22 พฤศจิกายน 2567, 14:53:18
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 280 281 [282] 283 284 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3545249 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #7025 เมื่อ: 28 กันยายน 2555, 08:53:29 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 26 กันยายน 2555, 09:10:07
อ้างถึง
ข้อความของ jamsai เมื่อ 25 กันยายน 2555, 11:26:42


๑. สวัสดีค่ะพี่สิงห์ ติดตามอ่านอยู่บ่อยๆ ก็ได้เรียนรู้กับพี่สิงห์ไปเรื่อยๆ ขออนุโมทนากับความก้าวหน้าในเส้นทางที่พี่สิงห์เดินอยู่ และดีใจด้วยกับตู่ที่มีความเจริญในธรรมระดับนี้ เดิมคิดว่าตู่ไม่สนใจด้วยซ้ำไป ขออนุโมทนาด้วยเช่นกัน และปลื้มใจที่พระต้นท่านบวชอย่างมีเป้าหมายที่สาธุชนพึงกระทำ ตู่มีบุญที่พระต้นท่านตั้งใจบวชและปฏิบัติตามพระวินัยอย่างดีเช่นนี้ ปลื้มใจแทน



...สวัสดีค่ะ...อ.แจ่มใส...

...ถ้าพูดถึงระดับธรรมของตู่...ยังแค่ต้นๆค่ะ...ระดับอนุบาล...

...เพียงแต่เป็นคนที่ชอบทำบุญค่ะ...แต่ก็ทำเท่าตามกำลังที่เรามี...

...ไม่เคยสนใจเรื่องสมาธิมาก่อนค่ะ...

...แต่เหมือนเป็นบุญอยู่ๆก็ได้หนังสือเล่มเล็กๆมาเล่มนึง...

...จากการที่ได้ไปถวายสังฆทานที่วัดญาณฯ...

...เป็นหนังสือที่ระลึกครบรอบ...ปีของสมเด็จย่า...

...สอนการนั่งสมาธิอย่างง่ายๆ...

...และตู่ได้ลองทำตามดู...เท่ากับหนังสือเล่มนี้เป็นครูคนแรกค่ะ...


...เมื่อวานลืมอนุโมทนากับ อ.แจ่มใส...

...ในเรื่องที่ อ.แจ่มใส...ได้อนุโมทนาที่พระต้นได้บวชและตั้งใจปฎิบัติตามพระวินัย...

...และตู่ก็ต้องขออนุโมทนากับ อ.แจ่มใสด้วยค่ะ...

...ที่แม่ชีอึ่งได้อุทิศตนเข้ามาบวชในบวรพุทธศาสนา...

...เป็นอภิชาตบุตรและเป็นกัลยาณมิตรที่ดีของ อ.แจ่มใส...และ อ.เผ่า..ค่ะ...

...แม่ชีอึ่งจะเป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่งทีเดียวค่ะในการช่วยเหลือเผยแผ่พุทธศาสนาค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7026 เมื่อ: 28 กันยายน 2555, 09:53:16 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 27 กันยายน 2555, 10:19:53
ชาวซีมะโด่ง ขอเชิญพบกัน

วันอังคารที่ ๙ ตุลาคม เวลา ๑๘:๐๐ น. เป็นต้นไป

วันเกิด พี่ทองอู่  จักรสิงห์

ณ ภัตตาคารกุหลาบ ซอยราชครู ครับ




สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                          ผมได้ปรึกษากับทาง ท่านอาจารย์เผ่า  สุวรรณศักดิ์ศรี และท่านอาจารย์เผ่า ได้เรียนให้พี่ทองอู่  จักรสิงห์ รับทราบและยินดีมาร่วมงานเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้พบน้องๆ ชาวซีมะโด่ง

                          ผมได้เรียนให้พี่กาญจนา  รับทราบและขอให้พี่กาญจนา รับเป็นธุระจองห้องให้ ที่ภัตตาคารกุหลาบ เป็นห้องเดิมเมื่อปีที่แล้ว ส่วนอาหารนั้น จะจองเป็นบางส่วนก่อน และไปสั่งเพิ่มเติมในงานเอาเอง

                          ส่วนค่าใช้จ่าย หารยาว ตามธรรมเนียม

                          ส่วนที่ว่า อาจจะตรงกับวันที่กรรมการสมาคมฯประชุมนั้น  อาจารย์เผ่า  บอกว่า  ก็ให้เขาประชุมเสร็จเร็วหน่อย  ใครอยากมาร่วมงานเขาก็มาเองแหละ  เอาตามนี้

                          ผมก็ขอเรียนเชิญทุกท่านที่ทราบข่าว  ช่วยกระจายข่าวให้ด้วยว่า วันอังคารที่ ๙  ตุลาคม  ศกนี้ เป็นวันเกิดของพี่ทองอู่  จักรสิงห์ มีอายุครบ ๘๕ ปี  ขอเรียนเชิญทุกท่านที่ยังระลึกถึงพี่ทองอู่  จักรสิงห์   อยู่มาร่วมงานด้วยครับ ในเวลา ๑๘:๐๐ น.เป็นต้นไป  

                          ใครอยากหาอะไรติดมือมาก็เรียนเชิญ ตามสะบาย เพราะผมคงไม่มีสุรา ให้ ครับ

                          เรียนเชิญทุกท่าน ครับ

                          สวัสดี


ได้แจ้งให้ รศ.ประกายแก้ว   เลขาสมาคมฯ และคุณราเมศวร์ นายกสมาคมฯ  ทราบแล้ว


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                              อย่าลืมพวกเรามีนัดที่ ร้านอาหารกุหลาบ วันอังคารที่ ๙ ตุลาคม เวลาหกโมงเย็นเป็นต้นไป เพื่อแสดงมุฑิตาจิตต์ กับพี่ทองอู่  จักรสิงห์  ครบรอบวันเกิด ๘๕ ปีครับ

                              คุณกนกวรรณ  แจ้งว่า ยังมีเงินเหลือจากการจัดงานเมื่อปีที่แล้ว สามพันกว่าบาท จะเอามาใช้จ่ายครั้งนี้ด้วย

                              ผมได้ขอร้องให้คุณสุภาณี  จัดเตรียมนำเค็กวันเกิด มาให้พี่ทองอู่ เป่าเทียนให้ด้วย พวกเราจะได้มีขนมเค็กรับประทานครับ

                              สวัสดี
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #7027 เมื่อ: 28 กันยายน 2555, 09:59:06 »


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ตามมาอ่านศีลของพระทั้ง 227 ข้อใหม่ค่ะ...

...ในปาจิตตีย์...

...ห้ามฉันอาหารรวมกลุ่ม...เพิ่งเข้าใจนี่เองค่ะ...

...แล้วอย่างนี้เวลาเรานิมนต์พระบางวัดที่เป็นมหานิกายและพระฉันเป็นวง...พระท่านผิดมั้ยคะ...

...ห้ามจี้ภิกษุ...นึกภาพแล้วคงไม่งาม...

...แม้แต่เราซึ่งเป็นปุถุชนยังไม่ชอบเลย...เพราะเป็นคนบ้าจี้...บางทีเกิดอาการตกใจด้วย...

...แต่บางคนชอบทำเพราะเห็นคนอื่นตกใจแล้วสนุก...

...ห้ามติดไฟเพื่อผิง...วัดทางเหนือเวลาหน้าหนาวมันหนาวจริงๆนะคะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7028 เมื่อ: 28 กันยายน 2555, 10:13:16 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 28 กันยายน 2555, 09:59:06

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ตามมาอ่านศีลของพระทั้ง 227 ข้อใหม่ค่ะ...

...ในปาจิตตีย์...

...ห้ามฉันอาหารรวมกลุ่ม...เพิ่งเข้าใจนี่เองค่ะ...

...แล้วอย่างนี้เวลาเรานิมนต์พระบางวัดที่เป็นมหานิกายและพระฉันเป็นวง...พระท่านผิดมั้ยคะ...

...ห้ามจี้ภิกษุ...นึกภาพแล้วคงไม่งาม...

...แม้แต่เราซึ่งเป็นปุถุชนยังไม่ชอบเลย...เพราะเป็นคนบ้าจี้...บางทีเกิดอาการตกใจด้วย...

...แต่บางคนชอบทำเพราะเห็นคนอื่นตกใจแล้วสนุก...

...ห้ามติดไฟเพื่อผิง...วัดทางเหนือเวลาหน้าหนาวมันหนาวจริงๆนะคะ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         พี่สิงห์ ก็ได้ทบทวน อ่านทีละข้อหลายครั้งแล้ว และข้อไหนที่เราเห็นสมควรนำมาปฏิบัติ ก็เอามา มันเป็นสิ่งที่ดี ต่อเราและผู้พบเห็น

                         อย่าลืมว่า ศีล ๒๒๗ นั้น พระพุทธองค์บัญญัติ ขึ้นตามเหตุ-ปัจจัยที่เกิดขึ้นมาจริง ในสมัยพุทธกาล เพื่อเป็นการป้องกัน เช่นการห้ามการก่อไฟผิง  อย่าลืมอินเดียหนาวกว่าเมืองไทยมาก  พี่สิงห์เดา เอาว่า คงมีเหตุ-ปัจจัย จากการก่อไฟผิง แล้วไฟไปลุกไหม้ ทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน หรือการก่อไฟ เป็นจุดเริ่มต้นของการประกอบอาหารรับประทานเอง มันคงมีเรื่องราวเกิดขึ้น  พระพุทธองค์จึงบัญญัติศีล ข้อนี้ขึ้นมาเพื่อตัดไฟแต่ต้นลมเลย

                          เธอสังเกต ให้ดีจะพบว่า ศีลนั้น เป็นข้อกำหนด ป้องกันเหตุที่จะตามมาต่อพระภิกษุ  ที่จะทำให้คนนอกศาสนา ในสมัยนั้นเก็บเอามาพูด ดุถูก  ถากทาง ศิษย์พระตถาคตได้  พระองค์จึงกำหนดเอาไว้  จะเห็นว่า โดยเฉพาะกับภิกษุณี มีข้อห้ามมาก เพื่อป้องกันข้อครหานินทา ทั้งนั้น ครับ

                          และอย่าลืมว่า ความหนาวเพียงเท่านี้มันหนาวที่หาย หรือใจ  ถ้ามันหนาวที่ใจ  มันย่อมที่จะทนได้ ครับ  ถ้ามันหนาวจริงๆ ที่กาย ก็สามารถแก้ได้จากวิธีอื่น ครับ

                          ที่เราเห็นว่าพระภาคเหนือท่านก่อไฟผิงนั้น  พี่สิงห์เชื่อว่า ท่านไม่รู้ศีล ๒๒๗ ข้อครับ เพราะหาเอามาอ่านยากอยู่เหมือนกัน พระท่านก็ไม่รู้จะไปหาอ่านได้ที่ไหน  อุปชาก็ไม่ได้บอกครบทั้ง ๒๒๗ ข้อ และท่านก็เห็นว่าเขาก็ทำกันมาแบบนี้ ก้มันหนาว เพราะความไม่รู้  ไม่ได้ศึกษาศีล ๒๒๗ ข้อนี่ละ

                          ส่วนการฉันอาหารเป็นวงนั้น ก็ญาติโยมเขาจัดให้แบบนั้น ตามสมัยนิยม เพราะไม่รู้ว่าผิดศีล  พระท่านก็ไม่รู้เหมือนกัน  ผมถึงบอกไว้แล้วว่า พุทธศาสนาแบบประเทศไทยนั้น มันเป็นแบบวัฒนธรรมไทยที่กระทำสืบเนื่องกันมา  ไม่ใช่พุทธศาสนาที่แท้จริงของสมณโคดม ครับ

                          ถ้าเรารู้ว่าข้อไหนผิดศีล ๒๒๗ ข้อ เราก็ทำให้มันถูกเสียด้วยตัวเราก็สิ้นเรื่องทั้งเราและพระ  อย่าไปทำตามคนอื่นเลย ครับ

                          ศีล ๒๒๗ ข้อ ต้องอ่านให้มาก เข้าใจ และจำได้  เราก็จะมีข้อเตือนตัวเองเพิ่มขึ้นให้อยู่ในกุศลธรรม  จิตเราจะได้เป็นมหาจิตกุศล  ควรแก่งานทางวิปัสสนากรรมฐาน  ไงครับ

                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7029 เมื่อ: 28 กันยายน 2555, 10:42:04 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน

                              เมื่อวานผมได้โทรศัพท์ ไปหาหลายท่านเพื่อเชิญมาร่วมงานพี่ทองอู่  จักรสิงห์  ส่วนท่านไหนที่ผมไม่ได้โทรศัพท์ไป แสดงว่าผมไม่มีเบอร์ของท่น ก็ต้องขออภัยด้วยครับ และขอโอกาสเรียนเชิญท่านไปร่วมงาน ตรงนี้เลยครับ

                              ผมได้โทรศัพท์ไปหาคุณหนุน  คุณหนุนก็บอกกลับมาว่า ข้อเขียนต่างๆ ขอผมนั้น มีคนเข้ามาอ่านและนำไปปฏิบัติจำนวนมาก ขอให้เขียนต่อไป เพราะมีประโยชน์  ก็เป็นกำลังใจที่จะเขียนต่อครับ ผมได้บอกไปว่า  บางครั้งก็ขี้เกียจเขียน เพราะจิตมันต้องการแบบนั้น จิตมันกลัวว่า ไม่มีใครอ่าน  ไม่เป็นประโยชน์ เพราะเขียนอยู่คนเดียว  ดีแต่ว่าตอนหลังนี้มีคุณน้องตู่มาสนทนาธรรม ด้วย จึงเป็นเหตุให้มีข้อเขียนได้ทุกวัน และพยายามแทรกเข้าไปด้วย คือสอนตัวผมเอง  อธิบายให้คุณน้องตู่ทราบ  มันก้เลยมีเรื่องเขียนครับ

