดเสีย หรือไม่เป็นพืชต่อไป
เรานั้นเสวยทุกขเวทนาหยาบ เผ็ดร้อน เพราะพืชแห่งเครือเถามาลุมาวาเป็นเหตุฉันใด. ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า โทษในกามทั้งหลายมิได้มี
จึงถึงความเป็นผู้ดื่มในกามทั้งหลาย บำเรอกับพวกนางปริพาชิกาที่เกล้ามวยผม. และกล่าวอย่างนี้
ว่า ไฉนท่านสมณเหล่านั้น จึงเห็นภัยในอนาคตในกามทั้งหลาย กล่าวการละกามทั้งหลาย บัญญัติ
ความกำหนดรู้ในกามทั้งหลายว่า อันที่จริงการสัมผัสที่แขนมีขนอ่อนนุ่มแห่งนางปริพาชิกานี้
นำให้เกิดสุข จึงถึงความเป็นผู้ดื่มในการกามทั้งหลาย. ครั้นถึงความเป็นผู้ดื่มในกามทั้งหลายแล้ว
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ก็เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก. ย่อมเสวยทุกขเวทนา
หยาบ เผ็ดร้อน ในที่ที่ตนเกิดนั้น และกล่าวในที่นั้นอย่างนี้ว่า ท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น
เห็นภัยในอนาคตในกามทั้งหลายนี้ จึงกล่าวการละกามทั้งหลาย บัญญัติความกำหนดรู้กาม
ทั้งหลายว่า พวกเรานี้ ย่อมเสวยทุกขเวทนาหยาบ เผ็ดร้อน เพราะกามเป็นปัจจัย ก็ฉันนั้น
เหมือนกันดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสมาทานนี้ เรากล่าวว่า มีสุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์เป็นวิบาก
ต่อไป.
             [๕๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมสมาทานที่มีทุกข์ในปัจจุบัน และมีทุกข์เป็นวิบาก
ต่อไป เป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปริพาชกบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เปลือยกาย ปล่อยมารยาท
ดีเสีย [ยืนถ่ายอุจาระ ปัสสาวะ แล้วก็กิน] เช็ดอุจจาระที่ถ่ายด้วยมือ ไม่รับภิกษาตามที่เขา-
*เชิญให้รับ ไม่หยุดตามที่เขาเชิญให้หยุดไม่ยินดีภิกษาที่เขานำมาให้ ไม่ยินดีภิกษาที่เขาเจาะจงให้
ไม่ยินดีการนิมนต์ ไม่รับภิกษาที่เขาให้แต่ปากหม้อ ไม่รับภิกษาที่เขาให้แต่ปากกระเช้า ไม่รับ
ภิกษาในที่มีธรณี มีสาก หรือมีท่อนไม้คั่นในระหว่าง ไม่รับภิกษาของคน ๒ คนที่กำลังกินอยู่
ไม่รับภิกษาของหญิงมีครรภ์ ของหญิงที่กำลังให้ลูกดื่มนม ของหญิงผู้คลอเคลียบุรุษ ไม่รับภิกษา
ที่เขานัดกันทำ ในที่ที่เขาเลี้ยงสุนัข ไม่รับภิกษาในที่มีหมู่แมลงวันตอม ไม่รับปลา ไม่รับเนื้อ
ไม่ดื่มสุรา ไม่ดื่มเมรัย ไม่ดื่มน้ำหมักดองรับภิกษาที่เรือนแห่งเดียว เฉพาะคำเดียวบ้าง รับที่
เรือนสองหลัง เฉพาะสองคำบ้าง ฯลฯ รับที่เรือนเจ็ดหลัง เฉพาะเจ็ดคำบ้าง ให้อัตภาพเป็นไป
ด้วยภิกษาอย่างเดียวบ้าง สองอย่างบ้าง ฯลฯ เจ็ดอย่างบ้าง กลืนอาหารที่เก็บค้างไว้วันหนึ่งบ้าง
สองวันบ้าง ฯลฯ เจ็ดวันบ้าง เป็นผู้หมั่นประกอบเนืองๆ ในการกินภัตที่เวียนมาตลอดกึ่งเดือน
แม้เช่นนี้ ด้วยประการฉะนี้อยู่ ปริพาชกนั้น กินผักดองกินข้าวฟ่าง กินลูกเดือยกินกากข้าว
กินสาหร่าย กินรำ กินข้าวตัง กินข้าวไหม้ กินหญ้า กินโคมัย กินเหง้าไม้และผลไม้ในป่า
กินผลไม้ที่หล่นเอง เลี้ยงอัตภาพปริพาชกนั้น ครองผ้าปอ ครองผ้าที่มีวัตถุปนกัน ครองผ้าผี
ครองผ้าที่เขา ทิ้งครองผ้าเปลือกไม้ ครองหนังเสือ ครองหนังเสือที่มีเล็บ ครองผ้าคากรอง ครอง-
*แผ่นผ้าที่ครองด้วยเปลือกไม้ ครองผ้ากัมพลที่ทำด้วยผมมนุษย์ ครองผ้าที่กรองด้วยขนปีกนกเค้า
เป็นผู้ถอนผมและหนวด หมั่นประกอบเนืองๆ ในการถอนผมและหนวด ยืนในที่สูง ห้าม
อาสนะเป็นผู้เดินกระโหย่ง ประกอบความเพียรในการกระโหย่ง นอนบนขวาก นอนบนหนาม
หมั่นประกอบในการลงน้ำวันละ ๓ ครั้งตามประกอบความหมั่นอันทำร่างกาย ให้ลำบากเดือดร้อน
หลายอย่าง เห็นปานนี้เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสมาทานนี้ เรากล่าวว่า มีทุกข์ในปัจจุบันและมีทุกข์เป็นวิบากต่อไป.
             [๕๑๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมสมาทานที่มีทุกข์ในปัจจุบัน แต่มีสุขเป็นวิบากต่อไป
เป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีราคะกล้าโดยปรกติ ย่อมเสวย-
*ทุกขโทมนัสอันเกิดแต่ราคะเนืองๆ เป็นผู้มีโทสะกล้าโดยปรกติ ย่อมเสวยทุกขโทมนัสอันเกิด
แต่โทสะเนืองๆ เป็นผู้มีโมหะกล้าโดยปรกติ ย่อมเสวยทุกขโทมนัสอันเกิดแต่โมหะเนืองๆ
บุคคลนั้นถูกทุกข์บ้าง โทมนัสบ้าง ถูกต้องแล้ว เป็นผู้มีหน้านองด้วยน้ำตา ร้องไห้อยู่ แต่
ประพฤติพรหมจรรย์บริบูรณ์บริสุทธิ์ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลก
สวรรค์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสมาทานนี้ เรากล่าวว่า มีทุกข์ในปัจจุบันแต่มีสุขเป็นวิบาก
ต่อไป.
             [๕๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมสมาทานที่มีสุขในปัจจุบัน และมีสุขเป็นวิบากต่อไป
เป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่มีราคะกล้าโดยปรกติ ย่อมไม่
เสวยทุกขโทมนัสอันเกิดแต่ราคะเนืองๆ เป็นผู้ไม่มีโทสะกล้าโดยปรกติ ย่อมไม่เสวยทุกขโทมนัส
อันเกิดแต่โทสะเนืองๆ เป็นผู้ไม่มีโมหะกล้าโดยปรกติ ย่อมไม่เสวยทุกขโทมนัสอันเกิดแต่
โมหะเนืองๆ บุคคลนั้นสงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจารมีปีติและสุขอันเกิด
แต่วิเวกอยู่ บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายในเป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก
ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ บรรลุตติยฌาน ... แล้วและอยู่
บรรลุจตุตถฌาน ... แล้วและอยู่เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
ดูกรภิกษุทั้งหลายธรรมสมาทานนี้ เรากล่าวว่า มีสุขในปัจจุบัน และมีสุขเป็นวิบากต่อไป:
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสมาทานมี ๔ อย่างเหล่านี้แล.
             พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น ชื่นชม ยินดีพระภาษิตของ
พระผู้มีพระภาคแล้วแล.


