22 พฤศจิกายน 2567, 22:25:14
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 340 341 [342] 343 344 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3547725 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 29 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8525 เมื่อ: 06 มีนาคม 2556, 20:36:05 »

ELLORA CAVES

                             Ellora caves ตั้งอยู่ในเมืองออลังคะบาต ห่างจากตัวเมือง ๒๘ กิโลเมตร คณะมาชมตอนเช้าครับ แดดไม่ร้อน สร้างในพุทธศตวรรษที่ ๖ ถึง ๘ มีทั้งหมด ๓๔ ถ้ำ เป็นของสามศาสนา คือ ศาสนาพุทธมาสร้างก่อน เพราะที่ AJANTA สร้างไม่ได้แล้ว อยู่ไกล  หน้าผาหมดแล้ว อยู่ในป่า  จึงมาสร้างใกล้ๆ ตัวเมืองเป็นภูเขาลูกเตี้ย ๆ ไม่ใช่หน้าผา  

                               พุทธศาสนาถ้ำที่ ๑ - ๑๒ มีทั้งหินยาน และมหายาน โดยเอาแนวการแกะสลักหิน วางแปลนเหมือนถ้ำ AJANTA สร้างในยุคคุปตะ

                              ถ้ำที่ ๑๓ - ๒๙ สร้างในพุทธศตวรรษที่ ๗ - ๘ เป็นของศาสนาฮินดู สร้างโดย Rashtrakuta dynasty

                              ถ้ำที่ ๓๐ - ๓๔ สร้างในพุทธศตวรรษที่ ๘ - ๑๐ เป็นของศาสนาเชน สร้างโดย Rashtrakuta dynasty  เป็นถ้ำชุดสุดท้าย

                              เชิญชมภาพครับ






ถ่ายภาพนี้เพื่องแบ่งแยกศาสนา และมีรังผึ้งด้วย































      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8526 เมื่อ: 06 มีนาคม 2556, 21:02:21 »

Jain Caves No. 30 - 34


                       ถ้ำที่ ๓๐ - ๓๔ เป็นของศาสนาเชน  เป็นถ้ำที่สร้างหลังสุดในเทือกเขานี้

                       ศาสนาเชนมีศาสนดา คือพระมหาวีระ จุดเด่นของศาสนานี้คือ ไม่เอาอะไรเลย  จึงมีแต่ตัวล้อนจ้อน  ใช้มือบิณฑบาตรขออาหาร และกินเลียมือ ถ้าอาหารมีแมลงวันตอมเขาจะไม่รับ(แสดงว่ายังมีกิเลส) ใช้น้ำมะพร้าวล้างมือ ปัจจุบันยังมีพระอยู่หน้าเสียดายที่เราไม่เจอ

                       ศาสนาเชนเกิดก่อนพุทธศาสนา   ผู้สร้างมีวัตถุประสงค์จะแสดงถึงปรัชญาโบราณของอินเดียให้คงเอาไว้ให้ลูกหลานได้เห็น  อินเดียมีอิสละในการนับถือศาสนา เป็นต้นกำเนิดของศาสนา

                       เชิญชมภาพ




































      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8527 เมื่อ: 06 มีนาคม 2556, 21:14:18 »



























      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8528 เมื่อ: 06 มีนาคม 2556, 21:24:15 »























      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8529 เมื่อ: 06 มีนาคม 2556, 21:43:08 »















































จบถ้ำศาสนาเชน  ราตรีสวัสดิ์ครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8530 เมื่อ: 07 มีนาคม 2556, 07:34:46 »

พี่สิงห์

สวัสดียามเช้าครับ
      บันทึกการเข้า
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #8531 เมื่อ: 07 มีนาคม 2556, 09:34:14 »

สวัสดี ครับ พี่สิงห์ น้องเหยง
                           สังเกตุเห็นว่าทำไมภาพสลักหิน รูปยืน ของพระพุทธเจ้า จึงค่อนข้าง โป้ ละครับ พี่สิงห์
      บันทึกการเข้า
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #8532 เมื่อ: 07 มีนาคม 2556, 09:49:01 »

 
                    แวะมาบอกพี่สิงห์ว่า...ได้รับตังส์แล้วค่ะ..
                        ขอบคุณค่ะ..ขอบคุณพี่ปิ๊ดพี่ป๋องด้วยที่อุตส่าห์เสียเวลานำส่งค่ะ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8533 เมื่อ: 07 มีนาคม 2556, 10:38:45 »

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 07 มีนาคม 2556, 09:34:14
สวัสดี ครับ พี่สิงห์ น้องเหยง
                           สังเกตุเห็นว่าทำไมภาพสลักหิน รูปยืน ของพระพุทธเจ้า จึงค่อนข้าง โป้ ละครับ พี่สิงห์


พี่ปี๊ด

ผมโทรสอบถามพี่สิงห์มา 3-4 วันแล้ว นั่นคือ
ถ้ำเหล่านี้แกะสลักโดยพระภิกษุที่สืบต่อพระพุทธศาสนาจากพระพุทธเจ้าเมื่อ 2 พันปีที่แล้ว
พระสงฆ์แกะสลักเอง ภาพที่ออกมาย่อมสะท้องสังคมในยุดนั้น อย่างมิต้องสงสัย
รูปแกะสลักและพระพุทธรูปแสดงความเป็นชายอย่างชัดเจน (ซึ่งคงต้องมองเพียงเท่านี้)
หลังจากมุสลิมยุดอินเดียไปได้ การสืบสายของพระพุทธศาสนาก็สะดุดลง
เราไปเชิญพระจากศรีลังกามาสืบต่อพระพทุธศาสนานิยามสยามวงศ์
จึงไม่มีพระสงฆ์หรือชาวบ้านแกะสลักหรือจำลองพระพุทธรูปแบบอินเดีย
การสืบสายต่อมาจึงขาดไปพระพุทธรูปที่เราสลักขึ้นมาในยุดสุโขทัยเรื่อยมาจึงแสดงเป็นแบบกระเทยแท้ไป
สังเกตุนะครับ พระพุทธรูปของเรา เอวแบบอรชร-เอวบาง ร่างน้อย
จะเป็นหญิงบวช หรือชายบวชก็ได้ครับ


ขอความเห็นของพี่สิงห์ (อีกที) ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8534 เมื่อ: 07 มีนาคม 2556, 11:27:26 »

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 07 มีนาคม 2556, 09:34:14
สวัสดี ครับ พี่สิงห์ น้องเหยง
                           สังเกตุเห็นว่าทำไมภาพสลักหิน รูปยืน ของพระพุทธเจ้า จึงค่อนข้าง โป้ ละครับ พี่สิงห์


                        แสดงว่าคุณไม่ได้อ่านที่ผมเขียน  ศาสนาเชนนั้น พระตัดขาดทุกสิ่ง  จึงแก้ผ้าล่อนจ้อน เวลานอนก็ไม่มีผ้าห่ม

                        ถ้ำข้างบนเป็นของศาสนาเชน  ไม่ใช่พุทธ  พระมหาวีระ  ท่านแก้ผ้า เป็นศาสดา  ไม่ใช่ภาพของพระสมณโคดม  ผู้เป็นศาสดาของพุทธศาสนา

                        เนื่องจากพระต้องแก้ผ้า  จึงมีผู้บวชไม่มาก แต่ก็ไม่สาปสูญไปจากอินเดีย  สามารถสืบต่อคำสอนมาจนถึงปัจจุบัน  ไม่เหมือนพุทธศาสนา ที่มีคนบวชมาก  จนเป็นที่อิจฉาของศาสนาพราหมณ์จนต้องผนวกพระพุทธเจ้าเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าที่พระนารายณ์อวตาลลงมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า และศาสนาอิสลามเป็นผู้กำจัดพุทธศาสนา ทำลายทุกอย่างที่เป็นสัญลักษณ์พุทธศาสนา โดยมีศาสนาพราหมณ์และฮินดูยืนดู แต่ก็ไม่คัดค้าน  จนพุทธศาสนาสิ้นไปจากชมพูทวีป ๗๐๐ กว่าปี

                        ยกเว้นที่ถ้ำ AJANTA ที่อยู่ในป่า  หาไม่พบ จึงไม่ถูกทำลาย  แต่ก็ไม่แน่ เพราะคนอินเดียกำลังชื่นชมอย่างหนักเพราะความอลังการ  นี่ละทำให้คนรุ่นใหม่คิดได้  และเมืองออลังคะบาตก็มีมุสลิมอยู่มาก  ไม่แน่ในอนาคตอาจจะถูกวางละเบิดก็ได้จากพวกอิจฉา คือมุสลิม

                       พวกมุสลิมในชมพูทวีป  ถึงแม้ส่วนมากจะไปอยู่ที่ปากีสถานและบังคลเเทศ  แต่ในอินเดียก็มีมากพอสมควร และมีเรื่องราววางระเบิดเป้นประจำในอินเดีย  จึงน่าเป็นห่วงถ้ำ Ajanta  ที่เป็นสัญลักษณ์ของพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ในอินเดีย

