too_ploenpit
|
|
« ตอบ #8250 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2556, 07:47:27 » |
|
...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...
...ถ้าพี่สิงห์ว่าง...ก็มาช่วยได้นะคะ...
...ที่ผ่านมาทั้งสองวัน...คนเพียบค่ะ...
...ตู่ช่วยตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึงห้าโมงหรือหกโมงเย็น...
...เมื่อวานคนเยอะมากๆค่ะ...
...รถติดที่วัดเลยไปจนถึงอ่างเก็บน้ำมาบประชัน...
...ก็เกือบสิบกิโลได้ค่ะ...
...ตู่มีเวลาแป๊บนึงตอนไปเข้าห้องน้ำและแวะหาของทาน...
...เอามาทานที่โต๊ะที่เราทำงาน...ซึ่งเป็นจุดแลกเงินอยู่ข้างเจดีย์เลยค่ะ...
...เป็นทางผ่านของลูกนิมิตลูกที่ 2...
...ดังนั้นใครมาปิดทองก็ต้องผ่านโต๊ะตู่ค่ะ...
...นอกนั้นต้องอยู่โยงตลอดเพราะจำนวนเงินที่รับผิดชอบก็มากพอสมควร...
...ชาวหอท่านใดสนใจมาช่วยงานก็ได้นะคะ...
...ยังขาดคนช่วยเยอะเลยค่ะ...
...เมื่อวานหมอก็ไปช่วยนับเงินทั้งวันค่ะ...
...เพราะแม่ชีไม่สบาย...แต่ก็มาสับเปลี่ยนตอนบ่ายๆค่ะ...
|
i love pink, you are pink = i love you
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #8251 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2556, 08:03:31 » |
|
สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน
เช้านี้อยู่บ้าน ได้หุงข้าวใส่บาตรพระยามเช้า ที่หน้าบ้าน
วันนรี้รู้สึกว่า ในบาตรพระ มีคนใส่บาตรไม่มาก คงหยุดตรุษจีนกัน
ตลาดลุงเพิ่มหลังการบินไทย เปิด แต่ก็หายไปบ้างบางส่วนที่เขารู้ว่าค้าขายมานาน ขอหยุดพักผ่อนบ้าง
ก่อนที่จะออกเดินทางไป PSTC ยังมีเวลา ขอสรุป เรื่องพฤติกรรมของรูป-นาม และอายตนะ ๑๒ พอสังเขป เพื่อให้เข้าใจง่าย จดจำง่าย ดังนี้
ร่างกายมนุษย์นั้น ประกอบไปด้วย "รูป กับ นาม"
รูป คือ ส่วนที่มองเห็นได้ เคลื่อนไหวได้ หยุดนิ่งได้ แต่ควบคุม สั่งการ รูปไม่ได้ด้วยรูป เพราะไม่มีจิตเป็นของตนเอง
รูป ประกอบไปด้วยธาตุดิน(ส่วนที่เป็นของแข็ง) ธาตุน้ำ(ส่วนที่เป็นของเหลว) ธาตุไฟ(อุณหภูมิ ร้อน-เย็น) และอากาศธาตุ(ส่วนที่เป็นที่ว่างมีทั้งอากาศและไม่มีอากาศ) มาประชุมรวมกันด้วยเหตุ-ปัจจัย มีอวัยวะ ๓๒ ประการ ที่เขาเรียกว่ามนุษย์(ในภาษาไทย)
นาม คือ ส่วนที่มองไม่เห็น ไม่มีตัวตน แต่สามารถรับรู้ได้ และบางครั้งก็สามารถสั่งการให้รูปกระทำตามได้ แต่เราก็ไม่สามารถสั่งการนามได้ ไม่มีอำนาจเหนือมัน สั่งให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ไม่ได้ (เหมือนพระราชาที่มีอำนาจสั่งการเด็ดขาด) หรือเราเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "จิต"
จิต คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ ประกอบไปด้วย เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
เวทนา คือ ความรู้สึก หรือเสวยอารมณ์ ได้แก่ ความรู้สึกว่านี่คือสุข ความรู้สึกว่านี่คือทุกข์ ความรู้สึกว่านี่ไม่สุขไม่ทุกข์
สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้ ในสิ่งที่ที่สัมผัสได้จากอายตนะ และเวทนา เอาไปเก็บไว้ในหน่วยความจำ คือสมองของมนุษย์
สังขาร คือ ความคิดปรุงแต่ง (เป็นตัวก่อทุกข์ โดยมี อวิชชา เป็นปัจจัย อวิชชา คือ ความไม่รู้ในอิริยสัจ ๔ ไม่รู้อนาคต ไม่รู้อดีต ไม่รู้ทั้งอดีตและอนาคต จึงเกิดการคิด) สังขารในภาษาบาลี ไม่ใช่แปลว่าร่างกาย ท่านต้องแยกให้ออก อย่าสับสน