จบ จูฬธรรมสมาทานสูตร ที่ ๕

-----------------------------------------------------
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #9103 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2556, 21:45:54 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 17 พฤษภาคม 2556, 20:22:12
อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 17 พฤษภาคม 2556, 17:33:03
เพิ่มเติม.........


สปส. ไม่ให้สิทธิใดๆ กับผมครับ รวมทั้งภรรยาและบุตรคนโตที่ทำงานในบ้านด้วย
เขาหาว่าผมเป็นนายจ้าง มีหน้าที่ส่งเงินให้ ลูกจ้าง และเพิ่มเงินในส่วนของนายจ้างเท่านั้น
ผมต้องทำประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุเองทั้งหมด


สวัสดีครับ คุณเหยง

                      เป็นเฒ่าแก่เหยง นั้นน่ะ ดีแล้ว ขอให้เป็นเฒ่าแก่ที่ดี  ได้สงเคราะห์ลูกน้อง ได้บุญ

                      อย่ามาเป็นลูกจ้าง แบบ ผม เลย เป็นไม่ได้หรอก  ลูกเมีย อดตาย

                      ผมคนเดียว  ไม่เป็นไร  อยู่บ้านหุงข้าว ซื้อกับข้าววันละ ๑๐๕ บาท ซื้อขนมหม้อแกงใส่บาตรอีก ๓๕ บาท  เอาเงินใส่บาตรในถุงขนมอีก ๒๐ บาท สามารถกินได้ทั้งลุงทั้งหลาน และได้ใส่บาตรพระด้วย

                      แต่เวลามาทำงานที่นครศรีธรรมราช ต้องเสียค่า Taxi ไป-กลับ ๒๗๐ บาท ค่า Tip แม่บ้านที่นำเสื้อผ้า เอาผ้าห่มมาปูพื้นเป็นที่นอน และเก็บ อีก ๑๐๐ บาท  บางวันก็ซื้อกับข้าวไปรับประทาน และน้ำส้มคั้นตอนเย็นอีก ๑๐๐ บาท  รวม ๆ แล้วไปทำงานที่นครศรีธรรมราช ใช้เงินประมาณ ๑๐๐๐ บาท ต่อหนึ่งอาทิตย์ หรือมากกว่า เพราะบางครั้งต้องเลี้ยงลูกน้อง และพรรคพวก

                      ชีวิตมันก็มีแค่นี้  ชีวิตคนแก่  รอความตายที่จะมาถึง

                      วันนี้ที่โรงแรมมีผู้มาพักเต็ม เป็นพวกมาเลเซีย พวกขับมอเตอร์ไซด์ ฮาเลย์ และทัวร์นายทหารที่มาสัญจร แต่แขกส่วนใหญ่ไม่รับประทานอาหารเย็นที่โรงแรม  ชอบไปตามร้านอาหาร

                       ตอนนี้บ่าย ๆ หรือ เย็น ๆนครศรีธรรมราช ฝนจะตกทุกวัน

                       ราตรีสวัสดิ์ครับ


พี่สิงห์


ผมเคยทำงานอยู่ที่"บูรพาโอสถ" มาก่อน ก็อยู่ในระบบประกันสังคม
แต่ต่อมาเป็นเจ้าของเอง เขาปฎิเสธการต่ออายุ สปส.
ในขณะที่นายธนาคารระดับต่างๆ เป็นเสมือนลูกจ้างธนาคาร (นิติบุคคล)
เขารับให้อยู่ในระบบ แถมตั้งให้เป็นตัวแทนนายจ้าง (ทั้งที่เป็นตัวปลอม) ใน สปส.
รวมทั้งให้สิทธิรับการคัดเลือกเป็นผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้าง
ผมเป็นนายจ้างตัวจริง แต่กลับไม่ยอมรับ (ผมไม่ได้คิดไปรับตำแหน่งใดๆ ดอกครับ)
ผมคิดแค่ว่า ผมสามารถสร้างงานให้กับคนในสังกัด ให้มีชิวิตที่มั่นคงเท่านั้นครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9104 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2556, 07:50:25 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 17 พฤษภาคม 2556, 21:45:54
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 17 พฤษภาคม 2556, 20:22:12
อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 17 พฤษภาคม 2556, 17:33:03
เพิ่มเติม.........


สปส. ไม่ให้สิทธิใดๆ กับผมครับ รวมทั้งภรรยาและบุตรคนโตที่ทำงานในบ้านด้วย
เขาหาว่าผมเป็นนายจ้าง มีหน้าที่ส่งเงินให้ ลูกจ้าง และเพิ่มเงินในส่วนของนายจ้างเท่านั้น
ผมต้องทำประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุเองทั้งหมด


สวัสดีครับ คุณเหยง

                      เป็นเฒ่าแก่เหยง นั้นน่ะ ดีแล้ว ขอให้เป็นเฒ่าแก่ที่ดี  ได้สงเคราะห์ลูกน้อง ได้บุญ

                      อย่ามาเป็นลูกจ้าง แบบ ผม เลย เป็นไม่ได้หรอก  ลูกเมีย อดตาย

                      ผมคนเดียว  ไม่เป็นไร  อยู่บ้านหุงข้าว ซื้อกับข้าววันละ ๑๐๕ บาท ซื้อขนมหม้อแกงใส่บาตรอีก ๓๕ บาท  เอาเงินใส่บาตรในถุงขนมอีก ๒๐ บาท สามารถกินได้ทั้งลุงทั้งหลาน และได้ใส่บาตรพระด้วย

                      แต่เวลามาทำงานที่นครศรีธรรมราช ต้องเสียค่า Taxi ไป-กลับ ๒๗๐ บาท ค่า Tip แม่บ้านที่นำเสื้อผ้า เอาผ้าห่มมาปูพื้นเป็นที่นอน และเก็บ อีก ๑๐๐ บาท  บางวันก็ซื้อกับข้าวไปรับประทาน และน้ำส้มคั้นตอนเย็นอีก ๑๐๐ บาท  รวม ๆ แล้วไปทำงานที่นครศรีธรรมราช ใช้เงินประมาณ ๑๐๐๐ บาท ต่อหนึ่งอาทิตย์ หรือมากกว่า เพราะบางครั้งต้องเลี้ยงลูกน้อง และพรรคพวก

                      ชีวิตมันก็มีแค่นี้  ชีวิตคนแก่  รอความตายที่จะมาถึง

                      วันนี้ที่โรงแรมมีผู้มาพักเต็ม เป็นพวกมาเลเซีย พวกขับมอเตอร์ไซด์ ฮาเลย์ และทัวร์นายทหารที่มาสัญจร แต่แขกส่วนใหญ่ไม่รับประทานอาหารเย็นที่โรงแรม  ชอบไปตามร้านอาหาร

                       ตอนนี้บ่าย ๆ หรือ เย็น ๆนครศรีธรรมราช ฝนจะตกทุกวัน

                       ราตรีสวัสดิ์ครับ


พี่สิงห์


ผมเคยทำงานอยู่ที่"บูรพาโอสถ" มาก่อน ก็อยู่ในระบบประกันสังคม
แต่ต่อมาเป็นเจ้าของเอง เขาปฎิเสธการต่ออายุ สปส.
ในขณะที่นายธนาคารระดับต่างๆ เป็นเสมือนลูกจ้างธนาคาร (นิติบุคคล)
เขารับให้อยู่ในระบบ แถมตั้งให้เป็นตัวแทนนายจ้าง (ทั้งที่เป็นตัวปลอม) ใน สปส.
รวมทั้งให้สิทธิรับการคัดเลือกเป็นผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้าง
ผมเป็นนายจ้างตัวจริง แต่กลับไม่ยอมรับ (ผมไม่ได้คิดไปรับตำแหน่งใดๆ ดอกครับ)
ผมคิดแค่ว่า ผมสามารถสร้างงานให้กับคนในสังกัด ให้มีชิวิตที่มั่นคงเท่านั้นครับ


