24 พฤศจิกายน 2567, 18:20:38
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 230 231 [232] 233 234 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3575235 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 17 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5775 เมื่อ: 24 มีนาคม 2555, 13:18:07 »



สุภาพบุรุษที่ยืนคู่กับพี่สิงห์ กินไอ้ติม อิตาลี คือ คุณโย  กจก. SIW ซึ่งเป็นชาวสิงค์โปร์


อย่าลืม "วิญญาณ" คืออะไร?

ขอเรียนเชิญ

อุบาสกรองรัตน์ และ ท่านผู้รู้ ดร.สุริยา

ตอบให้กระจ่าง ตามความเข้าใจของตน (อย่าลอกตำรามาตอบ)

มิฉะนั้น  อดดูรูปภาพ อิตาลี ต่อครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5776 เมื่อ: 24 มีนาคม 2555, 21:24:30 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                               วันนี้มีแต่ข่าวร้ายสองเรื่อง คือ หนึ่งแม่ต้องเข้าโรงพยาบาล และสองพี่กุ้ง ภรรยาพี่พงษศักดิ์ ประธานบริษัท PST concrete จำกัด ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งที่ผมได้เคยบอกทุกท่านไปนั้น ได้จากไปเมื่อตอนเช้าตรู่นี้เอง ด้วยจิตที่สงบและภาวนา "พุทธ - โธ" ๆ ๆ ๆ จนวาระสุดท้ายของลมหายใจ  ตามที่ผมได้สั่งคุณดิเรกไว้ ทุกประการ

                               ผมเองไม่มีใครบอกเลยจนกระทั่งลงเครื่องบิน มาถึงบ้าน และออกไปเดินจงกรมที่หน้าบ้านก็ได้รับโทรศัพท์แจ้ง จึงรีบไปวัดชลประทานทันที ไปถึงวัดหกโมงสี่สิบ ได้กราบลาพี่กุ้ง และฟังพระเทศน์ และสวดมนต์

                               สำหรับสิ่งที่พอเก็บมาได้จากพระเทศน์คือ ท่านสอนให้ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ด้วยการสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  ไม่ยินดียินร้ายกับบุคคลในบ้านไม่ว่าสามี - ภรรยา  บิดา - มารดา  บุตร คือสำรวมกิริยาตัวเองเท่านั้น ปล่อยวางในสิ่งที่รับรู้ทางอายตนะทั้ง ๖ เอาไว้ให้มั่น  เพียงเท่านี้คนในบ้านก็จะมีความสุข เพราะมีผู้ยอมแพ้ และมีเมตตา  มีสงสารเกิดขึ้น

                               นอกจากนี้ท่านสอนให้รู้จักยาขนานเด็ดของหลวงพ่อพุทธาส ที่ประกอบไปด้วย ต้นไม่รู้ไม่ชี้ ช่างหัวมัน  ไม่ใช่เรื่องของกู ....... ที่จะทำให้จิตปล่อยวางได้  ท่านให้ต้มกินทุกวัน คือพิจารณามันทุกวัน

                               ก็ดีมากครับ ทำให้เราได้ทบทวนตัวเองตามที่พระท่านสอน  ได้ปลงอนิจจังในสังขาร ที่ร่างพี่กุ้งนอนสงบอยู่ในโลง  สักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็วเราก็ต้องไปนอนเช่นเดียวกับพี่กุ้ง  ดังนั้นต้องอยู่ด้วยความไม่ประมาทในธรรม

                               วิญญาณ  มันคืออะไรกันแน่ มันจาก จากพี่กุ้ง ไปหรือไม่  หรือมันไม่มี  เอ ก็มันไม่มีตัวตนนี่นา แล้วเจ้าวิญญาณ ของพี่กุ้งไปไหน ?   วิญญาณมันคืออะไร วานอุบาสกรองรัตน์  ของ ดร.สุริยา  ตอบให้ชื่นใจหน่อยเถิด

                               ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #5777 เมื่อ: 25 มีนาคม 2555, 07:19:29 »

สวัสดี ครับพี่ สิงห์นับเป็นเกียรติ์ที่จะให้ผม ตอบคำถาม ทางธรรมะ แล้วผมจะตอบได้รู้เรื่องหรือ หนังสือพระก็ไม่ได้อ่าน วัดก็
               ไม่ค่อยได้เข้าแถมให้คุยด้วยกับพระก็คุยไม่เป็น สังกัดพรรคมาร ซีมะโด่ง อีกต่างหาก มันจะไม่ค่อย ได้เรื่อง  ซิ
                ครับ  พอพูดเรื่อง วิญญาณ เดี๋ยวก็ต้อง ต่อเรื่อง ผี อีก พี่สิงห์ ให้ ความรู้ทางศาสนานี้ดีแล้ว ความจริงมันก็จะไปโยงกับ
                จิต และ เมือ จิตเกิดก็จะมี เจตสิก 52 เป็นองค์ประกอบอีก นะพี่มันจะยาวไปใหญ่ เดี๋ยว หยุดไม่ได้นะพี่ แต่วิญญาณ
                เกิด - ดับ ตามธรรมชาติ ตลอดเวลา โดยเป็นสื่อนำอารมณ์ไปให้ จิต /  จิตเป็นธาตุ รู้ ธาตุจำ แปรปรวนไปตาม
               อารมณ์ ....เริ่ม มีคนงง แล้ว ละพี่ บ้างครั้งเราก็จะเรียก เต็มๆ ว่า วิญญาณขันธ์ เกิดขึ้น ตาได้เห็น หูได้ยิน จมูกได้    
                กลิ่น ลิ้นได้รับรู้รส กายได้ สัมผัส และใจได้รู้ ความนึกคิด หรือเราเรียกว่า เชื่อม ต่อระหว่างภายในไปสู่ภายนอก
                ชักยาว แล้วละพี่ ในความเป็น มนุษย์ มันไม่รู้อารมณ์เพียงอย่างเดียว มันมี ปรุงแต่ง ให้สนุกเพลิดเพลินขึ้นไปอีก
                ชักจะยาวแล้วนะพี่สิงห์.....ธรรมะมันไหลเดี๋ยว ต้องหาทาง Landing ให้ได้ ......จิตก็รับรู้เอาไว้ แต่ มันเยอะ  เกิด
                อยู่คลอด จิตก็จะมีเจตสิก มาช่วยแยกแยะอีก 121แบบ  มีการถ่ายข้อมูล ระบบ 0-1-0-1- กันอย่างเป็น  ระบบ
                เกิด -ดับ ๆๆๆๆๆ จอดตรงนี้ได้?หรือ ยังพี่ เดี๋ยวยาวหา ที่จอด ไม่ได้ ผมเป็นพวก มิจฉาทิฏฐิ ก็จะโม้ไปเรื่อย ๆๆๆๆ
                เดี๋ยวก็จะมี คำถาม ต่อ แล้ว วิญญาณไปไหนละเมื่อตาย ตอบแบบ ภาษา บ้านๆ ก็ดับซิครับ ไม่มีทวารทั้ง 6 ให้ เข้า-
                ออกแล้วนี้  รับไว้เท่าไรก็มีเท่านั้น แต่ไปรวมอยู่ที่ จิต แล้วก็เกิด ภพ ชาติ ทั้นที ไอ้ที่เขาพูดกันว่า" ไปสู่ที่ ชอบ ที่
                 ชอบ " เป็นจริงแน่นอน ....... ก็ไปตามเหตุ ปัจจัยที่แต่ละดางจิตได้สะสมไว้ ....พี่สิงห์ ต่อละกัน คนชักงงๆมากขึ้น
                เพราะ ผมก็มั่วไปตาม เหตุ ปัจจัย จะสังเกตุได้ว่า ไม่ใช้ภาษา แขก เลย เพราะผมไม่รู้เรื่อง   เรื่องศาสนายังเดิน
                 เต๊าะแต๊ะ ๆ ๆ  ... พี่สิงห์ช่วยต่ออีกนะ ....เพราะจะมีคนสนใจมาก ว่าตายแล้วเกิดอะไร หลังความตาย แล้ว อะไร?
                 ไปไหน?.......คนเห็นผีได้ไง.......ยาว ครับพี่  (ยังมีรายละเอียดอีกเยอะ จิต เจตสิก วิญญาณ ผมตั้งกาดแล้วแย๊บ มา                                                   นิดเดียว )  ขอบคุณ ครับที่ทน อ่านผม โม้
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #5778 เมื่อ: 25 มีนาคม 2555, 11:08:32 »