                              ผมได้โทรศัพท์ไปเรียนเชิญ รศ.พินิจ - พี่ติ๋ว  ก็ได้ทราบจากพี่ติ๋วว่า อาจารย์พินิจ ติดตามอ่านกระทู้นี้  จนเดี๋ยวนี้ อาจารย์พินิจ ได้ดวงตาเห็นธรรม ได้เข้าใจความหมายของคำว่า "อนัตตา" อย่างแท้จริงแล้ว  ทั้งๆ อ่านมาก็มากเมื่อก่อน แต่ไม่เข้าใจ เพิ่งเข้าใจจากสิ่งที่ผมเขียน นี่ละ  ก็นับว่าเป็นประโยชน์ครับ

                              นอกจากนี้พี่ติ๋ว ก็ได้เอาวิธีการปฏิบัติธรรม ที่ผมเขียนนำไปกระทำ  แต่ยังแยกความรู้สึกตัว  อารมณ์(สภาวธรรมที่เกิดขึ้น) และความคิดไม่ออก  ผมก็บอกให้กระทำต่อเนื่องกันไปแล้วจะค้นพบด้วยตัวเอง  จะรู้ว่าจะปฏิบัติธรรมอย่างไรได้

                              ผมได้ถามพี่ติ๋วว่า หูเป็นอย่างไรบ้าง พี่ติ๋วบอกว่า  หูหายเป็นปกติแล้ว  ผมก็ถามว่า รักษาอย่างไร  พี่ติ๋วก็ตอบว่า ก็เปลี่ยนพฤติกรรม ตนเองเรื่องการนอน คือนอนแต่หัวค่ำ  มันจึงดีขึ้น

                              เห็นไหม ผมพยายามสอน บ่น ให้ทุกท่านเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองเสียใหม่ กลับมารักตัวเองอย่างแท้จริง ด้วยการกระทำง่ายๆ คือ นอนหัวค่ำ  ตื่นตีห้ามาเดินจงกรมออกกำลังกายหนึ่งชั่วโมง รับประทานอาหารมื้อเช้า  มื้อกลางวันตรงเวลา  ส่วนอาหารเย็นก็ตรงเวลาอย่าให้เกินหกโมงเย็น และขอให้เป็นฝรั่ง หรือแอปเปิล แทน และในการรับประทานแต่ละมื้อขอให้เป็นผักส่วนใหญ่ กินพอประมาณ รู้จักการกิน และสุดท้ายหาเวลาให้ตัวเองออกกำลังกายเท่าที่จะกระทำได้ ครับ

                              ท่านไหน เป็นโรคทั้งรู้สาเหตุ และไม่รู้สาเหตุ เสียเงินค่ารักษามามากก็ไม่หายแบบพี่ติ๋ว  ลองหันมาเปลี่ยนพฤติกรรม การกิน การนอน เดินจงกรม และออกกำลังกาย ตามที่ผมว่าดูซิครับ  ทำต่อเนื่องสักหนึ่งเดือน หรือตลอดไป  ผมกล้ารับรองว่า โรคของท่านจะหาย ท่านจะมีสุขภาพกาย-ใจ ดีขึ้นแน่นอน  ผมลองท้าให้ทำครับ

                              นครศรีธรรมราช ฝนตั้งเค้ามืดครึ้ม แต่ตกน้อยครับ

                              สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7030 เมื่อ: 28 กันยายน 2555, 11:25:25 »


สวัสดครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                                  รายชื่อผู้ที่จะไปร่วมงาน วันครบรอบวันเกิดพี่ทองอู่  จักรสิงห์

                                  ๑. พี่ทองอู่  จักรสิงห์
                                  ๒. พี่สันทัศน์ (พี่ตัน)
                                  ๓. อาจารย์เผ่า- อ.แจ่มใส   สุวรรณศักดิ์ศรี
                                  ๕. รศ.พินิจ - จันทร์แจ่ม  เพิ่มพงศ์พันธ์
                                  ๗. มานพ  กลับดี
                                  ๘. คุณราเมศว์   ศิลปพรหม  นายกสมาคมฯ
                                  ๙. รศ.ประกายแก้ว - คุณวัฒนา   โอภานนท์อมตะ
                                ๑๑. พี่กาญจนา  ว่งชวานิช
                                ๑๒. คุณสุภาณี      นาคฤทธิ์
                                ๑๓. คุณกนกวรรณ    สิกขโกศล
                                ๑๔. คุณ Tooky
                                ๑๕. คุณอดิสร
                                ๑๖. คุณหนุ๋น
                                ๑๗. คุณนันทิกา
                                ๑๘. คุณทรงเกียรติ
                                ๑๙. ดร.สุริยา
                                ๒๐. คุณวิทิดา
                                ๒๑. ดร.กุศล

                                ใครจะมาร่วมงาน กรุณาแจ้งให้ทราบด้วย จะได้เตรียมสถานที่ - อาหารได้ใกล้เคียงครับ

                                เรียนเชิญทุกท่านครับ

                                สวัสดี
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #7031 เมื่อ: 28 กันยายน 2555, 11:28:27 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 28 กันยายน 2555, 10:13:16
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 28 กันยายน 2555, 09:59:06

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ตามมาอ่านศีลของพระทั้ง 227 ข้อใหม่ค่ะ...

...ในปาจิตตีย์...

...ห้ามฉันอาหารรวมกลุ่ม...เพิ่งเข้าใจนี่เองค่ะ...

...แล้วอย่างนี้เวลาเรานิมนต์พระบางวัดที่เป็นมหานิกายและพระฉันเป็นวง...พระท่านผิดมั้ยคะ...

...ห้ามจี้ภิกษุ...นึกภาพแล้วคงไม่งาม...

...แม้แต่เราซึ่งเป็นปุถุชนยังไม่ชอบเลย...เพราะเป็นคนบ้าจี้...บางทีเกิดอาการตกใจด้วย...

...แต่บางคนชอบทำเพราะเห็นคนอื่นตกใจแล้วสนุก...

...ห้ามติดไฟเพื่อผิง...วัดทางเหนือเวลาหน้าหนาวมันหนาวจริงๆนะคะ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         พี่สิงห์ ก็ได้ทบทวน อ่านทีละข้อหลายครั้งแล้ว และข้อไหนที่เราเห็นสมควรนำมาปฏิบัติ ก็เอามา มันเป็นสิ่งที่ดี ต่อเราและผู้พบเห็น

                         อย่าลืมว่า ศีล ๒๒๗ นั้น พระพุทธองค์บัญญัติ ขึ้นตามเหตุ-ปัจจัยที่เกิดขึ้นมาจริง ในสมัยพุทธกาล เพื่อเป็นการป้องกัน เช่นการห้ามการก่อไฟผิง  อย่าลืมอินเดียหนาวกว่าเมืองไทยมาก  พี่สิงห์เดา เอาว่า คงมีเหตุ-ปัจจัย จากการก่อไฟผิง แล้วไฟไปลุกไหม้ ทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน หรือการก่อไฟ เป็นจุดเริ่มต้นของการประกอบอาหารรับประทานเอง มันคงมีเรื่องราวเกิดขึ้น  พระพุทธองค์จึงบัญญัติศีล ข้อนี้ขึ้นมาเพื่อตัดไฟแต่ต้นลมเลย

                          เธอสังเกต ให้ดีจะพบว่า ศีลนั้น เป็นข้อกำหนด ป้องกันเหตุที่จะตามมาต่อพระภิกษุ  ที่จะทำให้คนนอกศาสนา ในสมัยนั้นเก็บเอามาพูด ดุถูก  ถากทาง ศิษย์พระตถาคตได้  พระองค์จึงกำหนดเอาไว้  จะเห็นว่า โดยเฉพาะกับภิกษุณี มีข้อห้ามมาก เพื่อป้องกันข้อครหานินทา ทั้งนั้น ครับ

                          และอย่าลืมว่า ความหนาวเพียงเท่านี้มันหนาวที่หาย หรือใจ  ถ้ามันหนาวที่ใจ  มันย่อมที่จะทนได้ ครับ  ถ้ามันหนาวจริงๆ ที่กาย ก็สามารถแก้ได้จากวิธีอื่น ครับ

                          ที่เราเห็นว่าพระภาคเหนือท่านก่อไฟผิงนั้น  พี่สิงห์เชื่อว่า ท่านไม่รู้ศีล ๒๒๗ ข้อครับ เพราะหาเอามาอ่านยากอยู่เหมือนกัน พระท่านก็ไม่รู้จะไปหาอ่านได้ที่ไหน  อุปชาก็ไม่ได้บอกครบทั้ง ๒๒๗ ข้อ และท่านก็เห็นว่าเขาก็ทำกันมาแบบนี้ ก้มันหนาว เพราะความไม่รู้  ไม่ได้ศึกษาศีล ๒๒๗ ข้อนี่ละ

                          ส่วนการฉันอาหารเป็นวงนั้น ก็ญาติโยมเขาจัดให้แบบนั้น ตามสมัยนิยม เพราะไม่รู้ว่าผิดศีล  พระท่านก็ไม่รู้เหมือนกัน  ผมถึงบอกไว้แล้วว่า พุทธศาสนาแบบประเทศไทยนั้น มันเป็นแบบวัฒนธรรมไทยที่กระทำสืบเนื่องกันมา  ไม่ใช่พุทธศาสนาที่แท้จริงของสมณโคดม ครับ

                          ถ้าเรารู้ว่าข้อไหนผิดศีล ๒๒๗ ข้อ เราก็ทำให้มันถูกเสียด้วยตัวเราก็สิ้นเรื่องทั้งเราและพระ  อย่าไปทำตามคนอื่นเลย ครับ

                          ศีล ๒๒๗ ข้อ ต้องอ่านให้มาก เข้าใจ และจำได้  เราก็จะมีข้อเตือนตัวเองเพิ่มขึ้นให้อยู่ในกุศลธรรม  จิตเราจะได้เป็นมหาจิตกุศล  ควรแก่งานทางวิปัสสนากรรมฐาน  ไงครับ

                          สวัสดี



...ตู่นึกออกแล้ว...ข้อที่ห้ามก่อไฟเพื่อผิง...คงเพราะห้ามพระตัดต้นไม้ด้วยค่ะ...พี่สิงห์...

...ขอบคุณค่ะสำหรับคำตอบ...

...เราจะได้ปฎิบัติตัวได้ถูกค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7032 เมื่อ: 28 กันยายน 2555, 12:56:16 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รัก ทุกท่าน

                              เนื่องในโอกาส ที่ ท่านอาจารย์ รศ.พินิจ  ได้รู้แล้วเข้าใจแล้วของคำว่า "อนัตตา" ความไม่มีตัวตน ผมขอนำเอาพระสูตร ที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎก  เอามาให้อาจารย์พินิจ  ได้พิจารณา ครับ

                              สวัสดี



จูฬสัจจกสูตร

สูตรว่าด้วยสัจจกนิครนถ์ สูตรเล็ก





   ๑.พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ศาลาเรือนยอดในป่าใหญ่  ใกล้กรุงเวสาลี(แคว้นวัชชี)  ในสมัยนั้น  สัจจกนิครนถ์ก็อาศัยอยู่ในกรุงเวลาสี  เป็นผู้ชอบโต้เถียง  ยกตนว่าฉลาด  ชนหมู่ใหญ่ยกย่องว่าดี.  สัจจกนิครนถ์พูดในที่ประชุมชนกรุงเวสาลีว่า  ไม่เห็นใครแม้จะปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์  ตรัสรู้ชอบด้วยตนเอง  ที่ตนโต้ตอบด้วยแล้วจะไม่หวั่นไหว  ไม่มีเหงื่อไหลออกมาจากรักแร้  อย่าว่าแต่มนุษย์เลย  แม้ตนจะตอบโต้กับต้นเสาต้นเสาก็ยังหวั่นไหว.

   ๒.สัจจกนิครนถ์พบพระอัสสชิเถระ  เช้าวันหนึ่ง  จึงเข้าไปหาปราศัยแล้วถามว่า  พระสมณโคดมแนะนำสาวกอย่างไร  คำสอนส่วนใหญ่คืออะไร  พระอัสสชิตอบว่า  ทรงสอนว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ ไม่เที่ยง  ไม่ใช่ตัวตน  สังขารทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน.  สัจจกนิครนถ์ก็กล่าวว่า  ท่านฟังมาไม่ดีแล้ว  ที่ได้ฟังพระสมณโคดมผู้มีวาทะอย่างนี้  ตนพบพระสมณโคดมคราวใดคราวหนึ่งก็จะถ่ายถอนเสียจากความเห็นอันชั่วนี้ให้ได้  สัจจกนิครนถ์จึงเข้าไปยังที่ประชุมของเจ้าลิจฉวีประมาณ ๕๐๐  เล่าความที่โต้ตอบกับพระอัสสชิให้ฟัง  และอวดอ้างว่าจะฟาดฟันพระสมณโคดมด้วยวาทะเหมือนดึงขนแกะเล่นเป็นต้น.