                        ตอนที่ไปดูแขกอาบน้ำที่เมืองพาราณสี  ก็เห็นพระเชน แก้ผ้าอญุ่เหมือนกัน แต่ก็อายอาบน้ำแล้วก็เอาขี้เถ้าทาตัวเพื่อให้กลมกลืนเป็นสีเดียวกัน ผผมไม่ได้ถ่ายภาพ เพราะไม่สมควร

                       ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ทรงสอนว่า  ถ้าศาสนาใดไม่อยู่ในธรรม  ยังเบียดเบียนคือผิดศีล ๕ และทรมานตนเอง เช่นแก้ผ้าล่อนจ้อน  ไม่สมควรเลยที่จะบรรลุธรรม  เพราะวิญญูชนม์ย่อมติเตียนได้ เพราะมันไม่สมควร คล้ายสัตว์เดรฉานที่ไม่มีอะไรห่อหุ้มร่างกาย

                        ผมพยายามถ่ายภาพอย่างละเอียด แสดงถึงความงดงามในการแกะสลักหิน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8535 เมื่อ: 07 มีนาคม 2556, 13:19:45 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 07 มีนาคม 2556, 10:38:45
อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 07 มีนาคม 2556, 09:34:14
สวัสดี ครับ พี่สิงห์ น้องเหยง
                           สังเกตุเห็นว่าทำไมภาพสลักหิน รูปยืน ของพระพุทธเจ้า จึงค่อนข้าง โป้ ละครับ พี่สิงห์


พี่ปี๊ด

ผมโทรสอบถามพี่สิงห์มา 3-4 วันแล้ว นั่นคือ
ถ้ำเหล่านี้แกะสลักโดยพระภิกษุที่สืบต่อพระพุทธศาสนาจากพระพุทธเจ้าเมื่อ 2 พันปีที่แล้ว
พระสงฆ์แกะสลักเอง ภาพที่ออกมาย่อมสะท้องสังคมในยุดนั้น อย่างมิต้องสงสัย
รูปแกะสลักและพระพุทธรูปแสดงความเป็นชายอย่างชัดเจน (ซึ่งคงต้องมองเพียงเท่านี้)
หลังจากมุสลิมยุดอินเดียไปได้ การสืบสายของพระพุทธศาสนาก็สะดุดลง
เราไปเชิญพระจากศรีลังกามาสืบต่อพระพทุธศาสนานิยามสยามวงศ์
จึงไม่มีพระสงฆ์หรือชาวบ้านแกะสลักหรือจำลองพระพุทธรูปแบบอินเดีย
การสืบสายต่อมาจึงขาดไปพระพุทธรูปที่เราสลักขึ้นมาในยุดสุโขทัยเรื่อยมาจึงแสดงเป็นแบบกระเทยแท้ไป
สังเกตุนะครับ พระพุทธรูปของเรา เอวแบบอรชร-เอวบาง ร่างน้อย
จะเป็นหญิงบวช หรือชายบวชก็ได้ครับ


ขอความเห็นของพี่สิงห์ (อีกที) ครับ

                   พี่สิงห์ อยู่สนามบินดอนเมือง  รอขึ้นเครื่องไปนครศรีธรรมราช

                   ตามที่คุณเหยงเขียนมานั้นมันก็ถูกต้อง  พุทธศาสนาสิ้นไปจากอินเดียและศรีลังกา จนต้องมาขอพระจากไทยไปทำการบวชให้  จนได้ชื่อว่าพุทธศาสนาสายหินยาน สยามวงค์  แสดงว่า พระภิกษุณี  ก็หายไปจากโลกจริง ๆแต่ตอนหลังสตรีก็อยากบวชกัน  จึงมีภิกษุณีเกิดขึ้นใหม่  แต่ผิดพุทธบัญญัติ  ก็ว่ากันไปในเมื่ออยากบวช  ก็บวชกันเป็นภิกษุณี  ทั้งๆ ที่รู้ว่าผิดพุทธบัญญัติ  ไม่รู้จะว่าอย่างไรเหมือนกัน

                   ส่วนพุทธศาสนาในประเทศไทยนั้นก็สืบต่อมาจากลังกา  คือ ลังกาวงค์ มันก็เป็นของมันตามกฏไตรลักษณ์ ย่อมมีเสื่อมบ้าง   เจริญบ้าง  มันก็เป็นไปตามยุคตามสมัย  ตามผู้นำ และที่สำคัญคือ ความประพฤติของ พระภิกษุ  พระภิกษุณี  อุบาสก และอุบาสิกา  ประพฤติผิดหลักคำสอน มันก็เสื่อม  เช่นพุทธศาสนาในประเทศไทยขณะนี้ มีแต่คุณใสเสียมาก น่าเป็นห่วง จริง ๆ

                   สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8536 เมื่อ: 07 มีนาคม 2556, 13:21:17 »

อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย17 เมื่อ 07 มีนาคม 2556, 09:49:01
 
                    แวะมาบอกพี่สิงห์ว่า...ได้รับตังส์แล้วค่ะ..
                        ขอบคุณค่ะ..ขอบคุณพี่ปิ๊ดพี่ป๋องด้วยที่อุตส่าห์เสียเวลานำส่งค่ะ

                             
                      รับทราบ

                          ขอบคุณมากค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8537 เมื่อ: 07 มีนาคม 2556, 13:31:20 »

พุทธศาสนาในประเทศไทย  พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน


เมื่อประมาณ พ.ศ. 236สมัยเดียวกันกับประเทศศรีลังกา ด้วยการส่งพระสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ 9 สายโดยการอุปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์อินเดีย ในขณะนั้นประเทศไทยรวมอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าสุวรรณภูมิ ซึ่งมีขอบเขตกว้างขวาง มีประเทศรวมกันอยู่ในดินแดนส่วนนี้ทั้ง 7 ประเทศในปัจจุบัน ได้แก่ ไทย พม่า ศรีลังกา ญวน กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ซึ่งสันนิษฐานว่ามีใจกลางอยู่ที่จังหวัดนครปฐมของไทย เนื่องจากได้พบโบราณวัตถุที่สำคัญ เช่นพระปฐมเจดีย์ และรูปธรรมจักรกวางหมอบเป็นหลักฐานสำคัญ แต่พม่าก็สันนิษฐานว่ามีในกลางอยู่ที่ เมืองสะเทิม ภาคใต้ของพม่า พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่สุวรรณภูมิในยุคนี้ นำโดยพระโสณะและพระอุตตระ พระเถระชาวอินเดีย เดินทางมาเผยแผ่พุทธศาสนาในแถบนี้ จนเจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับ ตามยุคสมัยต่อไปนี

 
สมัยทวาราวดี

พระโสณะและพระอุตตระได้เดินทางจากแคว้นมคธ เข้ามาประดิษฐานพระพุทธศาสนา ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ โดยมีข้อสันนิษฐานว่า น่าจะมีศูนย์กลางอยู่บริเวณตอนกลางของไทยในปัจจุบัน โดยพิจารณาจากโบราณสถานและโบราณวัตถุต่าง ๆ เช่น พระปฐมเจดีย์ศิลารูปพระ ธรรมจักร เป็นต้น

พระพุทธศาสนาที่เข้ามาในสมัยนี้ เป็นนิกายเถรวาทดั้งเดิม โดยพุทธศาสนิกชนมีความศรัทธาเลื่อมใสบวชเป็นพระภิกษุจำนวนมาก และได้สร้างสถูปเจดีย์ไว้สักการะบูชา เรียกว่า สถูปรูปฟองน้ำ เหมือนสถูปสาญจีในประเทศอินเดียที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างขึ้น โดยศิลปะในยุคนี้ เรียกว่า ศิลปะทวารวดี

สมัยอาณาจักรอ้ายลาว

สมัยอาณาจักรอ้ายลาว ซึ่งเป็นอาณาจักรของบรรพบุรุษชาวไทยที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มน้ำแยงซีเกียง ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การยึดครองของชาวจีนฮั่น พระพุทธศาสนาในยุคนี้คาดว่าเป็นแบบมหายาน ในสมัยขุนหลวงม้าว กษัตริย์ที่ทรงครองราชย์อยู่ในอาณาจักรอ้ายลาว ก่อนที่จะอพยพเข้ามาสู่ดินแดนประเทศไทยในปัจจุบัน ได้รับเอาพระพุทธศาสนามหายาน โดยการนำของพระสมณทูตชาวอินเดียมาเผยแผ่ ในคราวที่พระเจ้ากนิษกะมหาราชทรง อุปถัมภ์การสังคายนาครั้งที่ 4 ของฝ่ายมหายาน ณ เมืองชลันธร พระสมณทูตได้เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเอเชียกลาง ทำให้หัวเมืองไทยทั้ง 77 มีราษฎร 51,890 ครอบครัว เปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนาแบบมหายานแทนเถรวาท

สมัยอาณาจักรศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13)

อาณาจักรศรีวิชัยในเกาะสุมาตราเจริญรุ่งเรืองในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12-13กษัตริย์ศรีวิชัยทรงมีพระราชศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น ดังหลักฐานที่ปรากฏ ได้แก่ เจดีย์พระ บรมธาตุไชยา เจดีย์โบโรพุทโธ รูปหล่อพระโพธิสัตว์อวโลกิ เตศวร รวมถึงหลักฐานทางโบราณคดีอื่นๆอีกเป็นจำนวนมากซึ่งพบกระจายอยู่ทั่วไปในดิน แดนสุวรรณภูมิ

สมัยลพบุรี (พุทธศตวรรษที่ 15)

ในสมัยกษัตริย์กัมพูชาราชวงศ์สุริยวรมันเรือง อำนาจนั้น ได้แผ่อาณาเขตขยายออกมาทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางของประเทศไทย ในราว พ.ศ. 1540 และได้ตั้งราชธานีเป็นที่อำนวยการปกครองเมืองต่าง ๆ ในดินแดนดังกล่าวขึ้นหลายแห่ง เช่น

    * เมืองลพบุรี ปกครองเมืองที่อยู่ในอาณาเขตทวารวดี ส่วนข้างใต้
    * เมืองสุโขทัย ปกครองเมืองที่อยู่ในอาณาเขตทวารวดี ส่วนข้างเหนือ
    * เมืองศรีเทพ ปกครองหัวเมืองที่อยู่ตามลุ่มแม่น้ำป่าสัก
    * เมืองพิมาย ปกครองเมืองที่อยู่ในที่ราบสูงตอนข้างเหนือ

เมืองต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นนี้เมืองลพบุรีหรือละโว้ ถือว่าเป็นเมืองสำคัญที่สุด กษัตริย์กัมพูชาราชวงศ์สุริยวรมัน ทรงนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ซึ่งมีสายสัมพันธ์เชื่อมต่อมาจากอาณาจักรศรีวิชัย แต่ฝ่ายมหายานในสมัยนี้ผสมกับศาสนาพราหมณ์มาก ประชาชนในอาณาเขตต่าง ๆ ดังกล่าว จึงได้รับพระพุทธศาสนาทั้งแบบเถรวาทที่สืบมาแต่เดิม กับแบบมหายานและศาสนาพราหมณ์ที่เข้ามาใหม่ด้วย ทำให้มีผู้นับถือพระพุทธศาสนาทั้ง 2 แบบ และมีพระสงฆ์ทั้งสองฝ่าย คือ ฝ่ายเถรวาท และฝ่ายมหายาน สำหรับศาสนสถานที่เป็นที่ประจักษ์พยานให้ได้ศึกษาถึงความเป็นมาแห่งพระพุทธ ศาสนาในประเทศไทยครั้งนั้น ได้แก่พระปรางค์สามยอดที่จังหวัดลพบุรี ปราสาทหินพิมาย ที่จังหวัดนครราชสีมา และปราสาทหินเขาพนมรุ้งที่จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น ส่วนพระพุทธรูปที่สร้างในสมัยนั้นถือเป็นศิลปะอยู่ใน กลุ่ม ศิลปสมัยลพบุรี

สมัย เถรวาทแบบพุกาม

ในสมัยที่พระเจ้าอนุรุ ทธิ์มหาราช กษัตริย์พุกามเรืองอำนาจ ทรงรวบรวมเอาพม่ากับมอญเข้าเป็นอาณาจักรเดียวกัน แล้วแผ่อาณาเขตเข้ามาถึงอาณาจักรล้านนา อาณาจักรล้านช้าง ละโว้ และทวารวดี พระเจ้าอนุรุทธทรงนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ทรงส่งเสริมทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง

ส่วนชนชาติไทย หลังจากอาณาจักรอ้ายลาวถูก จีนทำลายจนพินาศ ก็ได้มาตั้งอาณาจักรน่านเจ้า ถึงประมาณ พ.ศ. 1299 ขุนท้าวกวxาโอรสขุนบรมแห่งอาณาจักรน่านเจ้า ได้สถาปนาแคว้นโยนกเชียงแสนขึ้น ต่อมาอาณาจักรน่านเจ้าได้ถูกจีนแทรกซึมเข้าทำลายจนพินาศอีกครั้ง ซึ่งในคราวนี้ผู้ปกครองของจีนได้ใช้วิธีแบ่งคนไทยออกเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย แล้วผลักดันออกไปคนละทิศละทาง และนับแต่นั้นเป็นต้นมาคนไทยก็ได้แตกสานซ่านเซ็นจนรวมกันไม่ติดอยู่จนถึง วันนี้ คือ ทางตะวันตกได้ถูกจีนผลักดันจนแตกกระจัดพลัดพรายไปถึงอัสสัม(อยู่ทางภาคตะวัน ออกของอินเดียในปัจจุบัน)ส่วนทางตะวันออกก็กระจัดกระจายไปถึงกวางสี หูหนาน เกาะไหหลำ รวมถึงตอนเหนือของประเทศเวียดนามในปัจจุบัน ส่วนทางใต้นั้นก็ได้แก่ประชากรในประเทศต่างๆทางเอเชียอาคเนย์ปัจจุบัน โดยเฉพาะในประเทศลาวและไทย

เมื่อกษัตริย์ขอม(กัมพูชา)เรืองอำนาจ คนไทยที่อยู่ในเขตอำนาจของขอม ก็ได้รับทั้งศาสนาและวัฒนธรรมของเขมรไว้ด้วย ส่วนทางล้านนาก็ได้รับอิทธิพลจากพม่าเช่นเดียวกัน คือ เมื่ออาณาจักรพุกามของกษัตริย์พม่าเข้ามาครอบครองดินแดนแถบนี้ ดังเห็นว่ามีปูชนียสถานแบบพม่าหลายแห่ง และเจดีย์ที่มีฉัตรอยู่บนยอด และฉัตรที่ 4 มุมของเจดีย์ ก็ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะพุกามแบบพม่า

สมัยกรุงสุโขทัย

หลังจากอาณาจักรพุกามและกัมพูชาเสื่อมอำนาจลง คนไทยจึงได้ตั้งตัวเป็นอิสระ ได้ก่อตั้งอาณาจักรขึ้นเอง 2 อาณาจักร ได้แก่ อาณาจักรล้านนาทางภาคเหนือของไทย ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่และอาณาจักรสุโขทัยซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดสุโขทัยในปัจจุบัน เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงสดับกิตติศัพท์ของพระสงฆ์ลังกา จึงทรงอาราธนาพระมหาเถระสังฆราช ซึ่งเป็นพระเถระชาวลังกาที่มาเผยแผ่อยู่ที่นครศรีธรรมราช มาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในกรุงสุโขทัย

พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ได้เข้ามาเผยแผ่ในประเทศไทย ถึง 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และครั้งที่ 2 ในสมัยพระยาลิไท พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ศิลปะสมัยสุโขทัยได้รับการกล่าว ขานว่างดงามมาก โดยเฉพาะพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย มีลักษณะงดงาม ไม่มีศิลปะสมัยใดเหมือน

สมัยล้านนา

ปี พ.ศ. 1839 พระยามังราย ทรงสร้างราชธานีขึ้น ชื่อว่า "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่" ได้ตั้งถิ่นฐาน ณ ลุ่มแม่น้ำปิง ได้สร้างเมือง สร้างวัง และวัดขึ้น ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ได้สร้างวัดต่าง ๆ มากมาย ทั้งที่เป็นฝ่ายคามวาสี และอรัญญวาสี จนพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง เมืองต่าง ๆ ในอาณาจักรล้านนา เช่น เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา และ ศรีนพวงศ์ ต่างก็มีความเจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านพระพุทธศาสนา พิธีกรรมและความเชื่อทางศาสนามีอิทธิพลต่อชาวล้านนาอย่างมาก ในรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่ ได้ทำการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกในดินแดนประเทศไทยปัจจุบันขึ้น ณ วัดมหาโพธาราม (วัดเจ็ดยอด) เมื่อ ปี พ.ศ. 2020 ในสมัยล้านนา ได้เกิดมีพระเถระนักปราชญ์ชาวล้านนาหลายรูป ท่านเหล่านั้นได้รจนาคัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนาไว้เป็นจำนวนมาก ได้แก่ พระสิริมังคลา จารย์ พระญาณกิตติเถระ พระรัตนปัญญา พระโพธิรังษี พระนันทาจารย์ และพระสุวรรณรังสี