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อย่าหวังอะไรให้มากนัก
จงมองชีวิตอย่างผู้ช่ำชอง
อย่าวิตกกังวลอะไรล่วงหน้า
ชีวิตนี้เหมือนเกลียวคลื่น ซึ่งก่อตัวแล้วม้วนเข้าหาฝั่ง
และแตกกระจายเป็นฟองฝอย
จงยืนมองดูชีวิต
เหมือนคนผู้ยืนอยู่บนฝั่ง
มองดูเกลียวคลื่นในมหาสมุทร ฉะนั้น



พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน
เล่าโดย อาจารย์วศิน อินทสระ
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5779 เมื่อ: 25 มีนาคม 2555, 15:37:23 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 25 มีนาคม 2555, 11:08:32
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อย่าหวังอะไรให้มากนัก
จงมองชีวิตอย่างผู้ช่ำชอง
อย่าวิตกกังวลอะไรล่วงหน้า
ชีวิตนี้เหมือนเกลียวคลื่น ซึ่งก่อตัวแล้วม้วนเข้าหาฝั่ง
และแตกกระจายเป็นฟองฝอย
จงยืนมองดูชีวิต
เหมือนคนผู้ยืนอยู่บนฝั่ง
มองดูเกลียวคลื่นในมหาสมุทร ฉะนั้น



พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน
เล่าโดย อาจารย์วศิน อินทสระ


                เท่าที่ตรวจสอบพระไตรปิฎกฉบับประชาชนและตามรอยบาทพระพุทธองค์  ไม่มีพุทธโอวาทนี้ก่อนปรินิพพาน

         มีแต่สิ่งทีพระพุทธองค์ทรงกระทำ ตามลำดับเวลาก่อนปรินิพพานได้แก่
                  - เสด็จกรุงปาวา ฉันอาหารของนายจุนทะ
                  - ระหว่างที่เสด็จกรุงกุสินารา (ให้พระอานนท์ไปตักน้ำ)
                  - สถานที่ควรสังเวช ๔ แห่ง
                  - วิธีปฏิบัติในสตรี และพุทธะสรีระ
                  - ตรัสสรรเสริญพระอานนท์
                  - ตรัสเรื่องกรุงกุสินารา
                  - โปรดสุภัททปริพพาชก
                  - พระดำรัสตรัสสั่ง
                  - ทรงโปรดให้ซักถาม
                  - ปัจฉิมโอวาท
                  - ลีลาในการปรินิพพาน
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #5780 เมื่อ: 25 มีนาคม 2555, 15:42:21 »

แล้วกันอาจารย์มานพ จะให้จัดไว้ว่าเป็น พุทธโอวาทหลังปรินิพพาน หรือไง
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5781 เมื่อ: 25 มีนาคม 2555, 16:35:26 »

                           
ต้องขอขอบคุณ ดร.สุริยา และอุบาสกรองรัตน์ ที่ตอบให้ทราบความจริง  ความจริงจึงปรากฏ

                            วิญญาณ  ตั้งแต่ผมเล็กจนโต จนมาถึงก่อนปัจจุบัน ผมเข้าใจว่าคนนั้นประกอบไปด้วยรูป และต้องมีวิญญาณสิงสถิตย์ จึงจะเป็นคนตามที่เราเห็นได้ และเมื่อตายไปแล้วดวงวิญญาณนั้นร่องลอยออกจากร่างไปสู่อีกภพหนึ่ง

                            ส่วนผีนั้น คือดวงวิญญาณที่ยังอาลัยในภพมนุษย์ ยังเเค้นในภพมนุษย์ จึงมาปรากฏให้เห็นเป็นทั้งคนและรูปร่างที่น่ากลัวตามที่เราเห็นตามภาพยนต์ จนผี นั้นน่ากลัวมาก  เราจะไม่เชื่อเสียเลยมันก็ไม่ถูกต้องเพราะมันถูกถ่ายทอดกันมาเรื่องผีจากรุ่นต่อรุ่น มีทุกศาสนา มันน่าคิด

                            วิญญาณในพุทธศาสนานั้น หมายถึงการรับรู้  คือการรับรู้จากปัจจัยที่ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้ดมกลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส กายได้สัมผัส  ใจได้นึกคิด  ตอนรับรู้นั้นวิญญาณเกิด แต่เมื่อรับรู้เสร็จวิญญาณนั้นก็ดับทันทีเพราะมีปัจจัยจากวิญญาณ จึงทำให้เกิดเจตสิก(เวทนา  สังขาร สัญญา) ต่อเนื่องเป็นปัจจัยต่อกัน เช่น เมื่อตาเห็นรูปจะเกิดจักขุวิญญาณ(รับรู้)ทันที เพราะมีปัจจัยจากวิญญาณจึงส่งต่อไปยังเจตสิก จักขุวิญญาณก็ดับทันทีเหมือนกัน  เกิด - ดับ อยู่อย่างนี้  ผมไม่รู้เจตสิก ๕๒ ตามที่เอามาจากหนังสือหรอกเพราะมันไม่จำเป็น ขอหาจากตัวเองดีกว่า เพราะมันเป็นเพียงการแจกแจงอารมณ์ที่ละเอียดออกไป แล้วสมมติว่าเรียกอย่างนั้นตามในภาษาบาลี

