Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #7975 เมื่อ: 05 มกราคม 2556, 08:06:51 » |
|
สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ที่รัก
อาจารย์รุ่งศักดิ์ แนะนำพี่สิงห์ ให้ซื้อ Ipad หลานชายแนะนำ Ipad
แต่ยอดขาย Samsung มากกว่า Ipad
พี่สิงห์ ไม่รู้ จึงซื้อ Samsung เพราะวันนั้น มันลดราคาลงไป 3,000 บาท
สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #7976 เมื่อ: 05 มกราคม 2556, 09:48:12 » |
|
สวัสดีครับ คุณสมเดช
คงไม่มีแรงตี หรอกครับ เพราะข้าวเย็นก็ไม่ได้กิน
ดังนั้น เวลาจะมาตีกอล์ฟกับพี่สิงห์ ห้ามให้ต่อ ตีแต้มเท่าพี่สิงห์
พี่สิงห์ ก็สู้ไม่ได้ เพราะวันธรรมดา ก็ตีน้อยลง มัวแต่ไปใส่บาตรพระตอนเช้า เลยไม่ได้ตีกอล์ฟ
อังคาร พุธ นัดมาเลยมาตีกอล์ฟ ด้วยกันสักครั้ง
แต้มเท่า ห้ามให้ต่อเด็ดขาด เพราะไม่มีแรงตี
สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #7977 เมื่อ: 05 มกราคม 2556, 10:21:15 » |
|
ตอบ "พระใบลาน" สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก
ในสมัยพุทธกาล มีพระรูปหนึ่ง มีความรู้ทางด้านพระวินัย และพระสูตรมาก มีพระลูกศิษย์มาก พระบวชใหม่มาฟังคำสอนของท่าน สามารถสำเร็จเป็นพระอริยะบุคคล ถึงขั้นพระอรหันต์ก็มาก แต่ตัวท่านเองยังเป็นพระเสขะ เพราะรู้มาก แต่ไม่ปฏิบัติเลย ทุกครั้งที่ประชุมสงค์ พระพุทธเจ้าจะทรงเรียกพระรูปนั้นว่า "พระใบลาน" (เรียกเป็นภาษาบาลี แต่จำไม่ได้แล้ว) พระพุทธองค์เรียกบ่อยครั้งขึ้น พระรูปนั้นก็อับอาย จึงหันกลับไปที่จะปฏิบัติธรรม ไปหาพระป่าที่ทำกรรมฐานที่เป็นพระอรหันต์ พระท่านก็ไม่สอนกรรมฐานให้โดยอ้างว่า ท่านก็รู้หมดแล้ว หาเอาเองซิ
สุดท้ายพระใบลานก็ไปกราบสามเณร รูปหนึ่ง(เป็นพระอรหันต์) ให้ช่วยสอนกรรมฐานให้ เณรท่านก็รับจะสอนให้แต่มีข้อแม้ว่า ต้องเชื่อฟังท่านทุกประการถึงจะสอนให้ พระใบลานก็ยอมรับข้อเสนอนั้น ยอมลดทิฏฐิลงมา เณรบอกให้ลงไปลุยน้ำในสระทั้งจีวร พระใบลานก็เดินลงไปในสระ แต่พอน้ำถึงเข่าพอให้จีวรเปียก สามเณรก็สั่งให้หยุด และให้ขึ้นจากสระมาหา แล้วท่านก็สอนกรรมฐานให้พระใบลาน ดังนี้
" มีอุโมงค์ ๖ ช่องทางเดิน มีสัตว์เข้าไปในอุโมงค์นั้น ถ้าเราจะจับสัตว์นั้นให้ได้ ต้องปิดอุโมงค์ทั้ง ๕ และเดินเข้าไปในอุโมงค์ช่องที่เปิดไว้ ก็จะสามารถจับสัตว์นั้นได้ " สามเณรแนะเพียงเท่านี้
พระใบลาน ก็ทราบได้ทันที เพราะท่านเชี่ยวชาญพระวินัย พระวิสูตรเป็นอย่างดี ก็ปฏิบัติตามนั้น สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ทันที นี่ละคือพระใบลาน คือ มีความรู้มาก แต่ไม่รู้จักหาจากตัวเอง หรือไม่ปฏิบัติ เที่ยวเสาะหา มันจะพบได้อย่างไร ถ้าผู้ใดลงมือปฏิบัติจริงๆ จะรู้ได้ด้วยตัวเอง ควรหยุดไปกราบอาจารย์ต่าง ๆ หยุดการอ่านหนังสือธรรมะ จงภวนาดูรูป-นามตัวเอง เป็นครู ก็จะค้นพบได้ เช่นเดียวกับที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบและเหล่าพระอรหันต์ทั้งหลาย ได้เองที่ศึกษาจิตตัวเรานี่ละ
สิ่งที่พระใบลานเข้าใจทันทีจากการที่สาเณรบอกกรรมฐานให้คือ ทวารทั้งหก ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเรานั้น เปรียบเหมือนอุโมงค์หกช่อง เราต้องปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย ทั้งห้านั้นให้มิด ด้วย เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ได้กลิ่น ได้สัมผัสสักแต่สัมผัส ให้คอยติดตามดูใจหรือศึกษาจิตตนเอง ว่าเกิดขึ้นอะไรกับใจก็ให้ตามรู้ อย่างเดียว ก็จะสามารถบรรลุพระอรหันต์ได้ พระใบลานคิดได้ก็ทำตามนั้นจึงบรรลุพระอรหันต์ (ผมตีความเองครับ ทั้งหมด ตามที่เข้าใจได้ ในพระสูตรหยุดเพียงแค่ สามเณรให้ปิดทวารทั้งห้า เดินเข้าไปในทวารที่สุดท้าย จะจับสัตว์ในอุโมงค์ได้เอง)
ตอนนี้มีคนแนะนำผมมาก ให้อ่านหนังสือเล่มนั้น ไปหาอาจารย์ท่านนี้ด้วยความหวังดีกับผม หรือหลายท่านก็ไปหาหนังสืออ่านมามาก ไปหาหลวงพ่อมามาก จนมีความรู้มาก แต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติให้ต่อเนื่องจริงๆ เลย จึงไม่รู้อะไรเลย คือไม่มีความก้าวหน้าทางธรรม