วิญญาณ คือ ความรับรู้ หรือรู้แจ้ง โดยมีอายตนะ ๖ และสัมผัส เป็นปัจจัย จึงจะเกิด วิญญาณ (วิญญาณ ไม่ใช่เป็นดวงวิญญาณที่มาอาศัยร่างอยู่ เป็นจิตที่มาอาศัยร่างอยู่)
อวัยยวะ ๓๒ ประการ ที่เป็นร่างกายนั้น มีสิ่งที่สามารถรู้แจ้ง ได้ทางช่องทางที่สามารถสัมผัส(สัมผัส หรือ ผัสสะ แปลว่า ถูกต้อง)ได้ ที่เรียกว่าประตูเปิดรับความรู้แจ้งของรูป-นาม คือ อายตนะภายใน ๖
อายตนะภายใน ๖ ประกอบด้วย จักษุ(ตา) โสตะ(หู) ฆานะ(จมูก) ชิวหา(ลิ้น) กาย และมโน(ใจ)
อายตนะภายนอก ๖ นั้น คือสิ่งที่ อายตนะภายใน ๖ ไปสัมผัส(ถูกต้อง) และเกิดการรู้แจ้ง(วิญญาณ) ประกอบไปด้วย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ(รู้แจ้งด้วยกาย) และธรรมารมณ์(รู้แจ้งทางใจ)
หมดเวลาแล้ว ต้องออกเดินทางไปสระบุรี ของพักเอาไว้ก่อน ครับ
สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #8252 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2556, 08:05:38 » |
|
สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก
พี่สิงห์ ไม่มีเวลาว่างเลย มีสิ่งที่ต้องกระทำ จากเหตุ-ปัจจัย ของคนอื่นสั่งการทั้งนั้น ต้องขออภัยด้วย
สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #8253 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2556, 21:41:26 » |
|
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน เมื่อค่ำที่ผ่านมาได้ไปเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมศพ หลานสาวแม่ ที่วัดกลางพรหมบุรี ตลาดปากบาง อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ดังนั้น คืนนี้ นอนค้างคืนที่สิงห์บุรี วันนี้ได้รับ SMS จากท่านผู้พิพากษา สุภาพร ฝากเงินไปทำบุญ ที่อินเดีย ตามที่ได้เคยแจ้งให้ทราบตามคำขอของ อ.ถาวร โชติชื่น ก็ขออนุโมทนา ด้วย จักทำตามวัตถุประสงค์ ให้ครับ ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #8254 เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2556, 07:17:04 » |
|
สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน
เช้านี้ได้ไปใส่บาตรพระ ที่หน้าร้านกิตติไพศาล ใกล้ๆ โรงพยาบาลสิงห์บุรี ใส่บาตรหลวงพ่อวัดแจ้งพรหมนคร และหลวงตาอีกสองรูป
หลวงพ่อวัดแจ้ง วันที่ ๑๕ นี้ก็จะไปอินเดีย เช่นกันแต่คนละคณะกับผม
เช้านี้ได้ไปซื้อปลาท่องโก๋ และขนมเปี๊ยะสูตรดั้งเดิม ร้านที่ไม่มีชื่อแต่อร่อย
ได้รับประทานข้าวเช้าแล้ว มีข้าวก้นบาตร แกงส้มมะละกอ ปลาเกลือทอด ไข่เจียว เมื่อเวลาหกโมงครึ่ง แต่ปกติจะรับประทานเวลา เจ็ดโมงเช้า คือหลังใส่บาตรพระเสมอ ถ้าอยู่โรงแรมไม่ได้ใส่บาตร พระก็ภายหลังออกกำลังกายเสร็จ
อากาศที่สิงห์บุรี ขมุกขมัว แบบต้องระวัง อาจเจ็บป่วยได้
เมื่อคืนได้พบพี่แดง วิชัย ฉวีวรรณกร อดีตกัปตันการบินไทย จะให้ผมไปสอนการปฏิบัิติธรรม พี่แดงบอกว่าอ่านหนังสือพุทธธรรม ไม่รู้เรื่อง รูปนาม ก็ไม่เข้าใจ ถ้าคนที่อดีตอยู่ห้อง King โรงเรียนเตรียมไม่เข้าใจละก็ ผมก็เข้าใจแล้วว่า มันเป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วๆ ไปจริง พี่แดง บอกว่าเขาจะให้ไปทำงานที่กรมการบิน ผมก็บอกว่า พี่แดงอย่าไปแย่งงานเขาเลยให้คนรุ่นใหม่ทำดีกว่า ไม่มีความจำเป็นเลย อยู่แบบไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เป็นผู้ให้แบบนี้ดีแล้ว มันก็สุขได้ เช่นเดียวกับการปฏิบัติธรรม แต่ขอให้ใช้ปัญญา เห็นการเกิดดับของความสุขที่ได้รับจากการให้ คือพี่แดง ไปดูแลพี่สาวที่เจ็บป่วย นอนอยู่ห้องสามัญรวม