                            ดังนั้นเวลาเรานั่งปฏิบัติธรรมจะเห็นความคิด จะเห็นวิญญาณนั้น เกิด - ดับ เกิด - ดับ ตลอดเวลาโดยมีปัจจัยจากอายตนะ ๖ ถ้าเราสามารถมีอุเบกขา อดกลั้น ปล่อยวาง วิญญาณมันด็ดับทันที  ทำไมเราถึงสามารถวางอุเบกขา  อดทนอดกลั้นได้  เพราะเรามีเวลา  มีความรู้สึกตัว  ทำให้ปัญญาเกิดขึ้นได้มีเหตุผลที่ดี ๆ ที่เรารู้ความจริงแห่งจิต  ที่เราจะไม่กระทำการตามที่จิตมันต้องการได้  คือมีเหตุผลไม่เพียงพอที่วิญญูชนม์พึงกระทำ เราก็ปล่อยมันไป  แต่ท่านต้องมองจิตท่านให้ออกอย่าให้หลงอยู่ในโมหะ หรือเป็นทาสแห่งจิต  ท่านจะมองไม่ออก  ถึงความจริงนั้น

                            ปัจจัยจากการที่คนเสียชีวิตมีปัจจัยมาจากรูปหมดสภาพตามธรรมชาติโดยมีปัจจัยมาจาก อาหาร  เจ็บป่วย และร่างกายหมดอายุ ดังนั้น ปัจจัยจากรูปหมดสภาพการใช้งาน จึงทำให้วิญญาณ(การรับรู้จากอายตนะ ๖) หมดการรับรู้ไปด้วย เมื่อวิญญาณไม่สามารถรับรู้ได้ เจตสิก(เวทนา  สัญญา สังขาร) ก็ไม่เกิด  ดังนั้นคนตายดวงวิญญาณมันไม่ได้หายไปไหน  ไม่ได้ล่องรอยไปไหนทั้งสิ้น และเราก็ไม่เห็นดวงวิญญาณด้วย

                            ในสมัยพุทธกาลได้มีพระมหากษัตริย์ ได้พยายามทดลองเพื่อจะดูดวงวิญญาณคนที่ตาย โดยเอานักโทษมาฆ่าให้ตาย  ขังให้ตายในห้อง  ก็ไม่เห็นดวงวิญญาณได้  คุณดิเรกบอกผมว่าก่อนที่พี่กุ้งจะหมดลมหายใจ ได้ให้ภาวนา "พุทธ - โธ " จนลมหายใจสุดท้ายหมดไป  ก็ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ไม่มีดวงวิญญาณ มีแต่ร่างที่หมดความรับรู้ไปเฉยๆ แน่นิ่งไม่ไหวติง  มันก็ถูกต้องแล้วเพราะดวงวิญญาณมันไม่มีตัวตนอะไรทั้งสิ้น มันเป็นเพียงการรับรู้จาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อปัจจัยทางรูปหมดเสียแล้ว วิญญาณจึงไม่มี  มันก็ถูกต้อง

                             ดังนั้นเวลาท่านปฏิบัติธรรม ท่านต้องเห็นจิตท่าน ดังนี้ คือวิญญาณเกิด - ดับ  เกิด - ดับ จากการรับรู้ทางอายตนะ ๖ เป็นพื้นฐาน

                             พระพุทธองค์ทรงสอนว่า มนุษย์เรานั้นประกอบไปด้วย รูป และนาม  รูปนั้น เกิดจากเหตุปัจจัยสามี-ภรรยา สังวาสกัน พอดีจึงเกิดการปฏิสนธิเป็นตัวอ่อน อยู่ในครรภ์ ๙ เดือนก็ออกมาเป็นรูปร่างที่ประกอบด้วยธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาประชุมกันเจริญตามวัยย์ตั้งแต่อยู่ในท้อง จนเติมใหญ่ จากปัจจัยทางอาหาร และมีวัยวะครบ ๓๒ ประการ หรือไม่ครบ เราก็สมมติตั้งชื่อให้ว่ารูปแบบนั้นน่ะคือ มนุษย์(ในภาษาไทย) ส่วนนามนั้นประกอบไปด้วย เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ

                             และรูป - นาม นี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ขันธ์ ๕ จะเห็นว่า ขันธ์ ๕ นั้น ไม่มีอะไรเป็นตัวตนเลย (คำว่าเป็นตัวตนนั้น เราต้องสั่ง หรือบังคับได้  แต่เราไม่สามารถสั่ง บังคับ รูป-นาม ได้เลย เพราะมันเป็นธรรมชาติ  เราจึงต้องคิดว่ามันไม่มีตัวตน มีแต่สันดาน  เจตสิก เท่านั้นที่แสดงเป็นตัวตนของเรา และมันก็ไม่มีตัวตน)  ถ้าเราเห็นอย่างนี้ เราจะปล่อยวางจากการยึดมั่นถือมั่นได้  อยู่แบบพอเพียงต่อการดำรงค์ชีวิต  อะไร ๆ ก็ไม่เอา

                             ถ้าเราเห็นอย่างนี้(ด้วยอารมณ์จริง  ไม่ใช่จากการอ่าน ฟัง) ตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน และอีกหลายๆ เรื่องในธรรมชาติแห่งจิตคน เราสามารถนำมาใช้ปฏิบัติกับตัวเรา  เราจะอยู่ในสังคมอย่างสงบสุข มีแต่สันติ เต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม  มีการปรุงแต่ง(สังขาร) น้อย ถึงแม้จะยังมีอารมณ์ โลภ  โกรธ  หลง อยู่ก็ตาม แต่ด้วยการรู้สึกตัว และปัญญา เหตุผลที่ดี  จะสามารถเอาชนะความโลภ  โกรธ  หลง  ได้  ไม่เชื่อท่านลองปฏิบัติธรรมดู  ท่านจะพบความจริงนี้ด้วยตัวของท่านเอง

                             การศึกษา มันเป็นสิ่งที่ดี  แต่มันไม่ช่วยอะไรเราเลย เพราะเรารู้จากการจำ มันเลยนำมาใช้งานได้ไม่ทันเวลาที่จิตมันคิด เผลอๆ จะเป็นสันดาน ทำให้เราหลงอยู่ในความคิดจนแยกไม่ออก  สู้หาเอาเองจากการปฏิบัตินี่ละมันจะทันกันเอง  เราก็สุขได้