แต่พิสิงห์ เป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือ จะอ่านเฉพาะเวลาทำธุระส่วนตัวเท่านั้น ไม่ท่อง net ไม่ไปกราบพระอาจารย์ต่าง ๆ เลย เมื่อเกิดศรัทธาจากการอ่านพระไตรปิฎก และหนังสือหลวงพ่อเทียน ก็ได้กระทำตามนั้น ศึกษารูป-นามตนเอง จนสามารถรู้รูป-นาม ตนเอง ทราบพฤติกรรมของจิตตนเอง....... อีกมาก ก็เอามาบอกต่อ เพราะอะไรก็ตามที่อ่าน มันจำไม่ได้ อะไรที่เรากระทำแล้วรู้ขึ้นมา มันจำได้ไม่ลืม
ผมเองไม่อยากเป็นพระใบลาน ค้นคว้าไม่หยุดหย่อนมีความรู้ แต่ทฤษฎี ผมไม่ต้องการ ผมต้องการหาด้วยตัวเอง ตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน ตามพระไตรปิฎก ตามหลวงพ่อเทียน ตามหลวงปู่ดุลย์ และตามหลวงพ่อปราโมทย์ หลวงพ่อทั้งสามผมไม่เคยไปกราบท่านเลย แต่ผมศึกษาหนังสือของท่านก็เห็นจริงตามนั้น โดยเอามาจากตัวเองเปรียบเทียบ และรู้ว่าเดินมาถูกทางแล้ว เพราะสามารถรู้ เข้าใจ มีศรัทธาด้วยจิตตนเองอย่างแท้จริง จึงไม่ขอเป็นพระใบลานอีกแล้ว คือหยุดการแสวงหา ขอปฏิบัติธรรมดูจิตตนเองไปเรื่อย ๆ ศึกษารูป-นาม ตนเองตามที่หลวงพ่อและพระพุทธองค์ทรงสอนไว้ในพระไตรปิฎก ไม่หาที่อื่นอีกแล้ว พอแล้ว หยุดแล้ว
จะหา จะอ่าน ก็เพียงตัวประกอบเมื่อมีเวลาเท่านั้น เพื่อเป็นแนวทางว่าเราปฏิบัติถึงไหน ถูกต้องไหม? และตอนก็สามารถทราบได้เองว่า ทางไหนถูกต้องตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนหรือไม่ จึงขอมีศรัทธาต่อพระพุทธองค์ ตามคำสอนต่อไป ยึดพระไตรปิฎกเป็นหลัก
ก็เรียนให้ทราบ ผมไม่ได้ปฏิเสธแนวทางอื่น ๆ แต่ผมไม่อยากเสียเวลา ครับ
สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #7978 เมื่อ: 05 มกราคม 2556, 15:13:03 » |
|
พี่สิงห์ กลับ กทม. Boarding 17:40 น.
ตามตารางการบิน Boarding 15:55 น.
Nok Air เขาเปลี่ยนเวลาก็ต้องจำยอม ทำอะไรต่อ นัดใครไม่ได้ทั้งนั้น
วันนี้ได้ส่ง mail ไปหา Nok Air เพราะสาม สี่เดือนมาแล้ว ไม่ตรงเวลาตารางบินมากกว่าถึง 80% จึงขอให้ทางผู้บริหาร Nok Air เอาใจใส่หน่อย เพราะปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่เป็นไปตามตารางการบิน ก็ปัญหาเดิม ๆ ทั้งนั้น แต่แก้ไม่ได้ แสดงว่าไม่ใส่ใจจริง
ผมแนะนำให้ทาง Nok Air ให้ทุกแผนกที่เกี่ยวข้องทำ KPI และทำ Check List ตารางเวลาควบคุมการทำงานของพนักงาน เพื่อให้สามารถบินตามตารางบินได้ เพราะผมเชื่อสาเหตุส่วนใหญ่มาจากประสิทธิภาพของคนเป็นหลัก เครื่องบินมันจะเสียทุกวันเป็นไปไม่ได้
วันนี้ทั้งวัน ยังไม่เจอฝนเลย ครับ
สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #7979 เมื่อ: 05 มกราคม 2556, 20:42:57 » |
|
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน
พี่สิงห์ อยู่กทม. แล้วครับ ถึงบ้านเกือบสองทุ่ม ทั้งๆ ที่ควรจะถึงบ้านเพียง ห้าโมงครึ่ง เอง
และวันนี้ได้เห็นความวุ่นวายเกิดขึ้นบนเครื่องบิน Nok Air คือ
มีเครื่องใช้ไฟฟ้าสั่นตลอดเวลาในกระเป๋าผู้โดยสาร ทางกรมการบินไม่อนุญาติให้นำขึ้นเครื่องต้องให้ผู้โดยสารที่เป็นชาวต่างประเทศมาเปิดเอง ผลคือ Late ไปอีก 15 นาที จากที่ late ไปแล้วสองชั่วโมง
ผลที่ตามมาคือ ผู้โดยสารที่จะไปต่อ ไปเชียงใหม่ อุบลราชธานี และพิษณุโลก ร่วมสิบท่าน ตกเครื่องบินไปเสียครึ่ง ต้องหาเที่ยวบินใหม่ไปแทน นี่ละผลของการไม่เป็นไปตามตารางเวลา ต้องทำใจ มันเป็นเช่นนี้เอง
ผมเองก็ต้องทำใจว่าพรุ่งนี้ไม่ได้ไปตีกอล์ฟเช้ามืด เพราะยังไม่ได้ไปซื้อน้ำมันพาวเวอร์มาใส่เกียร์พวงมาลัย แต่จะโชคดี คือได้อยู่บ้าน มีโอกาสหุงข้าวใส่บาตรพระ และไม่ต้องเสียเงินไปตีกอล์ฟ แต่การตีกอล์ฟจะไม่ดีลงแน่นอน
ที่สนามบินดอนเมือง ตั้งแต่ Air Asia ย้ายมาเท่านั้น Taxi ไม่เพียงพอ ทั้ง ๆ ที่มี ๔ แถว เข้าแถวยาวมาก ต้องยืนคอยครึ่งชั่วโมง เป็นเช่นนี้นานมาแล้ว