พี่แดงได้ซื้อผลไม้ ปอกให้พี่สาว และคนไข้อื่นด้วย ได้เห็นรอยยิ้ม คำขอบคุณ ไดรับความสุข ที่ตนเองไม่เคยมี ทำอย่างที่ดาไลลามะสอน มันก็ดี เพราะปฏิบัติธรรมนั้น ทำไม่ได้ ทั้งที่ศึกษามามากหลายหลวงพ่อ พี่แดง ไม่มีครอบครัว แต่ดูแลหลานหลายคน เงินเดือนในขณะที่เป็นนักบินการบินไทย ไม่เคยเบิกเลย ใช้แต่เบี้ยเลี้ยงเท่านั้น ผมก็บอกพี่แดงแบบง่ายๆ ว่า พี่แดงก็อยู่อย่างทุกวันนี้ให้เป็นปกติ อยู่กับปัจจุบัน อยากทำอะไรทำ แต่ให้รู้ตัว รักษากายวาจา คือศืลห้า ไม่ทำให้ตนเอง และใครเดือดร้อน นี่ละการปฏิบัติธรรมแล้ว จะพบสุขด้วยตัวเองได้ อย่างที่พี่แดงพบที่โรงพยาบาล นั่นละ ศาสนาพุทธ ต้องใช้ปัญญา ตามจิตให้ทัน อย่าหลงอยู่ในความคิดตนเอง
อีกสักครู่เดินทางไปสระบุรี จะแวะที่วัดอัมพวัน ไปซื้อกางเกงเพิ่ม เพื่อเอาไปอินเดีย และซื้อน้ำพริกไปรับประทานครับ
สวัสดี
|
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #8256 เมื่อ: 13 กุมภาพันธ์ 2556, 08:29:53 » |
|
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
๔. ทีฆนขสูตร
เรื่องทีฆนขปริพาชก
[๒๖๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ถ้ำสุกรขาตาเขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์. ครั้งนั้น ปริพาชกชื่อทีฆนขะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว. ได้กราบทูลว่า ท่านพระโคดม ความจริงข้าพเจ้ามีปกติกล่าวอย่างนี้ มีปกติเห็นอย่างนี้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่เรา.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อัคคิเวสสนะ แม้ความเห็นของท่านว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่เรานั้น ก็ไม่ควรแก่ท่าน.
ท่านพระโคดม ถ้าความเห็นนี้ควรแก่ข้าพเจ้า แม้ความเห็นนั้นก็พึงเป็นเช่นนั้น แม้ความเห็นนั้นก็พึงเป็นเช่นนั้น.
อัคคิเวสสนะ ชนในโลกผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า แม้ความเห็นนั้นก็พึงเป็นเช่นนั้นทั้งนั้น แม้ความเห็นนั้นก็พึงเป็นเช่นนั้นทั้งนั้น ดังนี้ ชนเหล่านั้นละความเห็นนั้นไม่ได้ และยังยึดถือความเห็นอื่นนั้น มีมาก คือมากกว่าคนที่ละได้.
อัคคิเวสสนะ ชนในโลกผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า แม้ความเห็นนั้นก็พึงเป็นเช่นนั้นทั้งนั้น แม้ความเห็นนั้นก็พึงเป็นเช่นนั้นทั้งนั้น ดังนี้ ชนเหล่านั้นละความเห็นนั้นได้ และไม่ยึดถือความเห็นอื่นนั้น มีน้อยคือน้อยกว่าคนที่ยังละไม่ได้.
ทิฏฐิเป็นเหตุให้เกิดวิวาท
[๒๗๐] อัคคิเวสสนะ สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมักกล่าวอย่างนี้ มักเห็นอย่างนี้ว่า สิ่งทั้งปวงควรแก่เรา ดังนี้ ก็มี. สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมักกล่าวอย่างนี้ มักเห็นอย่างนี้ สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่เรา ดังนี้ ก็มี สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมักกล่าวอย่างนี้ มักเห็นอย่างนี้ว่า บางสิ่งควรแก่เรา บางสิ่งไม่ควรแก่เรา ดังนี้ ก็มี อัคคิเวสสนะ บรรดาความเห็นนั้น ความเห็นของสมณพราหมณ์พวกที่มักกล่าวอย่างนี้ มักเห็นอย่างนี้ว่า สิ่งทั้งปวงควรแก่เรานั้น ใกล้ข้างกิเลสอันเป็นไปกับด้วยความกำหนัด ใกล้ข้างกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ ใกล้ข้างกิเลสเป็นเหตุเพลิดเพลิน ใกล้ข้างกิเลสเป็นเหตุกล้ำกลืน ใกล้ข้างกิเลสเป็นเหตุยึดมั่น.