   ๓.สัจจกนิครนถ์จึงพร้อมด้วยเจ้าลิจฉวี ๕๐๐  ไปยังศาลาเรือนยอดป่ามหาวัน เมื่อพบพระพุทธเจ้าแล้วก็กล่าวขอโอกาสเพื่อให้ตอบปัญหา  พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ถามได้  ก็ถามว่า  ทรงแนะนำสาวกอย่างไร  คำสอนส่วนใหญ่คืออะไร  ตรัสตอบอย่างที่พระอัสสชิเถระตอบ.  สัจจกนิครนถ์แย้งว่า  พืชพันธุ์ไม้คนและสัตว์อาศัยแผ่นดินฉันใด  คนเราก็อาศัยรูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  ได้ประสบบุญและมิใช่บุญ (เท่ากับว่า  ถ้าปฏิเสธขันธ์ ๕ ว่าเป็นอัตตาเสียแล้ว  ก็คล้ายกับไม่มีมูลฐาน  เหมือนคน  สัตว์  ต้นไม้  เมื่อไม่มีดิน  ก็ไม่มีที่ตั้ง)

   ๔.ตรัสย้อนถามว่า  ถ้าอย่างนั้น  ท่านกล่าวว่า  ขันธ์ ๕ เป็นตนของท่านใช่ไหม.  สัจจกนิครนถ์ตอบว่า  ใช่  ประชุมชนใหญ่นี้ก็ว่าอย่างนั้น.  ตรัสตอบว่า  ประชุมชนใหญ่นี้จะทำอะไร  ท่านจงแก้วาทะของตนเองเถิด  สัจจกนิครนถ์จึงยืนยันว่า  ข้าพเจ้ากล่าวว่า  ขันธ์ ๕ เป็นตนของข้าพเจ้า.

   ๕.ตรัสถามว่า  กษัตริย์ผู้ได้รับมูรธาภิเษก  มีอำนาจต่าง ๆ  ในแว่นแคว้นของพระองค์ เช่น  การฆ่า  การริบทรัพย์  การเนรเทศใช่หรือไม่  ทูลรับว่า  ใช่.  ตรัสถามว่า  ท่านกล่าวว่า  รูป (ส่วนหนึ่งใน ๕ ส่วนของขันธ์ ๕) เป็นตัวตนของท่าน  ท่านจะมีอำนาจในรูปนั้นว่า  จงเป็นอย่างนี้เถิด  อย่าเป็นอย่างนั้นเลยได้หรือไม่.  สัจจกนิครนถ์นิ่ง  ตรัสถามย้ำถึง ๓ ครั้งก็นิ่ง  ในที่สุดก็ยอมรับว่า  ไม่มีอำนาจให้รูปเป็นอย่างนั้นอย่างนี้.  จึงตรัสถามไปทีละข้อจนถึงวิญญาณ  ซึ่งสัจจกนิครนถ์ก็ยอมรับว่าไม่มีอำนาจให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้เช่นเดียวกันทุกข้อ.

   ๖.ตรัสถามว่า  ขันธ์ ๕ เที่ยงหรือไม่เที่ยง.  ตอบว่า  ไม่เที่ยง.  ตรัสถามว่า  สิ่งใดไม่เที่ยง  สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข.  ตอบว่า  เป็นทุกข์.  ตรัสถามว่า  สิ่งใดไม่เที่ยง  เป็นทุกข์มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา  ควรหรือที่จะตามเห็นว่า  นั่นของเรา  เราเป็นนั่น  นั่นเป็นตัวตนของเรา.  ตอบว่า  ไม่ควร.  ตรัสถามว่า  ผู้ใดติดทุกข์  ยึดทุกข์  ตามเห็นว่า  ทุกข์นั้นเป็นของเรา  เราเป็นนั่น  นั่นเป็นตัวตนของเรา  ผู้นั้นจะกำหนดรู้ทุกข์  หรือทำทุกข์ให้สิ้นไปได้หรือไม่.  ตอบว่า  ไม่ได้.  ตรัสถามว่า  ท่านติดทุกข์  ยึดทุกข์  ตามเห็นว่าทุกข์นั้นเป็นของเราเป็นตนใช่หรือไม่.  สัจจกนิครนถ์ยอมรับว่าเป็นเช่นนั้น.

   ๗.ตรัสเปรียบว่า  คนที่ต้องการแก่นไม้  แต่ไปตัดต้นกล้วย  จึงไม่ได้แม้แต่กะพี้ไม้  จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงแก่น  ตัวท่านที่อวดตนในเรื่องการโต้ตอบว่า  ผู้ที่พูดกับท่านจะต้องหวั่นไหว  เหงื่อแตก  แม้แต่เสาก็หวั่นไหว  บัดนี้เหงื่อของท่านไหลเอง  ตถาคตไม่มีเหงื่อไหลเลย  สัจจกนิครนถ์ก็นั่งเก้อเขิน.  บุตรเจ้าลิจฉวีชื่อทุมมุขะ  ก็กราบทูลพระผู้มีพระภาคถึงสัจจกนิครนถ์ว่าเหมือนปูถูกหักก้าม  สัจจกนิครนถ์ก็ว่าบุตรเจ้าลิจฉวีว่าเป็นเรื่องของการสนทนาระหว่างพระสมณโคดมกับตน (คนอื่นไม่เกี่ยว)

   ๘.แล้วสัจจกนิครนถ์จึงทูลถามว่า  สาวกของพระองค์จะข้ามความสงสัย  ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น (ในเรื่องความเชื่อ) ด้วยเหตุเพียงเท่าไร.  ตรัสตอบว่า  สาวกนั้นเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงว่า  ขันธ์ ๕ ทุกชนิด  ไม่เป็นของเรา  เราไม่เป็นนั่น  นั่นไม่เป็นตัวตนของเรา.  ทูลถามว่า  ภิกษุจะเป็นพระอรหันต์ขีณาสพด้วยเหตุเพียงเท่าไร.  ก็ตรัสตอบอย่างเดียวกับตอนแรก  คือไม่ยึดถือขันธ์ ๕  ว่าเป็นของเรา  เป็นต้น  แล้วตรัสสรุปว่า  ภิกษุผู้หลุดพ้นแล้วอย่างนี้  ย่อมประกอบด้วยอนุตตริยะ(สิ่งยอดเยี่ยม)  ๓  ประการ  คือ  ทัสสนานุตตริยะ (ความหลุดพ้นอย่างยอดเยี่ยม)  ปฏิปทานุตตริยะ (ความปฏิบัติอย่างยอดเยี่ยม)  วิมุตตานุตตริยะ (ความหลุดพ้นอย่างยอดเยี่ยม)  ย่อมเคารพบูชาตถาคตว่า  ตรัสรู้, ฝึกพระองค์, ข้ามพ้น, ดับเย็น  ด้วยพระองค์เองแล้วจึงแสดงธรรมเพื่อให้ผู้อื่นเป็นเช่นนั้น.

   ๙.สัจจกนิครนถ์กราบทูลยอมรับว่าตนผิด  และนิมนต์พระผู้มีพระภาค  พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ไปฉันภัตตาหาร  ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ทรงรับนิมนต์และจะเสด็จไปฉัน ณ อารามของนิครนถ์นั้นในวันรุ่งขึ้น.






      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #7033 เมื่อ: 28 กันยายน 2555, 13:16:53 »


...พี่สิงห์คะ...

...พระสูตรนี้ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว...

...แต่ไฉนคำพูดที่โต้ตอบกันถึงได้ทันสมัยเช่นนี้...อย่างที่เราๆนึกไม่ถึงเลย...

...ถ้าไม่ได้อ่านพระสูตรนี้...คงหาคำพูดมาเปรียบให้เห็นจริงคงยากค่ะ...

...แต่พระพุทธเจ้าท่านอยู่เหนือโลกจริงๆ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7034 เมื่อ: 28 กันยายน 2555, 13:34:37 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 28 กันยายน 2555, 13:16:53

...พี่สิงห์คะ...

...พระสูตรนี้ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว...

...แต่ไฉนคำพูดที่โต้ตอบกันถึงได้ทันสมัยเช่นนี้...อย่างที่เราๆนึกไม่ถึงเลย...

...ถ้าไม่ได้อ่านพระสูตรนี้...คงหาคำพูดมาเปรียบให้เห็นจริงคงยากค่ะ...

...แต่พระพุทธเจ้าท่านอยู่เหนือโลกจริงๆ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         อย่าลืมว่าพระไตรปิฎก  ได้มีการทำสังคายนา ต่อเนื่องกันมาตลอด เพื่อให้ทันยุคทันสมัย ในแต่ละภาษา  แต่ตัวตันฉบับที่เป็นภาษาบาลีนั้น พระพรหมคุณาภรณ์ (ปอ.  ปยุตฺโต) ท่านกล่าวว่า พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี ที่เป็นต้นแบบของฝ่ายหินยาน นั้นฝ่ายมหายานก็ยอมรับว่าถูกต้องที่สุดด้วย

                          ยังมีอีกตอนหนึ่งที่แสดงความเป็น "อนัตตา" คือ ตอนที่พระพุทธองค์ โต้ตอบกับ ฑีขนักขะ(ปริพาชกผู้ไว้เล็บยาว) ผู้ซึ่งเป็นหลานของพระสารีบุตร  โกรธเคืองพระพุทธองค์ที่ทำให้พระสารีบุตรมาบวช และพระสารีบุตรนั่งพัง และพัดพระพุทธองค์อยู่ต่อหน้าพระพักต์ เมื่อได้ฟังธรรมนี้ พระสารีบุตร ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

                          แสดงว่าเธอนั้น  ได้ดวงตาเห็นธรรม  คือเข้าใจคำสอนของพระพุทธองค์ ที่แท้จริง แล้ว

                           สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7035 เมื่อ: 28 กันยายน 2555, 14:14:50 »

ทีฆนขสูตร

สูตรว่าด้วยปริพพาชกชื่อทีฆนขะ





   ๑.พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ถ้ำสูกรขาตา (ถ้ำสุกรขุด) เขาคิชฌกูฏ  ใกล้กรุงราชคฤห์  ปริพพาชก ชื่อทีฆนขะ (ไว้เล็บยาว) มาเฝ้า  แสดงความเห็นว่า  ทุกอย่างไม่ควรแก่ตน (เป็นการพูดกระทบว่า แม้พระผู้มีพระภาคก็ไม่ควรแก่เขา)  ตรัสตอบว่า  ถ้าอย่างนั้น  ความเห็นนั้น  ก็ไม่ควรแก่ท่านด้วย.   ทูลต่อไปว่า  ตนชอบใจความเห็นที่ว่า  สิ่งนั้นเหมือนกันหมด (เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสตอบเอาจำนน  ก็เลี่ยงไปทางอื่นว่า  อะไร ๆ ก็แค่นั้นแหละ หรือราคาเดียวกันเพื่อจะชี้ว่า  อย่านึกว่าใครสูงต่ำกว่าใคร  ปริพพาชกผู้นี้โกรธเคืองว่า พระผู้มีพระภาคจูงเอาพระสารีบุตร ซึ่งเป็นลุงของตนมาบวช)  ตรัสตอบว่า  คนที่พูดอย่างนี้  ยังไม่ละทิฏฐินั้น  ซ้ำยังไม่ถือทิฏฐิอื่นอีกด้วย  มีอยู่มาก  แต่คนที่พูดอย่างนี้แล้วละทิฏฐินั้น  ไม่ถือทิฏฐิอื่น มีน้อยมาก.

   ๒.ครั้นแล้ว ตรัสแสดงถึงสมณพราหมณ์บางพวกที่เห็นว่า  ทุกสิ่งควรแก่ตนบ้าง  ทุกสิ่งไม่ควรแก่ตนบ้าง  เห็นว่า  บางอย่างควร  บางอย่างไม่ควรบ้าง.  ฝ่ายที่เห็นว่า  ทุกสิ่งควรแก่ตน  ใกล้ไปทางยินดี  ยึดมั่น ถือมั่น.  ฝ่ายที่เห็นว่า  ทุกสิ่งไม่ควรแก่ตน.  ใกล้ไปในทางไม่ยินดี  ไม่ยึดมั่น  ไม่ถือมั่น.  ปริพพาชกจึงกล่าวว่า  พระสมณโคดมยกย่องความเห็นของตน.  พระผู้มีพระภาคจึงตรัสต่อไปว่า  ฝ่ายที่เห็นว่า  บางอย่างควร  บางอย่างไม่ควร  ก็ใกล้ไปทางยินดีบ้าง  ไม่ยินดีบ้าง  เป็นต้น.  แล้วตรัสต่อไปว่า  วิญญูชนย่อมพิจารณาเห็นว่า  การยึดถือทิฏฐิเหล่านี้  ย่อมทำให้ทะเลาะวิวาทกัน  ทำให้เบียดเบียนกัน  จึงละทิฏฐิเหล่านั้นและไม่ยึดถือทิฏฐิอื่น.

   ๓.ตรัสสอนว่า  ควรพิจารณาเห็นกายนี้โดยความเป็นของไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  เป็นโรค  เป็นต้น  จนถึงไม่ใช่ตัวตน.  เมื่อพิจารณาอย่างนี้  ก็จะละความพอใจในกายนี้เสียได้.