วันนี้ Nok Air ที่ผมนั่งมามีผู้โดยสารเป็นฝรั่งค่อนลำ มาจากเกาะสมุย
ผู้โดยสารเต็มทุกเที่ยว ครับจากนครศรีธรรมราช ไป ดอนเมือง วันละแปดเที่ยว
ก็ดีเงินทองจะได้สะพัดจากการท่องเที่ยว
ได้เวลาสวดมนต์ทำวัตรเย็นแล้วครับ
ราตรีสวัสดิ์ครับ
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #7980 เมื่อ: 06 มกราคม 2556, 09:44:44 » |
|
สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน
วันนี้เป็นวันที่ปฏิบัติดี มีวาจาที่สุภาพ และสะบายใจ ได้ตื่นมาสวดมนต์ทำวัตรเช้า ได้เจริญสติ จิตแจ่มใส่ ได้หุงข้าวเอาไว้ใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน และเอาไว้รับประทาน
ได้ใส่บาตรพระที่ซอย ๑๘ และใส่บาตรเณรที่หน้าบ้าน
ถือว่าเป็นวันที่มีฤกษ์งามยามดีวันหนึ่ง เพราะว่างอยู่บ้าน ขอเขียนเรื่อง "การทำกรรมฐาน เดินจงกรม" ให้เทวดา วิญญาณที่ล่องลอยได้รับทราบ ได้เอาไปปฏิบัติ หรือ ให้กับทุกท่านที่ผ่านมาอ่าน ได้รับทราบ ลองเอาไปปฏิบัติดู ถ้าปฏิบัติแล้ว รู้สึกว่ามันเกิดกุศลกับจิต ก็เอาไปปฏิบัติต่อ แต่ถ้าเมื่อลองปฏิบัติดูแล้ว จิตเกิดอกุศล ก็จงละ เอาทิ้งไปเสีย ขอให้ท่านพิจารณาตามหลัก "กาลามสูตร" ครับ
และผมก็ขออนุญาติ ท่านผู้รู้ทุกท่าน เช่น อาจารย์รุ่งศักดิ์ ดร.สุริยา อาจารย์ถาวร คุณ Nok 15 และท่านอื่น ๆ ที่เป็นผู้รู้ ที่ไม่ได้ออกนาม ที่บังอาจเขียนเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้เป็นครูบาอาจารณ์ทางด้าน กรรมฐาน แต่อย่างใด อาจจะมีข้อผิดพลาด หรือผิดเพี้ยนไป หรือไปล่วงเกินคำสอนของหลวงพ่อต่าง ๆ ก็ต้องกราบขออภัย ด้วยรู้เท่าไม่ถึงการ
เพราะสิ่งที่เขียนนั้น เขียนตามจริตของตน ที่ปฏิบัติอยู่ ตามที่ตัวเองรู้ และเขียนจากจิตตนเองให้มันออกมาเอง ครับ
สวัสดีกรรมฐาน เดินจงกรม กรรมฐาน น่าที่จะหมายถึงวิธีการที่จะหาอะไร ๆ ที่มาให้จิตเกาะอยู่ชั่วคราว หรือเหมือนเชือกมามันจิตให้อยู่ชั่วคราว ทั้งที่เราไม่สามารถบังคับจิตได้เลย เพราะจิตคนนั้นว่องไว ไหลไปนั่น ไปนี่ตลอดเวลา ไม่สามารถบังคับได้เลย เพราะมันเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ มันเป็นอนัตตา หรือ
กรรมฐาน ก็คือ วิธีการที่เราจะระลึกอยู่ที่กาย ระลึกอยู่ที่ใจได้ สามารถที่จะแยก ความรู้สึกตัว ความคิด และสภาวะธรรม ให้รู้ได้ หรือให้ง่ายเข้าไปอีกก็คือ ให้เราออกจากโลกของความคิด มาอยู่กับโลกของความระลึกได้ที่กาย ที่ใจ ถึงแม้จะเป็นการชั่วคราวก็ตาม แต่ถ้าระลึกได้บ่อย จนจิตมันชอบ มันจะเป็นตามธรรมชาติ สามารถถอนออกจากโลกของความคิดได้ ถอนออกมาจากความยึดมั่นถือมั่นได้
กรรมฐาน นั้น มีมากมายหลายวิธีการ เช่น การเดินจงกรม การสร้างจังหวะ ๑๔ จังหวะของหลวงพ่อเทียน การพิจารณาลมหายใจเข้า-ออก การภาวนาพุทโธ การภาวนาด้วยการใช้การภาวนาด้วยคำต่างๆ แล้วแต่จริต เป็นต้น
จิต คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์
สังขาร หรือความปรุงแต่ง หรือความคิด เกิดจาก เพราะความไม่รู้(อวิชชา) ต่าง ๆ เช่น ไม่รู้อริยสัจ ๔ ไม่รู้เมื่ออายตนะทั้ง ๖ เมื่อได้สัมผัสรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย ใจนึกคิด เป็นต้น เป็นเหตุ-ปัจจัย ตามหลักปฏิจจสมุปบาท หรือวงจรทุกข์ จึงคิด
สติ คือ การระลึกได้ที่กาย ที่ใจ ณ ปัจจุบัน คือไม่หลงตนลืมตัว หลงอยู่ในความคิด
สภาวะธรรม คือ อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิต และสามารถที่จะแสดงออกทางกาย ทางวาจาได้(ถ้าไม่รู้ตัว) มีทั้งอารมณ์ที่เป็นกุศล และอารมณ์ที่เป็นอกุศล
เวทนา คือ สิ่งที่จิตรับรู้ได้ว่านี่สุข ว่านี่ทุกข์ ว่านี่ไม่สุขไม่ทุกข์
ธรรมชาติของจิต คือ ไม่หยุดนิ่ง จิตชอบแต่ความสุข สะดวก สะบาย จิตมีความอยากไม่สิ้นสุด โดยเฉพาะจิตโลภ จิตหลง
กิเลสคือ สิ่งที่เกาะติดที่จิต แล้วทำให้จิตเศร้าหมอง
อายตนะ ภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