อัคคิเวสสนะบรรดาความเห็นนั้น ความเห็นของสมณพราหมณ์พวกที่มักกล่าวอย่างนี้ มักเห็นอย่างนี้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่เรานั้น ใกล้ข้างธรรมไม่เป็นไปกับด้วยความกำหนัด ใกล้ข้างธรรมไม่เป็นเครื่องประกอบสัตว์ไว้ ใกล้ข้างธรรมไม่เป็นเหตุเพลิดเพลิน ใกล้ข้างธรรมไม่เป็นเหตุกล้ำกลืน ใกล้ข้างธรรมไม่เป็นเหตุยึดมั่น.
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ทีฆนขปริพาชกได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ท่านพระโคดมทรงยกย่องความเห็นของข้าพเจ้า ท่านพระโคดมทรงยกย่องความเห็นของข้าพเจ้า.
อัคคิเวสสนะ ในความเห็นนั้นๆ ความเห็นของสมณพราหมณ์พวกที่มักกล่าวอย่างนี้มักเห็นอย่างนี้ว่า บางสิ่งควรแก่เรา บางสิ่งไม่ควรแก่เรา นั้นส่วนที่เห็นว่าควร ใกล้ข้างกิเลสอันเป็นไปกับด้วยความกำหนัด ใกล้ข้างกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ ใกล้ข้างกิเลสเป็นเหตุเพลิดเพลิน ใกล้ข้างกิเลสเป็นเหตุกล้ำกลืน ใกล้ข้างกิเลสเป็นเหตุยึดมั่น ส่วนที่เห็นว่าไม่ควรใกล้ข้างธรรมไม่เป็นไปด้วยความกำหนัด ใกล้ข้างธรรมไม่เป็นเครื่องประกอบสัตว์ไว้ ใกล้ข้างธรรมไม่เป็นเหตุเพลิดเพลิน ใกล้ข้างธรรมไม่เป็นเหตุกล้ำกลืน ใกล้ข้างธรรมไม่เป็นเหตุยึดมั่น.
[๒๗๑] อัคคิเวสสนะ บรรดาความเห็นนั้น ในความเห็นของสมณพราหมณ์ผู้ที่มักกล่าวอย่างนี้ มักเห็นอย่างนี้ว่า สิ่งทั้งปวงควรแก่เรานั้น วิญญูชนย่อมเห็นตระหนักว่า เราจะยึดมั่น ถือมั่นซึ่งทิฏฐิของเราว่า สิ่งทั้งปวงควรแก่เรา ดังนี้ แล้วยืนยันโดยแข็งแรงว่า สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า เราก็พึงถือผิดจากสมณพราหมณ์สองพวกนี้ คือ สมณพราหมณ์ผู้มักกล่าวอย่างนี้ มักเห็นอย่างนี้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่เรา ๑ สมณพราหมณ์ผู้มักกล่าวอย่างนี้มักเห็นอย่างนี้ว่า บางสิ่งควรแก่เรา บางสิ่งไม่ควรแก่เรา ๑. เมื่อความถือผิดกันมีอยู่ดังนี้ ความทุ่มเถียงกันก็มี เมื่อมีความทุ่มเถียงกัน ความแก่งแย่งกันก็มี. เมื่อมีความแก่งแย่งกัน ความเบียดเบียนกันก็มี. วิญญูชนนั้นพิจารณาเห็นความถือผิดกัน ความทุ่มเถียงกัน ความแก่งแย่งกัน และความเบียดเบียนกัน ในตนดังนี้อยู่ จึงละทิฏฐินั้นเสียด้วย ไม่ยึดถือทิฏฐิอื่นด้วย การละ การสละคืนทิฏฐิเหล่านี้ ย่อมมีได้ด้วยประการฉะนี้. อัคคิเวสสนะ บรรดาความเห็นนั้น ในทิฏฐิของสมณพราหมณ์ผู้ที่มักกล่าวอย่างนี้ มักเห็นอย่างนี้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่เรา ดังนี้นั้น วิญญูชนย่อมเห็นตระหนักว่า ถ้าเราจะยึดมั่น ถือมั่นซึ่งทิฏฐิของเราว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่เรา ดังนี้ แล้วยืนยันโดยแข็งแรงว่า สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า เราก็พึงถือผิดจากสมณพราหมณ์สองพวกนี้ คือ สมณพราหมณ์ผู้มักกล่าวอย่างนี้ มักเห็นอย่างนี้ว่า สิ่งทั้งปวงควรแก่เรา ๑ สมณพราหมณ์ผู้มักกล่าวอย่างนี้ มักเห็นอย่างนี้ว่า บางสิ่งควรแก่เรา บางสิ่งไม่ควรแก่เรา ๑. เมื่อความถือผิดกันมีอยู่ดังนี้ ความทุ่มเถียงกันก็มี เมื่อมีความทุ่มเถียงกัน ความแก่งแย่งกันก็มี เมื่อมีความแก่งแย่งกัน ความเบียดเบียนกันก็มี. วิญญูชนนั้นพิจารณาเห็นความถือผิดกัน