สมัยกรุงศรีอยุธยา

พระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยานั้นมีความเป็นฮินดูปนอยู่ค่อนข้างมาก พิธีกรรมต่าง ๆ ได้ปะปนพิธีของพราหมณ์มากกว่าที่ใดๆ ราษฎรอยุธยามุ่งในเรื่องการบุญการกุศล สร้างวัดวาอาราม สร้างปูชนียวัตถุ บำรุงศาสนาเป็นส่วนมาก ในสมัยอยุธยาต้องประสบกับภาวะสงครามกับพม่า จนเกิดภาวะวิกฤตทางศาสนาหลายครั้ง ประวัติศาสตร์อยุธยาแบ่งเป็น 4 ช่วง ได้แก่

       สมัย อยุธยาช่วงแรก (พ.ศ. 1991 - 2031)

ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยความสงบร่มเย็น ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ทรงผนวชเป็นเวลา 8 เดือน เมื่อ พ.ศ. 1998 และทรงให้พระราชโอรสกับพระราชนัดดาผนวชเป็นสามเณรด้วย สันนิษฐานว่าเป็นการเริ่มต้นของประเพณีการบวชเรียนของเจ้านายและข้าราชการ ในรัชสมัยของพระองค์ ได้มีการรจนาหนังสือมหาชาติคำหลวง ใน พ.ศ. 2025

    สมัย อยุธยาช่วงที่สอง ( พ.ศ. 2034 - 2173)

สมัยนี้ได้มีความนิยมในการสร้างวัดขึ้น ทั้งกษัตริย์และประชาชนทั่วไป นิยมสร้างวัดประจำตระกูล ในสมัยพระเจ้าทรงธรรมได้พบพระพุทธบาท สระบุรี ทรงให้สร้างมณฑปครอบพระพุทธบาทไว้ และโปรดให้ชุมชนราชบัณฑิตแต่งกาพย์มหาชาติ เมื่อ พ.ศ. 2170 และโปรดให้สร้างพระไตรปิฎกด้วย

    สมัย อยุธยาช่วงที่สาม (พ.ศ. 2173 - 2310)

พระมหากษัตริย์ที่มีพระนามยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษนี้ ได้แก่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระองค์ทรงมีบทบาทอย่างมากทั้งต่อฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักร ทรงส่งเสริมพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า สมัยนี้ฝรั่งเศสได้เข้ามาติดต่อกับไทย และได้พยายามเผยแผ่คริสต์ศาสนา และอาจทูลขอให้พระนารายณ์เข้ารีต แต่พระองค์ทรงมั่นคงในพระพุทธศาสนา มิชชันนารี่ฝรั่งเศสจึงต้องผิดหวังไป

    สมัย อยุธยาช่วงที่สี่ (พ.ศ. 2275 - 2310)

พระมหากษัตริย์ที่ทรงมีบทบาทมากในยุคนี้ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงเสวยราช เมื่อ พ.ศ. 2275 การบวชเรียนกลายเป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาถึงยุคหลัง ถึงกับกำหนดให้ผู้ที่จะเป็นขุนนาง มียศถาบรรดาศักดิ์ต้องเป็นผู้ที่ผ่านการบวชเรียนมาเท่านั้น จึงจะทรงแต่งตั้งตำแหน่งหน้าที่ให้ ในสมัยนี้ได้ส่งพระภิกษุเถระชาวไทยไปฟื้นฟูพุทธศาสนาในประเทศลังกาตามคำทูล ขอของกษัตริย์ลังกา เมื่อ พ.ศ. 2296 จนทำให้พุทธศาสนากลับเจริญรุ่งเรืองในลังกาอีกครั้ง จนถึงปัจจุบัน และเกิดนิกายของคณะสงฆ์ไทยขึ้นในลังกา ชื่อว่านิกายสยามวงศ์ นิกายนี้ยังคงมีอยู่ถึงปัจจุบัน

สมัยกรุงธนบุรี

ในยุคนี้นับเป็นยุคแห่งความเสื่อมของพุทธศาสนาอีกสมัยหนึ่ง คือ นับแต่พระยาตาก(สิน)ได้ชักนำคนไทยเชื้อสายจีนหนีฝ่าทัพพม่าออกจากกำแพงพระ นครศรีอยุธยาจนกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าตีแตก ในปี พ.ศ. 2310แล้ว พม่าได้ทำลายบ้านเมืองจนเสียหายย่อยยับ ล้างผลาญชีวิตคน ข่มขืนผู้หญิงไทย ปล้นเอาทรัพย์สินมีค่าทั้งหมด กวาดต้อนประชาชนแม้กระทั่งพระสงฆ์ไปเป็นเชลยเป็นจำนวนมาก วัดวาอารามถูกเผาทำลาย ครั้นต่อมาพระยาตาก(สิน)ได้สถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์และตั้งราชธานีใหม่ คือ เมืองธนบุรีแล้ว ก็หาได้มีใจศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงไม่ กลับใช้อำนาจที่มีข่มเหงรั งแกพระสงฆ์ ทั้งสั่งประหาร เฆี่ยนตี หรือแม้แต่บังคับให้สงฆ์ทำหน้าที่ตักอุจจาระ และด้วยเหตุนี้เองจึงก่อให้เกิดกระแสความโกรธแค้นจากคนไทยที่ได้รู้เห็น จนในที่สุดพระเจ้าตากสินจึงไม่อาจครองบังลังก์อยู่ได้
อย่างไรก็ตาม ยุคนี้ในปีพ.ศ. 2322 เจ้าพระยาจักรีก็ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตจากเวียงจันทน์มาไว้ยังประเทศไทยด้วยเช่นกัน

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
    รัชกาล ที่ 1 (พ.ศ. 2325 - 2352)


พระบาทสมเด็จพระพุทธยอด ฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. 2325 ต่อจากพระเจ้าตากสิน ได้ทรงย้ายเมืองจากธนบุรี มาตั้งราชธานีใหม่ เรียกชื่อว่า "กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์" ทรงสร้างและปฏิสังขรณ์วัดต่างๆ เช่น การสร้าง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดสุทัศน์เทพวราราม วัดสระเกศ และวัดพระเชตุพนวิมล มังคลาราม เป็นต้น ทรงโปรดให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 9 และถือเป็นครั้งที่ 2 ในดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน ณ วัดมหาธาตุทรงตรากฎหมายคณะสงฆ์ขึ้น เพื่อจัดระเบียบการปกครองของสงฆ์ให้เรียบร้อย ทรงจัดให้มีการสอบพระปริยัติธรรม ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์ แรกของกรุงรัตนโกสินทร์ โดยสถาปนาพระสังฆราช (ศรี) เป็นสมเด็จพระสังฆราช เมื่อปี พ.ศ. 2352

    รัชกาล ที่ 2 (พ.ศ. 2352 - 2367)

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 2352 เป็นทรงทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาเหมือนอย่างพระมหากษัตริย์ไทยแต่โบราณ ในรัชสมัยของพระองค์ได้ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชถึง 3 พระองค์ คือ สมเด็จพระสังฆราช (มี) , สมเด็จพระสังฆราช (สุก) , และสมเด็จพระสังฆราช (สอน)

ในปี พ.ศ. 2357 ทรงจัดส่งสมณทูต 8 รูป ไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในประเทศลังกา ได้จัดให้มีการจัดงานวันวิสาขบูชาขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยกรุงรัตน โกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. 2360 ซึ่งแต่เดิมก็เคยปฏิบัติถือกันมาเมื่อครั้งกรุงสุโขทัย แต่ได้ขาดตอนไปตั้งแต่เสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า จึงได้มีการฟื้นฟูวันวิสาขบูชาใหม่ ได้โปรดให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขวิธีการสอบไล่ปริยัติธรรมขึ้นใหม่ ได้ขยายหลักสูตร 3 ชั้น คือ เปรียญตรี -โท - เอก เป็น 9 ชั้น คือ ชั้นประโยค 1 - 9

    รัชกาล ที่ 3 (พ.ศ. 2367 - 2354)

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว โปรดให้มีการสร้างพระไตรปิฎกฉบับหลวงเพิ่มจำนวนขึ้นไว้อีกหลายฉบับครบถ้วน กว่ารัชกาลก่อน ๆ โปรดให้แปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามหลายแห่ง และสร้างวัดใหม่ คือ วัดเทพธิดาราม วัดราชราชนัดดา และวัดเฉลิมพระ เกียรติ ได้ตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อสอนหนังสือไทยแก่เด็กในสมัยนี้ได้เกิดนิกายธรรมยุติขึ้น โดยพระวชิรญาณเถระ (เจ้าฟ้ามงกุฏ) ขณะที่ผนวชอยู่ได้ทรงศรัทธาเลื่อมใสในจริยาวัตรของพระมอญ ชื่อ ซาย ฉายา พุทฺธวํโส จึงได้ทรงอุปสมบทใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2372 ได้ตั้งคณะธรรมยุติขึ้นในปี พ.ศ. 2376 แล้วเสด็จมาประทับที่วัดบวรนิเวศวิหาร และตั้งเป็นศูนย์กลางของคณะธรรมยุติ

    รัชกาล ที่ 4 (พ.ศ. 2394 -2411)