อายตนะ ภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่มากระทบกาย และสิ่งที่สัมผัสได้ทางใจ
รูป คือ ร่างกายที่มีอวัยวะ ๓๒ ที่เกิดจากการประชุมของมหาธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เขาเรียกว่ามนุษย์
นาม คือ จิต ไม่มีรูป จับต้องไม่ได้ ไม่มีตัวตน บังคับไม่ได้ ประกอบด้วย เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
ตัวทุกข์ คือ อุปทายขันธ์ ๕ คือ รูป-นาม
มนุษย์ส่วนมาก หลงอยู่ในโลกของความคิดตั้งแต่ตื่นนอน จนกระทั่งหลับไป แม้ฝันก็ยังหลงอยู่ ด้วยความเคยชิน จึงไม่สามารถแยกออกมาได้เลยจากความคิด
น้อยคนนักที่จะแยกออกจากความคิดได้ว่า ยังมีโลกของความรู้สึกตัวที่กาย-ใจ อีกโลกหนึ่ง ที่ปราศจากการปรุงแต่ง
ก็ร่ายยาวเพื่อเป็นพื่นฐานเอาไว้ก่อนให้ท่านเข้าใจครับ
กรรมฐาน เดินจงกรมนั้น
ท่านจะเดินกอดอกก็ได้ ท่านจะเดินจับมือไพล่หลังก็ได้ แต่ระวังเรื่องการทรงตัว มีข้อดีคือ จะเหลือเพียงการเคลื่อนเท้า หยุดเท้าเพียงอย่างเดียว ที่จิตจะมีที่เกาะ สร้างความรู้สึกตัว
ท่านเดินเอามือจับกันที่หน้าท้อง เดินก้มหน้านิดหนึ่ง มองไปไม่ไกลกว่า หกก้าว เป็นภาพที่สวยงามเจริญตา แต่ท่านไปเพ่งมัน ไปจ้องมัน ไปบังคับมัน ไม่เป็นธรรมชาติ จิตไม่ชอบ
ท่านเดินปล่อยแขวนธรรมดาให้มันเป็นธรรมชาติ ลมมากระทบแขนก็รู้สึกตัวได้ เท้าเคลื่อนไหว-หยุดก็รู้ตัวได้ รู้สึกสะบาย(จิตชอบ) จิตจะมีที่เกาะระหว่างแขนและเท้า ก็ดีไปอย่าง
จังหวะในการเดิน คือเดินให้เป็นจังหวะธรรมชาติ ที่จิตมันชอบ นั่นแหละดีที่สุด คือเดินเป็นปกติที่ท่านเดินอยู่นั่นเอง
เดินเร็ว เดินช้า เท่ากับเราไปบังคับมันด้วยความอยาก ไม่สมควร ทุกสิ่งต้องเป็นธรรมชาติ ที่จิตมันชอบ
เวลาเดินให้ระลึกอยู่ที่การเคลื่อนไหวเท้าก็รู้ เท้าหยุดก็รู้ ก้าวเท้าก็รู้ ไม่จำเป็นต้องภาวนาอย่างใด เพราะเป็นการเพิ่มงานให้จิต และเป็นการบังคับด้วยความอยาก ไม่จำเป็น
เวลาเดินจะมองอะไรก็ได้ ปล่อยอายตนะ ๖ ให้เป็นธรรมชาติ
ทำอย่างนี้ไปเรื่อง ๆอยู่กับ "รู้" และ "หลง" จนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิเอง คือ อยู่กับ "รู้" มากขึ้น(รู้สึกตัวที่กาย-ใจ)
อ้ออย่าลืม กรรมฐานของเณรที่สอนพระใบลาน คือ ท่านต้องปิดทวารทั้ง ๕ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย เอาไว้ ดร.สุริยา อาจจะแย้งว่า ถ้าอย่างนั้น คนหูหนวก ตาบอด ก็บรรลุธรรมได้
ไม่ใช่อย่างนั้น เราไม่ได้ปิดสนิท เพราะเราตาไม่บอด หูไม่หนวก มันต้องได้เห็น ได้ ยิน ได้ฟัง ได้สัมผัส มันเป็นธรรมชาติ แต่เณรท่านให้ปิดอุโมงค์ทั้ง ๕ คือ เมื่อตาได้เห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น ไม่มีการปรุงแต่งต่อ เมื่อได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ไม่มีการปรุงแต่งต่อ เมื่อได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่นไม่ปรุงแต่งต่อ เมื่อได้ลิ้มรสก็สักแต่ว่าได้ลิ้มรส ไม่ปรุงแต่งต่อ เมื่อมีอะไรมาสัมผัสทางกายสักแต่ว่าได้สัมผัสทางกาย ไม่ปรุงแต่งต่อ คือ รับรู้เท่านั้น แล้วปล่อยวาง ไม่อยากจะไปรู้ต่อ
เปิดทวารที่ ๖ คือ ใจ เอาความรู้สึกตัว(ระลึกได้ที่กาย) มาดูจิตตนเอง ปล่อยให้มันคิด เมื่อคิดท่านก็รู้ว่าคิด เมื่อทุกข์ (เพราะเดินมานานแล้ว) ท่านก็รู้ว่าทุกข์ เมื่อมันไม่คิดท่านเกิดความสุขที่ก็รู้ว่าความสุข
ทำอย่างนี้จนท่านสามารถเป็นจิตผู้รู้ หรือจิตตื่น คือรู้ว่านี่ความรู้สึกตัว นี่ความคิด นี่สภาวะธรรม นี่เวทนา อะไรเกิดขึ้นที่กาย-ใจ ท่านก็รู้ จากรู้ได้ช้าในระยะแรก ๆ จะรู้ได้เร็วขึ้น หรือเร็วเท่าๆ กับสิ่งที่เกิด เพราะจิตมันตื่นมันจำสภาวะธรรมได้เอง
มันง่าย ๆ แบบนี่ละการปฏิบัติธรรมสร้าง กรรมฐาน เดินจงกรม อย่าไปทำอะไร ๆ ให้มากไปเลย จิตมันไม่ชอบ ต้องสร้างกรรมฐานตามที่จิตมันชอบ ไม่อยาก ไม่เพ่ง ไม่บังคับ ทำให้สะบาย ๆ ตัวรู้มันจะเกิดขึ้นเอง
จบห้วน ๆ แบบนี้ละ
ลืมบอกไปแล้วท่านจะรู้อะไร ๆ ในเรื่องธรรม ตามมาอีกเพราะท่านเจริญปัญญาได้แล้ว หมายความว่าเกิดเป็นสติปัฏฐาน คือ มีทั้งสติ- และปัญญา