สวัสดีครับ คุณเหยง

                  ถ้าคุณเหยงเป็นลูกจ้าง ในฐานะผู้จัดการ หจก. หรือบริษัท ของคุณเหยง คุณเหยงก็เป็นลูกจ้าง ตามกฏหมาย ย่อมมีสิทธิ ต้องอยู่ในประกันสังคมอยู่แล้ว  ตามเท่าที่ทราบ  ยกเว้นไม่มีรายช่ือใน หจก. หรือบริษัท ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อประกอบการค้า เป็นเพียงหุ้นส่วน หรือเจ้าของ  ไม่ได้เป็นลูกจ้าง ก็ไม่อยู่ในข่าย

                  คุณเหยง น่าจะรู้ดีกว่าผม  เพราะจบกฏหมาย  มิบังอาจสอนสั่งได้

                  เช้านี้นครศรีธรรมราช  ฝนยังไม่ตก อากาศพอใช้ได้  มีเมฆ บ่าย ๆ ฝนคงตกเช่นเคย ตามปกติ

                  วันนี้กลับ กทม. boarding 15:55 น.

                  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9105 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2556, 08:14:32 »






สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                              อย่าลืมนะครับ ความสุขที่ปราณีต คือ ความสุขที่ปราศจากการปรุงแต่ง(ไม่คิด) มีสติ-สัมปชัญญะ อยู่สมบูรณ์ด้วยศีล  

                              เช้านี้ขอเตือนตนเองให้มีสติหรือระลึกได้ หรือมีความรู้ตัวที่กาย เวทนา จิต และธรรม ระลึกได้สิ่งไหนใน ๔ องค์ประกอบนั้น ก็ให้รู้อยู่อย่างนั้น  สิ่งที่รับทราบได้คือ เราจะรู้ด้วยตัวเอง ว่ามันไม่คิด ในขณะที่รู้นั้น  เมื่อรู้ ก็ไม่คิด

                              แต่ถ้าไม่ทราบ การระลึกรู้ที่กาย เวทนา  จิต  ธรรม  ก็ไม่เป็นไร ให้ภาวนาคำว่า "พุทธโธ" ๆ ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ ที่ระลึกขึ้นมาได้ คือลืมหลงอยู่ในความคิดบ้าง  ระลึกขึ้นมาได้บ้างก็ภาวนา  อยู่อย่างนี้ เดี๋ยวมันก็ระลึกได้มากว่าหลงอยู่ในความคิดเองนั่นแหละ ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น

                              หรือจะภาวนาคำว่า "พุทธโธ รู้จิต  พุทธโธ รู้คิด  พุทธโธ เห็นจิต  พุทธโธ เห็นคิด" เพิ่มอีกก็ได้ เพราะจะได้เตือนจิตตนเอง ว่า ให้รู้อยู่กับจิต  ตามจิตให้พบในทุกวินาที  ทุกนาที ในกาย  และให้ตามความคิดตนเองให้ทันคือตามจิตให้ทันเมื่อมันหนีออกนอกกายคือคิด  และเห็นจิตตนเอง คือแยกความรู้สึกตัว ความระลึกได้ที่กาย หรือสติ ออกจากความคิดตนเองให้ได้ และให้เห็นความคิดตนเอง  เป็นการเตือนตนเองไปในตัว  ค้นให้พบอารมณ์เหล่านี้ ในรูป-นาม ตนเองให้ได้  เพราะมันเป็นก้าวแรกของการที่จะแยกตนเองออกมาจากโมหะ หรือจากความคิด ให้เป็นอิสสระ ไม่ตกเป็นธาตุของความคิด ที่จิตมันชอบ และ

                               การเห็นความคิดตนเองนั้น มันจะทราบพฤติกรรมของจิต  ทราบสภาวะธรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับจิต  จนจิตมันพัฒนาของมันเอง  จนเกิดการปล่อยวางด้วยตัวของมันเอง เพราะรู้ความจริง แล้ว

                              แต่ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ต้องรักษาอย่างน้อยศีล ๕ ให้มั่น เพราะเราต้องการสติที่เป็นไปในทางสร้างกุศล ทั้งสิ้น

                               เพราะโจรมันก็มีสติเวลาขโมยของหรือประพฤติชั่ว

                               หรือ เวลาเราไปอาบน้ำ ตามโรงนวด เราก็มีสติ แต่ประพฤติผิดในทางความใคร่ตนเอง เป็นต้น

                               อย่าลืม ตาเรายังเห็นรูป  หูยังได้ยินเสียง  จมูกยังได้ดมกลิ่น  ลิ้นยังได้ลิ้มรส  กายยังได้สัมผัส และใจยังนึกคิด แต่เราไม่ปรุงแต่งหรือคิดในสิ่งที่สัมผัสได้ทางตา หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ คือไม่หลงไปกับมัน

                               ประคองตั้งจิตไว้ด้วยความเพียร ท่านจะทราบด้วยตนเอง ทั้งสิ้น

                              ง่าย ๆ อย่างนี้ละครับการภาวนา  ท่านสามารถรู้ด้วยตัวของท่านเอง ทั้งสิ้น

                              ตัวชี้วัด คือ การไม่คิด  กระทำแต่ในทางกุศลธรรม

                              สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #9106 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2556, 12:53:26 »

สอนโยคะที่บ้านพระนอน เป็นอย่างไรบ้างครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9107 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2556, 21:37:04 »

อ้างถึง
ข้อความของ เริง2520 เมื่อ 18 พฤษภาคม 2556, 12:53:26
สอนโยคะที่บ้านพระนอน เป็นอย่างไรบ้างครับ

สวัสดีครับ คุณน้องเริง

                       การสอนชิกง - โยคะ ที่ชุมชนหมู่บ้านบางพระนอน เรียบร้อยไปนานแล้ว มีชาวบ้านที่เป็นผู้นำกลุ่ม มาเรียนประมาณ ๕๐ คน ในหมู่บ้านใกล้เคียง เพื่อเอาไปสอนต่อในแต่ละหมู่บ้าน  มีการบันทึก VDO เอาไปทำ CD พี่สิงห์ เล่าไปแล้วบางส่วน  พี่สิงห์  ได้แต่สอน  ไม่ได้ถ่ายภาพใด ๆ เอาไว้เลย สอนที่ศาลาวัด หลังล่าง ทุกท่านพยายามจะจำท่าให้ได้ และรู้หลักการแล้ว และได้สอนโยคะ จำนวน ๔๔ ท่า เพื่อรักษาโรคปวดตามร่างกาย

                       พี่สิงห์  รับปากว่า ในช่วงเข้าพรรษา ทุกวันพระ จะพยายามหาเวลาว่างไปทำบุญ และจะสอน ชิกง - โยคะ ให้เพื่อเป็นการทบทวน  จนกว่าจะได้

                       นอกจากนี้พี่สิงห์  ได้มอบ CD ให้ เพื่อไปฝึกกันเอง เพราะรู้แล้วว่า  ทำแล้วได้ผลในเรื่องสุขภาพ  อย่าลืมส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ  จำท่าไม่ได้  แต่ถ้ามีคนนำแบบพี่สิงห์  ทุกคนทำตามได้หมดทุกท่า  แต่จำท่าไม่ได้

                      ครั้งหลังจะหาคนถ่ายรูปไปด้วยครับ

                      สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #9108 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2556, 08:45:09 »

พี่สิงห์

ปลื้มครับ
ทุกคนต้องชอบแน่ๆ
เหมือนงานกศน.ที่ผมทำอยู่
ศาลาวัด ศาลาลางบ้าน เป็นห้องเรียนได้
ทำกันที่กลางทุ่งเลย ฮ่า ฮ่า
      บันทึกการเข้า
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #9109 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2556, 11:59:45 »