   ๔.ครั้นแล้วตรัสเรื่องเวทนา ๓ คือ  สุข  ทุกข์  ไม่ทุกข์ไม่สุข  และชี้ให้เห็นความไม่เที่ยง  อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น  เป็นต้น  ของเวทนาเหล่านั้น.  เมื่อรู้เห็นอย่างนี้  อริยสาวกย่อมเบื่อหน่ายในเวทนาทั้งสาม และเมื่อเบื่อหน่ายก็คลายกำหนัด และหลุดพ้นแล้ว  สิ้นชาติ  อยู่จบพรหมจรรย์  ทำหน้าที่เสร็จแล้ว ฯลฯ  ผู้มีจิตหลุดพ้น  รู้ว่าหลุดพ้นแล้ว  สิ้นชาติ  อยู่จบพรหมจรรย์  ทำหน้าที่เสร็จแล้ว ฯลฯ  ผู้มีจิตหลุดพ้นอย่างนี้  ย่อมไม่วิวาทกับใคร ๆ .  สิ่งใดที่เขาพูดกันในโลก  ก็พูดตามโวหารนั้น  แต่ไม่ยึดถือ.

   ๕.พระสารีบุตรนั่งพัดอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์พระผู้มีพระภาค  มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะ  ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน(เป็นพระอรหันต์)  ส่วนปริพพาชกชื่อทีฆนขะกราบทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา  แสดงตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต.



ใคร ละความยึดมั่น - ถือมั่น เสียได้  ความอยาก(ตัญหา) ก็จะหมดไป

นั่นละหนทางแห่ง พระนิพพาน
      บันทึกการเข้า
ประทาน14
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2514
คณะ: เภสัชศาสตร์
กระทู้: 999

« ตอบ #7036 เมื่อ: 29 กันยายน 2555, 00:03:25 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 28 กันยายน 2555, 11:25:25

สวัสดครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                                  รายชื่อผู้ที่จะไปร่วมงาน วันครบรอบวันเกิดพี่ทองอู่  จักรสิงห์

                                  ๑. พี่ทองอู่  จักรสิงห์
                                  ๒. พี่สันทัศน์ (พี่ตัน)
                                  ๓. อาจารย์เผ่า- อ.แจ่มใส   สุวรรณศักดิ์ศรี
                                  ๕. รศ.พินิจ - จันทร์แจ่ม  เพิ่มพงศ์พันธ์
                                  ๗. มานพ  กลับดี
                                  ๘. คุณราเมศว์   ศิลปพรหม  นายกสมาคมฯ
                                  ๙. รศ.ประกายแก้ว - คุณวัฒนา   โอภานนท์อมตะ
                                ๑๑. พี่กาญจนา  ว่งชวานิช
                                ๑๒. คุณสุภาณี      นาคฤทธิ์
                                ๑๓. คุณกนกวรรณ    สิกขโกศล
                                ๑๔. คุณ Tooky
                                ๑๕. คุณอดิสร
                                ๑๖. คุณหนุ๋น
                                ๑๗. คุณนันทิกา
                                ๑๘. คุณทรงเกียรติ
                                ๑๙. ดร.สุริยา
                                ๒๐. คุณวิทิดา
                                ๒๑. ดร.กุศล

                                ใครจะมาร่วมงาน กรุณาแจ้งให้ทราบด้วย จะได้เตรียมสถานที่ - อาหารได้ใกล้เคียงครับ

                                เรียนเชิญทุกท่านครับ

                                สวัสดี

ผมไปด้วยครับ พี่สิงห์
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7037 เมื่อ: 29 กันยายน 2555, 10:12:02 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาเยี่ยมเนือน

                               เช้านี้ขอมอบ "ธรรมะ" ที่พระสารีบุตร ได้แสดงให้ท่าน อนาปิณฑิกคฤหบดี ฟังก่อนที่จะละสังขารจากโลกนี้ไป  ขอให้ทุกท่าน อ่านแบบ "โยนิโสมนสิการ" ท่านจะเข้าใจในธรรมของพระพุทธองค์ ได้เอง ครับ

                                สวัสดี



อนาถปิณฑิโกวาทสูตร

สูตรว่าด้วยการให้โอวาทแก่อนาปิณฑิกคฤหบดี





   พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม.  สมัยนั้นอนาถปิณฑิกคฤหบดีไม่สบายเป็นไข้หนัก  จึงส่งคนไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ  และให้ถวายบังคมแทนตน  กับส่งคนไปอาราธนาพระสารีบุตรไปยังที่อยู่ของตน  เพื่อเป็นการอนุเคราะห์  พระสารีบุตรรับนิมนต์แล้วก็ไปเยี่ยมไต่ถาม  โดยมีพระอานนท์ตามไปด้วย  เป็นปัจฉาสมณะ (ภิกษุผู้ติดตาม)  คฤหบดีกล่าวตอบว่า  มีทุกขเวทนากล้า  จึงกล่าวธรรมสั่งสอน  คือ:-

   ๑.ท่านพึงสำเหนียกว่า  จักไม่ยึดถือตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  และวิญญาณของท่านจักไม่อาศัยตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ.

   ๒.ท่านพึงสำเหนียกว่า  จักไม่ยึดถือรูป  เสียง  กลิ่น  รส  โผฏฐัพพะ (สิ่งที่พึงถูกต้องด้วยกาย)  ธรรมะ (สิ่งที่พึงรู้แจ้งได้ด้วยใจ)  และวิญญาณของท่านจักไม่อาศัยรูป  เสียง  กลิ่น  รส  โผฏฐัพพะ  ธรรมะ.

   ๓.ท่านพึงสำเหนียกว่า  จักไม่ยึดถือวิญญาณ (๖) มีจักขุวิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณ์ทางตา) เป็นต้น  และวิญญาณของท่านจักไม่อาศัยวิญญาณ (๖) มีจักขุวิญญาณเป็นต้น.

   ๔.ท่านพึงสำเหนียกว่า  จักไม่ยึดถือสัมผัส (ความถูกต้อง ๖)  มีจักขุสัมผัส (ความถูกต้องทางตา) เป็นต้น  และวิญญาณของท่านจักไม่อาศัยสัมผัส (๖) มีจักขุสัมผัสเป็นต้น.

   ๕.ท่านพึงสำเหนียกว่า  จักไม่ยึดถือเวทนา (ความรู้สึกหรือเสวยอารมณ์ ๖)  มีจักขุสัมผัสสชาเวทนา (ความรู้สึกอารมณ์อันเกิดแต่สัมผัสทางตา) เป็นต้น  และวิญญาณของท่านจักไม่อาศัยเวทนา (๖) มีจักขุสัมผัสสชาเวทนา  เป็นต้น.

   ๖.ท่านพึงสำเหนียกว่า  จักไม่ยึดถือธาตุดิน  ธาตุน้ำ  ธาตุไฟ  ธาตุลม  ธาตุอากาศ  และธาตุรู้ (วิญญาณธาตุ)  และวิญญาณของท่านจักไม่อาศัยธาตุดิน  เป็นต้น.

   ๗.ท่านพึงสำเหนียกว่า  จักไม่ยึดถือ (ขันธ์ ๕ คือ)  รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  และวิญญาณของท่านจักไม่อาศัยรูป  เป็นต้น.

   ๘.ท่านพึงสำเหนียกว่า  จักไม่ยึดถือ  (อรูปณาน ๔ คือ)  อากาสานัญจายตนะ  วิญญาณัญจายตนะ  อากิญจัญญายตนะ  และเนวสัญญานาสัญญายตนะ  และวิญญาณของท่านจักไม่อาศัยอากาสานัญจายตนะ  เป็นต้น

   ๙.ท่านพึงสำเหนียกว่า  จักไม่ยึดถือโลกนี้โลกหน้า  และวิญญาณของท่านจักไม่อาศัยโลกนี้โลกหน้า.

   ๑๐.ท่านพึงสำเหนียกว่า  จักไม่ยึดถือสิ่งที่ได้เห็น  ได้ฟัง  ได้ทราบ  ได้รู้แจ้ง  ได้แสวงหา  ได้ติดตามด้วยใจ  และวิญญาณของท่านจักไม่อาศัยสิ่งนั้น.

   อนาถปิณฑิกคฤหบดีได้ฟังก็ร้องให้  พระอานนท์จึงถามว่า  ท่านยังติดยังอาลัยอยู่หรือ.  คฤหัสบดีตอบว่า  มิได้ติด  มิได้อาลัย  แต่ไม่เคยฟังธรรมิกถาอย่างนี้.  เมื่อทราบว่าธรรมิกถาเช่นนี้  ไม่ได้แสดงแก่คฤหัสถ์ผู้นุ่งผ้าขาว  แต่แสดงแก่บรรพชิต  จึงขอร้องพระสารีบุตรให้แสดงแก่คฤหัสถ์บ้าง  เพราะกุลบุตรที่มีกิเลสน้อยมีอยู่  จะเป็นผู้รู้ธรรมะได้  ไม่ได้ฟังก็จะเสื่อมจากธรรมะไป.  พอพระสารีบุตรและพระอานนท์กลับไปแล้วไม่นาน  อนาถปิณฑิกคฤหบดีก็ถึงแก่กรรมไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต  แล้วกลับมาปรากฏตนถวายบังคมพระผู้มีพระภาค  กล่าวสุภาษิตและชมเชยพระสารีบุตร.


จะเห็นว่า

ใครละความยึดมั่น ถือมั่น เสียได้ นั่นคือ

หนทางแห่งความหลุดพ้น
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7038 เมื่อ: 29 กันยายน 2555, 12:20:35 »


                            ขอรายงานผลการแข่งขันกอล์ฟ Ryder Cup ประเภททีม ระหว่างทีม USA กับ ทีม ยุโรป ทีมละ ๑๒ คน

                            โดยทีม USA มีเดวิสเลิฟเดอะเทอส เป็นกับตัน และ

                            ทีมยุโรปมีโฮเซมาเรียโอลาซาบาล เป็นกับตัน

                            วันศุกร์-เสาร์ ช่วงเช้าแข่งแบบสลับกันตี(Foursomes)  

                            ช่วงบ่ายต่างคนต่างตี(Fourball)แต่เอาคะแนนที่ดีที่สุดในทีม(ตีน้อยครั้งลงหลุม)
              
                            วันอาทิตย์แข่งประเภท ตัวต่อตัว






      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7039 เมื่อ: 29 กันยายน 2555, 21:00:07 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                              เมื่อตอนเย็น-ค่ำ หลังจากลงเครื่องบินที่สนามบินดอนเมือง ผมก็เดินทางต่อไปร่วมงานแต่งงานของลูกคุณสุรชัย-คุณหล้า ที่โรงแรม S31 ทันทีไม่ได้แวะบ้าน โดยนั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สถานีอโศก แล้วเดินไปที่โรงแรม

                              ที่หน้าลิฟ เจอเด็กหนุ่มคนหนึ่งใส่สูตร เขามองหน้าผมแล้วยิ้ม คงอยากจะบอกว่าคุณลุง ๆ มาผิดงานแล้ว  ผมก็เฉย ๆ มันเรื่องของผม แล้วผมก็ขึ้นลิฟไปที่งาน

                               ได้เซ็นในสมุดอวยพรว่า "ขอให้หลานทั้งสอง อยู่ในศีล ๕ ครอบครัวจะสุข  สงบ" แล้วเซ็นชื่อ เท่านั้นครับ

                               พอดีชาวซีมะโด่งกำลังถ่ายภาพหมู่ ผมเลยถือโอกาสเข้าไปร่วมแจมด้วยครับ

                                ผมรู้ตัวดีว่า แต่งตัวไม่เหมาะสม  เมื่ออยู่ได้เวลาพอสมควรแล้ว แขกเริ่มทะยอยมากันมากขึ้น ประกอบกับพวกเราไม่มีโต๊ะนั่ง  ผมเลยถือโอกาส กลับก่อนเวลา โดยบอกกับ ดร.สุริยา  ให้ทราบ

                               เดินมาขึ้นรถไฟใต้ดินกลับบ้านครับ

                                ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ ค่ำนี้













      บันทึกการเข้า
หนุน'21
Global Moderator
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
*****


ซีมะโด่ง'จุฬาฯ ที่มาของผม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: "ครุศาสตร์"
กระทู้: 26,927

« ตอบ #7040 เมื่อ: 29 กันยายน 2555, 21:19:20 »

อ้างถึง
ข้อความของ ประทาน14 เมื่อ 29 กันยายน 2555, 00:03:25
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 28 กันยายน 2555, 11:25:25

สวัสดครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                                  รายชื่อผู้ที่จะไปร่วมงาน วันครบรอบวันเกิดพี่ทองอู่  จักรสิงห์

                                  ๑. พี่ทองอู่  จักรสิงห์
                                  ๒. พี่สันทัศน์ (พี่ตัน)
                                  ๓. อาจารย์เผ่า- อ.แจ่มใส   สุวรรณศักดิ์ศรี
                                  ๕. รศ.พินิจ - จันทร์แจ่ม  เพิ่มพงศ์พันธ์
                                  ๗. มานพ  กลับดี
                                  ๘. คุณราเมศว์   ศิลปพรหม  นายกสมาคมฯ
                                  ๙. รศ.ประกายแก้ว - คุณวัฒนา   โอภานนท์อมตะ
                                ๑๑. พี่กาญจนา  ว่งชวานิช
                                ๑๒. คุณสุภาณี      นาคฤทธิ์
                                ๑๓. คุณกนกวรรณ    สิกขโกศล
                                ๑๔. คุณ Tooky
                                ๑๕. คุณอดิสร
                                ๑๖. คุณหนุ๋น
                                ๑๗. คุณนันทิกา
                                ๑๘. คุณทรงเกียรติ
                                ๑๙. ดร.สุริยา
                                ๒๐. คุณวิทิดา
                                ๒๑. ดร.กุศล

                                ใครจะมาร่วมงาน กรุณาแจ้งให้ทราบด้วย จะได้เตรียมสถานที่ - อาหารได้ใกล้เคียงครับ

                                เรียนเชิญทุกท่านครับ

                                สวัสดี

ผมไปด้วยครับ พี่สิงห์

ทราบว่า คุณแหลมกับคุณหยี จะไปร่วมงานด้วยครับ
      บันทึกการเข้า

“สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า ทั้งมิใช่ชื่อเสียง และไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคน ท่านหากได้มา พึงทะนุถนอมไว้
อย่าได้สร้างความผิดหวังต่อตนเองและผู้อื่น.” “วีรบุรุษสำราญ” “โกวเล้ง”
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #7041 เมื่อ: 30 กันยายน 2555, 09:07:30 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 28 กันยายน 2555, 13:34:37
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 28 กันยายน 2555, 13:16:53

...พี่สิงห์คะ...