                             เอาเท่านี้ก่อน ผมจะต้องเตรียมไปงานฟังพระสวดพระอภิธรรมศพ พี่กุ้ง ครับ

                             สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5782 เมื่อ: 25 มีนาคม 2555, 16:37:20 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 25 มีนาคม 2555, 15:42:21
แล้วกันอาจารย์มานพ จะให้จัดไว้ว่าเป็น พุทธโอวาทหลังปรินิพพาน หรือไง

  คิดเอาเอง  ก็ผมหามันไม่พบในพระไตรปิฎก และหนังสือตามรอยบาท ที่เขียนไว้ละเอียด นี่นา
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #5783 เมื่อ: 25 มีนาคม 2555, 18:06:58 »



ไม่บอกก็รู้ว่า ลายมือหลวงพ่อพุทธทาส
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5784 เมื่อ: 25 มีนาคม 2555, 18:14:41 »

อะไร ๆ มันก็ถูกทั้งนั้นแหละ  

มันขึ้นอยู่กับความพอใจหรือไม่พอใจของเรา (อัตตา) แต่อย่าหลงอยู่ในโมหะ

ต้องเป็นเหตุ - ปัจจัย ที่ผู้มีความรู้ทั่วๆ ไป พึงยอมรับ ว่าควรเป็นเช่นนั้น

คิดเอง
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5785 เมื่อ: 25 มีนาคม 2555, 21:23:21 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                              วันนี้ผมมีตัวอย่างที่ไม่ดี เป็นเรื่องจริง และโจ๊กมาก ๆ โปรดติดตาม

                              คือวันวันนี้ดื่ม Wine แดง Chanti คอดำไก่แดง ที่ซื้อมาฝากคุณวิชัยและคุณสุดสาคร ไปสองแก้วภายหลังจากตีกอล์ฟ ก็มานั่งรับประทานอาหารกลางวันกันที่ครัวฟ้าใส โดยขาดคุณพอล  ที่ต้องไปตีกอล์ฟกับท่านอดีตอธิบดีกรมสรรพสามิต รุ่นพี่หอ และวิศวฯ กลับมาบ้าน ไม่ได้มึนอะไรทั้งสิ้น นอนดูกอล์ฟ ปรากฏว่ามีรถมาขายข้าวเหนี๋ยวมะม่วงอกร่อง จึงไปซื้อมารับประทาน ล๊อกบ้าน ภายหลังจากเข้าบ้านและคิดว่าได้เอากุญแจไปวางไว้ที่เดิมแล้ว

                              ปรากฏว่ากุญแจบ้านทั้งพวงหาไม่เจอ พยายามหาตั้งแต่สามโมงเย็น จนหกโมงก้ไม่เจอ โกรธตัวเองไหม  ไม่มีเลย  โทษตัวเองไหม  ไม่มีเลย ได้แต่คิดว่าสะสารมั่นไม่หายไปไหนหรอก เราหาไม่เจอเอง เลยต้องใช้วิธี เก็บกวาด ถูบ้าน เพื่อว่าจะได้เจอลูกกุญแจ ปรากฏว่าก็ำม่เจอ จึงได้โทรศัพท์ไปหาหลานให้ปั้มให้ใหม่ทั้งชุด

                             ระหว่างรอหลานประมาณสองทุ่มครึ่ง นอนดูทีวี ก้มลงไปดูที่เข็มขัดตัวเองที่เอว  ปรากฏว่าเจ้ากรรมพวงกุยแจทั้งพวงมันติดอยู่ที่เข็มขัดตัวเอง เสื้อมันปิดมองไม่เห็น มันอยู่ที่ตัวผมเก็บบ้านมันเลยไม่เจอ และไม่มีเสียงด้วย  ถ้าเป็นสมัยก่อนคงโกรธ หาจนปวดหัวแน่ ๆ หรือไม่ก็เป็นเพราะวันนี้เราผิดศีลที่ไปดื่ม Wine จากการคะยั้นคะยอของสองสหาย จึงทำให้มองไม่เห็นพวงกุญแจที่เอว  ทั้งๆ พยายามนึกตามคั้นตอนว่าทำอะไร  ไปตรงไหน  แต่ทำไมมันอยู่ที่เอว  อาจเป็นเพราะเวลานั้น ลืมตัวไม่ได้นึกว่าเรากำลังเดินหรือทำอะไรให้เกิดความรู้สึกตัว จึงนึกไม่ออก หรือไม่เราแก่แล้วจริง ๆ ที่ควรระวัง มีครั้งที่หนึ่งย่อมมีครั้งที่สอง

                             มันก็ดีเหมือนกันจะได้เตือนตัวเอง  อย่าให้เผลอใจ ลืมตัว และรู้ตัวว่าแก่แล้ว ต้องคอยระวัง !

                            ได้โทรศัพท์ไปบอกหลานว่าพบแล้วอยู่ที่เอว  หลานยังหัวเราะเยาะเลย กรรมจริงๆ เราขาดสติไปได้ไง

                            เป็นบทเรียนสอนตัวเอง ต้องทำ 5ส. ใหม่แล้วครับ

                            ราตรีสวัสดิ์ครับ
      บันทึกการเข้า
swsm
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


@@ ยาหยี @@
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: Rcu2523
คณะ: Comm Arts
กระทู้: 28,369

« ตอบ #5786 เมื่อ: 26 มีนาคม 2555, 01:24:57 »

เข้ามารายงานตัวค่ะ  ว่ายังตามอ่านอยู่นะคะ ..     หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า

.. don't play with me, cos I know how to play it too .. may be better than you do ..
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5787 เมื่อ: 26 มีนาคม 2555, 07:44:56 »

วันที่ ๒๖ มีนาคม เป็นวันสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย




สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                              วันนี้วันที่ ๒๖ มีนาคม เป็นวันสถาปนา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  เป็นวันที่พวกเราชาวจุฬาฯ ชาวซีมะโด่ง  จะได้รำลึกถึงพระคุณขององค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ และ รัชกาลที่ ๖ ที่ทรงจัดตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ประชาชนคนไทยได้ศึกษา และขอบคุณคณาจารณ์ ผู้บริหารที่ได้ทำให้จุฬาฯเติบโตมาถึงวันนี้

                              ดังนั้น เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณของพระองค์ท่านทั้งสอง และครู - อาจารย์  ผมขอเชิญชวนพวกเรา ปฏิบัติธรรมที่บ้านให้แด่พระองค์ท่านและครู - อาจารย์ ด้วยการรักษากาย  วาจา  ใจ  ของเราให้สำรวมในสิ่งที่ผู้รู้ทั้งหลายพึงกระทำ อุทิศแด่พระองค์ท่าน ครู อาจารย์ และเป็นมงคลแก่เรา คือ