ถ้าท่นโชคดี มีวาสนาท่านจะเห็นรูป-นาม จะเห็นไตรลักษณ์ ซึ่งเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ท่านยังไม่เกิดปัญญา จึงไม่เห็น
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ท่านต้องถือศีล ๕ อย่างน้อย เพราะ "มาร" หรือ "กิเลส-ตัณหา"มันจะมาผจญมากมาย ท่านจะมีศีลเป็นเกราะป้องกันจิตตนเอง
ขอกุศลจงเกิดกับท่าน ที่ลงมือปฏิบัติจริง
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #7981 เมื่อ: 06 มกราคม 2556, 11:10:47 » |
|
ผมร้องเรียนกับใครไม่ได้ ขอร้องเรียนต่อ ดร.สุริยา ก็แล้วกัน
เรื่องที่ ๑ ปกติผมนั่งรถเครื่องจาก บ้านไปซอย ๑๒ ไปบิ๊กซี เสียค่ารถเครื่อง ๑๐ บาท ตอนนี้ขึ้นไปเป็น ๑๕ บาท
ปกติผมนั่งรถเครื่องจาก บ้านไปซอย ๒ รถไฟฟ้าใต้ดิน เสียค่ารถเครื่อง ๒๐ บาท ตอนนี้ขึ้นไปเป็น ๓๐ บาท
ขณะที่รายได้ผม คงเดิม และอาจจะลดลง ผมก็แก้โดยอยู่บ้านมากขึ้นเท่านั้น ไม่ไปไหนเลย
เรื่องที่ ๒ เมื่อตอนสี่โมงเช้า ผมเจอคุณวิศณี มาฟ้องว่า "อา ๆ ปีใหม่หนึ่งซวยจังเลย โดนคนขับรถคันแรกมาชนรถหนึ่ง และบอกว่า หนูไม่มีใบขับขี่"
เรื่องที่ ๓ ดร.สุริยา ก็ทราบปัญหา
พี่ติ๋วบอกว่า ตอนนี้คนใช้ซึ่งเป็นชาวกะเหรี่ยง ประเทศเมียนม่า กำลังจะขอขึ้นค่าแรงเป็นสามร้อยบาทต่อวัน ตามที่รัฐบาลประกาศ และขอหยุดวันอาทิตย์ ส่วนทางพี่ติ๋ว ก็แย้งว่า ถ้าจะเอาอย่างนั้นก็ได้ แต่เธอต้องพักข้างนอก และเอาอาหารมากินเอง !
ตอนนี้บ้านไหนที่มีคนรับใช้กำลังเดือดร้อนหนัก เพราะคนใช้ยืนข้อเสนอขอขึ้นเงินเป็น ๓๐๐ บาท ต่อวัน ไม่มีคนใช้ก็อยู่ไม่ได้ ถ้าขึ้นเงินให้สามร้อยบาท ก็ไม่ยุติธรรม เอาละวะ ยุ่งตายห่ากันละคราวนี้ พวกบ้านเศรษฐี
เรื่องที่ ๔ ค่าแรงขั้นต่ำสามร้อยบาท
ตอนนี้อุตสาหกรรมก่อสร้างปัญหาหนัก กรรมกรจะเอาสามร้อยบาทกันทุกคน แต่นายจ้างแย้ง วันหนึ่งทำงานเพียง ไม่เกิน ๔ ชั่วโมงจาก ๘ ชั่วโมง เพราะขี้เกียจ!
การซื้อ-ขาย หยุดชะงักในราคาวัสดุ และผู้รับเหมา เพราะราคาวัสดุที่ขึ้นรับไม่ได้ ขาดทุน คนงานขอเงินเพิ่มก็ขาดทุน
สำหรับโรงงานคอนกรีตอัดแรงที่เกี่ยวข้องกับผมทำได้เพียง ขอจ่ายค่าแรงเหมาเป็นต่อหน่วยคอนกรีต ไม่เป็นค่าแรงรายวัน แต่ถ้าคนงานทำงานต่อเนื่อง ๖ ชั่วโมง ใน ๘ ชั่วโมงจะได้รับค่าแรงมากกว่า ๓๐๐ บาท ไม่เอาก็ไม่จ้างต่อ ทำได้แค่นี้ครับ เพราะค่าแรงรายวันรับไม่ได้ เพราะไม่คุ้ม เนื่องจากขึ้นราคาขายสินค้ามากก็ไม่ได้ ไม่มีผู้ซื้อ คนงานก็อู้งาน ปิดเป็นปิด
ตามโรงแรม ห้องจัดเลี้ยงที่เคยมีพนักงานสามคนก็ลดลงเหลือ สองคน แต่ถ้าโรงแรมไหนไม่ลดบุคคลากร ก็ขึ้นราคาสูงขึ้น คนก็จะมาใช้บริการน้อยลง เพราะไม่มีเงินเหมือนกัน
ดังนั้น หนึ่ง สอง สามเดือน จากนี้ ธุรกิจจะปิดกิจการมาก คนงานตกงานมาก อยู่ในช่วงปรับตัวว่าใครจะรับสภาพได้และ
แน่นอน รากหญ้าที่ไม่มีรายได้ประจำคือเงินเดือน และข้าราชการบำนาญ เดือดร้อนเพิ่มขึ้นเพราะรายจ่าย ขึ้นราคาสินค้า เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น จะอยู่กันอย่างไรดี
กรรม คือการกระทำ ใครทำกรรมดีก็ตาม กรรมชั่วก็ตาม ย่อมได้รับกรรมนั้น
แต่ผมไม่ได้เลือกรัฐบาลชุดนี้ ผมก็ต้องรับกรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อ กรรมจริง ๆ
ดร.สุริยา พิจารณาด้วย
สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #7982 เมื่อ: 06 มกราคม 2556, 20:38:24 » |
|
สวัสดียามค่ำครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน
วันนี้อยู่บ้านทั้งวันอากาศดีครับ เงินทองเป็นของหายาก ยิ่งเราพ้นวัยย์ที่จะทำอะไร ๆ ได้แล้ว การอยู่บ้านดีที่สุด ประหยัดดี ออกนอกบ้านมีแต่เสียเงิน
วันนี้เป็นวันหยุด เงียบเหงา คงจะพักผ่อนกับครอบครัว มันเป็นสิ่งที่ดี ทึ่ควรกระทำ
สำหรับผม ไม่มีครอบครัว มีเพียงหลานสาวมาอยู่ด้วย ก็คอยหุงข้าว หากับข้าวมาให้รับประทาน เท่านั้นเอง ในแต่ละวัน ที่ผมจะทำได้ ทำให้ตัวเอง และใส่บาตรพระตอนเช้า
ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ หรืออ่านข่าวทาง net ผมไม่ได้ดู ไม่ได้อ่าน ไม่ได้ฟังเลย ทั้งสิ้น มันผิดศีล ข้อที่ ๗
นัจจะ คีตะ วาทิตะ วิสูกะ ทัสสะนะ มาลา คันธะ วิเลปะนะ ธาระณะ มัณฑะนะ วิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี, เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการฟ้อนรำ, การขับเพลง, การดนตรี, การดูการเล่นชนิดเป็นข้าศึกต่อกุศล, การทัดทรงสวมใส่, การประดับ การตกแต่งตน, ด้วยพวงมาลา ด้วยเครื่องกลิ่นและเครื่องผัดทา;
ส่วนใหญ่อยู่กับการสร้างความรู้สึกตัว มีสติ คอยดูจิตไปด้วย อะไรเกิดขึ้นก็รู้ตัวไป เพราะไม่มีอะไรจะทำ หรือไม่ก็เข้าเวบ การเข้าเวบมันก็เผลอ หลงอยู่ในความคิด กับรู้ ก็ไม่เป็นไร หลงบ้าง รู้บ้าง ธรรมชาติจิตมันเป็นอย่างนั้น จิตมันชอบคิด เราก็รู้ให้มากเอาเข้าไว้
เอ้าเผลออีกแล้ว แต่พอเรารู้ว่าเผลอ ความเผลอมันก็หายไป กลับมารู้อีกแล้ว มันอย่างนี้ละ
ค่ำนี้ รู้สึกว่าอากาศเย็นลงอีกครับ เพราะสัมผัสได้ทางกาย
นึกขึ้นได้ว่า อยากจะพูดเรื่อง "เมตตา" เพราะก็เพิ่งรู้ว่าในหลวงท่านบอกให้ มี "เมตตา" ต่อกัน ท่านมีกระแสพระราชดำรัสสองครั้ง และระบุใน ส.ค.ส. อีกหนึ่งครั้ง
พระพุทธองค์ทรงสอนว่า "เมตตาธรรม เป็นเครื่องค้ำจุนโลก" สังคมโลก จะสงบได้ มนุษย์ต้องมีเมตตา ต่อกัน
เมตตา เป็นหนึ่งใน พรหมวิหาร ๔ ประกอบด้วย
เมตตา คือมีความปราถนาให้ผู้อื่นประสบแด่ความสุข
กรุณา คือมีความปราถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
มุฑิตา คือ ร่วมแสดงความยินดีต่อผู้อื่นที่ประสบความสุข ความสำเร็จ ไม่อิจฉาริษยา
อุเบกขา คือ วางตัวนิ่งเฉย เป็นกลาง ไม่ยินดียินร้าย ไม่เอนเอียงข้างใดข้างหนึ่ง
ตอนนี้ประเทศไทยต้องการให้ประชาชนแต่ละคน แต่ละฝ่าย อยู่ในพรหมวิหาร ๔ เป็นอย่างยิ่ง ความปรองดองจึงจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ความปรองดองไม่ได้เกิดจากการแก้กฏหมาย การลงประชามติ เพราะมันจะสร้างเงื่อนไขเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก ปัญหาจะยิ่งเกิดขึ้นมากกว่า
แต่อนิจจา คนคิดไม่เหมือนกัน และคิดว่าตัวเองคิดถูกเสมอ ผู้ที่เห็นต่าง คือผู้ผิด นี่ละจิตมนุษย์
เป็นอันว่าเรา อยู่ในพรหมวิหาร ๔ ของเราก่อนก็แล้วกัน
ได้เวลาสวดมนต์ทำวัตรเย็น ก่อนนอนแล้วครับ
ราตรีสวัสดิ์ครับ
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #7983 เมื่อ: 06 มกราคม 2556, 20:42:27 » |
|
สวัสดีค่ะ คุณน้อง Nok15 ที่รัก
ถ้าเธอไม่มีอะไรจะทำ วันจันทร์ที่ ๑๔ มกราคม เวลา 13:00 - 16:00 น. พี่สิงห์ ต้องไปช่วยสอนแทนน้องสาว สอน "ชิกง" ให้กับข้าราชการสิงห์บุรี ที่เกษียรอายุราชการแล้ว ที่ศาลากลางหลังเก่า ถ้าเธอสนใจ สามารถไปร่วมได้ครับ
สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #7984 เมื่อ: 06 มกราคม 2556, 20:45:12 » |
|
สวัสดีครับ คุณเหยง
อย่าลืมขึ้นค่าแรงให้กับคนงานชาวพม่า เป็น ๓๐๐ บาท ต่อวันด้วยนะ ถ้าไม่ทำมันผิดกฏหมาย
สวัสดี
|
|
|
|
suriya2513
|
|
« ตอบ #7985 เมื่อ: 06 มกราคม 2556, 21:29:08 » |
|
ผมจะไปจัดการอะไรได้เล่าครับ "เหนือเมฆ 2" ผมก็ไม่ได้ดูซะด้วย
|
[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี คลิ๊ก->
|
|
|
suriya2513
|
|
« ตอบ #7986 เมื่อ: 06 มกราคม 2556, 21:38:16 » |
|
...ความทุกข์ที่เกิดขึ้นต่อให้มากมายสักเท่าไร มันก็แค่ผ่านมาให้เราได้เรียนรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วมันก็ผ่านไปเป็นเพียงทุกข์ที่ผ่านมาเท่านั้น อย่าทำร้ายทำลายใจตนเองด้วยการย้ำทุกข์ ย้ำคิดวกไปวนมา แบกใจที่หนักไปด้วยความกังวล แบกใจด้วยความเศร้าหมอง แบกใจไว้ด้วยกิเลสตัณหา แบกมากมันก็หนักมาก ปล่อยได้ วางบ้าง มันก็เบาของมันเอง ใจเราเองต้องรู้จักพิจารณาด้วยตัวเราเอง จะให้ใครเขาเข้าไปนั่งในใจ พิจารณาให้มันก็เป็นไปไม่ได้...