ความทุ่มเถียงกัน ความแก่งแย่งกัน และความเบียดเบียนกัน ในตนดังนี้อยู่ จึงละทิฏฐินั้นเสียด้วยไม่ยึดถือทิฏฐิอื่นด้วย. การละ การสละคืนทิฏฐิเหล่านั้น ย่อมมีได้ด้วยประการฉะนี้. อัคคิเวสสนะบรรดาความเห็นนั้น ในทิฏฐิของสมณพราหมณ์ผู้มักกล่าวอย่างนี้ มักเห็นอย่างนี้ว่า บางสิ่งควรแก่เรา บางสิ่งไม่ควรแก่เรา ดังนี้นั้น วิญญูชนย่อมเห็นตระหนักว่า ถ้าเราจะยึดมั่นถือมั่น ซึ่งทิฏฐิของเราว่า บางสิ่งควรแก่เรา บางสิ่งไม่ควรแก่เราดังนี้ แล้วยืนยันโดยแข็งแรงว่า สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า เราก็พึงถือผิดจากสมณพราหมณ์สองพวกนี้ คือ สมณพราหมณ์ผู้มักกล่าวอย่างนี้ มักเห็นอย่างนี้ว่า สิ่งทั้งปวงควรแก่เรา ๑ สมณพราหมณ์ผู้มักกล่าวอย่างนี้ มักเห็นอย่างนี้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่เรา ๑. เมื่อความถือผิดกันมีอยู่ดังนี้ ความทุ่มเถียงกันก็มี เมื่อมีความทุ่มเถียงกัน ความแก่งแย่งกันก็มี เมื่อมีความแก่งแย่งกัน ความเบียดเบียนกันก็มี. วิญญูชนนั้นพิจารณาเห็นความถือผิดกัน ความทุ่มเถียงกัน ความแก่งแย่งกัน และความเบียดเบียนกันในตนดังนี้อยู่ จึงละทิฏฐินั้นเสียด้วย ไม่ยึดถือทิฏฐิอื่นด้วย การละ การสละคืนทิฏฐิเหล่านั้นย่อมมีได้ด้วยประการฉะนี้.
[๒๗๒] อัคคิเวสสนะ ก็กายนี้มีรูป เป็นที่ประชุมมหาภูตทั้งสี่ มีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด เจริญด้วยข้าวสุกและนมสด ต้องอบและขัดสีกันเป็นนิจ มีความแตกกระจัดกระจายเป็นธรรมดา ท่านควรพิจารณาโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก เป็นความเจ็บไข้ เป็นดังผู้อื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของว่างเปล่า เป็นของมิใช่ตน. เมื่อท่านพิจารณาเห็นกายนี้ โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก เป็นความเจ็บไข้ เป็นดังผู้อื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของว่างเปล่า เป็นของมิใช่ตนอยู่ ท่านย่อมละความพอใจในกาย ความเยื่อใยในกาย ความอยู่ในอำนาจของกายในกายได้.
เวทนา ๓
[๒๗๓] อัคคิเวสสนะ เวทนาสามอย่างนี้ คือ สุขเวทนา ๑ ทุกขเวทนา ๑ อทุกขมสุขเวทนา ๑. อัคคิเวสสนะ สมัยใดได้เสวยสุขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่สุขเวทนาเท่านั้น. ในสมัยใดได้เสวยทุกขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่ทุกขเวทนาเท่านั้น. ในสมัยใดได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ได้เสวยแต่อทุกขมสุขเวทนาเท่านั้น. อัคคิเวสสนะ สุขเวทนาไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา. แม้ทุกขเวทนาก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา. แม้อทุกขมสุขเวทนาก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา. อัคคิเวสสนะ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหน่ายทั้งในสุขเวทนา ทั้งในทุกขเวทนา ทั้งในอทุกขมสุขเวทนา เมื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี. อัคคิเวสสนะ ภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วอย่างนี้แล ย่อมไม่วิวาทแก่งแย่งกับใครๆ โวหารใดที่ชาวโลกพูดกัน ก็พูดไปตามโวหารนั้น แต่ไม่ยึดมั่นด้วยทิฏฐิ.