                              การสำรวมกาย   ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายสัตว์ ไม่หยิบสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ให้  สิ่งของอะไรที่รกบ้านก็เก็บ ทำความสะอาด เอาไปไว้ในที่ที่มันควรจะอยู่

                              การสำรวมวาจา ไม่พูดเท็จ  ไม่พูดคำหยาบ  ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดส่อเสียด และไม่พูดให้เกิดความแตกแยกทะเราะวิวาท

                              การสำรวมใจ   ไม่คิดไปในทางอกุศล  ไม่อยากได้อยากเอาสิ่งของของผู้อื่น ไม่คิดพยาบาทปองร้ายผู้อื่นและสัตว์  ทำจิตของเราให้ผ่องใสขาวรอบ

                              ด้วยการไม่หงุดหงิด ไม่กระทบกระทั่ง ไม่แสดงอาการต่าง ๆ ในสิ่งที่ได้สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ที่เราไม่รักไม่ชอบขวางหู ขวางตา  ด้วยการภาวนาว่า "พุทธ-โธ" และแผ่เมตตาให้กับคนที่ทำให้เราต้องเดือดร้อน

                              เพียงแค่นี้ บุคคลต่าง ๆ ทั้งในบ้านและที่ทำงาน จะมีแต่ความสุข สงบ ด้วยการสำรายกาย วาจา ใจ ของเราจนเกิดพรหมวิหาร ๔ (เมตตา กรุณา  มุฑิตา อุเบกขา) ขึ้นในจิต

                              สำหรับผม ได้หุงข้าวใส่บาตรพระ อุทิศส่วนกุศลให้พระองค์ท่าน ครู อาจารย์ บิดา  มารดา ญาติ มิตร และหมู่สัตว์ ไปแล้วเมื่อเช้านี้ครับ

                              สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5788 เมื่อ: 26 มีนาคม 2555, 07:51:35 »

 
                              วันนี้ผมต้องไปเยี่ยมแม่ ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี

                              ตอนค่ำไปฟังพระสวดพระอภิธรรมศพ พี่กุ้ง วัดชลประทาน เพราะวันนี้ทาง SIW เป็นเจ้าภาพ

                              สำหรับเรื่องราวที่ Milan ต้องใจเย็น ๆ เพราะผมรอรูปจากทาง SIW และยังไม่ได้เตฺิมเงิน internet ครับ

                              สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5789 เมื่อ: 26 มีนาคม 2555, 19:58:11 »

อ้างถึง
ข้อความของ swsm เมื่อ 26 มีนาคม 2555, 01:24:57
เข้ามารายงานตัวค่ะ  ว่ายังตามอ่านอยู่นะคะ ..     หลั่นล้า

สวัสดีค่ะ คุณน้องยาหยี ที่รัก

                               แม่เป็นโรคขาดโปรตีน และส่วนที่ขับถ่ายไม่ทำงาน  พอมาอยู่โรงพยาบาล ก็เป็นปกติ เนื่องจากน้องสาว และคุณหมอวิทิต  กลัวว่าจะถูกคนว่าได้เรื่องเอาแม่มาอยู่โรงพยาบาลนาน ๆ กลัวร้องเรียน  ดังนั้น เมื่อแม่ดีขึ้นก็จะต้องนำกลับไปที่บ้าน  คงจะเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลแบบนี้ตลอดไป  จนกว่าระบบในร่างกายมันจะไม่ไหว หัวใจ  ปอด  ตับ และจิต แม่ดีมาก  คงต้องอยู่ในสภาพแบบนี้ไปอีกนาน ครับ

                               สำหรับพี่สิงห์ ปรากฏว่าเป็นไซนัสอักเสบเรื้อรัง ต้องรับประทานยาไปอีกนานอย่างน้อย ๑๕ วัน  วันนี้วัดความดันได้ ๗๐ - ๑๑๐ อยู่ในเกณฑ์ดี  ขณะขับรถต้องระวังเพราะมันจะหลับอยู่เรื่อย เลยต้องอาศัยปั้มน้ำมัน และพยายามมีสติให้มาก เข้าไว้  จึงกลับถึงบ้านได้

                               ไปอิตาลีเที่ยวนี้สะบักสะบอมกับการเดินทาง  ไม่ได้นอน  ผลคือร่างกายอ่อนแอ เป็นหวัดเรื้อรัง  จนกลายเป็นไซนัสอักเสบ  ต้องยอมรับและอยู่กับมันครับ

                                สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5790 เมื่อ: 26 มีนาคม 2555, 20:11:53 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 26 มีนาคม 2555, 07:44:56
วันที่ ๒๖ มีนาคม เป็นวันสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย




สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                              วันนี้วันที่ ๒๖ มีนาคม เป็นวันสถาปนา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  เป็นวันที่พวกเราชาวจุฬาฯ ชาวซีมะโด่ง  จะได้รำลึกถึงพระคุณขององค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ และ รัชกาลที่ ๖ ที่ทรงจัดตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ประชาชนคนไทยได้ศึกษา และขอบคุณคณาจารณ์ ผู้บริหารที่ได้ทำให้จุฬาฯเติบโตมาถึงวันนี้

                              ดังนั้น เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณของพระองค์ท่านทั้งสอง และครู - อาจารย์  ผมขอเชิญชวนพวกเรา ปฏิบัติธรรมที่บ้านให้แด่พระองค์ท่านและครู - อาจารย์ ด้วยการรักษากาย  วาจา  ใจ  ของเราให้สำรวมในสิ่งที่ผู้รู้ทั้งหลายพึงกระทำ อุทิศแด่พระองค์ท่าน ครู อาจารย์ และเป็นมงคลแก่เรา คือ

                              การสำรวมกาย  ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายสัตว์ ไม่หยิบสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ให้  สิ่งของอะไรที่รกบ้านก็เก็บ ทำความสะอาด เอาไปไว้ในที่ที่มันควรจะอยู่

                              การสำรวมวาจา ไม่พูดเท็จ  ไม่พูดคำหยาบ  ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดส่อเสียด และไม่พูดให้เกิดความแตกแยกทะเราะวิวาท

                              การสำรวมใจ  ไม่คิดไปในทางอกุศล  ไม่อยากได้อยากเอาสิ่งของของผู้อื่น ไม่คิดพยาบาทปองร้ายผู้อื่นและสัตว์  ทำจิตของเราให้ผ่องใสขาวรอบ

                              ด้วยการไม่หงุดหงิด ไม่กระทบกระทั่ง ไม่แสดงอาการต่าง ๆ ในสิ่งที่ได้สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ที่เราไม่รักไม่ชอบขวางหู ขวางตา  ด้วยการภาวนาว่า "พุทธ-โธ" และแผ่เมตตาให้กับคนที่ทำให้เราต้องเดือดร้อน