ลอกเขามา จาก FaceBook "คติธรรมนำชีวิต"
|
[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี คลิ๊ก->
|
|
|
nok15
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 529
|
|
« ตอบ #7987 เมื่อ: 06 มกราคม 2556, 21:45:04 » |
|
คิดว่าพี่สิงห์น่าจะร้องเรียนท่านนี้ได้นะคะ. โปรดติดตาม
|
|
|
|
nok15
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 529
|
|
« ตอบ #7988 เมื่อ: 06 มกราคม 2556, 21:46:41 » |
|
เขาเลยล่ะ พี่สิงห์อาจจะลืมเขาไป
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #7989 เมื่อ: 07 มกราคม 2556, 08:24:12 » |
|
เหนือเมฆ ๒ ไม่รู้จัก ทั้งสิ้น
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #7990 เมื่อ: 07 มกราคม 2556, 08:37:29 » |
|
ขอสรรเสริญที่ ดร.สุริยา นำคติธรรมนี่มาลงเอาไว้
ถึงจะไปลอกเขามาก็ตาม เพราะจิตมันจำได้เอง ด้วยจิตที่อยากรู้
"สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่ง ๆ นั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา"
นี่เป็นความจริงแท้แน่นอน ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากเหตุ-ปัจจัย เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ทรงระยะเวลาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เมื่อไม่มีปัจจัยให้คงอยู่ เช่นการปรุงแต่ง หรือการกระทำ มันก็จะดับไปเอง ไม่มีอะไรจิรังยั่งยืนทั้งสิ้น ทุกสิ่งไม่ว่าความสุข ความทุกข์ เฉย ๆ ความรู้สึกตัว(มีสติ) สภาวะธรรม ก็ตาม เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นธรรมดา เป็นของชั่วคราวทั้งนั้น เมื่อเป็นของชั่วคราว เราไม่ควรจะไปยึดมั่นถือมั่นกับมันทั้งสิ้น ควรที่จะปล่อยวางลงเสีย เมื่อปล่อยวางจิตมันจะคลายกำหนัด (สิ่งที่ยินดีเนื่องจากสัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ลงได้ ความสุขที่แท้จริงจะบังเกิดได้
บางครั้งอยู่เฉยๆ จิตมันก็เผลอหลงอยู่ในความคิด สงสัยเราอยู่คนเดียวในเวบ ไม่มีใครมาเจรจาด้วยเลย เราบ้าอยู่คนเดียว อย่ากระนั้นเลย ทำอะไร ก็ได้ ให้คนเข้ามา การเผลอมันเป็นอย่างนั้น จิตมันชอบ
แต่เมื่อ "รู้" ขึ้นมาว่าเราเผลอไปอีกแล้ว ความปกติแห่งกาย วาจา ใจ ก็มา อยู่ ณ ปัจจุบัน
มันเป็นอย่างนี้ละ ล้วนเป็นของชั่วคราวทั้งสิ้น ไม่ละเว้น ไม่น่ายึดถือเลย
มีเรื่องให้เขียนจนได้ เช้านี้ หลังจากใส่บาตรพระที่หน้าบ้านเสร็จ
สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #7991 เมื่อ: 07 มกราคม 2556, 08:42:31 » |
|
สวัสดีค่ะ คุณน้อง Nok 15
ไม่ลืมหรอก
เธอคิดดูซิ ทั้งวันไม่มีใครมาเขียนอะไรเลย มีพี่สิงห์ อยู่คนเดียว เขียนตั้งแยะ
มันก็ต้องหาวิธีให้คนเข้ามา ก็ยกเอาสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ที่ประสบ ที่เราต้องอยู่กับมัน มาเป็นบทตั้งให้คนคิด
มันก็เป็นความจริง นี่ละจิตคนที่แท้จริงละ!