...พระสูตรนี้ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว...

...แต่ไฉนคำพูดที่โต้ตอบกันถึงได้ทันสมัยเช่นนี้...อย่างที่เราๆนึกไม่ถึงเลย...

...ถ้าไม่ได้อ่านพระสูตรนี้...คงหาคำพูดมาเปรียบให้เห็นจริงคงยากค่ะ...

...แต่พระพุทธเจ้าท่านอยู่เหนือโลกจริงๆ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         อย่าลืมว่าพระไตรปิฎก  ได้มีการทำสังคายนา ต่อเนื่องกันมาตลอด เพื่อให้ทันยุคทันสมัย ในแต่ละภาษา  แต่ตัวตันฉบับที่เป็นภาษาบาลีนั้น พระพรหมคุณาภรณ์ (ปอ.  ปยุตฺโต) ท่านกล่าวว่า พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี ที่เป็นต้นแบบของฝ่ายหินยาน นั้นฝ่ายมหายานก็ยอมรับว่าถูกต้องที่สุดด้วย

                          ยังมีอีกตอนหนึ่งที่แสดงความเป็น "อนัตตา" คือ ตอนที่พระพุทธองค์ โต้ตอบกับ ฑีขนักขะ(ปริพาชกผู้ไว้เล็บยาว) ผู้ซึ่งเป็นหลานของพระสารีบุตร  โกรธเคืองพระพุทธองค์ที่ทำให้พระสารีบุตรมาบวช และพระสารีบุตรนั่งพัง และพัดพระพุทธองค์อยู่ต่อหน้าพระพักต์ เมื่อได้ฟังธรรมนี้ พระสารีบุตร ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

                          แสดงว่าเธอนั้น  ได้ดวงตาเห็นธรรม  คือเข้าใจคำสอนของพระพุทธองค์ ที่แท้จริง แล้ว

                           สวัสดีค่ะ


...สาธุค่ะ...พี่สิงห์...

...เมื่อวานเข้ามาอ่านแป๊บนึงค่ะ...แต่ไม่ทันได้คุยอะไรด้วย...

...เมื่อวานไปทำบุญแต่เช้าเลยค่ะ...

...ทำบุญครบรอบ 17 ปีที่คุณพ่อเสียค่ะ...

...ความจริงอยากจะไปถือศีลให้ท่านด้วย...

...แต่เนื่องจากยังติดข้องในทางโลกอยู่...

...เลยไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจไว้...

...แต่ในยามปกติก็ตั้งใจทำบุญให้ท่านเสมอๆอยู่แล้วค่ะ...

...หลังจากทำบุญก็ไปเฝ้าสนามเลยค่ะ...

...ที่สนามยังมีการแข่งบอลเด็กอยู่ทั้งเสาร์และอาทิตย์...

...ตอนกลางวันไม่มีเด็กอยู่ขายของค่ะ...เพราะเด็กที่อยู่ประจำเค้าจะมาที่สนามตอนห้าโมงเย็น...

...เค้าต้องทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด...คือเป็นแม่บ้านทำอาหารประจำเรือทัวร์ไปเกาะสากค่ะ...

...ความจริงก็มีเด็กอีกสองคนเป็นกะเหรียงสามีภรรยา...แต่คนเป็นสามีดูแลสนาม...

...คนที่เป็นเมีย...แพ้ท้องกลับพม่าไปแล้วค่ะ...ตู่เลยต้องอยู่เฝ้าร้านแทน...

...ติดตามอ่านพระสูตรจากพี่สิงห์ค่ะ...

...ทำให้เจริญในธรรมดีขึ้นมากเลย...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7042 เมื่อ: 30 กันยายน 2555, 21:26:18 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                          การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับบิดา-มารดา ที่ล่วงลับไปแล้ว  ถึงแม้เราไม่ทราบว่าผลบุญจะถึงท่านหรือไม่ก็ตาม  เพราะเราไม่รู้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้รับ คือ ความสุขใจ  ที่ได้ทำบุญให้ท่าน  ระลึกถึงบุญคุณของท่านที่ท่านเลี้ยงดูเรามา มันเป็นเรื่องที่ดี  เป็นวัฒนธรรมที่งาม น่าที่จะกระทำต่อไป อย่างน้อยให้เด็กรุ่นหลังได้รู้ได้เห็น จะได้สืบต่อวัฒนธรรมนี้ต่อไป

                          การปฏิบัติธรรม นั้นถ้าเราสามารถบรรลุธรรมได้  พระสูตรก็ไม่จำเป็นต้องศึกษา  แต่ถ้าเรายังไม่บรรลุธรรม พระสูตรนั้น จะเป็นหนทาง  นำทางให้เราปฏิบัติได้ถูกต้อง  เพราะพระสูตรนั้น ผู้สอนคือพระพุทธเจ้าโดยตรง  และหลักธรรมของท่านก็เป็นสัจจธรรม จริง ๆ ขอให้เราพิจารณาแบบโยนิโสมนสิการ  เราก็สามารถได้ดวงตาเห็นธรรม  ได้รู้  ได้เข้าใจจริงๆ ในธรรมนั้น  มีประโยชน์มาก

                          พระสูตรที่สำคัญๆ ที่เป็นหลักจริงๆ  พี่สิงห์ อ่านซ้ำหลายหน  จนจำเนื้อความได้และเข้าใจในธรรมนั้น

                          คำสอนของพระพุทธองค์นั้น  ไม่มากเลยในแก่น มีนิดเดียวถ้าเราเข้าใจมัน  จะสามารถนำมาใช้ในชีวิตของเราได้อย่างสงบ สุข ครับ  เพียงแค่นี้ก้เพียงพอแล้ว  ส่วนการหลุดพ้น นั้น มันแล้วแต่การกระทำของเรา  ที่จะต้องมีวิริยะอย่างมากๆ และวาสนา ครับ

                          ทุกวันนี้เรายังตัดขาดทางโลกไม่ได้ก็จริง  แต่อย่างน้อยก็รู้เท่าทันจิตตัวเองได้ เพียงพอแล้วครับ

                          ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7043 เมื่อ: 30 กันยายน 2555, 21:34:00 »


                             ลืมบอกไป

                             คำสอนของพระสารีบุตรเถระ ที่แสดงต่อท่านอนาปิณฑิกคฤหบดี นั้น ปัจจุบัน  ถือว่าเป็นคัมภีร์ เป็นหลักปฏิบัติแห่งการพ้นทุกข์ ของตามสำนักวิปัสสนา เลยเชียวละ เพราะท่านแจกแจงไว้ละเอียดมาก

                             ขอให้อ่านแล้วทำความเข้าใจแบบ "โยนิโสมนสิการ" เพราะถ้าปฏิบัติตามนี้ รูป-นาม มันจะคลายกำหนัด เกิดความเบื่อหน่ายของมันเอง

                             นี่แหละ หลักปฏิบัติเพื่อให้ละความยึดมั่น  ถือมั่น หรือละความเป็น "อัตตา" ที่เราหลงอยู่ละ

                             สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7044 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2555, 06:04:04 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน

                               เมื่อเช้าตื่นขึ้นมาเพื่อดูกอล์ฟ Ryder Cup 2012 สหรัฐที่ว่านอนมาแน่นอนในการจะเป็นผู้ชนะ ผลคือ ทีมยุโรป ชนะ ทีมสหรัฐ ไป 14.5 ต่อ 13.5 ครับ  นี่ละอะไร ๆ มันก็เกิดขึ้นได้ เพียงแต่ขอให้พยายามกระทำ จนถึงที่สุดก่อนแล้วค่อยดูผลที่เกิดขึ้นตามมา  อย่ารีบตัดสินใจก่อนที่จะกระทำ  ซึ่งตรงกับสุภาษิตไทยว่า "อย่าตีตนไปก่อนไข้" หมายความว่า ยังไม่ได้เป็นไข้จริง ๆ เลย ก็คิด กังวลใจไปก่อนเหมือนกับเป็นไข้แล้วจริง ๆ  เป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำอย่างยิ่ง ครับ

                               เช้านี้อยู่บ้าน เลยหุงข้าวเพื่อใส่บาตรพระตอนเช้าที่หน้าบ้าน

                               หลังจากนั้น ไปหาแม่  อยู่กับแม่ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี

                               ไปเอากระยาสารท  ที่พี่สาวและหลานสาวได้กวนเอาไว้ให้ ในปีนี้

                               บ่ายเดินทางไปทำงานที่อำเภอสูงเนิน  จังหวัดนครราชสีมา ครับ

                               มีเวลาว่าง ต้องเตรียมทำ Power Point เพื่อไปบรรยายให้กับทาง SIW ที่ต้องการจะทบทวนความรู้ทางด้านคอนกรีตอัดแรง ให้กับลูกค้าของ SIW  สำหรับลูกค้าที่ใช้ PC strands และ PC wires ภาคกลางทั้งหมด ที่หอประชุมกองทัพบก วันที่ ๑๗ ตุลาคม  ทั้งวัน ครับ  ท่านใดจะไปรับฟัง บอกผมมา  ผมจะไปขออนุญาติ ทาง SIW ให้ครับ

                                เช้านี้ผมนำธรรม ที่พระพุทธองค์ ทรงแสดงแก่ พระพาหิยะเถระ จนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เร็วที่สุด เป็น ธรรมะ ที่ดีที่เราสามารถปฏิบัติได้  เพื่อความปล่อยวางจิต  จนจิตมันเห็นความจริง  จนสามารถหลุดพ้น เป็นพระอรหันต์ ได้ครับ

                               ท่านต้องอ่านแบบ โยนิโสมนสิการ  นะครับ ท่านก็จะได้ดวงตาเห็นธรรม ได้

                               สวัสดี



ธรรมแห่งการตรัสรู้เร็วที่สุด





                           พาหิยะ ออกเดินทางจากท่าเรือสุปปารกะ มุ่งสู่เมืองสาวัตถี ซึ่งมีระยะทางถึง ๑๒๐ โยชน์ (๑๙๒ กม.) ท่านเดินทางทั้งวันทั้งคืนอย่างรีบร้อน เพื่อเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาให้เร็วที่สุดเพราะไม่รู้แน่ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด ท่านเดินทางมาถึงเมืองสาวัตถี ในเวลารุ่งเช้าแล้วรีบตรงไปยังพระเชตวันมหาวิหาร เมื่อได้ทราบว่า ขณะนี้พระบรมศาสดา เสด็จเข้าไปบิณฑบาตรในเมือง จึงรีบติดตามไปในเมืองและได้พบพระผู้มีพระภาคกำลังเสด็จบิณฑบาตรอยู่ ด้วยความปีติยินดีอย่างที่สุดได้เข้าไปกราบแทบพระบาทแล้ว กราบทูลขอให้ทรงแสดงธรรมให้ฟัง พระพุทธองค์ตรัสห้ามว่า “พาหิยะ เวลานี้ มิใช่เวลาแสดงธรรม”

                            พาหิยะ ได้พยายามกราบทูลอ้อนวอนถึง ๓ ครั้ง พระบรมศาสดา จึงทรงแสดงพระธรรมเทศให้ฟัง โดย "ตรัสสอนให้สำรวมอินทรีย์ คือ เมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินเสียงก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ลิ้มรสก็สักแต่ว่าลิ้มรส และสัมผัสสักแต่ว่าสัมผัสเท่านั้น อย่ายินดียินร้ายในสิ่งเหล่านั้น และหมั่นสำเหนียกศึกษาในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อยู่เป็นนิตย์ "

                             พาหิยะ ส่งกระแสจิตไปตามกระแสพระธรรมเทศนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตผลในทันที




                             ธรรมะ ข้อนี้ ท่านสามารถเอาไปปฏิบัติได้  ในแต่ละนาที  ชั่วโมง วัน ท่านจะประสบกับสิ่งที่รัก ที่ชอบ และไม่รัก ไม่ชอบ

                             สิ่งไหนรัก  ชอบ  ท่านก็ยินดี  พอใจ  สุขใจ  เพราะถูกใจตนเอง

                             สิ่งไหนไม่รัก  ไม่ชอบ  หงุดหงิด  โกรธ  โมโห เพราะไม่ถูกใจตนเอง

                             นี่คือ พฤติกรรมของจิต มนุษย์ เป็นเรื่องธรรมดาของมัน ย่อมเกิดขึ้นแน่นอน

                             ถ้าท่านเข้าใจธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงสอนแก่พระพาหิยะ  ด้วยดวงตาเห็นธรรม  จิตท่านจะน้อมนำธรรมะข้อนี้มาเตือนจิตท่าน ให้ท่านปล่อยวางสิ่งต่างๆ ที่มากระทบทาง อายตนะ ๖ คือ ตา  หู  จมุก  ลิ้น กาย  ใจ ทั้งยินดี และไม่ยินดี ท่านจะได้ ความสงบ  การไม่ปรุงแต่งความคิด ก็จะเกิดกับท่านได้ครับ