                              เพียงแค่นี้ บุคคลต่าง ๆ ทั้งในบ้านและที่ทำงาน จะมีแต่ความสุข สงบ ด้วยการสำรายกาย วาจา ใจ ของเราจนเกิดพรหมวิหาร ๔ (เมตตา กรุณา  มุฑิตา อุเบกขา) ขึ้นในจิต

                              สำหรับผม ได้หุงข้าวใส่บาตรพระ อุทิศส่วนกุศลให้พระองค์ท่าน ครู อาจารย์ บิดา  มารดา ญาติ มิตร และหมู่สัตว์ ไปแล้วเมื่อเช้านี้ครับ

                              สวัสดี


                            
                                     เมื่อเราสามารถสำรวมกาย  วาจา  ใจ  ได้สักระยะหนึ่งจนจิตมันอ่อนลงแล้ว  ก็พยายามทำความรู้สึกตัว(สร้างสติ) ให้อยู่ในอิริยาบถ  ยืน เดิน นั่ง นอน  อยู่กับมือที่กระทำ อยู่กับขาที่เดิน  อยุ่กับสายตาที่จ้อง  อยู่กับลมหายใจเข้า - ออก และอยู่กับใจ  ไม่ปล่อยให้ใจนึกคิดเอง  ต้องพยายามสร้างความรู้สึกตัวอันนี้ให้ได้  มันบอกกันอยากครับ เมื่อเราสามารถระลึกได้ว่ากำลังทำอะไร  จนชินกับมันแล้ว  มันจะอยู่กับเราเองโดยอัตโนมัติ  หมายความว่าเราจะทำอะไรก็ตามแต่ มันจะเป็นไปเองให้มีความระลึกอยู่เสมอ ว่าเราต้องมีสติ(รู้สึกได้) เสมอ

                                 เมื่อเราสามารถสร้างสติได้แล้วก็เอาสตินั้น(ความรู้สึกตัว ไม่หลงในจิต) เอามาดูกายของเราว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง สุข ทุกข์ มันเป็นอย่างไร  เอามาดูจิตของเราว่ามันคิดอะไรบ้าง มันเป็นอย่างไร  จนสามารถที่จะเห็นก่อนที่มันจะคิด เรียกว่าเห็นความคิด แล้วดูต่อไปว่าเราได้อะไรจากมันบ้าง พยายามสังเกตไปเรื่อย ๆ แล้วจะรู้เองทั้งสิ้น

                                 ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ความเป็นปกติ  ไม่มีอะไรพิสดาล ทั้งสิ้น แล้วจะรู้เอง 

                                 ถ้าถึงขั้นนี้แล้ว พรหมวิหาร ๔ น่าจะเกิดขึ้นกับตัวเรา  และเราสามารถจะมีสติได้เกิน ๘๐ % ในหนึ่งวัน มันจะไม่คิดอะไรมาก เมื่อไม่คิดก็ไม่ทุกข์ เพราะคนนั้นทุกข์เพราะคิด

                                  ได้เพียงแค่นี้ชีวิตเราก็ไม่เป็นหมั๋นแล้วครับ

                                   สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5791 เมื่อ: 26 มีนาคม 2555, 20:33:10 »

วันที่ ๒ ที่ Milan

















สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                                ไม่อยากให้รอนานขอเล่าที่เมืองมิลานก่อนครับ

                                ในสายตาผม มิลานเป็นเมืองอุตสาหกรรม และใหญ่กว่า โรม มีประชากรหนาแน่นกว่า เพราะตัวเมืองใหญ่มาก  มีแต่อาคาร ตึกเต็มไปหมด ส่วนใหญ่ทรงสี่เหลี่ยม เรียกว่าอาชีพสถาปนิก  วิศวกร  อดตายครับ

                                มิลานมีทั้งรถไฟฟ้าแบบที่เห็นบ้านเรา และรถราง ซึ่งก็เหมือนกับประเทศไทยที่เคยมีวิ่งระหว่างสะพานพุธ - สนามหลวง เหมือนกันเลยเพียงแต่ที่มิลานใหญ่กว่าครับ

                                สาวเมืองมิลานนั้น รูปร่าง หน่าตา การแต่งตัวดีมาก หุ่นแบบนางแบบเป็นส่วรใหญ่  เห็นคนเจ้าเนื้อน้อยมาก  สาว ๆ หุ่นดีทั้งนั้น (ผมไม่ได้ถ่ายมา เพราะสำรวมกาย วาจา ใจ ได้)

                                โรงแรมที่พักดีมาก ๆ ห้องใหญ่มาก คือ ห้องนอนแยก ห้องน้ำแยก มีห้องนั่งดูทีวี  นั่งทำงาน มีเค้าเตอร์มินิบาร์สำหรับอาหารเครื่องดื่ม  ผมนอนคนเดียว เลยมีแต่ความสงบ เสียดายตรงที่ห้องดี ๆ แบบนี้แต่เรามีเวลาอยู่กับมันไม่กี่ชั่วโมงเอง จึงไม่ก่อประโยชน์

                                 อาหารเช้าที่โรงแรม มีหลากหลายมากตามสไตล์ยุโรป ผมรับประทานผักหนึ่งจากเต็ม กับขนมปังโฮมวีต ผลไม้ต่าง ๆ สิ่งที่ดีอีกอย่างคือ กาแฟนั้น เป็นแบบกดอัตโนมัติ มีทั้งเอสเปรสโซ ลาเต้  อเมริกาโน และน้ำร้อน  ส่วนน้ำผลไม้นั้นก็เป็นตู้อัตโนมัติให้กดเลือกเอาตามชอบใจ มีน้ำส้มแท้  น้ำส้มผสม  และน้ำอะไรอีกอย่างหนึ่ง กดเอาตามชอบใจ  อาหารแยะจริงๆ แต่กินได้นิดเดียว

                                 ในห้องอาหารเช้านอกจากมีพนักงานคอยบริการแล้วยังมีหัวหน้าคอยดูแลความเรียบร้อย  พวกทัวร์พยายามเอาใจด้วยการนำซอส มาม่า น้ำพริกมาบริการ  ปรากฏว่าคนดูแลห้องไม่อนุญาติทั้งสิ้น  ผมเข้าใจเอาเองว่า เขาอุตส่าห์จัดห้อง  ทำอาหารชั้นดีให้รับประทานแล้ว  ถ้ากินไม่ได้มันดูถูกกันเกินไปเสียเหลี่ยมพ่อครัวชาวอิตาลี หมด

                                 ตื่นหกโมง กินข้าวเจ็ดโมง ล้อหมุน แปดโมง แตเอาเข้าจริงเกือบเก้าโมง ครับ จึงได้ออกเดินทางไปเมืองลูกาโม สวิสเซอร์แลนด์