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว รัชกาลที่ 4 เมื่อทรงเป็นเจ้าฟ้ามงกุฎได้ผนวช 27 พรรษาแล้วได้ลาสิกขาขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมายุ 57 พรรษา ใน พ.ศ. 2239 ด้านการพระศาสนา ทรงพระราชศรัทธาสร้างวัดใหม่ขึ้นหลายวัด เช่น วัดปทุมวนาราม วัดโสมนัสวิหาร วัดมกุฎกษัตริยา ราม วัดราชประดิษฐ์ สถิตมหาสีมาราม และวัดราชบพิตร เป็นต้น ตลอดจนบูรณะวัดต่าง ๆ อีกมาก โปรดให้มีพระราชพิธี "มาฆบูชา" ขึ้นเป็นครั้งแรก ใน พ.ศ. 2394 ณ ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม จนได้ถือปฏิบัติสืบมาจนถึงทุกวันนี้

    รัชกาล ที่ 5 (พ.ศ. 2411 - 2453)

พระบาทสมเด็จพระจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อ พ.ศ. 2411 ทรงสร้างวัดใหม่ขึ้น คือ วัดราชบพิตร วัดเทพศิรินทราวาส วัดเบญจมบพิตร วัดอัษฎางนิมิตร วัดจุฑาทิศ ราชธรรมสภา และวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ ทรงบูรณะวัดมหาธาตุ และวัดอื่น ๆ อีก ทรงนิพนธ์วรรณกรรมทางพุทธศาสนาจำนวนมาก โปรดให้มีการเริ่มต้นการศึกษาแบบสมัยใหม่ในประเทศไทย โดยให้พระสงฆ์รับภาระช่วยการศึกษาของชาติ

    * พ.ศ. 2427 ได้จัดตั้งโรงเรียนสำหรับราษฎรขึ้นเป็นแห่งแรก ณ วัดมหรรณพาราม
    * พ.ศ. 2414 โปรดให้จัดการศึกษาแก่ประชาชนในหัวเมือง โดยจัดตั้งโรงเรียนในหัวเมืองขึ้น
    * พ.ศ. 2435 มีพระบรมราชโองการประกาศตั้งกรมธรรมการเป็นกระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการปัจจุบัน) โปรดให้มีการพิมพ์พระไตรปิฎกด้วยอักษรไทย จบละ 39 เล่ม จำนวน 1,000 จบ
    * พ.ศ. 2432 โปรดให้ย้ายที่ราชบัณฑิตบอกพระปริยัติธรรมแก่พระภิกษุสามเณร จากในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ออกมาเป็นบาลีวิทยาลัย ชื่อมหาธาตุวิทยาลัย ที่วัดมหาธาตุ
    * พ.ศ. 2439 ได้ประกาศเปลี่ยนนามมหาธาตุวิทยาลัยเป็นมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นที่ศึกษาพระปริยัติธรรมและวิชาการชั้นสูงของพระภิกษุสามเณร
    * พ.ศ. 2436 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงจัดตั้ง "มหามกุฏราชวิทยาลัย" ขึ้น เพื่อเป็นแหล่งศึกษาพระพุทธศาสนาแก่พระภิกษุสามเณรฝ่ายธรรมยุตินิกาย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จเปิดในปีเดียวกัน

    รัชกาล ที่ 6 (พ.ศ. 2453 -2468)

พระบาท สมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงพระปรีชาปราดเปรื่องในความรู้ทางพระศาสนามาก ทรงนิพนธ์หนังสือแสดงคำสอนในพระพุทธศาสนาหลายเรื่อง เช่น เทศนาเสือป่า พระพุทธเจ้า ตรัสรู้อะไร เป็นต้น ถึงกับทรงอบรมสั่งสอนอบรมข้าราชการด้วยพระองค์เอง ทรงโปรดให้ใช้ พุทธศักราช (พ.ศ.) แทน ร.ศ. เมื่อ พ.ศ. 2456 ให้เปลี่ยนกระทรวงธรรมการเป็นกระทรวงศึกษาธิการ

    * พ.ศ. 2454 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเปลี่ยนวิธีการสอบบาลีสนามหลวงจากปากเปล่ามาเป็นข้อเขียน เป็นครั้งแรก
    * พ.ศ. 2469 ทรงเริ่มการศึกษาพระปริยัติธรรมใหม่ขึ้นอีกหลักสูตรหนึ่ง เรียกว่า "นักธรรม" โดยมีการสอบครั้งแรกเมื่อ เดือนตุลาคม พ.ศ. 2454 ตอนแรกเรียกว่า "องค์ของสามเณรรู้ธรรม"
    * พ.ศ. 2462 ถึง พ.ศ. 2463 โปรดให้พิมพ์คัมภีร์อรรถกถาแห่งพระไตรปิฎกและอรรถกถาชาดก และคัมภีร์อื่นๆ เช่น วิสุทธิมรรค คัมภีร์มิลิ นทปัญหา เป็นต้น

    รัชกาล ที่ 7 (พ.ศ. 2468 - 2477)

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้า อยู่หัว ทรงโปรดให้มีการทำสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้น ตั้งแต่ พ.ศ. 2468 - 2473 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เป็นการสังคายนาครั้งที่ 3 ในเมืองไทย แล้วทรงจัดให้พิมพ์พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ชุดละ 45 เล่ม จำนวน 1,500 ชุด และพระราชทานแก่ประเทศต่าง ๆ ประมาณ 500 ชุด โปรดให้ย้ายกรมธรรมการกลับเข้ามารวมกับกระทรวงศึกษาธิการ และเปลี่ยนชื่อกระทรวงศึกษาธิการเป็นกระทรวงธรรมการอย่างเดิม โดยมีพระราชดำริว่า "การศึกษาไม่ควรแยกออกจากวัด" ต่อมาปี พ.ศ. 2471 กระทรวงธรรมการประกาศเพิ่มหลักสูตรทางจริยศึกษาสำหรับนักเรียน ได้เปิดให้ฆราวาสเรียนพระปริยัติธรรม แผนกธรรม โดยจัดหลักสูตรใหม่ เรียกว่า "ธรรมศึกษา" ในรัชสมัยรัชกาลที่ 7 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งยิ่งใหญ่ของไทย เมื่อคณะราษฎรได้ทำการปฏิวัติ เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสละราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. 2477 ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 8

    รัชกาล ที่ 8 (พ.ศ. 2477 - 2489)

พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 8 ในขณะพระพระชนมายุ เพียง 9 พรรษาเท่านั้น และยังกำลังทรงศึกษาอยู่ในต่างประเทศ จึงมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในด้านการศาสนาได้มีการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

   1. พระไตรปิฎก แปลโดยอรรถ พิมพ์เป็นเล่มสมุด 80 เล่ม เรียกว่าพระไตรปิฎกภาษาไทย แต่ไม่เสร็จสมบูรณ์ และได้ทำต่อจนเสร็จเมื่องานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ เมื่อปี พ.ศ. 2500
   2. พระไตรปิฎก แปลโดยสำนวนเทศนา พิมพ์ใบลาน แบ่งเป็น 1250 กัณฑ์ เรียกว่า พระไตรปิฎกฉบับหลวง เสร็จเมื่อ พ.ศ. 2492

    * พ.ศ. 2484 ได้เปลี่ยนชื่อกระทรวงธรรมการเป็นกระทรวงศึกษาธิการ และกรมธรรมการเปลี่ยนเป็น กรมการศาสนา และในปีเดียวกัน รัฐบาลได้ออก พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม เพื่อให้การปกครองคณะสงฆ์มีความสอดคล้องเหมาะสมกับการปกครองแบบใหม่
    * พ.ศ. 2488 มหามกุฎราชวิทยาลัย ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2436 ได้ประกาศตั้งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ ชื่อ "สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย" เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม
    * พ.ศ. 2498 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลได้ถูกลอบปลงพระชนม์ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นครองราชย์ เป็นรัชกาลที่ 9 รัชกาลปัจจุบัน

    สมัย รัชกาลที่ 9 (พ.ศ. 2489 - ปัจจุบัน)

พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 9 สืบต่อมา ทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา และทรงเป็นศาสนูปถัมภก ทรงให้การอุปถัมภ์แก่ทุกศาสนา ทรงสร้างวัดแห่งหนึ่งที่จังหวัดชลบุรี และทรงปกครองบ้านเมืองโดยสงบร่มเย็น ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในรัชสมัยรัชกาลปัจจุบันได้มีการส่งเสริมพุทธศาสนาด้านต่าง ๆ มากมาย