                             สวัสดี
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #7045 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2555, 08:36:12 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 30 กันยายน 2555, 21:26:18
สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                          การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับบิดา-มารดา ที่ล่วงลับไปแล้ว  ถึงแม้เราไม่ทราบว่าผลบุญจะถึงท่านหรือไม่ก็ตาม  เพราะเราไม่รู้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้รับ คือ ความสุขใจ  ที่ได้ทำบุญให้ท่าน  ระลึกถึงบุญคุณของท่านที่ท่านเลี้ยงดูเรามา มันเป็นเรื่องที่ดี  เป็นวัฒนธรรมที่งาม น่าที่จะกระทำต่อไป อย่างน้อยให้เด็กรุ่นหลังได้รู้ได้เห็น จะได้สืบต่อวัฒนธรรมนี้ต่อไป

                          การปฏิบัติธรรม นั้นถ้าเราสามารถบรรลุธรรมได้  พระสูตรก็ไม่จำเป็นต้องศึกษา  แต่ถ้าเรายังไม่บรรลุธรรม พระสูตรนั้น จะเป็นหนทาง  นำทางให้เราปฏิบัติได้ถูกต้อง  เพราะพระสูตรนั้น ผู้สอนคือพระพุทธเจ้าโดยตรง  และหลักธรรมของท่านก็เป็นสัจจธรรม จริง ๆ ขอให้เราพิจารณาแบบโยนิโสมนสิการ  เราก็สามารถได้ดวงตาเห็นธรรม  ได้รู้  ได้เข้าใจจริงๆ ในธรรมนั้น  มีประโยชน์มาก

                          พระสูตรที่สำคัญๆ ที่เป็นหลักจริงๆ  พี่สิงห์ อ่านซ้ำหลายหน  จนจำเนื้อความได้และเข้าใจในธรรมนั้น

                          คำสอนของพระพุทธองค์นั้น  ไม่มากเลยในแก่น มีนิดเดียวถ้าเราเข้าใจมัน  จะสามารถนำมาใช้ในชีวิตของเราได้อย่างสงบ สุข ครับ  เพียงแค่นี้ก้เพียงพอแล้ว  ส่วนการหลุดพ้น นั้น มันแล้วแต่การกระทำของเรา  ที่จะต้องมีวิริยะอย่างมากๆ และวาสนา ครับ

                          ทุกวันนี้เรายังตัดขาดทางโลกไม่ได้ก็จริง  แต่อย่างน้อยก็รู้เท่าทันจิตตัวเองได้ เพียงพอแล้วครับ

                          ราตรีสวัสดิ์ค่ะ


...สวัสดีเช้าวันจันทร์ค่ะ...พี่สิงห์...

...ตามอ่านพระสูตรจากพี่สิงห์แล้วค่ะ...

...เนื่องจากคุณพ่อเสียมาหลายปีแล้ว...

...เลยทำบุญแบบเดียวกับที่ได้ไปทำเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านๆมา...

...ไม่ได้เจาะจงพิเศษอะไรค่ะ...

...ครั้งแรกคิดว่าจะนำสังฆทานไปถวาย...

...แต่ก่อนนี้นำสังฆทานไปถวายตามวัดต่างๆบ่อยๆค่ะ...

...แต่ตู่ได้เห็นของจากถังสังฆทานยังอยู่ที่วัดมากมาย...

...เลยคิดว่าจะทำวิธีอื่นดีกว่า...เช่นสวดมนต์หรือปฎิบัติธรรมแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ท่านค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7046 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2555, 19:13:20 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                          อย่างที่เธอเห็นนั่นแหละ ตามวัดต่างๆ วัดดังๆ หลวงพ่อดังๆ มีแต่ถังสังฆทาน เต็มไปหมด  พระท่านแถบจะไม่ได้ใช้เลย  ก็เลยเกิดสิ่งที่ไม่งามเกิดขึ้น คือบรรดาแม่ค้าก็ไปขอซื้อจากหลวงพ่อท่านในราคาถูก เอามาขายใหม่ และเอาไปถวายใหม่  จริงๆ มันผิดศีล ๒๒๗ ข้อ แต่พระท่านไม่ทราบ  ก็ไม่ว่ากัน ครับ

                           ถ้าอยากจะถวายสังฆทาน ถวายเป็นเงินดีกว่า  สบายใจทั้งคนถวาย และพระ

                           หรือทำอย่างอื่นแทน ที่เราทำแล้วสบายใจ ครับ

                           พี่สิงห์นอนอยู่ที่ฉัตรทิพย์รีสอร์ท  อำเภอสูงเนิน  โคราช  เช่นเคย คืนวันจันทร์ไม่มีแขกเลย มีแต่พี่สิงห์เฝ้ารีสอร์ท อยู่คนเดียว เป็นรีสอร์ทใหญ่โต  สวยงาม  เงียบมาก ยกเว้นเสียงรถไฟ เพราะอยู่ใกล้รางรถไฟ  ก็ได้ปฏิบัติธรรม ครับ เพราะมันสงบดี

                           ราตรีสวัสด์ค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7047 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2555, 05:50:56 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่งและแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน

                             เช้านี้ไม่สะดวกในการคัดลอกพระสูตร มาใหเทุกท่านได้ศึกษา  ขอนำประวัติพระโมคคัลลานะเถระ มาให้ทุกท่านได้ศึกษาแทน  ซึ่งถ้าท่านพิจารณาแบบ โยนิโสมนสิการ  จะเห็นว่ามีประโยนช์มาก เช่น

                              - วิธีคลายความง่วง เมื่อนั่งปฏิบัติธรรม

                              - การลดทิฏฐิตัวเอง  ไม่ถือยศศักดิ์  ความมั่งมีกว่าผู้อื่น

                              - การโต้เถียงกับผู้อื่น มีแต่วิวาท กันเท่านั้น เพราะจิตต่างกัน  คิดต่างกัน

                              - ธรรมะ ที่นำไปสู่การเป็นพระอรหันต์

                              - นรก -สวรรค์ และอานิสสงของการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับไปแล้ว

                              - ผลของกรรมที่ได้กระทำต่อบิดา-มารดา ไม่มีทางหลีกพ้น ต้องชดใช้กรรมนั้นเสมอ

                                ลองพิจารณาศึกษา  ดูนะครับ และเอาสิ่งที่ได้นั้น เอาไว้สอนจิต  ตนเอง  ท่านก็จะพบกับความสงบที่แท้จริง ครับ

                                 สวัสดี



พระมหาโมคคัลลานเถระ

เอตทัคคะในทางผู้มีฤทธิ์





พระมหาโมคคัลลานะ เป็นบุตรพราหมณ์นายบ้านในหมู่บ้านโกลิตคาม ได้ชื่อว่า “โกลิตะ” ตามชื่อของหมู่บ้าน มารดาชื่อ โมคคัลลี คนทั่วไปจึงเรียกท่านว่า “โมคคัลลานะ” ตามชื่อของมารดา ท่านเป็นสหายที่รักกันมากับอุปติสสมาณพ เที่ยวแสวงหาความสุขความสำราญ ตามประสาวัยรุ่น และพ่อแม่มีฐานะร่ำรวย นอกจากนี้ยังมีอุปนิสัยใจคอเหมือนกัน และยังได้ออกบวชพร้อมกันอีกด้วย (ประวัติเบื้องต้นของท่านถึงศึกษาจากประวัติของพระสารีบุตร)

•   ทรงแสดงอุบายแก้ง่วงแก่พระโมคคัลลานะ

พระมหาโมคคัลลานะ เมื่ออุปสมบทได้ ๗ วัน ได้ไปทำความเพียรอยู่ที่ป่าใกล้บ้านกัลป์ลาวาลมุตตาคาม แขวงมคธ ถูกถีนมิทธารมณ์ คือ ความง่วงเหงาเข้าครอบงำ ไม่สามารถจะทำความเพียรได้ ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ สวนเภสกลาวัน ซึ่งเป็นสถานที่ให้เหยื่อแก่เนื้อ ใกล้เมืองสุงสุมารคิรี อันเป็นเมืองหลวงของแคว้นภัคคะ ทรงทราบด้วยพระญาณว่าพระโมคคัลลานะ โงกง่วงอยู่ จึงทรงทำปาฏิหาริย์ให้เห็นปรากฏ ประหนึ่งว่าเสด็จประทับอยู่ตรงหน้าทรงแสดงอุบายสำหรับระงับความง่วงแก่เธอตามลำดับ ดังนี้:-

๑.   โมคคัลลานะ เมื่อเธอมีสัญญาอย่างใดแล้ว เกิดความง่วงขึ้น เธอจงทำไว้ในใจซึ่งสัญญาอย่างนั้นให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

๒.   ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรตรึกตรองถึงธรรมที่ได้เรียนมาแล้ว ได้ฟังมาแล้วให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

๓.   ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสาธยายธรรมที่ได้เรียนได้ฟังมาแล้วให้มากจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

๔.   ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรยอนช่องหูทั้งสองข้าง และลูบตัวด้วยฝ่ามือจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

๕.   ถ้ายังละไม่ได้ เธอจงลุกขึ้นแล้วลูบนัยน์ตา ลูบหน้าด้วยน้ำ เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาว จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

๖.   ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรทำไว้ในใจถึงอาโลกสัญญา ถือ กำหนดความสว่างไว้ในใจเหมือนกัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำใจให้เปิด ให้สว่าง จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

๗.   ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรเดินจงกรมสำรวมอินทรีย์ มีจิตใจไม่คิดไปภายนอก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

๘.   ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสำเร็จสีหไสยาสน์ นอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าให้เลื่อมกัน มีสติ-สัมปชัญญะ หมายใจว่าจะลุกขึ้นเป็นนิตย์ เมื่อตื่นแล้วควรรีบลุกขึ้นด้วยตั้งใจว่า เราจะไม่ประกอบความสุขในการนอนและการเคลิ้มหลับอีกจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

พระพุทธองค์ ตรัสสอนอุบายเพื่อบรรเทาความง่วงโดยลำดับจนที่สุดถ้ายังไม่หายง่วงก็ให้นอน แต่ให้นอนอย่างมีสติ เมื่อปราบอุบายแก้ง่วงดังนี้แล้วได้ประทานพระโอวาทอีก ๓ ข้อ คือ:-

๑.   โมคคัลลานะ เธอจงทำไว้ในใจว่า เราจะไม่ชูงวง คือ ความถือตัวว่าเราเป็นนั่น เป็นนี่ เข้าไปสู่สกุล เพราะถ้าภิกษุถือตัวเข้าไปสู่สกุลด้วยคิดว่าเขาจะต้องต้อนรับเราอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าคนในสกุลเขามีการงานมาก ก็จะเกิดอิดหนาระอาใจ ถ้าเขาไม่ใส่ใจต้อนรับ เธอก็จะเก้อเขินคิดไปในทางต่าง ๆ เกิดความฟุ้งซ่านไม่สำรวม จิตก็จะห่างจากสมาธิ

๒.   โมคคัลลานะ เธอจงทำไว้ในใจว่า เราจักไม่พูดคำอันเป็นเหตุเถียงกันเพราะถ้าเถียงกันก็จะต้องพูดมาก และผิดใจกัน เป็นเหตุให้ฟุ้งซ่านไม่สำรวม และจิตก็จะห่างจากสมาธิ

๓.   โมคคัลลานะ ตถาคตไม่สรรเสริญการคลุกคลีด้วยประการทั้งปวง แต่ก็ไม่ตำหนิการคลุกคลีไปทุกอย่าง คือ เราไม่สรรเสริญการคลุกคลีกับหมู่ชน ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต แต่เราสรรเสริญการคลุกคลีด้วยเสนาสนะ อันสงบสงัดปราศจากเสียงอื้ออึง ควรแก่การหลีกเร้นอยู่ ตามสมณวิสัย

ลำดับนั้น พระมหาโมคคัลลานะ ได้กราบทูลถามถึงข้อปฏิบัติอันเป็นธรรมชักนำไปสู่การสิ้นตัณหา เกษมจากโยคะคือกิเลสเครื่องประกอบให้จิตติดอยู่พระพุทธองค์ ตรัสสอนในเรื่องธาตุกรรมฐาน โดยใจความว่า “ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เมื่อได้สดับว่าธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ก็ควรกำหนดธรรมเหล่านั้น ในยามเมื่อเสวยเวทนาอันเป็นสุขหรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง และให้พิจารณาดังปัญญา อันประกอบด้วยความหน่าย ความดับ และความไม่ยึดมั่น จิตก็จะพ้นจากอาสวกิเลส เป็นผู้รู้ว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว”

พระมหาโมคคัลลานะ ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านเป็นกำลังสำคัญของพระศาสนา ช่วยแบ่งเบาภารกิจ และยังพุทธดำริต่าง ๆ ให้สำเร็จด้วยดี เพราะท่านมีฤทธิ์มีอานุภาพยิ่งกว่าพระสาวกรูปอื่น ๆ จนได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดา แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง พระอัครสาวกเบื้องซ้าย โดยทรงยกย่องให้เป็นอัครสาวกคู่กับพระสารีบุตรว่า:- “พระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา เปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดบุตร พระโมคคัลลานะ เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เปรียบเสมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกที่เกิดมาแล้ว พระสารีบุตร ย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พระโมคคัลลานะ ย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณเบื้องสูงขึ้นไป”