                                 เชิญชมครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5792 เมื่อ: 26 มีนาคม 2555, 20:48:14 »



                         
                           ช่วงที่ผมไปอิตาลี สมาคมกอล์ฟอาชีพผู้อาวุโสไทย  ได้จัดการแข่งขันขึ้นที่เชียงใหม่  ผมไม่ได้สมัครเข้าแข่งขันเพราะต้องไปอิตาลี  ถึงสมัครก็ขาดทุน เพราะตัดตัวเข้ารอบที่ เกิน ๙ สโตรค ในสองวัน ขนาดโปร.สมศักดิ์  ศรีสง่า  โปร.อำนาจ  เกิดกระสินธ์ และโปร.ดัง ๆ หลายคนยังตกรอบเป็นแถวเลย

                           ดีใจครับที่โปร.บุญชู   เรืองกิต  เป็นผู้ชนะเลิศ
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #5793 เมื่อ: 26 มีนาคม 2555, 23:57:12 »

โอวาทธรรม พระพุทธทาสภิกขุ (พุทธทาส อินทปัญโญ)

ขอให้ฟังให้ดีว่า จะปฏิบัติธรรมะพวกไหนก็ตาม จะต้องปฏิบัติให้มีอินทรีย์ ในคำเหล่านั้น ครบทั้ง ๕ ที่เรียกว่า ๕, ๕ นี้ ก็คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
๑. มีสัทธา - เชื่อในธรรม เป็นเครื่องดับทุกข์.
๒. มีวิริยะ - มีความเพียรและกล้าหาญ
๓. มีสติ - ต้องใช้ในทุกกรณี
๔. มีสมาธิ - มุ่งนิพพานเป็นอารมณ์.
๕. มีปัญญา - รู้ความจริงที่ควรรู้
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #5794 เมื่อ: 27 มีนาคม 2555, 07:46:34 »


   มาตามอ่านและชมภาพอิตาลี สวิสด้วยค่ะ..

           ตามมาทุ๊กวันเลยค่ะ....
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5795 เมื่อ: 27 มีนาคม 2555, 07:54:12 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 26 มีนาคม 2555, 23:57:12
โอวาทธรรม พระพุทธทาสภิกขุ (พุทธทาส อินทปัญโญ)

ขอให้ฟังให้ดีว่า จะปฏิบัติธรรมะพวกไหนก็ตาม จะต้องปฏิบัติให้มีอินทรีย์ ในคำเหล่านั้น ครบทั้ง ๕ ที่เรียกว่า ๕, ๕ นี้ ก็คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
๑. มีสัทธา - เชื่อในธรรม เป็นเครื่องดับทุกข์.
๒. มีวิริยะ - มีความเพียรและกล้าหาญ
๓. มีสติ - ต้องใช้ในทุกกรณี
๔. มีสมาธิ - มุ่งนิพพานเป็นอารมณ์.
๕. มีปัญญา - รู้ความจริงที่ควรรู้


                        ข้อความนี้ท่านพระพุทธทาสภิกขุ ท่านนำมาจากพุทธพจน์ ส่วนหนึ่งที่ว่าด้วยโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ คือธรรมที่นำไปสู่ความเป็น "พุทธะ"  ท่านตัดตอนมาจากเฉพาะ

                        อินทรีย์ ๕ ประกอบด้วย ศรัทธา(เขียนแบบภาษาไทย) วิริยะ สติ  สมาธิ และปัญญา

                        เมื่อเราได้พิจารณาอย่างนี้ บรรดามารยังกำเริบอยู่ พระองค์ให้พิจารณา

                        พละ  ๕ ประกอบด้วย ศรัทธา วิริยะ  สติ  สมาธิ  และปัญญา

                        โดยให้เพิ่มพลังแห่งความเพียรเป็นกำลังเข้าไปอีกให้มากกว่าเดิมหรือยิ่ง ๆ ขึ้นไป

                        แต่ถ้าพละ ๕ แล้วมารยังกำเริบ ก็ต้องใช้ โพฌงค์ ๗ ประกอบด้วย สติ  ธัมมวิจยะ  วิริยะ  ปีติ  ปัสสัทธิ  สมาธิ  และอุเบกขา

                        แต่ถ้าใช้โพฌงค์ ๗ แล้วยังเอาไม่อยู่ก็ต้องกลับมาหาความจริง ใน มรรคมีองค์ ๘  ครับ

                        จะเห็นว่าพระพุทะองค์ท่านเน้นเสมอเรื่อง ศรัทธา  วิริยะ สติ  สมาธิ  ปัญญา  แต่ท่านสามารถมีเหตุผลเพิ่ม ทำให้มีกำลังต่างกันทั้งๆ ที่เขียนเหมือนกัน  ดังนั้นพระพุทธองค์ทรงสรรเสริญผู้ที่มี วิริยะ และปัญญา เป็นอย่างยิ่ง

                        ต้องขอขอบคุณ ดร. สุริยา  เป็นอย่างมาก ที่นำหัวข้อนี้ขึ้นมาพิจารณา เพราะพอดีเมื่อเช้าขณะเดินจงกรมที่หน้าบ้าน มารราคะมันมาครอบงำจิต เพราะหลงเข้าไปในจิต จึงต้องถอยออกมาด้วยการพิจารณา โดยใช้ธรรมที่ ดร.สุริยา  นำขึ้นมากล่าว   จึงทำให้สามารถชนะมารราคะได้ คือไม่ปรุงแต่งต่อด้วย ศรัทธา  วิริยะ สติ  สมาธิ  และปัญญา พร้อมทั้งได้แผ่เมตตานั้นให้กับมารด้วย  จิตจึงสงบ เลยรู้ความจริงขึ้นมาว่า ตัวการที่เป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมคือ "ความสงสัย ?" นี่ละเป็นยิ่งกว่าพญามาร ตัวจริงทีเดียว

                            สวัสดี
     
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5796 เมื่อ: 27 มีนาคม 2555, 08:21:01 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 26 มีนาคม 2555, 20:11:53
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 26 มีนาคม 2555, 07:44:56
วันที่ ๒๖ มีนาคม เป็นวันสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย




สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                              วันนี้วันที่ ๒๖ มีนาคม เป็นวันสถาปนา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  เป็นวันที่พวกเราชาวจุฬาฯ ชาวซีมะโด่ง  จะได้รำลึกถึงพระคุณขององค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ และ รัชกาลที่ ๖ ที่ทรงจัดตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ประชาชนคนไทยได้ศึกษา และขอบคุณคณาจารณ์ ผู้บริหารที่ได้ทำให้จุฬาฯเติบโตมาถึงวันนี้