ในปี พ.ศ. 2500 ซึ่งเป็นปีครบรอบ 2,500 ปีที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน วันที่ 12-18 พฤษภาคม 2500 รัฐบาลได้จัดงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งอินเดียและลังกาเรียกว่า "พุทธชยันตี" โดยกำหนดให้วันที่ 12-14 พฤษภาคมเป็นวันหยุดราชการ ศาลาพิธีตั้งอยู่กลางท้องสนามหลวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯ เป็นองค์ประธานเปิดงาน มีผู้แทนจาก 13 ประเทศเข้าร่วม พระสงฆ์ 2,500 รูป เจริญพระพุทธมนต์พร้อมกันดังกังวานก้องไปทั่วทุกทิศ และมีการเชิญชวนพุทธศาสนิกชนรักษาศีลห้าหรือศีลแปด ตลอด 7 วัน 7 คืน

ในปี พ.ศ. 2500 นี้ รัฐบาลได้กำหนดพิธีเฉลิมฉลองทั่วประเทศ มีการจัดสร้างพุทธมณฑล ขึ้น ณ ที่ดิน 2,500 ไร่ ระหว่างกรุงเทพ-นครปฐม แล้วสร้างพระมหาพุทธปฏิมาปางประทับยืนลีลาสูง 2500 นิ้ว ภาย ในบริเวณรอบองค์พระมีภาพจำลองพระพุทธประวัติ และมีพิพิธภัณฑ์ทางพระพุทธศาสนา ได้ปลูกต้นไม้ที่มีชื่อในพระพุทธศาสนา เช่น ต้นโพธิ์ ต้นไทร เป็นต้น สร้างพระพิมพ์ปางลีลาเป็นเนื้อชินและเนื้อผงจำนวน 4,842,500 องค์ พิมพ์พระไตรปิฎกแปลจากภาษาบาลีเป็นภาษาไทยออกเผยแพร่ และบูรณะปูชนียสถานวัด วาอารามทั่วพระราชอาณาจักร อุปสมบทพระภิกษุจำนวน 2,500 รูป และนิรโทษกรรมแก่นักโทษ ประกวด วรรณกรรม ศิลปะทางพระพุทธศาสนา โดยเชิญผู้แทนพุทธศาสนิกชนทั่วโลกมาร่วมอนุโมทนา

ในปัจจุบันนี้มีประชากรไทยนับถือพุทธศาสนามากกว่าร้อยละ 94 และมีพุทธศาสนิกชนมากเป็นอันดับ 4 ของโลก (รองจากประเทศจีน ญี่ปุ่น และเวียดนาม ตามลำดับ)

 

ข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี http://th.wikipedia.org/
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #8538 เมื่อ: 07 มีนาคม 2556, 18:30:57 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 05 มีนาคม 2556, 20:40:06
สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         ถ้าไปปฏิบัติธรรมในถ้ำ ซึ่งก็คือโบสถ์  ศาลาวัด  และกุฏิ  รวมกัน  อย่าลืมขณะสร้างต้องมีคนตายมาก
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 05 มีนาคม 2556, 20:40:06
สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         ถ้าไปปฏิบัติธรรมในถ้ำ ซึ่งก็คือโบสถ์  ศาลาวัด  และกุฏิ  รวมกัน  อย่าลืมขณะสร้างต้องมีคนตายมาก เงียบ  มีเสือ และสัตว์ป่าอันตราย  ไม่มีคนอยู่เลย  จิตเธอแข็งพอหรือไม่  คิดดูเอง

                         จิตคนเรานั้นกลัวความมืด  กลัวการอยู่คนเดียว  จะคิดปรุงแต่ง  เห็นนิมิตร  ต่าง ๆ นา ๆ จนเป็นบ้าได้  ถ้าอ่อนไหว

                         ในถ้ำไม่มีห้องน้ำ ครับ  แต่มีอยู่ถ้ำหนึ่ง มีห้องเล็กๆ คล้ายห้องน้ำ แต่เป็นที่ถ้ำ เอลโลล่า ครับ Ajanta ไม่มี  ขนาด ณ ปัจจุบันยังต้องใช้ห้องน้ำดาวล้านดวง  สมัยนั้น มันไม่มีหรอก และถ้าเราไปชมถ้ำ  ห้องน้ำอยู่ชั้นล่างอีกระดับหนึ่ง มันไกล จึงต้องทนเอา พอดีอากาศร้อนการเข้าห้องน้ำเลยไม่จำเป็น

                         มาชม Cave No. 26 กันดีกว่า  แต่ว่าผมสำรวจดูแล้ว  ภาพสวย ๆ ที่ผมถ่ายเอาไว้มันอยู่ใน Nex 5 ซึ่งลบไปแล้ว  ต้องขอแรง ดร.กุศล  แล้วงานนี้

                         สวัสดี




เงียบ  มีเสือ และสัตว์ป่าอันตราย  ไม่มีคนอยู่เลย  จิตเธอแข็งพอหรือไม่  คิดดูเอง

                         จิตคนเรานั้นกลัวความมืด  กลัวการอยู่คนเดียว  จะคิดปรุงแต่ง  เห็นนิมิตร  ต่าง ๆ นา ๆ จนเป็นบ้าได้  ถ้าอ่อนไหว

                         ในถ้ำไม่มีห้องน้ำ ครับ  แต่มีอยู่ถ้ำหนึ่ง มีห้องเล็กๆ คล้ายห้องน้ำ แต่เป็นที่ถ้ำ เอลโลล่า ครับ Ajanta ไม่มี  ขนาด ณ ปัจจุบันยังต้องใช้ห้องน้ำดาวล้านดวง  สมัยนั้น มันไม่มีหรอก และถ้าเราไปชมถ้ำ  ห้องน้ำอยู่ชั้นล่างอีกระดับหนึ่ง
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 05 มีนาคม 2556, 20:40:06
สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         ถ้าไปปฏิบัติธรรมในถ้ำ ซึ่งก็คือโบสถ์  ศาลาวัด  และกุฏิ  รวมกัน  อย่าลืมขณะสร้างต้องมีคนตายมาก เงียบ  มีเสือ และสัตว์ป่าอันตราย  ไม่มีคนอยู่เลย  จิตเธอแข็งพอหรือไม่  คิดดูเอง

                         จิตคนเรานั้นกลัวความมืด  กลัวการอยู่คนเดียว  จะคิดปรุงแต่ง  เห็นนิมิตร  ต่าง ๆ นา ๆ จนเป็นบ้าได้  ถ้าอ่อนไหว

                         ในถ้ำไม่มีห้องน้ำ ครับ  แต่มีอยู่ถ้ำหนึ่ง มีห้องเล็กๆ คล้ายห้องน้ำ แต่เป็นที่ถ้ำ เอลโลล่า ครับ Ajanta ไม่มี  ขนาด ณ ปัจจุบันยังต้องใช้ห้องน้ำดาวล้านดวง  สมัยนั้น มันไม่มีหรอก และถ้าเราไปชมถ้ำ  ห้องน้ำอยู่ชั้นล่างอีกระดับหนึ่ง มันไกล จึงต้องทนเอา พอดีอากาศร้อนการเข้าห้องน้ำเลยไม่จำเป็น

                         มาชม Cave No. 26 กันดีกว่า  แต่ว่าผมสำรวจดูแล้ว  ภาพสวย ๆ ที่ผมถ่ายเอาไว้มันอยู่ใน Nex 5 ซึ่งลบไปแล้ว  ต้องขอแรง ดร.กุศล  แล้วงานนี้

                         สวัสดี


                         สวัสด
...ถ้านั่งคนเดียว...
...คงไม่กล้านั่งหรอกค่ะ...พี่สิงห์...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8539 เมื่อ: 07 มีนาคม 2556, 20:16:10 »



                          ดร.สุริยา และอาจารย์รุ่งศักดิ์

                          บัดนี้เข้าใจดีแล้วในสิ่งที่หลวงพ่อท่านเจ้าคุณพระราชวรคุณ  เจ้าอาวาสวัดบูรพาราม  จังหวัดสุรินทร์ (หลานหลวงปู่ดุลย์  อตุโล) ที่ท่านถามว่า "โยมทำไม ? ถึงไม่บวชล่ะ"

                           การอยู่ในฆารวาสนั้น ประสบแต่สิ่งที่ไม่น่าปราถนา  แต่ก็ต้องประสบตลอดเวลา ในทุกเรื่องเพราะคนส่วนมากเต็มไปด้วยทิฏฐิและความยึดมั่น ถือมั่นในตัวตนสูง และหลงอยู่ในโมหะ  เราจะแสดงความเห็น  หรือบอกอะไรออกไป  ล้วนไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น  มีแต่วิวาทเปล่า ๆ การอุเบกขาเป็นทางอันประเสริฐที่เราสามารถจะระงับกาย  วาจา ของเราได้ แต่ระงับใจไม่ได้

                           บางครั้งก็เกิดการท้อแท้ใจ  มนุษย์นี้หนอเต็มไปด้วยความทิฏฐิ  ยึดมั่นถือมั่น และหลงอยู่ในความคิด แยกไม่ออกเลยจริง ๆ  น่าเศร้าจริง ๆ