นอกจากนี้ พระมหาโมคคัลลานะ ยังเป็นผู้มีความสามารถในการ นวกรรม คือ งานก่อสร้าง พระบรมศาสดาเคยทรงมอบหมายให้ท่านรับหน้าที่ นวกัมมาธิฏฐายี คือ ผู้ควบคุมดูแลการก่อสร้างวิหารบุพพาราม ที่เมืองสาวัตถี ซึ่งนางวิสาขาบริจาคทรัพย์สร้างถวายอีกด้วย

•   พระเถระมีความสามารถในทางอิทธิปาฏิหาริย์

พระมหาโมคคัลลานะ เมื่อบวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วปรากฏว่าท่านมีความสามารถโดดเด่นในทางอิทธิปาฏิหาริย์ เป็นเลิศ กว่าภิกษุทั้งหลาย ท่านสามารถแสดงฤทธิ์ ไปยังภูมิของสัตว์นรก และไปโลกสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ได้ ท่านได้พบเห็นสัตว์นรกในขุมต่าง ๆ ที่ได้เสวยความสุขจากการทำบุญไว้ในเมืองมนุษย์เช่นกัน ท่านได้นำข่าวสารของสัตว์นรกและของเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้น มาแจ้งแก่บรรดาญาติและชนทั้งหลายให้ทราบ ทำให้บรรดาญาติและชนเหล่านั้นพากันละเว้นกรรมชั่วลามกอันจะพาตนไปเสวยผลกรรมในนรก พากันสร้างบุญกุศลอันจะนำตนไปสู่สุคติโลกสวรรค์ และพร้อมกันนั้นก็พากันทำบุญอุทิศไปให้แก่ญาติของตน เหล่าชนบางพวกที่ไม่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็พากันละทิ้งลัทธิศาสนาเดิมมาศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น ทำให้พวกเดียรถีย์ทั้งหลายต้องเสื่อมจากลาภสักการะ เป็นอยู่ลำบากอดอยากขึ้นเรื่อย ๆ

เรื่องที่พระเถระไปเยี่ยมชมโลกสวรรค์ชั้นต่าง ๆ นั้นมีเรื่องกล่าวไว้ในคัมภีร์ธรรมบทหมวดปิยวรรคและโกธวรรคว่าวันหนึ่ง พระเถระได้ขึ้นไปยังดาวดึงส์โลกสวรรค์ ด้วยอริยฤทธิ์ ได้เห็นปราสาทหลังหนึ่ง มีแสงแวววาวด้วยแก้วนานาประการ มีขนาดใหญ่ทั้งกว้าง ทั้งสูง มีนางเทพธิดาอยู่ในปราสาทนั้นจนเนืองแน่น พระเถระจึงถามว่า“แม่เทพธิดา วิมานนี้เป็นของใคร (เกิดขึ้นเพื่อใคร) ?" “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ วิมานนี้เกิดขึ้นเพื่อนันทิยะ ผู้สร้างศาล ๔ มุข ๔ห้อง ถวายพระบรมศาสดา พวกดิฉันมาเกิดในที่นี้ก็ด้วยหวังว่าจะได้เป็นบาทจาริกาของนันทิยะนั้น แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่พบนันทิยะ เพราะท่านยังไม่ละอัตภาพจากโลกมนุษย์เลยขอพระคุณเจ้าได้โปรดนำข่าวสารไปบอกแก่นันทิยะให้ละอัตภาพมนุษย์อันเปรียบประดุจถาดดิน มาถือเอาอัตภาพอันเป็นทิพย์ ซึ่งเปรียบประดุจถาดทองคำล้ำค่าในโลกสวรรค์นี้ด้วยเถิด เจ้าค่ะ”

อันที่จริง วิมานนั้นได้เกิดขึ้นบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พร้อมกับขณะที่นันทิยมาณพ ได้สร้างศาลาจัตุรมุขมี ๔ ห้อง ถวายแด่พระบรมพระศาสดาแล้ว หลั่งน้ำทักษิโณทก ตกลงบนฝ่าพระหัตถ์ของพระบรมศาสดา พระเถระได้จาริกท่องเที่ยวไปยังสวรรค์ชั้นอื่น ๆ ได้พบเห็นวิมานทองของเหล่าเทพบุตร เทพธิดาทั้งหลายแล้ว ได้ไต่ถามเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้นว่า ทำบุญอะไร ทานด้วยสิ่งใด จึงได้เสวยผลบุญ ได้รับทิพยสมบัติวิมานแล้ว วิมานทองอันงดงามยิ่งนัก เช่นนี้

เทพบุตรและเทพธิดาเหล่านั้น ต่างก็รู้สึกละอายที่จะบอกแก่พระเถระ เพราะบุญทานที่พวกตนกระทำนั้นมีประมาณเพียงเล็กน้อย คือ:-

-   บางองค์บอกว่า เพียงรักษาคำสัตย์ จึงได้สมบัติคือวิมานนี้

-   บางองค์บอกว่า เพียงห้ามความโกรธ จึงได้วิมานนี้

-   บางองค์บอกว่า เพียงถวายอ้อยลำเดียว จึงได้วิมานนี้

-   บางองค์บอกว่า เพียงถวายมะพลับ, ลิ้นจี่ ฯลฯ ผลเดียว จึงได้วิมานนี้

พระเถระจาริกไปยังสวรรค์ชั้นต่าง ๆ พอสมควรแก่อัธยาศัยแล้วก็กลับมาสู่มนุษย์โลก นำข่าวสารที่ได้พบเห็นมาแจ้งแก่หมู่ชนทั้งหลาย ซึ่งต่างก็พากันศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทำบุญสร้างกุศล เพื่อหวังผลอันเป็นสุขสมบัติในปรโลก

•   พระเถระทรมานพญานาค

สมัยหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัตของนักบวชนอกพระพุทธศาสนานามว่า “อัคคิทัต” จึงรับสั่งให้พระมหาโมคคัลลานเถระไปอบรมสั่งสอนให้ลดทิฏฐิมานะ ละการถือลัทธินั้นเสียพระเถระรับพระพุทธบัญชาแล้วไปยังสำนักของอัคคิทัต นั้น กล่าวขอที่พักอาศัยสักราตรีหนึ่ง แต่อัคคิทัต ปฏิเสธว่าไม่มีสถานที่ให้พัก พระเถระจึงกล่าวต่อไปว่า “อัคคิทัต ถ้าอย่างนั้น เราขอพักที่กองทรายนั่นก็แล้วกัน”
 
ก็ที่กองทรายนั้นมีพญานาคตัวใหญ่มีพิษร้ายแรงอาศัยอยู่ อัคคิทัต เกรงว่าพระเถระจะได้รับอันตรายจึงไม่อนุญาต แต่เมื่อพระเถระรบเร้าหนักขึ้นจนต้องยอมอนุญาต พระเถระจึงเดินไปที่กองทรายนั้น พญานาคเห็นพระเถระเดินมารู้ว่าไม่ใช่พวกของตนจึงพ่นควันพิษเข้าใส่พระเถระ ฝ่ายพระเถระก็เข้าเตโชกสิณบังหวนควันไฟให้กลับไปทำอันตรายแก่พญานาค ทั้งพระเถระและพญานาคต่างก็พ่นควันพ่นไฟเข้าใส่กันจนเกิดแสงรุ่งโรจน์โชตนาการ พิษควันไฟไม่สามารถทำอันตรายพระเถระได้เลย แต่ทำอันตรายแก่พญานาคฝ่ายเดียวอัคคิทัต กับบริวารมองดูแล้วคิดตรงกันว่า “พระเถระคงจะมอดไหม้ในกองเพลิงเสียแล้ว” พร้อมทั้งคิดว่า “สาสมแล้ว เพราะเราห้ามแล้วก็ไม่ยอมเชื่อฟัง” รุ่งเช้า อัคคิทัตกับบริวารเดินมาดู ปรากฏว่าพระเถระนั่งอยู่บนกองทราย โดยมีพญานาคขดรอบกองทรายแล้วแผ่พังพานอยู่เหนือศีรษะพระเถระ   จึงพากันคิดว่า “น่าอัศจรรย์ สมณะนี้มีอานุภาพยิ่งนัก”

ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จมาถึง พระมหาโมคคัลลานเถระ จึงลงจากกองทรายแล้ว เข้าไปกราบบังคมทูลอาราธนาให้เสด็จปะทับนั่งบนกองทรายแล้วกล่าวกับอัคคิทัตว่า “พระพุทธองค์ เป็นศาสดาของข้าพเจ้า ๆ เป็นสาวกของพระพุทธองค์”

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้อัคคิทัตพร้อมทั้งบริวารเลิกละการเคารพบูชาภูเขา ป่า ต้นไม้ และจอมปลวก เป็นต้น ที่พวกตนพากันเคารพบูชาว่าเป็นที่พึ่งอันเกษมสูงสุด ให้หันมาระลึกถึงพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อันเป็นสิ่งประเสริฐสุดนำไปสู่การพ้นทุกข์ทั้งปวง เมื่อจบพระธรรมเทศนา อัคคิทัต และบริวารได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วยกันทั้งหมดแล้วกราบทูบขอบรรพชาในพระพุทธศาสนา พระบรมศาสดาได้ประทานให้ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา

เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ของพระมหาโมคคัลลานเถระนั้นมีมาก แต่นำมากล่าวไว้ในที่นี้พอเป็นตัวอย่างเพียงเท่านี้

•   พระเถระมีอัธยาศัยใจกว้าง

พระมหาโมคคัลลานเถระ ผู้เปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมและความสามารถในอิทธิปาฏิหาริย์เหนือกว่าพระพุทธสาวกรูปอื่น ๆ แต่ท่านก็เป็นผู้มีอัธยาศัย ใจกว้างไม่กีดกัน ไม่เบียดบังความดี ความสามารถของคนอื่น ไม่ฉวยโอกาสชิงความดี ความชอบจากผู้อื่น ดังจะเห็นได้จากเรื่องต่อไปนี้:-

สมัยหนึ่ง เศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์ อยากจะเห็นพรอรหันต์ที่แท้จริงเพราะในเมือง ราชคฤห์นั้นมีเจ้าลัทธิหลายสำนัก ซึ่งต่างก็โอ้อวดว่าตนเป็นพระอรหันต์ ทั้ง ๆ ที่การปฏิบัติและหลักคำสอนก็แตกต่างกันเป็นอย่างมาก และหาแก่นสารมิได้ จึงให้บริวารกลึงไม้จันทน์แดง ทำเป็นบาตรแล้วผูกติดปลายไม้ไผ่ต่อกัน หลาย ๆ ลำตั้งไว้แล้วประกาศว่า “ใครเป็นพระอรหันต์ ก็จงเหาะมาเอาบาตรใบนี้ไป”

เจ้าลัทธิทั้งหลายปรารถนาจะได้บาตร แต่ไม่สามารถเหาะมาเอาไปได้ จึงมาเกลี้ยกล่อมเศรษฐีให้ยกบาตรให้ตน โดยไม่ต้องเหาะขึ้นไป แต่เศรษฐีก็ยงคงยืนยันว่าต้องเหาะขึ้นไปเอาเองเท่านั้นจึงจะได้

ขณะนั้น พระมหาโมคคัลลานเถระ กับพระปิณโฑลภารทวาชเถระ กำลังยืนห่มจีวรอยู่ บนก้อนหินใหญ่ เพื่อเข้าไปบิณฑบาตในเมือง ได้ยินพวกชาวบ้านพูดกันว่า “ในโลกนี้ คงจะไม่มีพระอรหันต์ เพราะวันนี้เป็นวันที่ ๗ แล้วท่านเศรษฐีประกาศให้พระอรหันต์เหาะมาเอาบาตร แม้แต่ครูทั้ง ๖ ที่โอ้อวดนักหนาว่าเป็นพระอรหันต์ ก็ยังไม่สามารถเหาะขึ้นไปเอาบาตรได้เลย เราเพิ่งรู้วันนี้เองว่าพระอรหันต์ไม่มีในโลก”

พระเถระทั้งสอง ต้องการประกาศให้ประชาชนทั้งหลายรู้ว่าในพระพุทธศาสนามีพระอรหันต์อยู่จริง ดังนั้น พระมหาโมคคัลลานเถระ แม้จะมีฤทธิ์มีอานุภาพมากกว่า มีอายุพรรษามากกว่า แต่อาศัยความที่ท่านเป็นผู้มีใจกว้างมีความเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น ต้องการให้คุณของพระเถระรูปอื่นปรากฏบ้าง จึงบอกให้ พระปิณโฑลภารทวาชเถระ เหาะขึ้นไปเอาบาตรนั้นลงมา จนเศรษฐีและชาวเมืองพากันแตกตื่นมาดูกันอย่างโกลาหล

อีกเรื่องหนึ่ง คือ เมื่อพระบรมศาสดา ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้ว เสด็จขึ้นไปจำพรรษา ณ ดาวดึงส์เทวโลก มหาชนที่ประชุมกันอยู่ที่นั่นไม่ทราบว่าพระพุทธองค์หายไปไหน จึงพากันเข้าไปถามพระมหาโมคคัลลานเถระแม้พระเถระจะทราบเป็นอย่างดี แต่ท่านก็ไม่ตอบโดยตรง กลับบอกให้ไปถามพระอนุรุทธเถระ ทั้งนี้ ก็เพื่อยกย่องคุณความรู้ความสามารถของพระพุทธสาวกรูปอื่น ๆ ให้ปรากฏบ้างนั่นเอง