[๒๗๔] ก็โดยสมัยนั้น ท่านพระสารีบุตรนั่งถวายอยู่งานพัด ณ เบื้องพระปฤษฎางค์พระผู้มีพระภาค. ได้มีความดำริว่า ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคตรัสการละธรรมเหล่านั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งแก่เราทั้งหลาย ได้ยินว่า พระสุคตตรัสการสละคืนธรรมเหล่านั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งแก่เราทั้งหลาย เมื่อท่านพระสารีบุตรเห็นตระหนักดังนี้ จิตก็หลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน
ธรรมจักษุปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแล้ว แก่ทีฆนข- *ปริพาชกว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา. ทีฆนขปริพาชกแสดงตนเป็นอุบาสก
[๒๗๕] ลำดับนั้น ทีฆนขปริพาชกมีธรรมอันเห็นแล้ว มีธรรมอันถึงแล้ว มีธรรมอันทราบแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากความเคลือบแคลง ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อต่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางให้แก่คนหลงทาง หรือตามประทีปในที่มืด ด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอท่านพระโคดมจงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ดังนี้แล.จบ ทีฆนขสูตร ที่ ๔.
-----------------------------------------------------
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #8257 เมื่อ: 13 กุมภาพันธ์ 2556, 19:16:52 » |
|
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน
วันนี้นั่ง Nok Mini มาลงที่สนามบินบุรีรัมภ์ เพื่อเดินทางต่อไปที่จังหวัดสุรินทร์ ผู้โดยสารเกือบเต็มลำ ส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง
อากาศร้อนเลยทำให้การนั่งเครื่องบินเล็กสนุกดี คือเครื่องบินจะเต้นระบำ แต่ไม่มาก แต่ตอนลง- ขึ้น ก็เอาเรื่องเหมือนกัน
ที่สุรินทร์ อากาศร้อนแต่มัวทำงานเลยเวลามีน้อย ไม่ได้เห็นอะไรเลย
ช่วงเวลาจวนมืด ได้ไปเดินตลาดสด หาน้ำผลไม้ น้ำนมข้าวโพด และน้ำเต้าหู้ ซื้อไปรับประทาน และได้ซื้อปิ่นโตไปสามเถา ส้ม ดอกไม้ เพื่อจะเอาไปใส่อาหารที่ให้ทางโรมแรมทองธารินทร์ ทำให้เอาไปถวายท่านเจ้าคุณ ที่วัดบูรพาราม (วัดที่หลวงปู่ดุลย์ อตุโล บูรณะ) พรุ่งนี้เจ็ดโมงเช้า เพราะได้นิมนต์ ท่านเจ้าคุณเอาไว้แล้ว จำนวน ๓ รูป
วันนี้อาจารย์ถาวร ได้ โทรศัพท์มาว่าได้โอนเงินฝากไปทำบุญด้วยที่อินเดีย และให้นำเงินบางส่วนไปทำบุญพรุ่งนี้ที่วัดบูรพารม ให้ด้วย ก็จพกระทำตามที่ตั้งใจไว้ทุกประการ ขออนุโมทนา ด้วยครับ
และเช่นเดียวกัน คุณสุภาณี และคุณอรสา ได้ฝากเงินให้ช่วยเอาไปทำบุญให้ด้วย ที่ ๔ สังเวชนีย์ ที่อินเดีย ก็จะจัดการให้ตามนั้น ทุกประการ ขออนุโมทนา ด้วยครับ
วันนี้ที่โรงแรมทองธารินทร์ มีแขกมาพักเพื่อจะไปร่วมงานแต่งงานที่บ้านช้าง เนื่องในวันวาเลนไทล์พรุ่งนี้ ครับ
ราตรีสวัสดิ์ ทุกท่านครับขันติ โสรัจจะ
ธรรมที่ทำให้งาม ขันติ แปลว่า ความอดทน หมายถึง ความสามารถที่จะทนต่อความลำบาก มีจิตใจเข้มแข็งที่จะทำความดี และสามารถควบคุมตนเองได้โดย
๑. อดทนต่อความยากลำบาก คือ มีจิตใจเข้มแข็งที่จะทำงานให้ประสบความสำเร็จ
๒. อดทนต่อความเจ็บป่วย คือ อดทนต่อความเจ็บป่วยของร่างกายไม่ท้อแท้ ๓. อดทนต่อความเจ็บใจ คือ อดทนต่อการกระทำที่ผู้อื่นล่วงเกินเราโต้ตอบด้วยวิธีสันติ
๔. อดทนต่อกิเลส คือ อดทนต่อสิ่งต่างๆที่มายั่วยุให้หลงใหล อดทนต่อความโลภ อดทนต่อความโกรธและอดทนต่อความหลง