                           หรือมันจะเป็นมาร ที่มาผจญเรา  ทำให้เราเห็นความจริง อันนี้ขึ้นมา

                           ชีวิตที่เรายังอยู่ในสังคม  ยังต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนรอบกาย  มันเป็นอย่างนี้  มีแต่มารผจญ

                           การออกบวชเสียได้  มันตัดหลายสิ่งหลายอย่างไปจริง ๆ  แต่มันก็สงบชั่วคราวเท่านั้น  ถ้าเรายังอยู่ในวัฏสงสารอยู่อย่างนี้

                           ทุกข์หนอ  ทุกข์หนอ ชีวิตมนุษย์

                           ถึงอย่างไรเราก็ผ่านอุปสรรคมามากแล้ว  อย่าหวนคืนกลับไปแบบเดิมเลย  วิริยะ  ประคองตั้งจิตไว้ในกุศลกรรม  อยู่ด้วยการมีสติ-สัมปชัญญะ   ระวังตัวเองเอาไว้  คิดเสียว่าจิตคนมันเป็นเช่นนี้เอง มนุษย์ผู้หลงตัวเอง  เราไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เป็นดีที่สุด  อย่าไปห่วงคนอื่น  อย่าไปปราถนาดีต่อคนอื่น  เขาก็เขา  เราก็เรา และขอให้เขาอย่าปราถนาดีกับเราเลย  อย่ามาห่วงเราเลย  เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นมารจริง ๆ เป็นต้นเหตุในสิ่งที่จะตามมาไม่สิ้นสุด

                            สวัสดี
                   
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8540 เมื่อ: 07 มีนาคม 2556, 20:26:32 »


                       อยู่นครศรีธรรมราช

                       วันนี้ตอนนั่งเครื่องบิน Nok Air ได้แต่เตือนตนเอง ประคองจิตตั้งเอาไว้ให้ได้  อย่าไปปรุงแต่งใด ๆ ทั้งสิ้นในสิ่งที่ต้องประสบ คือ นั่งแถวหน้าสุด 30A  30B ว่าง และ 30C  ผู้นำท่านนั่งเป็นสง่าเชิดคอตั้งและผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลัง คือ พณฯท่านณัฐวุติ  ใสเกื้อ  

                        ผมไม่ได้มองหน้าเขาเลย  และไม่สนใจด้วย เพราะผมก็เสียเงินเท่ากัน  วางอุเบกทางกาย  วาจาได้  แต่จินปรุงแต่ง  ต้องภาวนาให้มีสติหยุดการปรุงแต่ง  จนวางอุเบกขาได้

                         ถึงสนามบินเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ข้าราชการโดยเฉพาะตำรวจ  จำนวนมากมาต้อนรับ มากกว่านายกรัฐมนตรีไทยที่เคยประสบ


                      
                         มันเป็นละครทั้งนั้นในสิ่งที่เห็น  นี่ละมนุษย์

                         ราตรีสวัสดิ์ครับ  ได้เวลาต้องสวดมนต์ทำวัดเย็นให้มากแล้วคืนนี้
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8541 เมื่อ: 08 มีนาคม 2556, 07:21:31 »



สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน

                           วันนี้อากาศที่นคร พอใช้ได้  ไม่มีลมเย็นยามเช้า  ไม่มีเมฆ  เห็นพระอาทิตย์แดงโล่เต็มดวงชัดเจนขึ้นอยู่ขอบฟ้า

                           ได้ออกกำลังกายฝึกชิกง  โยคะ  ภายหลังจากที่ได้เดินจงกรมออกกำลังกาย ๒๑ เที่ยวความยาวมาก่อนหน้า

                           ใช้เวลาตั้งแต่หกโมง ถึง เจ็ดโมง  จึงลงมารับประทานอาหารเช้า ดังที่ท่านเห็น

                            ได้พบกับคน ๆ หนึ่ง เป็นอดีตพนักงานโรงแรม เขาทักว่าอาจารย์สะบายดีไหม?

                            ผมก็ตอบเธอว่า  สะบายดี  เธอห่วงตัวเองให้มากเถะอย่ามาห่วงอาจารย์เลย  อ้วนแล้ว !

                            มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งยิ้ม  พอใจในคำตอบของผม เข้าใจว่าเป็นพยาบาล(ที่เสื้อมีเครื่องหมายกาชาด แต่เธออ้วน)

                            เช้านี้ห่วงตัวเอง   รักตัวเองให้มาก ๆ  แบบจริงจัง ที่จะต้องดูแลตนเองในเรื่องสุขภาพให้มากไว้

                            สวัสดี


                              หลายท่านอาจจะว่า ผมเพี้ยนไปเสียแล้วที่บอกว่า "อย่าไปห่วงคนอื่น  อย่าไปปราถนาดีต่อคนอื่น  อย่าไปคิดแทนคนอื่น" 

                              จริง ๆ การห่วงหาอาทรกัน  การปราถนาดีต่อกัน  การระลึกถึงกัน  การทำอะไรให้กัน  การทักทาย  การซื้อขอฝากมาให้ นั้นเป็นสิ่งที่ดี  เป็นมงคลด้วย

                              แต่ขอให้อยู่ในพื้นฐานที่คนนั้นเขาพอใจ คือพอใจ  ยินดีทั้งผู้ให้ และผู้รับ

                              อย่าให้เกินงาม กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เขาลำบากใจต่างหากเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ คือเราต้องรู้จิตใจเขานั่นเอง

                               พระพุทธองค์ใช้คำสอนว่า "ธาตุเดียวกัน" คือ มีทิฏฐิ หรือสันดาน หรือความยึดมั่นถือมั่น เหมือนหรือใกล้เคียงกัน  เอาภาษาปัจจุบันก็คือ ชอบ ยินดี อยากได้ ปราถนา ประพฤติทางกาย วาจา ใจ เหมือนกัน นั่นเอง  จึงจะไปด้วยกันได้

                                สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8542 เมื่อ: 08 มีนาคม 2556, 10:32:30 »

สวัสดีครับ พี่สิงห์

สงครามศาสนายังไม่มีวันเลิกรา ดังเช่นในภาคใต้ของไทยเอง !!

คริสต์ VS มุสลิม นี่ชัดเจนมากที่สุด โดยมีสงครามตัวแทนคือ อิสราเอล  VS ชาติอาหรับ
เช่นเดียวกันศาสนาเดียวกันต่างนิกายก็ไม่มีการละเว้น ดังเช่น สุหนี่ VS ชีอะห์ ที่อิหร่าน VS อิรัค
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8543 เมื่อ: 08 มีนาคม 2556, 10:49:23 »

ถ้ำที่ ELLORA ในส่วนของพุทธศาสนา สมณโคดมผู้เป็นพระศาสดา





















































พระประธาน















ที่แปลกกว่าทุกถ้ำที่ผ่านมาคือ ถ้ำนี้มีที่นั่งด้วย ไม่เป็นพื้นที่ราบเรียบ

จะเห็นว่าพระพุทธรูปแสดงถึงเพศชายชัดเจน แต่อยู่ในร่มของจีวร 

แสดงว่า มีแต่พระภิกษุเท่านั้น ส่วนพระภิกษุณีนั้นไม่มีสาปสูญไปแล้ว

ในสิ่งที่ผู้แกะสลักต้องการสื่อสารให้เราทราบ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8544 เมื่อ: 08 มีนาคม 2556, 17:16:45 »


ใครมีประสบการ เคยเป็นนายหน้าซื้อขายที่ดิน กรุณาแนะนำด้วย
                            นายหน้าตั้งราคาที่ดินของผมไว้ ผมจะได้รับเงินสุทธิ 1,999,450 บาท ในราคาตารางวาละ 15,000 บาท แต่ที่ดินผมเพิ่มมาอีก 2 ตารางวา เพราะมีโฉนดสองใบ  ผมต้องได้เงินสุทธิเพิ่มขึ้นอีกเกือบสามหมื่นบาท  ราคาประเมิน 15,500 บาท  ผมก็บอกไปว่าขอขายสุทธิ ที่ 2,000,000 บาท ไม่รวมค่าโอน ค่าภาษี และนายหน้า ซึ่งมีอยู่ 50,000 บาท

                            มีคุณหมอ ที่ดินติดกันจะขอซื้อ 1,800,000 บาท  ผมก็บอกว่ามันต่ำไป ผมขอสุทธิ 2,000,000 บาท มันก็ยุติธรรมดี ต่ำกว่าราคาประเมินอีก คุณหมออ้างว่า หาเบอร์ผมจากทาง inter net เพราะหาง่าย ไม่ผ่านนายหน้า

                            ที่ดินผมจะขายได้ 2,139,000 บาท ผมขอ 2,000,000 บาท กับการเก็บมา 30 กว่าปีมันก็น่ายุติธรรม