พี่สิงห์ที่เคารพรัก
ชอบ graphic นี้มากๆ ง่ายตรงจุดดีเลยค่ะ

คำถาม
การทำสติให้เป็นผู้รู้อยู่กับปัจจุบันนั้นต้องอาศัยสมาธิมากในช่วงที่ยังต้องฝึกอยู่ใช่ระยะแรกๆไหมคะ ไม่อย่างงั้นก็จะหลุดไปคิดอดีตคิดอนาคตให้วุ่นวาย
เมื่อฝึกดีแล้วก็จะคล้องไปเองเป็นธรรมชาติคือสติอยู่กับปัจจุบันเป็นผู้รู้เท่านั้น

แบบนี้ถูกไหมคะ

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 18 พฤษภาคม 2556, 08:14:32





สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                              อย่าลืมนะครับ ความสุขที่ปราณีต คือ ความสุขที่ปราศจากการปรุงแต่ง(ไม่คิด) มีสติ-สัมปชัญญะ อยู่สมบูรณ์ด้วยศีล  

                              เช้านี้ขอเตือนตนเองให้มีสติหรือระลึกได้ หรือมีความรู้ตัวที่กาย เวทนา จิต และธรรม ระลึกได้สิ่งไหนใน ๔ องค์ประกอบนั้น ก็ให้รู้อยู่อย่างนั้น  สิ่งที่รับทราบได้คือ เราจะรู้ด้วยตัวเอง ว่ามันไม่คิด ในขณะที่รู้นั้น  เมื่อรู้ ก็ไม่คิด

                              แต่ถ้าไม่ทราบ การระลึกรู้ที่กาย เวทนา  จิต  ธรรม  ก็ไม่เป็นไร ให้ภาวนาคำว่า "พุทธโธ" ๆ ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ ที่ระลึกขึ้นมาได้ คือลืมหลงอยู่ในความคิดบ้าง  ระลึกขึ้นมาได้บ้างก็ภาวนา  อยู่อย่างนี้ เดี๋ยวมันก็ระลึกได้มากว่าหลงอยู่ในความคิดเองนั่นแหละ ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น

                              หรือจะภาวนาคำว่า "พุทธโธ รู้จิต  พุทธโธ รู้คิด  พุทธโธ เห็นจิต  พุทธโธ เห็นคิด" เพิ่มอีกก็ได้ เพราะจะได้เตือนจิตตนเอง ว่า ให้รู้อยู่กับจิต  ตามจิตให้พบในทุกวินาที  ทุกนาที ในกาย  และให้ตามความคิดตนเองให้ทันคือตามจิตให้ทันเมื่อมันหนีออกนอกกายคือคิด  และเห็นจิตตนเอง คือแยกความรู้สึกตัว ความระลึกได้ที่กาย หรือสติ ออกจากความคิดตนเองให้ได้ และให้เห็นความคิดตนเอง  เป็นการเตือนตนเองไปในตัว  ค้นให้พบอารมณ์เหล่านี้ ในรูป-นาม ตนเองให้ได้  เพราะมันเป็นก้าวแรกของการที่จะแยกตนเองออกมาจากโมหะ หรือจากความคิด ให้เป็นอิสสระ ไม่ตกเป็นธาตุของความคิด ที่จิตมันชอบ และ

                               การเห็นความคิดตนเองนั้น มันจะทราบพฤติกรรมของจิต  ทราบสภาวะธรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับจิต  จนจิตมันพัฒนาของมันเอง  จนเกิดการปล่อยวางด้วยตัวของมันเอง เพราะรู้ความจริง แล้ว

                              แต่ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ต้องรักษาอย่างน้อยศีล ๕ ให้มั่น เพราะเราต้องการสติที่เป็นไปในทางสร้างกุศล ทั้งสิ้น

                               เพราะโจรมันก็มีสติเวลาขโมยของหรือประพฤติชั่ว

                               หรือ เวลาเราไปอาบน้ำ ตามโรงนวด เราก็มีสติ แต่ประพฤติผิดในทางความใคร่ตนเอง เป็นต้น

                               อย่าลืม ตาเรายังเห็นรูป  หูยังได้ยินเสียง  จมูกยังได้ดมกลิ่น  ลิ้นยังได้ลิ้มรส  กายยังได้สัมผัส และใจยังนึกคิด แต่เราไม่ปรุงแต่งหรือคิดในสิ่งที่สัมผัสได้ทางตา หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ คือไม่หลงไปกับมัน

                               ประคองตั้งจิตไว้ด้วยความเพียร ท่านจะทราบด้วยตนเอง ทั้งสิ้น

                              ง่าย ๆ อย่างนี้ละครับการภาวนา  ท่านสามารถรู้ด้วยตัวของท่านเอง ทั้งสิ้น

                              ตัวชี้วัด คือ การไม่คิด  กระทำแต่ในทางกุศลธรรม

                              สวัสดีครับ

      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #9110 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2556, 16:52:58 »

...สวัสดีตอนเย็นวันอาทิตย์ค่ะ...พี่สิงห์...
...ตามอ่านค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9111 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2556, 20:20:05 »

อ้างถึง
ข้อความของ เริง2520 เมื่อ 19 พฤษภาคม 2556, 08:45:09
พี่สิงห์

ปลื้มครับ
ทุกคนต้องชอบแน่ๆ
เหมือนงานกศน.ที่ผมทำอยู่
ศาลาวัด ศาลาลางบ้าน เป็นห้องเรียนได้
ทำกันที่กลางทุ่งเลย ฮ่า ฮ่า


สวัสดีครับ คุณน้องเริง ๒๐

              ชาวบ้าน ผู้นำชุมชน ชอบ  แต่ปัญหาคือ ทุกคนจำท่าไม่ได้

              อยากให้พี่สิงห์ ไปสอนทั้งชิกง - โยคะ และการปฏิบัติธรรม

              เป็นครั้งคราวได้  แต่บ่อย ๆ มันไม่มีเวลา เพราะรับงานไว้หลายที่อยู่

              ๗ กรกฎาคม  รับปากว่าจะไปเป็นเจ้าภาพร่วม บวชเณร ที่ได้เป็นอุปัฏฐาก ในการเรียนหนังสือที่สำนักวัดพิกุลทอง  ท่านอายุครบ ๒๐ ปี  จะบวชพระ  ท่านสั่งญาติโยม ให้มาเรียนเชิญพี่สิงห์ ไปร่วมบวชพระ  นี่ก็ได้ให้เงินในการไปเตรียมการแล้ว หนึ่งหมื่นบาท  ที่เหลือตั้งใจว่า จะใส่ซองให้ในโบสถ์กับอุปัฏชา  คู่สวด และพระอันดับ  ใครจะร่วมบวชพระด้วยก็เรียนเชิญ  เดี๋ยวนี้ หาพระบวชใหม่ยาก  พี่สิงห์ ก็บอกเณรแล้ว อย่าศึกเลย  บวชมานานแล้วอยู่อย่างนี้ละดีแล้ว

               สวัสดี 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9112 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2556, 20:43:59 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องจันทร์ฉาย ที่รัก

             ภาพกราฟฟิกนั้น เป็นลายมือของคุณหมอประเวศ  วสี  ที่ท่านเป็นคนเขียนคำนำในหนังสือ "แด่เธอผู้รู้สึกตัว" เป็นคำสอนของหลวงพ่อเทียน ที่ลูกศิษย์ของคุณหมอ จัดพิมพ์หนังสือขึ้นมา ในครั้งที่หลวงพ่อเทียน  ท่านไปสอนที่ประเทศสิงค์โปร์ และขอให้คุณหมอประเวศ  วสี  เป็นผู้เขียนคำนำ  คุณหมอประเวศ  บอกว่า  หลวงพ่อเทียนท่านสอนให้รู้สึกตัว  เพื่อไล่ความไม่รู้ออกไป  รู้มากเข้า ๆ ความไม่รู้มันก็หายไปเอง  รู้อยู่กับปัจจุบัน และรู้ทันก่อนที่จะตกอยู่ในโมหะ โทสะ  โลภะ  มันเป็นจริง