โสรัจจะ หมายถึง ความสงบเสงี่ยม ความมีอัธยาศัยงดงาม ความประณีตความเรียบร้อยรวมถึงความไม่หรูหรา
ขันติ โสรัจจะ เป็นธรรมสองข้อที่ไปด้วยกันเมื่อแปลจะได้ความหมาย ธรรมอันทำให้งาม
คนงาม ต้องงามดังนี้ ๑. มีจิตใจเข้มแข็งน่ายกย่อง
๒. มีวาจาไม่ก้าวร้าว ไม่หยาบคาย พูดในเรื่องที่สร้างสรรค์เป็นประโยชน์
๓. มีการกระทำที่อยู่ในกรอบที่เหมาะสม ตามขนบธรรมเนียม ประเพณี รู้กาลเทศะ
คนจะงามตามที่พระธรรมโกศาจารย์อธิบายคือ ๑. ขยันขันแข็ง กล้า ยอมตายถ้าถูกต้องชอบธรรม ๒. สุภาพ อ่อนโยน เชื่อฟังผู้เฒ่าผู้แก่ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ผู้อาวุโส
๓. กตัญญู กตเวที รับรู้คุณ แม้สิ่งไม่มีชีวิต แม้อุปสรรค ศัตรู
๔. มีศีล มีสัตย์ เปิดเผย บริสุทธิ์ใจ ๕. ประหยัด สันโดษ รู้จักทำสิ่งร้ายให้กลายเป็นดี คำนึงถึงประโยชน์และความจำเป็นในชีวิต ๖. มีเมตตา กรุณา มีน้ำใจ ไม่มีเขาไม่มีเรา ไม่ทำให้ตนเอง คนอื่นเดือดร้อน คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม
๗. อดกลั้น อดทน ด้วยใจแจ่มใส คอยได้รอได้
๘. เป็นฝ่ายยอมได้ให้อภัยได้ เพื่อให้อะไรๆ มันลงกันได้
๙. ไม่ตามใจกิเลส แต่เลือกข้างถูกต้องเป็นธรรม
๑๐. เป็นแบบฉบับในเรื่อง กิน อยู่ หลับ นอน เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นของชาวพุทธเอง
|
|
|
|
suriya2513
|
|
« ตอบ #8258 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2556, 01:08:38 » |
|
สุขสันต์วันเกิดครับ โปร.สิงห์ มานพ
|
[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี คลิ๊ก->
|
|
|
Pete15
|
|
« ตอบ #8259 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2556, 01:56:46 » |
|
ก็ ต้องตามมา Happy Birthday กันด้วยตามประเพณี อันดีงาม ตามหลังผู้อาวุโส ครับพี่ สิงห์
|
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #8260 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2556, 02:16:47 » |
|
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
อ้อย17
|
|
« ตอบ #8261 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2556, 04:34:57 » |
|
สุขสันตืวันเกิดค่ะ พี่สิงห์
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #8262 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2556, 08:33:14 » |
|
ทำบุญที่วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ (วัดหลวงปู่ดุลย์ อตุโล)
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #8263 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2556, 08:36:06 » |
|
วันนี้มีคนเกิด 14 กุมภาพันธ์ มาทำบุญด้วย สามท่าน เป็นเด็กชาย และหญิงสาววัยรุ่น ร่วมกันผม
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #8264 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2556, 08:40:14 » |
|
พระราชวรคุณ เจ้าอาวาสวัดบูรพาราม องค์ปัจจุบัน หลานหลวงปู่ดุลย์ อตุโล ได้สนทนาธรรมกับหลวงพ่อ เล่าให้หลวงพ่อฟัง ในสิ่งที่รู้ หลวงพ่อเมตตา ได้สอนอาการของจิต จิตเป็นหนึ่งเดียว จิตว่างเปล่า จิตพระอรหันต์ หลวงพ่อ ถามว่า ทำไมไม่บวช ก็ได้ตอบหลวงพ่อไปตามเป็นจริง ดังที่เคยเรียนให้ทุกท่านทราบ
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #8265 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2556, 08:43:57 » |
|