•   พระมหาโมคคัลลานเถระถูกโจรทุบ

วันเวลาผ่านไปตามลำดับ เข้าสู่ปัจฉิมโพธิกาล ขณะที่ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระพักอยู่ที่กาฬศิลา ในมคธชนบทนั้นพวกเดียรถีย์ ทั้งหลาย มีความโกรธแค้นพระมหาโมคคัลลานเถระ เป็นอย่างมาก เพราะความที่ท่านมีฤทธานุภาพมาก สามารถกระทำอิทธิฤทธิ์ ไปเยี่ยมชมสวรรค์และนรกได้ แล้วนำข่าวสารมาบอกแก่ญาติมิตรของผู้ไปเกิดในสวรรค์และนรกให้ได้ทราบ ประชาชนทั้งหลายจึงพากันเลื่อมใสนพระพุทธศาสนา ทำให้พวกเดียรถีย์ ต้องเสื่อมคลายความเคารพนับถือจากประชาชน ลาภสักการะก็เสื่อมลง ความเป็นอยู่ก็ลำบากฝืดเคือง จึงปรึกษากันแล้วมีความเห็นอันเดียวกันว่า “ต้องกำจัดพระมหาโมคคัลลานะ เพื่อตัดปัญหา”

ตกลงกันแล้ว ก็เรี่ยไรเงินทุนจากบรรดาศิษย์ และอุปัฏฐากของตนเมื่อได้เงินมากพอแก่ความต้องการแล้ว ได้ติดต่อจ้างโจรให้ฆ่าพระเถระ พวกโจรใจบาป ได้รับเงินสินบนแล้วพากันไปล้อมจับพระเถระถึงที่พัก แต่พระเถระรู้ตัวและหลบหนีไปได้ถึง ๒ ครั้งในครั้งที่ ๓ พระเถระได้พิจารณาเห็นกรรมเก่า ที่ตนเคยทำไว้ในอดีตชาติติดตามมา และเห็นว่ากรรมเก่านั้นทำอย่างไรก็หนีไม่พ้น จึงยอมให้พวกโจรจับอย่างง่ายดาย และถูกพวกโจรทุบตีจนกระดูกแตกแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี พวกโจรแน่ใจว่าท่านตายแล้ว จึงนำร่างของท่านไปทิ้งในป่าแห่งหนึ่ง แล้วพากันหลบหนีไป

•   บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานเถระ

ในอดีตชาติ พระมหาโมคคัลลานเถระ เกิดเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ ต่อมาเมื่อเจริญเติบโตขึ้นพ่อแม่ทั้งสองประสบเคราะห์กรรมตาบอดด้วยกันทั้งสองคน เป็นภาระที่ลูกชายคนเดียวต้องปรนนิบัติเลี้ยงดู การงานทุกอย่างทั้งนอกบ้านในบ้านลูกชายจัดการเป็นที่เรียบร้อย พ่อแม่ทั้งสองมิต้องกังวลต่อมา พ่อแม่เห็นลูกชายอยู่ในวัยที่สมควรจะมีครอบครัวได้แล้ว จึงจัดการสู่ขอหญิงสาวที่มีชาติตระกูลใกล้เคียงกัน ให้มาแต่งงานเป็นคู่ของลูกชายทั้ง ๆ ที่ลูกชายมิได้เต็มใจ เพราะตนเองผู้เดียวก็สามารถปฏิบัติเลี้ยงดูบิดามารดาได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อบิดามารดาเป็นภาระจัดการให้แล้วก็ไม่ขัดความประสงค์ของท่าน เมื่อแต่งงานแล้วชีวิตครอบครัวที่มีลูกสะใภ้พ่อผัวแม่ผัวอยู่ร่วมกันมาในระยะแรก ๆ ก็ราบรื่นสงบสุขเป็นอย่างดี

เมื่อกาลเวลาผ่านนาน ๆ ไป ลูกสะใภ้ก็เริ่มรังเกียจพ่อผัวแม่ผัวที่ตาบอดด้วยกันทั้งสองคน จึงหาวิธีกำจัดท่านทั้งสองด้วยการยุแหย่สามีให้เกลียดชังพ่อแม่ คือ เมื่อสามีออกทำงานนอกบ้านก็แกล้งทำบ้านเรือนให้สกปรกรกรุงรัง เมื่อสามีกลับมาก็ฟ้องว่าพ่อแม่ทั้งสองเป็นผู้กระทำตนเองไม่สามารถที่จะทนเห็นทนอยู่ผู้เฒ่าตาบอดทั้งสองคนนี้ได้อีกต่อไปแล้ว
 
ระยะแรก ๆ สามีก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนักได้แต่รับฟังแล้วก็นิ่งเฉยแต่เมื่อภรรยาพูดบ่อย ๆ และเห็นบ้านเรือนสกปรกมากยิ่งขึ้นจึงเชื่อคำของภรรยา และได้ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับคนแก่ตาบอดทั้งสองคนนี้ดี “เอาท่านใส่เกวียนไปฆ่าทิ้งในป่า” ภรรยาเสนอความคิดเห็นสามีแม้จะไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะตนเป็นคนรักและกตัญญูต่อพ่อแม่มาตลอด แต่เมื่อภรรยารบเร้าไม่รู้จบสิ้น จึงใจอ่อนยอมทำตามที่ภรรยาแนะนำ

 รุ่งเช้า ได้จัดหาอาหารเลี้ยงดูพ่อแม่เป็นอย่างดีแล้วกล่าวว่า:- “ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่ ญาติที่หมู่บ้านโน้นต้องการให้คุณพ่อคุณแม่ไปเยี่ยมพวกเราไปกันในวันนี้เถิด”

ลูกชายให้พ่อแม่นั่งบนเกวียนแล้วออกเดินทาง พอมาถึงกลางป่าส่งเชือกบังคับโคให้พ่อถือไว้แล้วพูดหลอกว่า:- “คุณพ่อจับปลายเชือกนี้ไว้ โคจะลากเกวียนไปตามทางนี้ ทราบว่าในป่านี้มีพวกโจรซุ่มอยู่ ลูกจะลงเดินตรวจดูโดยรอบ”

เมื่อลงเดินได้สักครู่หนึ่ง ก็เปลี่ยนเสียงร้องตะโกนประหนึ่งว่าเสียงโจรดักซุ่มอยู่ แล้วเข้ามาทุบตีทำร้ายบิดามารดา

ฝ่ายบิดามารดาเชื่อว่าเป็นโจรจริง ๆ แม้จะถูกทุบตีอยู่ก็ยังร้องบอกให้ลูกรีบหนีไป พ่อแม่แก่แล้วไม่ต้องเป็นห่วง ลูกจงรักษาชีวิตไว้เถิด

ลูกชายพอได้ยินเสียงมารดาบิดาร้องบอกให้รีบหนีไปไม่ต้องเป็นห่วงพ่อแม่ ก็กลับคิดได้ว่า “ตนทำกรรมหนัก พ่อแม่แม้จะถูกเราทุบตีอยู่นี้ ก็ยังร้องคร่ำครวญด้วยความรักและห่วงใยให้เรารีบหนีไปโดยมิได้คำนึงถึงชีวิตของตนเอง”

ดังนี้แล้ว จึงเข้ามาบีบนวดให้แล้วบอกกับพ่อแม่ว่า “บัดนี้พวกโจรหนีไปหมดแล้ว” จากนั้นก็นำท่านกลับมาปรนนิบัติดูแลที่บ้านเป็นอย่างดี ลูกชาย เมื่อตายแล้วต้องชดใช้กรรมในนรกเป็นเวลานาน เมื่อพ้นจากนรกแล้วมาเกิดใหม่ ต้องถูกทุบตีจนแหลกละเอียดอีกหลายร้อยชาติ ในชาติสุดท้ายนี้แม้จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีฤทธิ์ สามารถจะดำดินล่องหนหายตัวได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ก็ไม่สามารถจะหนีผลกรรมได้ ท่านจึงยอมให้พวกโจรจับทุบจนร่างแหลกเหลวดังกล่าวมานั่นเอง

•   กราบทูลลานิพพาน

พระมหาโมคคัลลานเถระ คิดว่า “เราควรไปกราบทูลลาพระผู้มีพระภาค ก่อนจึงปรินิพพาน” ดังนี้แล้วก็เรียบเรียงสรีรกายประสานกระดูกผูกหมั่นด้วยกำลังฌาน เหาะมาเฝ้าพระบรมศาสดา ถวายบังคมแล้วกราบทูลลาปรินิพพาน พระพุทธองค์ตรัสถามว่า “โมคคัลลานะเธอจะปรินิพพาน ที่ไหน เมื่อไร ? ”   “ข้าพระองค์ จะนิพพานที่กาฬศิลาในวันนี้ พระเจ้าข้า” “โมคคัลลานะ ถ้าอย่างนั้น เธอจงแสดงธรรมแก่ตถาคตก่อน ด้วยว่าการได้เห็นพระเถระเช่นเธอนี้ จะไม่มีอีกแล้ว”

พระเถระได้รับพระพุทธบัญชาเช่นนั้น จึงทำปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปบนอากาศแสดงพระธรรมเทศนาแล้วลงมาถวายอภิวาทกราบทูลลาไปยังกาฬศิลา และปรินิพพาน ณ ที่นั้น ตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ หลังจากพระสารีบุตรนิพพานได้ ๑๕ วัน

พระผู้มีพระภาค เสด็จไปพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ทรงเป็นองค์ประธานจุดเพลิงฌาปนกิจศพให้ท่าน ขณะนั้น ฝนดอกไม้ทิพย์ตกลงมาโดยรอบบริเวณ มหาชนพากันประชุมทำสักการะอัฐิธาตุตลอด ๗ วัน พระพุทธองค์โปรดให้สร้างเจดีย์บรรจุอัฐิไว้ ณ ที่ใกล้ซุ้มประตูแห่งพระเชตะวัดมหาวิหารนั้น

สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพระอัครสาวกทั้งขวาและซ้ายนิพพานหมดแล้ว ก็เปรียบประหนึ่งต้นหว้าแก่ที่กิ่งใหญ่ทั้งสองหักลงแล้ว คงเหลือแต่พระอานนท์ ผู้เป็นพุทธอุปัฏฐากเพียงองค์เดียว เที่ยวติดตามประการหนึ่งว่าเงาตามพระองค์ ฉะนั้น
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #7048 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2555, 09:32:23 »


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ตู่เข้ามาตามอ่านพระสูตรแล้วค่ะ...

...แต่ยังอ่านไม่จบ...ขอไปทำธุระก่อนค่ะ...

...วันนี้ต้องไปเยี่ยมพระต้นค่ะ...

...บ่ายๆจะเข้ามาอ่านใหม่ค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #7049 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2555, 14:15:43 »

มติ ครม. วันอังคารที่ 2 ตุลาคม 2555

วันที่ 2 ตุลาคม คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอบัญชีรายชื่อข้าราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทย โดยมี
1.นายประชา เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย  ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย
2.นายจรินทร์ จักกะพาก ผู้ว่าฯสกลนคร ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย
3.นายบุญส่ง เตชะมณีสถิตย์ รองอธิบดีกรมการปกครอง ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯสกลนคร 
4.นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ว่าฯกาฬสินธุ์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯขอนแก่น
 

5.นายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าฯระยอง ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯอุดรธานี
6.นายวิชิต ชาตไพสิฐ ผู้ว่าฯจันทบุรี ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯระยอง
7.นายสุรชัย ขันอาสา ผู้ว่าฯลำพูน ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯจันทบุรี
8.นายพรศักดิ์ เจียรณัย ผู้ว่าฯบึงกาฬ เป็นผู้ว่าฯชัยภูมิ
9.พีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผู้ว่าฯระนอง ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯชุมพร
10.นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าฯเชียงราย ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯเชียงใหม่
 

11.นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าฯน่าน ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯเชียงราย
12.นายวันชาติ วงษ์ชัยชนะ ผู้ว่าฯร้อยเอ็ด ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯนครปฐม
13.นายสมศักดิ์ ขำทวีพรหม ผู้ตรวจราชการกระทรวง ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯร้อยเอ็ด
14.นายวินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าฯเพชรบุรี ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯนครราชสีมา
15.นายปรีชา เรืองจันทร์ ผู้ว่าฯนครสวรรค์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯพิษณุโลก
 

16.นายชัยโรจน์ มีแดง ผู้ว่าฯพิษณุโลก ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯนครสวรรค์
17.นายศิริพงษ์ ห่านตระกูล ผู้ตรวจราชการกระทรวง ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯปทุมธานี
18.นายประมุข ลมุล ผู้ตรวจราชการกระทรวง ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯปัตตานี
19.นายจักริน เปลี่ยนวงษ์ ผู้ว่าฯสุโขทัย ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯพิจิตร
20.นายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าฯพะเยา ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯภูเก็ต
 

21.นายพิเชษฐ ไพบูลย์ศิริ ผู้ว่าฯสิงห์บุรี ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯลพบุรี
22.นายคณิต เอี่ยมระหงษ์ ผู้ว่าฯบุรีรัมย์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯสมุทรปราการ
23.นายวันชัย สุทธิวรชัย ผู้ตรวจราชการกระทรวง ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯอุบลราชธานี และ
24.นายกำธร ถาวรสถิตย์ ผู้ว่าฯอำนาจเจริญ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 280 281 [282] 283 284 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><