             นอกจากนี้คุณหมอประเวศ  ท่านบอกว่า หลวงพ่อเทียน  ท่านเปรียบเหมือเรื่อจ้างที่คอยรับส่งเท่านั้น เรือจะไปได้หรือไม่อยู่ที่เราเป็นคนพายเรือนั้น  คือ ต้องปฏิบัติด้วยตนเอง  อยู่กับการรู้สึกตัว  คือคอยตามจิตของเราให้ทันนั่นเอง

              ตอบคำถาม

              พี่สิงห์  ใช้เวลาในการปฏิบัติธรรมภาวนา  ตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน  จิตตฺสุโภ  แต่ละครั้งนานมาก ๆ จนร่างกายเกิดเวทนา  ขึ้นมาจริง ๆ  จนได้รู้อาการของรูปโรค  นามโรค  แท้จริง และได้รู้จักคำว่าการเปลี่ยนอิริยาบถ  เพราะประสบกับตัวเอง ในเวทนา  นึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ ขึ้นมาได้  เมื่อมันเกิดทุกข์ขึ้นมาจริง ๆ (รูปมันเจ็บจริง ๆ  ไม่ใช่เจ็บแบบจอมปลอม คือนามโรค) เราก็ต้องแก้ที่เหตุ คือการเปลี่ยนอิริยาบถ  จึงรู้จัก  ใช้เวลาเป็นเดือน ๆ และพยายามกระทำต่อเนื่องไม่ให้ขาดตอน  จนสามารถสังเกตพบ  ว่าเรามีสองคน คือตัวคิด และตัวรู้สึกตัว  สามารถแยกออกได้ในอารมณ์ และเมื่อแยกได้ ก็ได้เรียนรู้มาเรื่อย ๆ  ค่อย  พบความจริง ตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน  

              จนกระทั่ง เห็นอารมณ์รูป-นาม  เห็นความคิด  เห็นความเป็นไตรลักษณ์ เห็นพฤติกรรมของจิต และ......... อีกมากมาย

              พี่สิงห์ อยากให้เธอหาให้พบด้วยตัวเอง  อยู่ ๆ มันก็เกิดขึ้นเอง  รู้เอง  เห็นจริงตามคำสอนของพระพุทธองค์  เราจะรู้ด้วยตัวของเราเอง เพราะ อารมณ์ พฤติกรรมของเราจะเปลี่ยนไป  เรารู้ได้เองทั้งสิ้น  ไม่มีอะไรแอบแฝง เป็นเรื่องธรรมดา ๆ ที่เราเข้าใจได้เอง  พี่สิงห์  เคยบอกไปแล้วว่า ยึดตามคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าไว้ เข้าใจมัน  ก็จะสามารถค้นพบความจริงได้เอง

               พี่สิงห์ ยังมีอารมณ์โกรธ  โลภ  หลง  ทุกข์  สุข..... แต่ความรู้ตัวมันก็เร็ว พอ ๆ กัน ที่จะไม่โกรธ  ไม่โลภ  ไม่หลง  ไม่หลงดีใจกับสุข  ไม่เสียใจกับทุกข์  สามารถปล่อยอุเบกขาได้ เพราะเข้าใจความจริงที่เราประสบนั้นได้ คือรู้เท่าทันนั่นเองด้วยเหตุ - ผล - ปัจจัย

                พี่สิงห์ ไม่ได้เป็นอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่รู้ทันจิตตนเอง และจิตคนอื่น ๆ ในพฤติกรรมของจิต  เมื่อรู้เราก็เอามาใช้ในการดำรงค์ชีวิตของเรา มันจะป้องกันตัวเรา ไม่หลงไปกับความคิด  แยกออกมาได้จากความคิด  ยกเว้นเวลาทำงาน หรือพูดคุยกัน บางครั้งหลงอยู่ในความคิด จนลืมตน

                เพียงแค่นี้เราก็สุข  สงบ  ปล่อยวางเอง มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม  รับกับทุกสถานะการณ์ได้ เพราะรู้เท่าทันมัน และมันก็รู้เพิ่มขึ้น ๆ ด้วยจิตของมันเองตลอดเวลา เพราะเรายังทำงาน ต้องเกี่ยงข้องกับคน  ได้เรียนรู้จิตตนเอง และจิตคนอื่น ตลอดเวลา พัฒนาไปเรื่อย ๆ

               เมือ่ก่อนคิดว่ายาก ในการรู้อยู่กับปัจจุบัน  แต่ทำตามที่หลวงพ่อเทียน ท่านสอน  มันก็ถูกต้อง  มันรู้ของมันเอง  และเข้าใจของมันเอง  และรู้เพิ่มในคำสอนของพระพุทธองค์ ของมันเอง  มันเป็นอย่างนั้น

               อย่ารู้ไปก่อนเลย  จงมีศรัทธา  มีวิริยะในการกระทำแต่สิ่งที่เป็นกุศล  ตามมรรคองค์ที่ ๖ สัมมาวายะมะ สำคัญมากในการประคองตั้งจิตไว้ อยู่แต่ในความเพียรทางกุศลธรรมเท่านั้น  มันจะรู้ของมันเอง

                ราตรีสวัสดิ์ ค่ะ  
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9113 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2556, 20:54:08 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                  วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ พฤษภาคม พี่สิงห์  จะไปถึงวัดสมานราษฎร์ หนองรี  ตอนบ่ายเพื่อไปร่วมบวชชีพราหมณ์ กับหลวงพ่อ ดร.พระมาหสุเทพ  พักค้างคืนที่วัด  ตลอดช่วงเทศกาลวิสาขะบูชา และมีหน้าที่ไปสอนโยคะ -ชิกง  ให้กับผู้ปฏิบัติธรรม  เวลายังต้องรอหลวงพ่อสั่งการ  และไปช่วยงานหลวงพ่อ  ตามแต่ท่านจะใช้

                  เชาปฏิบัติธรรมกัน ๒๓ - ๒๖ วันที่ ๒๖ มีการหล่อพระ  พี่สิงห์ ไม่ทราบรายละเอียด  ดร.กุศล  คงทราบ เพราะหลวงพ่อท่านบรรยายทางวิทยุ สถานียานเกราะ พี่สิงห์ไม่ได้ฟัง  มีรถบัสรับ-ส่ง ญาติโยมที่กรุงเทพฯ หน่าสถานียานเกราะ ด้วย  คงหลายคันรถ

                  เธอจะไปด้วยก็ได้ครับ

                  ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #9114 เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2556, 07:10:28 »

พี่สิงห์

วันนี้ ถึงวันที่ 24 ฝนตกเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 60 - 70 ของพื้นที่ทั่วประเทศ
ในทะเลมีคลื่นสูงทั้งสองฝั่ง ฝนที่ตกหนักอาจมีลมกระโชกแรง และฟ้าคะนองตามมา โปรดระมัดระวัง



พยากรณ์อากาศ ประจำวันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม 2556
ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น.  ลมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย
ทำให้ด้านตะวันตกของประเทศไทย และภาคตะวันออกมีฝนกระจายถึงเกือบทั่วไปกับมีฝนตกหนักบางแห่งในระยะนี้
อนึ่ง ในช่วงวันที่ 21-24 พฤษภาคม 2556 ลมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ด้านตะวันตกของประเทศไทย และภาคตะวันออก
มีฝนเพิ่มมากขึ้นกับมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนักถึงหนักมากในช่วงวันเวลาดังกล่าวไว้ด้วย ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และ
อ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังแรงขึ้นด้วย
 
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

ภาคเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตาก กำแพงเพชร พิจิตร และเพชรบูรณ์

อุณหภูมิสูงสุด 35-37 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. 