สวัสดี
|
|
|
|
สมชาย17
|
|
« ตอบ #7992 เมื่อ: 07 มกราคม 2556, 09:39:52 » |
|
|
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #7994 เมื่อ: 07 มกราคม 2556, 10:10:22 » |
|
ขอนอกเรื่อง
เงินเราก็หามาแยะแล้ว เก็บเอาไว้ที่ สมาคมฯ เฉย ๆ ก็มากอยู่ไม่ก่อประโยชน์
ควรจะนำเงินส่วนหนึ่ง บริจาคในนามสมาคม แทนชาวซีมะโด่ง ทุกคน ในการจัดซื้อเก้าอี้โรงอาหาร ครั้งนี้
ถ้าใครมีจิตศรัทธาเพิ่ม แจ้งให้ทราบเรืองเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องลงชื่อในการบริจาค ให้ทราบ
การลงชื่อมันเป็นเรื่องของตัณหา อยากมีชื่อ อยากได้สรรเสริญ ให้ทุกคนได้ทราบกัน
จริงอยู่ จำนวนเงินมาก-น้อยไม่สำคัญ แต่มันก็ทำให้หลายคนไม่กล้าบริจาค เช่น ผมเป็นต้น(เพราะยังมีกิเลสอยู่) มีเงินจำกัด บริจาคน้อย ดร.สุริยา ก็ค่อนแคะเอา ไม่ดีเลย จึงอุเบกขาเอาไว้ด้วยความอดทน
อย่าลืมธรรมชาติของจิต คนเราคิดไม่เหมือนกัน
สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #7995 เมื่อ: 07 มกราคม 2556, 11:39:51 » |
|
เรียนเชิญทุกท่าน รับประทานอาหารกลางวัน กับผมครับ จะเลยเที่ยงแล้ว
วันนี้รับประทาน ไข่เจียว ผัดหมี่ ผักสด น้ำพริกเผา และข้าวกล้อง คลุกให้เข้ากัน
ไม่สนใจอะรไร ๆ ทั้งนั้น ก็อยู่ได้แล้วครับ
สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #7996 เมื่อ: 07 มกราคม 2556, 11:54:35 » |
|
สวัสดีปีใหม่ ครับ คุณสมชาย
หวังว่าเธอและภรรยา มีความสุข นะครับ
มันเป็นยุทธวิถี ให้เสือแสดงตัวตน ครับ
สวัสดี
|
|
|
|
สมชาย17
|
|
« ตอบ #7997 เมื่อ: 07 มกราคม 2556, 15:11:51 » |
|
สวัสดีครับ พี่สิงห์ ยุทธวิธีนี้ิดีมากครับ พี่ป๋องจะได้แสดงตนบ่อย
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #7998 เมื่อ: 07 มกราคม 2556, 19:19:38 » |
|
สวัสดีตอนค่ำครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน
อย่าลืมนะครับตอนเย็นต้องรับประทานอาหารเย็นให้เสร็จก่อนหนึ่งทุ่ม จะได้มีเวลาให้อาหารย่อยได้เรียบร้อยก่อนที่ท่านจะเข้านอนในเวลา สาม-สี่ทุ่ม ใช้เวลาในการย่อยอาหาร ๒.๕ - ๓ ชั่วโมง ถ้าเป็นเนื้อก็ใช้เวลานานหน่อย
สำหรับผมหมดกังวลเลยมื้อเย็น ไม่รับประทานครับ
การรับประทานอาหารเย็น ควรเป็นอาหารที่เบา ๆ มีเส้นใยมาก ๆ มีแป้ง - โปรตีน น้อย ๆ คือ รับประทานผัก หรือผลไม้นั่นเอง ดีที่สุด และไม่กินอิ่ม เอาเป็นพอประมาณก็พอ
แต่พฤติกรรมของมนุษย์ มันตรงกันข้ามเลย มื้อเย็นเป็นมื้อที่ต้องฉลอง รับประทานมาก ๆ เพราะมีเวลา และต้องอร่อยมาก ๆ ด้วย ดังนั้น โรคเรื้อรังต่าง ๆ มันจึงเกิดขึ้นแน่นอน หลีกกนีไม่พ้น
ยกเว้นคนที่จิตมันเห็นความจริงอันนี้แล้ว จิตมันไม่ชอบ จิตมันปล่อยวาง ท่านก็จะมีสุขภาพที่ดี ครับ
มีพระสูตร ที่พระพุทธองค์ทรงเทศน์ที่สำคัญ อยู่สามพระสูตร ผมกำลังพิจารณาว่าจะเอามาให้ทุกท่านได้อ่านอย่างไร เพราะสาระมันมาก ต้องใช้เวลาในการพิมพ์ของผมพอสมควร แต่มันสำคัญ เพราะสามารถทำให้จิตมันคลายกำหนัด ปล่อยวาง สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เลยทีเดียว ขอให้ทุกท่านคอยติดตามก็แล้วกัน จะยังไม่บอกรายละเอียดให้ทราบ
ได้เวลาฟังธรรม สวดมนต์ทำวัตรเย็น และเจริญสติ ก็ขอลาทุกท่านไปก่อนครับ วันนี้
ราตรีสวัสดิ์ครับ
|
|
|
|
kumpolcomcai
Global Moderator
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
คิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี อยู่ในสถานที่ดีดี
ออฟไลน์
รุ่น: 2525
คณะ: สัตวแพทยศาสตร์
กระทู้: 10,307
|
|
« ตอบ #7999 เมื่อ: 07 มกราคม 2556, 19:57:24 » |
|
พี่สิงห์ครับ ขึ้นศักราชใหม่ ปีพ.ศ.2556 เรามีประชุมคณะกรรมการบริหารสมาคมซีมะโด่ง ในวันพรุ่งนี้ วันอังคารที่ 8 มกราคม 2556 ที่ห้องประชุม 2 สำนักงานหอพักนิสิตจุฬาฯ และถือโอกาสนี้จัดงานสังสรรค์ปีใหม่ในวันนี้ด้วย ที่สนามหญ้าข้างบ้านอาจารย์เผ่า งานเริ่มเวลา 6 โมงเย็นเป็นต้นไป ในบรรยากาศกันเองแบบชาวหอซีมะโด่งครับ มีกิจกรรมแลกของขวัญ รับประทานอาหารร่วมกัน และร้องเพลงคาราโอเกะ จึงเรียนเชิญพี่สิงห์์มาร่วมงาน ร่วมพบปะสังสรรค์ และเป็นขวัญกำลังใจให้แก่คณะกรรมการสมาคมฯ ทราบมาว่า พี่สิงห์ไม่รับประทานอาหารเย็น ไม่ขับร้องเพลง ไม่ฟังเพลง แต่พี่สิงห์น่าจะได้ให้พรปีใหม่ซึ่งจะเป็นพลังบุญแก่พี่น้องซีมะโด่งทุกคนที่มาร่วมงานครับ ถ้าพี่มีเวลา และไม่รบกวนพี่มากจนเกินไป ขอบพระคุณครับ หมอตุ่น ตัวแทนกรรมการบริหารสมาคมฯชุดปัจจุบัน
|
|
|
|
|