                            มีอีกรายได้โทรศัพท์มาเมื่อวานบอกว่า อยู่ในหมู่บ้าน จะหาที่ดินให้พี่สาว  หาชื่อผมทาง inter net ไม่ผ่านนายหน้า ผมก็บอกไป สุทธิ 2,000,000 บาท เขาขอคุยกับพี่สาวสามวันให้คำตอบ

                            ตอนนี้มีคนมาดูที่ผม มากเกือบทุกวัน(คุณหมอบอก)   อยากถามว่าผมจะต้องจ่ายค่านายหน้าไหม เพราะทุกคนอ้างว่าหาชื่อผมทาง inter net ทั้งนั้น

                            ถ้าเกิดมีนายหน้ามาทวง ผมก็คงปฏิเสธไม่ได้ มันบาป หาทุกข์อีกแล้วเรา  ทำไงดี  ช่วยด้วยครับ

                            ขอบคุณมาก
             
                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #8545 เมื่อ: 08 มีนาคม 2556, 17:46:31 »

ที่ดินที่ขายผ่าน นายหน้า และ นายหน้าควรมารับเงินกับพี่สิงห์ พี่สิงห์จะต้องไม่คุยกับผู้ซื้อโดยตรง นายหน้าต้องทำหน้าที่ยันราคา และรักษาผลประโยชน์ให้กับพี่สิงห์ เรียกว่า นายหน้าทำงาน ถ้ามีการลดราคา ก็ควรจะเป็นการตกลง ของนายหน้าไม่ใช้พี่สิงห์ ครับ นายหน้าบางคนเขายอมลดส่วนแบ่งของตัวเองลงบ้างเพื่อ ที่จะปล่อย ของออก  ซึ่ง พี่สิงห์ก็ควรที่จะได้รับเงินเท่าเดิม ตามที่ตั้งราคาไว้ ถึงจะเรียกว่านาย หน้าครับ ถ้านายหน้าไม่ได้
 ทำอะไรเลย เขาเรียก ว่าฝาก ดูแล จะให้เงิน ไม่ให้เงิน ขึ้นอยู่กับพี่สิงห์ แต่ไม่ใช่นายหน้าแน่นอน ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8546 เมื่อ: 08 มีนาคม 2556, 20:34:52 »

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 08 มีนาคม 2556, 17:46:31
ที่ดินที่ขายผ่าน นายหน้า และ นายหน้าควรมารับเงินกับพี่สิงห์ พี่สิงห์จะต้องไม่คุยกับผู้ซื้อโดยตรง นายหน้าต้องทำหน้าที่ยันราคา และรักษาผลประโยชน์ให้กับพี่สิงห์ เรียกว่า นายหน้าทำงาน ถ้ามีการลดราคา ก็ควรจะเป็นการตกลง ของนายหน้าไม่ใช้พี่สิงห์ ครับ นายหน้าบางคนเขายอมลดส่วนแบ่งของตัวเองลงบ้างเพื่อ ที่จะปล่อย ของออก  ซึ่ง พี่สิงห์ก็ควรที่จะได้รับเงินเท่าเดิม ตามที่ตั้งราคาไว้ ถึงจะเรียกว่านาย หน้าครับ ถ้านายหน้าไม่ได้
 ทำอะไรเลย เขาเรียก ว่าฝาก ดูแล จะให้เงิน ไม่ให้เงิน ขึ้นอยู่กับพี่สิงห์ แต่ไม่ใช่นายหน้าแน่นอน ครับ


                  ขอบคุณมากจะรับเอาไว้พิจารณา

                   สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8547 เมื่อ: 08 มีนาคม 2556, 20:41:06 »

พี่สิงห์

ยังงง...กับข้อมูลครับ
1.พี่สิงห์โพสต์ขายที่ดินแปลงไหน ?? ลงเว็ปขายด้วยหรือ ??
2.ผมทดลองหาชื่อ "มานพ กลับดี" จากกูเกิ้ล ได้ข้อมูลดังนี้
   โทร: มานพ กลับดี. Group: K สาขา: โยธา โทร: 02-5131275 TEL&FAX.
   http://www.intania54.com/list/mains.html
   เขาโทรหาพี่สิงห์ที่เบอร์บ้านหรือ ??
   และข้อมูลที่ปรากฎใน Cmadong.com

กลับมาที่ข้อเท็จจริง
1.เมื่อปรากฎว่า ที่ดินมีเนื้อที่เพิ่มขึ้น ก็สมควรได้รับประโยชน์จากส่วนที่เพิ่ม 2 ตร.วานั้น นายหน้าไม่มีสิทธิเบี่ยงประเด็นนี้
   พี่ควรแจ้งให้นายหน้าทราบเอาไว้ด้วยในเรื่องนี้
   ข้อตกลงเรื่องจำนวนเงินสุทธิที่จะขอรับจากการขาย ไม่รวมค่าภาษี โอน และค่านายหน้า ผูกพันนายหน้าครับ
2.เมื่อติดต่อผ่านนายหน้า ต้องให้นายหน้าเสนอขายก่อน และอาจจะกำหนดระยะเวลาให้ทำหน้าที่ขายเอาไว้
   กรณีไม่ได้กำหนดระยะเวลาขาย ก็สมควรแจ้งเพื่อบอกกล่าวเพิ่มเติม (สมควรที่หลักฐานเอาไว้ด้วย)
3.ครบกำหนด ยังขายไม่ได้ ต้องบอกกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรครับ เพื่อกันการฟ้องร้องในภายหลัง
   การบอกกล่าวอาจทำได้ด้วยการส่งจดหมายลงทะเบียนตอบรับไปให้นายหน้าทราบ
4.ผู้กล่าวอ้างว่า ค้นเจอในเน๊ต ก็ต้องขอให้ไปติดต่อกับนายหน้าก่อน เพราะมีสัญญาใจหรือสัญญาเป็นนายหน้าอยู่
5.ครบกำหนด นายหน้าขายไม่ได้หรือไม่ได้ขาย ให้ดูข้อ 3.
6.อย่างไรก็ตาม ต้องดูว่าพี่สิงห์กับนายหน้าคุยกันอย่างไรในเบื้องต้น ??
   จากนั้นก็แต่งแก้ ตามข้อ 2 และ 3 ครับ

ส่วนราคาจะเหมาะสมอย่างไร ?? ไม่อาจทราบได้ว่าเป็นที่ดินแปลงใด มีสิ่งปลูกสร้างหรือไม่ ??
ต่อไปจะอยู่ในแนวที่ได้รับประโยชน์จากทางด่วน, รถไฟฟ้าใต้ดิน ฯลฯ หรือไม่ เพียงใด ?? (หากได้รับประโยชน์ ราคาจะแพงขึ้น, ที่ดินที่มีพื้นที่มากกว่า 1 งาน ในตัวชุมชนเมืองของ กทม.หาได้ยากขึ้นครับ)
ส่วนราคาประเมินนั้น ปกติ ราคาจริง-มักสูงกว่าราคาประเมินครับ (กรณีนี้ พี่สิงห์อาจจะใช้วิธีสอบถามข้างเคียงในรัศมี 500 เมตรว่า ล่าสุดมีการซื้อ-ขายที่ดินบ้างหรือไม่ ?? และราคาที่ซื้อ-ขายเป็นจำนวนเงินเท่าใด/ไร่ หรือต่อ ตร.วา ?? เท่านี้นก็อาจจะเป็นข้อมูลเบื้องต้นในเรื่องราคาซื้อ-ขายจริง)

ท่านอื่น มีความเห็นบ้างหรือไม่ครับ ??
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8548 เมื่อ: 08 มีนาคม 2556, 21:06:42 »

ถ้ำ ELLORA ของพุทธศาสนา














































ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8549 เมื่อ: 09 มีนาคม 2556, 21:05:49 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งและแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                           พี่สิงห์ อยู่ กทม. นั่ง Nok Air มาจากตรัง

                       วันนี้บ่ายนายหน้าได้โทรศัพท์มาหาบอกว่ามีคุณหมออีกท่านหนึ่งตกลงจะซื้อ นายหน้าได้พาช่างมารังวัดๆ คร่าวแล้ว และผมบอกไปแล้ว ขอสุทธิ ๒ ล้าน บาท และเขาขอวันที่ว่างที่จะขึ้นไปเชียงใหม่เพื่อโอนที่ ราคาที่ขายนั้นต่ำกว่าราคาประเมิน  ผมพอใจเพียงเท่านี้ ในเมื่อคุณหมออยากได้  และมีอีกรายก็อยากได้  กำลังรอการตัดสินใจ ผมใช้วิธีใครตกลงแน่นอนยืนยันจริง ผมให้คนนั้น เพราะทุกคนก็รู้ว่ามีคนสนใจที่ดินแปลงนี้หลายคน  และราคาไม่แพง

                         วันอาทิตย์ คุณพอล  คุณสุดสาคร  ชวนตีกอล์ฟ  เพราะไม่ได้เจอกันหกเดือนแล้ว  คิดถึง

                         ราตรีสวัสดิ์ครับ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 340 341 [342] 343 344 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><