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดหนองคาย เลย ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี

อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. 

ภาคกลาง  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี และราชบุรี

อุณหภูมิสูงสุด 34-37 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. 

ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง
บริเวณจังหวัดตราด

อุณหภูมิสูงสุด 29-34 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 24-27 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
 
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)  มีเมฆเป็นส่วนมาก และมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี

อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิต่ำสุด 24-27 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร 

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)  มีเมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
บริเวณจังหวัดระนอง

อุณหภูมิสูงสุด 29-33 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 24-27 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร 

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากทางด้านตะวันตกของพื้นที่
อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. 
 
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #9115 เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2556, 12:43:52 »

สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
ตามอ่่านค่ะ
พี่สบายดีนะคะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9116 เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2556, 20:36:31 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 20 พฤษภาคม 2556, 12:43:52
สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
ตามอ่่านค่ะ
พี่สบายดีนะคะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

             พี่สิงห์  สบายดี  เธอไม่ต้องเป็นห่วงทั้งสิ้น 

             ถ้าจะห่วงพี่สิงห์  ขอให้เธอห่วงตัวเองมาก ๆ แทนก็แล้วกัน  มีผลเสมอกัน

             เพราะพี่สิงห์  ต้องการแบบนั้น

            วันที่ ๒๓ - ๒๖ พฤษภาคม เธอว่างไหม ?

            ถ้าว่างเรียนเชิญไปบวชชีพราหมณ์ และปฏิบัติธรรม ที่วัดสมานราษฎร์ หนองรี ชลบุรี

            เนื่องในเทศกาบวิสาขะบุชา เพื่อรำลึกถึงพระพุทธองค์

            พี่สิงห์ จะไปวันที่ ๒๓ บ่าย หลวงพ่อ ให้ไปสอนชิกง - โยคะ  กับผู้ปฏิบัติธรรมที่วัด  คาดว่าจะมีญาติโยมไป ไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ ท่านขึ้นไป  และมีรถบัสออกจาก กทม. สำหรับญาติโยม ที่อยู่ กทม. ที่สถานียานเกราะ บางกระบือ  มีที่พัก อาหารเลี้ยง  ไม่ต้องเสียสตางค์  ทราบว่าวันที่ ๒๖  มีการเททองหล่อพระพุทธรูป ด้วย

            อย่าลืมดูแลตัวเอง  แทนพี่สิงห์  ด้วย

            สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9117 เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2556, 20:41:19 »

สวัสดีครับ คุณเหยง

                        คงจะเข้าฤดูฝนแล้วละ  ขอให้ฝนตกลงมาเสียที  ข้าวขาดน้ำจะแย่อยู่แล้ว

                        ตามลำคลองมีน้ำก้นคลอง เพราะชาวนาสูบน้ำทั้งบนดินใต้ดิน ไปทำนากันหมด ผลคือ ระดับน้ำใต้ดินอยู่ลึก ต่ำกว่าปกติ  ผลที่ตามมาคือ พื้นดินขาดน้ำ  ต้นไม่เล็ก ๆ มันก็จะอยู่ไม่ได้  อากาศของโลกก็จะร้อนขึ้นเป็นธรรมดา

                        ถ้าปล่อยแบบนี้ไม่ดีต่อมนุษย์ แน่นอน อย่าเลย  อย่าสูบน้ำใต้ดิน มาทำนาเลยครับ

                        ปีนี้ ขอให้มีพายุพัดผ่านประเทศไทยสัก ๒ ลูก เขื่อนจะได้มีน้ำ  พื้นดินจะได้ชุ่มชื่น

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9118 เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2556, 21:02:33 »


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งและแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                      เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา  ได้แวะไปพบ ดร.สุริยา  ที่ซอยโชคชัย ๔  ดร.สุริยา  ได้มอบ นาฬิกาแห่งชีวิต ให้มาแผ่นหนึ่ง

                      จริงอยู่ ดร.สุริยา  ระยะหลังให้ความสำคัญกับการดูแลร่างกาย  ออกกำลังทุกวัน  จนน้ำหนักตัวลดลง อย่างมาก  แต่พอดูใบหน้าแล้ว เหมือนกับคน "อมโรค"  มีแต่ความวิตกกังวล  จนใบหน้าหมดราศรี  

                      ชีวิต ดร.สุริยา  ประเสริฐ กว่าผมแยะ  มีคนรักมาก  มีครอบครัวลูกพี่ ลูกน้อง ที่คอยดูแล  ให้ทุกเรื่อง ลูกเมียไม่มี  ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากนัก  มันควรจะมีจิตที่ผ่องใส ปราศจาก ความวิตก  กังวล  ทั้งสิ้น

                       แต่ ดร.สุริยา  วางจิตของตนเอง ไม่ถูก  ไปคิดแทนคนอื่น ทั้งหมด  ไปหาทุกข์มาใส่ตน  จึงเต็มไปด้วยความเครียด  อย่าลืมเครียดมาก ๆ อย่างต่อเนื่อง เซลมะเร็งมันชอบ  ประวัติมีให้เห็นอยู่แล้ว

                       วางจิตของตัวเองให้ถูกที่  อย่าไปคิดแทนคนอื่น  รับงานเท่าที่เราสามารถกระทำได้  และสุขกับการที่ได้กระทำ  เป็นห่วงตัวเองดีกว่า  เรื่องของคนอื่นเขารับผิดชอบ  เขาตัดสินใจ  เขาทำของเขาได้  อย่าไปริคิดแทนเขาเด็ดขาด

                       พระพุทธองค์ ท่านสอนให้ระวังตนเอง  อย่าไประวังคนอื่นเด็ดขาด เพราะเราทำแทนเขาไม่ได้ มันตัวของเขา

                       ผมไม่เอาแล้ว  อยู่อย่างผม  อยู่อย่างคิดน้อย ๆ อยู่อย่างพอเพียง ทำเท่าที่เราทำได้  สนุกที่ได้ทำ ไปวันหนึ่ง ๆ จนกว่าความตายจะมาถึง

                        ผมหวังว่า "นาฬิกาแห่งชีวิต" ที่ให้ผมมานั้น  ดร.สุริยา  ต้องเตือนตัวเอง  ทำให้ได้ตามนั้น ให้จิตมันเห็นตามนั้น  จึงจะกระทำได้

                        สำหรับผม เป็นไปตามนั้น ทุกประการ และก็เห็นผล  คือสุขภาพดีทั้งกายและจิต

                        และ ดร.สุริยา   บอกว่า ดร.กุศล  ก็ทุกข์  อยู่กับเพื่อนบ้านข้างห้อง ที่เล่นลูกแก้ว ลงพื้น ส่งเสียงดังรบกวน

                        มันทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น  มันอยู่ที่การวางจิตของเรา

                        ลองมาอยู่บ้านผมดูซิ  เพื่อนบ้านให้คนมาเปิดอู่รั้วติดกัน  ตกเย็นหรือวันหยุด พรรคพวกท่าน  จะต้องมันกินเหล้า  เสวนา คุยใหญ่คุยโต  อวดเก่งกันทุกวันจนถึงสี่ห้าทุ่มเที่ยงคืน  ผมไปไหนก็ไม่ได้  ต้องอยู่   จนรู้สึกว่าวันไหนเขาไม่มากินเหล้า เสวนากัน  มันขาดอะไร ๆ ไป  มันเงียบ

                        เราหนีไม่ได้  แต่เราวางจิตของเราได้   หาสถานที่วางจิตให้พบ และอย่าไปคิดแทนคนอื่นเด็ดขาด  อย่ากระทำตามความคิดเรา  อย่าเป็นทาษความคิด

                         จะกระทำเมื่อ วิญญูชนม์ ท่านก็กระทำแบบนั้น

                         ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ

                    
      บันทึกการเข้า
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #9119 เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2556, 03:57:04 »