หลวงพ่อ ให้ตามดูจิต ตนเอง ให้รู้ทันตลอดเวลา ไม่ยินดียินร้ายในอายตนะ แต่ไม่ใช่แบบคนหูหนวก ตาบอด คือให้รู้ทันจิตตนเอง ไม่ปรุงแต่ง ตามอาการของจิต ที่เกิดขึ้นเมื่อสัมผัสทางอายตนะ ได้ถวายปัจจัย ถวายหลวงพ่อ และพระสองรูป องค์ละ 1000 บาท ได้ถวายเงินซ่อมแซมอุโบสถย์1000 บาท และ อาจารย์ถาวร-ญาณิศา ขอร่วมทำบุญ ซ่อมพระอุโบสถย์ ด้วย 500 บาท ได้เรียนให้หลวงพ่อทราบ ด้วย เช้นนี้ออากาศ ที่สุรินทร์ มีลมพัดเย็นสบายดีครับ
|
|
|
|
สมชาย17
|
|
« ตอบ #8266 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2556, 09:04:31 » |
|
สุขสันต์ วันเกิด ครับ พี่สิงห์ ขอให้เจริญในธรรมและบรรลุตามที่มุ่งหวังไว้
|
|
|
|
KUSON
|
|
« ตอบ #8267 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2556, 09:20:03 » |
|
สุขสันต์วันเกิดครับพี่สิงห์ เมื่อสองปีที่ผ่านมา พี่สิงห์ได้ทำบุญวันเกิดที่ประเทศอินเดีย มาปีนี้ได้ทำบุญวันเกิดที่เมืองไทย และจะได้ทำบุญวันมาฆบูชา(25 กพ 56)ที่เมืองออรังคบาดประเทศอินเดียเช่นเดิมครับ ขอให้โชคดีครับ
|
|
|
|
lek_adisorn
|
|
« ตอบ #8268 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2556, 09:29:58 » |
|
สุขสันต์วันเกิดครับพี่สิงห์
|
|
|
|
nok15
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 529
|
|
« ตอบ #8269 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2556, 12:07:57 » |
|
สวัสดีค่ะพี่สิงห์
|
|
|
|
pusadee sitthiphong
|
|
« ตอบ #8270 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2556, 13:39:06 » |
|
Happy Birthday ค่า มีความสุขมากๆนะคะ
|
pom shi 2516
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #8271 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2556, 16:01:25 » |
|
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอวยพรในกระทู้นี้ และบางท่านที่ได้ส่งข้อความมาทางโทรศัพท์ และมีบางท่านได้โทรศัพท์มาอวยพร
พรใดที่อวยพรให้พี่สิงห์ ขอพรนั้นจงบันดาลให้ท่านได้รับความสุข มีสุขภาพแข็งแรง และร่ำรวยเงินทองครับ
ขณะนี้นั่งอยู่ที่สนามบินอุบลราชธานี รอขึ้นเครื่องกับกรุงเทพฯ เวลา 17:25 น. ถึงกรุงเทพฯ ก็หกโมงครึ่ง ไม่มีนัดทั้งสิ้น เพราะเมื่อเช้าก็ได้ทำพิธีรับศีลแปด อีกครั้งจากท่านเจ้าคุณ ราชวรคุณ วัดบูรพาราม และท่านเจ้าคุณได้สอนเรื่องจิตเดียว จิตที่ว่างเปล่า จิตเป็นประภัสสร จิตอรหันต์ ได้ตั้งใจเอาไว้ว่า มาสุรินทร์ ครั้งหน้าจะอยู่สนทนาธรรมกับท่านนานๆ ผมเชื่อว่าหลวงปู่ดุลย์ ได้สอนท่านเอาไว้มาก และแนวความคิดของท่านตรงกับของผม เพราะเป็นสิ่งที่วิญยูชนย์ย่อมคิดแบบนั้น คือท่านได้ปรารภให้ฟังถึงพระสมัยนี้ติดอยู่ที่ภาพสัักการะ ชอบแสดงออกให้เห็นเป็นการแสดงไปเสียสิ้น ไม่ใช่พระนักปฏิบัติ ที่แท้จริงเลย มันก็เป็นความจริงทั้งสิ้นที่ท่านปรารภให้ฟัง
เขียนด้วย Samsung ไม่ถนัดครับ
ขอบคุณมาก สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #8272 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2556, 16:29:35 » |
|
อาจารย์ถาวร โชติชื่น อย่าลืมทวงหนังสือ ที่หลวงพ่อให้ จากผมด้วย ได้ทบทวนคำสอนในสิ่งที่ท่านได้ เมตตาสอนให้รู้ในวันนี้ สวัสดี
|
|
|
|
|
suriya2513
|
|
« ตอบ #8274 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2556, 21:14:06 » |
|
|
[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี คลิ๊ก->
|
|
|
|