พี่สิงห์ที่เคารพ
เข้าใจค่ะ
กราบขอบพระคุณพี่สิงห์มากมาย
ติ๋มมีวิริยะต่อไปด้วยมรรคมีองค์แปดค่ะพี่สิงห์

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 19 พฤษภาคม 2556, 20:43:59
สวัสดีค่ะ คุณน้องจันทร์ฉาย ที่รัก

             ภาพกราฟฟิกนั้น เป็นลายมือของคุณหมอประเวศ  วสี  ที่ท่านเป็นคนเขียนคำนำในหนังสือ "แด่เธอผู้รู้สึกตัว" เป็นคำสอนของหลวงพ่อเทียน ที่ลูกศิษย์ของคุณหมอ จัดพิมพ์หนังสือขึ้นมา ในครั้งที่หลวงพ่อเทียน  ท่านไปสอนที่ประเทศสิงค์โปร์ และขอให้คุณหมอประเวศ  วสี  เป็นผู้เขียนคำนำ  คุณหมอประเวศ  บอกว่า  หลวงพ่อเทียนท่านสอนให้รู้สึกตัว  เพื่อไล่ความไม่รู้ออกไป  รู้มากเข้า ๆ ความไม่รู้มันก็หายไปเอง  รู้อยู่กับปัจจุบัน และรู้ทันก่อนที่จะตกอยู่ในโมหะ โทสะ  โลภะ  มันเป็นจริง

             นอกจากนี้คุณหมอประเวศ  ท่านบอกว่า หลวงพ่อเทียน  ท่านเปรียบเหมือเรื่อจ้างที่คอยรับส่งเท่านั้น เรือจะไปได้หรือไม่อยู่ที่เราเป็นคนพายเรือนั้น  คือ ต้องปฏิบัติด้วยตนเอง  อยู่กับการรู้สึกตัว  คือคอยตามจิตของเราให้ทันนั่นเอง

              ตอบคำถาม

              พี่สิงห์  ใช้เวลาในการปฏิบัติธรรมภาวนา  ตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน  จิตตฺสุโภ  แต่ละครั้งนานมาก ๆ จนร่างกายเกิดเวทนา  ขึ้นมาจริง ๆ  จนได้รู้อาการของรูปโรค  นามโรค  แท้จริง และได้รู้จักคำว่าการเปลี่ยนอิริยาบถ  เพราะประสบกับตัวเอง ในเวทนา  นึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ ขึ้นมาได้  เมื่อมันเกิดทุกข์ขึ้นมาจริง ๆ (รูปมันเจ็บจริง ๆ  ไม่ใช่เจ็บแบบจอมปลอม คือนามโรค) เราก็ต้องแก้ที่เหตุ คือการเปลี่ยนอิริยาบถ  จึงรู้จัก  ใช้เวลาเป็นเดือน ๆ และพยายามกระทำต่อเนื่องไม่ให้ขาดตอน  จนสามารถสังเกตพบ  ว่าเรามีสองคน คือตัวคิด และตัวรู้สึกตัว  สามารถแยกออกได้ในอารมณ์ และเมื่อแยกได้ ก็ได้เรียนรู้มาเรื่อย ๆ  ค่อย  พบความจริง ตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน 

              จนกระทั่ง เห็นอารมณ์รูป-นาม  เห็นความคิด  เห็นความเป็นไตรลักษณ์ เห็นพฤติกรรมของจิต และ......... อีกมากมาย

              พี่สิงห์ อยากให้เธอหาให้พบด้วยตัวเอง  อยู่ ๆ มันก็เกิดขึ้นเอง  รู้เอง  เห็นจริงตามคำสอนของพระพุทธองค์  เราจะรู้ด้วยตัวของเราเอง เพราะ อารมณ์ พฤติกรรมของเราจะเปลี่ยนไป  เรารู้ได้เองทั้งสิ้น  ไม่มีอะไรแอบแฝง เป็นเรื่องธรรมดา ๆ ที่เราเข้าใจได้เอง  พี่สิงห์  เคยบอกไปแล้วว่า ยึดตามคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าไว้ เข้าใจมัน  ก็จะสามารถค้นพบความจริงได้เอง

               พี่สิงห์ ยังมีอารมณ์โกรธ  โลภ  หลง  ทุกข์  สุข..... แต่ความรู้ตัวมันก็เร็ว พอ ๆ กัน ที่จะไม่โกรธ  ไม่โลภ  ไม่หลง  ไม่หลงดีใจกับสุข  ไม่เสียใจกับทุกข์  สามารถปล่อยอุเบกขาได้ เพราะเข้าใจความจริงที่เราประสบนั้นได้ คือรู้เท่าทันนั่นเองด้วยเหตุ - ผล - ปัจจัย

                พี่สิงห์ ไม่ได้เป็นอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่รู้ทันจิตตนเอง และจิตคนอื่น ๆ ในพฤติกรรมของจิต  เมื่อรู้เราก็เอามาใช้ในการดำรงค์ชีวิตของเรา มันจะป้องกันตัวเรา ไม่หลงไปกับความคิด  แยกออกมาได้จากความคิด  ยกเว้นเวลาทำงาน หรือพูดคุยกัน บางครั้งหลงอยู่ในความคิด จนลืมตน

                เพียงแค่นี้เราก็สุข  สงบ  ปล่อยวางเอง มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม  รับกับทุกสถานะการณ์ได้ เพราะรู้เท่าทันมัน และมันก็รู้เพิ่มขึ้น ๆ ด้วยจิตของมันเองตลอดเวลา เพราะเรายังทำงาน ต้องเกี่ยงข้องกับคน  ได้เรียนรู้จิตตนเอง และจิตคนอื่น ตลอดเวลา พัฒนาไปเรื่อย ๆ

               เมือ่ก่อนคิดว่ายาก ในการรู้อยู่กับปัจจุบัน  แต่ทำตามที่หลวงพ่อเทียน ท่านสอน  มันก็ถูกต้อง  มันรู้ของมันเอง  และเข้าใจของมันเอง  และรู้เพิ่มในคำสอนของพระพุทธองค์ ของมันเอง  มันเป็นอย่างนั้น

               อย่ารู้ไปก่อนเลย  จงมีศรัทธา  มีวิริยะในการกระทำแต่สิ่งที่เป็นกุศล  ตามมรรคองค์ที่ ๖ สัมมาวายะมะ สำคัญมากในการประคองตั้งจิตไว้ อยู่แต่ในความเพียรทางกุศลธรรมเท่านั้น  มันจะรู้ของมันเอง

                ราตรีสวัสดิ์ ค่ะ 

      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9120 เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2556, 10:09:20 »

อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 21 พฤษภาคม 2556, 03:57:04

พี่สิงห์ที่เคารพ
เข้าใจค่ะ
กราบขอบพระคุณพี่สิงห์มากมาย
ติ๋มมีวิริยะต่อไปด้วยมรรคมีองค์แปดค่ะพี่สิงห์

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 19 พฤษภาคม 2556, 20:43:59
สวัสดีค่ะ คุณน้องจันทร์ฉาย ที่รัก

             ภาพกราฟฟิกนั้น เป็นลายมือของคุณหมอประเวศ  วสี  ที่ท่านเป็นคนเขียนคำนำในหนังสือ "แด่เธอผู้รู้สึกตัว" เป็นคำสอนของหลวงพ่อเทียน ที่ลูกศิษย์ของคุณหมอ จัดพิมพ์หนังสือขึ้นมา ในครั้งที่หลวงพ่อเทียน  ท่านไปสอนที่ประเทศสิงค์โปร์ และขอให้คุณหมอประเวศ  วสี  เป็นผู้เขียนคำนำ  คุณหมอประเวศ  บอกว่า  หลวงพ่อเทียนท่านสอนให้รู้สึกตัว  เพื่อไล่ความไม่รู้ออกไป  รู้มากเข้า ๆ ความไม่รู้มันก็หายไปเอง  รู้อยู่กับปัจจุบัน และรู้ทันก่อนที่จะตกอยู่ในโมหะ โทสะ  โลภะ  มันเป็นจริง

             นอกจากนี้คุณหมอประเวศ  ท่านบอกว่า หลวงพ่อเทียน  ท่านเปรียบเหมือเรื่อจ้างที่คอยรับส่งเท่านั้น เรือจะไปได้หรือไม่อยู่ที่เราเป็นคนพายเรือนั้น  คือ ต้องปฏิบัติด้วยตนเอง  อยู่กับการรู้สึกตัว  คือคอยตามจิตของเราให้ทันนั่นเอง

              ตอบคำถาม
7
              พี่สิงห์  ใช้เวลาในการปฏิบัติธรรมภาวนา  ตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน  จิตตฺสุโภ  แต่ละครั้งนานมาก ๆ จนร่างกายเกิดเวทนา  ขึ้นมาจริง ๆ  จนได้รู้อาการของรูปโรค  นามโรค  แท้จริง และได้รู้จักคำว่าการเปลี่ยนอิริยาบถ  เพราะประสบกับตัวเอง ในเวทนา  นึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ ขึ้นมาได้  เมื่อมันเกิดทุกข์ขึ้นมาจริง ๆ (รูปมันเจ็บจริง ๆ  ไม่ใช่เจ็บแบบจอมปลอม คือนามโรค) เราก็ต้องแก้ที่เหตุ คือการเปลี่ยนอิริยาบถ  จึงรู้จัก  ใช้เวลาเป็นเดือน ๆ และพยายามกระทำต่อเนื่องไม่ให้ขาดตอน  จนสามารถสังเกตพบ  ว่าเรามีสองคน คือตัวคิด และตัวรู้สึกตัว  สามารถแยกออกได้ในอารมณ์ และเมื่อแยกได้ ก็ได้เรียนรู้มาเรื่อย ๆ  ค่อย  พบความจริง ตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน  

              จนกระทั่ง เห็นอารมณ์รูป-นาม  เห็นความคิด  เห็นความเป็นไตรลักษณ์ เห็นพฤติกรรมของจิต และ......... อีกมากมาย

              พี่สิงห์ อยากให้เธอหาให้พบด้วยตัวเอง  อยู่ ๆ มันก็เกิดขึ้นเอง  รู้เอง  เห็นจริงตามคำสอนของพระพุทธองค์  เราจะรู้ด้วยตัวของเราเอง เพราะ อารมณ์ พฤติกรรมของเราจะเปลี่ยนไป  เรารู้ได้เองทั้งสิ้น  ไม่มีอะไรแอบแฝง เป็นเรื่องธรรมดา ๆ ที่เราเข้าใจได้เอง  พี่สิงห์  เคยบอกไปแล้วว่า ยึดตามคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าไว้ เข้าใจมัน  ก็จะสามารถค้นพบความจริงได้เอง

               พี่สิงห์ ยังมีอารมณ์โกรธ  โลภ  หลง  ทุกข์  สุข..... แต่ความรู้ตัวมันก็เร็ว พอ ๆ กัน ที่จะไม่โกรธ  ไม่โลภ  ไม่หลง  ไม่หลงดีใจกับสุข  ไม่เสียใจกับทุกข์  สามารถปล่อยอุเบกขาได้ เพราะเข้าใจความจริงที่เราประสบนั้นได้ คือรู้เท่าทันนั่นเองด้วยเหตุ - ผล - ปัจจัย

                พี่สิงห์ ไม่ได้เป็นอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่รู้ทันจิตตนเอง และจิตคนอื่น ๆ ในพฤติกรรมของจิต  เมื่อรู้เราก็เอามาใช้ในการดำรงค์ชีวิตของเรา มันจะป้องกันตัวเรา ไม่หลงไปกับความคิด  แยกออกมาได้จากความคิด  ยกเว้นเวลาทำงาน หรือพูดคุยกัน บางครั้งหลงอยู่ในความคิด จนลืมตน

                เพียงแค่นี้เราก็สุข  สงบ  ปล่อยวางเอง มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม  รับกับทุกสถานะการณ์ได้ เพราะรู้เท่าทันมัน และมันก็รู้เพิ่มขึ้น ๆ ด้วยจิตของมันเองตลอดเวลา เพราะเรายังทำงาน ต้องเกี่ยงข้องกับคน  ได้เรียนรู้จิตตนเอง และจิตคนอื่น ตลอดเวลา พัฒนาไปเรื่อย ๆ

               เมือ่ก่อนคิดว่ายาก ในการรู้อยู่กับปัจจุบัน  แต่ทำตามที่หลวงพ่อเทียน ท่านสอน  มันก็ถูกต้อง  มันรู้ของมันเอง  และเข้าใจของมันเอง  และรู้เพิ่มในคำสอนของพระพุทธองค์ ของมันเอง  มันเป็นอย่างนั้น

               อย่ารู้ไปก่อนเลย  จงมีศรัทธา  มีวิริยะในการกระทำแต่สิ่งที่เป็นกุศล  ตามมรรคองค์ที่ ๖ สัมมาวายะมะ สำคัญมากในการประคองตั้งจิตไว้ อยู่แต่ในความเพียรทางกุศลธรรมเท่านั้น  มันจะรู้ของมันเอง

                ราตรีสวัสดิ์ ค่ะ  



สวัสดีค่ะ คุณน้องจันทร์ฉาย ที่รัก

                             พี่สิงห์  ขออนุโมทนา  ในความตั้งใจของเธอ

                             หาให้พบด้วยตนเอง   ทุกคนสามารถค้นพบได้ เพราะมันอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าตัวเรานี่ละ

                              สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #9121 เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2556, 10:37:23 »

พี่สิงห์


"นาฬิกาชีวิต" ของพี่ป่อง ก็ใช้ได้น่ะครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #9122 เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2556, 10:38:37 »

      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #9123 เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2556, 15:07:12 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 19 พฤษภาคม 2556, 20:54:08
สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                  วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ พฤษภาคม พี่สิงห์  จะไปถึงวัดสมานราษฎร์ หนองรี  ตอนบ่ายเพื่อไปร่วมบวชชีพราหมณ์ กับหลวงพ่อ ดร.พระมาหสุเทพ  พักค้างคืนที่วัด  ตลอดช่วงเทศกาลวิสาขะบูชา และมีหน้าที่ไปสอนโยคะ -ชิกง  ให้กับผู้ปฏิบัติธรรม  เวลายังต้องรอหลวงพ่อสั่งการ  และไปช่วยงานหลวงพ่อ  ตามแต่ท่านจะใช้

...ขอบคุณที่ชวนนะคะ...พี่สิงห์...
...25-28 ตู่ไปกาญจน์ค่ะ...
...อนุโมทนาบุญกับพี่สิงห์ด้วยนะคะ...ข

                  เชาปฏิบัติธรรมกัน ๒๓ - ๒๖ วันที่ ๒๖ มีการหล่อพระ  พี่สิงห์ ไม่ทราบรายละเอียด  ดร.กุศล  คงทราบ เพราะหลวงพ่อท่านบรรยายทางวิทยุ สถานียานเกราะ พี่สิงห์ไม่ได้ฟัง  มีรถบัสรับ-ส่ง ญาติโยมที่กรุงเทพฯ หน่าสถานียานเกราะ ด้วย  คงหลายคันรถ

                  เธอจะไปด้วยก็ได้ครับ

                  ราตรีสวัสดิ์ค่ะ

      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #9124 เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2556, 15:11:31 »

...แก้ใหม่ค่ะ...
...ตูไปกาญจน์ 28-30 พ.ค.ค่ะ...
...กระชั้นชิดเกินไปคงไม่ไปค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
  หน้า: 1 ... 363 364 [365] 366 367 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><