                              ดังนั้น เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณของพระองค์ท่านทั้งสอง และครู - อาจารย์  ผมขอเชิญชวนพวกเรา ปฏิบัติธรรมที่บ้านให้แด่พระองค์ท่านและครู - อาจารย์ ด้วยการรักษากาย  วาจา  ใจ  ของเราให้สำรวมในสิ่งที่ผู้รู้ทั้งหลายพึงกระทำ อุทิศแด่พระองค์ท่าน ครู อาจารย์ และเป็นมงคลแก่เรา คือ

                              การสำรวมกาย   ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายสัตว์ ไม่หยิบสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ให้  สิ่งของอะไรที่รกบ้านก็เก็บ ทำความสะอาด เอาไปไว้ในที่ที่มันควรจะอยู่

                              การสำรวมวาจา ไม่พูดเท็จ  ไม่พูดคำหยาบ  ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดส่อเสียด และไม่พูดให้เกิดความแตกแยกทะเราะวิวาท

                              การสำรวมใจ   ไม่คิดไปในทางอกุศล  ไม่อยากได้อยากเอาสิ่งของของผู้อื่น ไม่คิดพยาบาทปองร้ายผู้อื่นและสัตว์  ทำจิตของเราให้ผ่องใสขาวรอบ

                              ด้วยการไม่หงุดหงิด ไม่กระทบกระทั่ง ไม่แสดงอาการต่าง ๆ ในสิ่งที่ได้สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ที่เราไม่รักไม่ชอบขวางหู ขวางตา  ด้วยการภาวนาว่า "พุทธ-โธ" และแผ่เมตตาให้กับคนที่ทำให้เราต้องเดือดร้อน

                              เพียงแค่นี้ บุคคลต่าง ๆ ทั้งในบ้านและที่ทำงาน จะมีแต่ความสุข สงบ ด้วยการสำรายกาย วาจา ใจ ของเราจนเกิดพรหมวิหาร ๔ (เมตตา กรุณา  มุฑิตา อุเบกขา) ขึ้นในจิต

                              สำหรับผม ได้หุงข้าวใส่บาตรพระ อุทิศส่วนกุศลให้พระองค์ท่าน ครู อาจารย์ บิดา  มารดา ญาติ มิตร และหมู่สัตว์ ไปแล้วเมื่อเช้านี้ครับ

                              สวัสดี


                            
                                     เมื่อเราสามารถสำรวมกาย  วาจา  ใจ  ได้สักระยะหนึ่งจนจิตมันอ่อนลงแล้ว  ก็พยายามทำความรู้สึกตัว(สร้างสติ) ให้อยู่ในอิริยาบถ  ยืน เดิน นั่ง นอน  อยู่กับมือที่กระทำ อยู่กับขาที่เดิน  อยุ่กับสายตาที่จ้อง  อยู่กับลมหายใจเข้า - ออก และอยู่กับใจ  ไม่ปล่อยให้ใจนึกคิดเอง  ต้องพยายามสร้างความรู้สึกตัวอันนี้ให้ได้  มันบอกกันอยากครับ เมื่อเราสามารถระลึกได้ว่ากำลังทำอะไร  จนชินกับมันแล้ว  มันจะอยู่กับเราเองโดยอัตโนมัติ  หมายความว่าเราจะทำอะไรก็ตามแต่ มันจะเป็นไปเองให้มีความระลึกอยู่เสมอ ว่าเราต้องมีสติ(รู้สึกได้) เสมอ

                                 เมื่อเราสามารถสร้างสติได้แล้วก็เอาสตินั้น(ความรู้สึกตัว ไม่หลงในจิต) เอามาดูกายของเราว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง สุข ทุกข์ มันเป็นอย่างไร  เอามาดูจิตของเราว่ามันคิดอะไรบ้าง มันเป็นอย่างไร  จนสามารถที่จะเห็นก่อนที่มันจะคิด เรียกว่าเห็นความคิด แล้วดูต่อไปว่าเราได้อะไรจากมันบ้าง พยายามสังเกตไปเรื่อย ๆ แล้วจะรู้เองทั้งสิ้น

                                 ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ความเป็นปกติ  ไม่มีอะไรพิสดาล ทั้งสิ้น แล้วจะรู้เอง  

                                 ถ้าถึงขั้นนี้แล้ว พรหมวิหาร ๔ น่าจะเกิดขึ้นกับตัวเรา  และเราสามารถจะมีสติได้เกิน ๘๐ % ในหนึ่งวัน มันจะไม่คิดอะไรมาก เมื่อไม่คิดก็ไม่ทุกข์ เพราะคนนั้นทุกข์เพราะคิด

                                  ได้เพียงแค่นี้ชีวิตเราก็ไม่เป็นหมั๋นแล้วครับ

                                   สวัสดี


ความสงสัย!



                          วันนี้ภายหลังหุงข้าว เตรียมกับข้าว ขนม และน้ำ ใส่ตระกล้ารอพระมานั้น ก็เดินจงกรมที่หน้าบ้าน ขณะเดินจงกรมก็ด้น้อมนำ ทบทวนธรรมของพระพุทธองค์ ก็เกิดปัญญานมาว่า เพราะ "ความสงสัย" นี่ละจึงเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม คือ พวกชอบตั้งคำถาม  สงสัย เริ่มตั้งแต่วิธีการปฏิบัติธรรม ต่าง ๆ นาๆ ไม่เหมือนกัน  หลวงพ่อแต่ละองค์ท่านก็ว่าของท่านถูกต้อง(เป็นมิจฉาทิฏฐิ) เลยทำให้ญาติโยมสงสัยตั้งแต่ต้นแล้ว

                          ความจริงมันถูกทั้งนั้น เราอย่าไปยึดติดวิธีการอะไรเลย  เมื่อปฏิบัติไปสักพัก เราสามารถจะรู้ได้ด้วยตัวของเราเองทั้งนั้น วิธีการที่หลวงพ่อท่านบอกนั้นมันก็ถูกหมด แต่ท่านทำเพื่อตัวเองเป็นหลัก(ทิฏฐิ) ให้หน้าเชื่อถือ แต่เมื่อท่านทราบความจริงแล้ว มันจะง่ายมาก ตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนคือ มีสติอยู่กับอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน และอิริยาบถย่อยต่างๆ ที่ร่างกายเรากำลังทำอยู่ ณ ปัจจุบัน ทำอะไรก็ให้รู้ตัวเข้าไว้  ความไม่รู้ หรือความคิดที่จิตมันคิดมันจะหนีไปเอง คือความรู้ตัวเป็นสัดส่วนโดยตรงข้ามกับความไม่รู้และการคิด ยิ่งรู้ตัวเองมากความคิดจะช้าลง ทำให้เราสามารถใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองได้ ว่าควรกระทำหรือไม่กระทำต่อ มันเกิดขึ้นเร็วพอๆ กันได้เลย  ท่านจะทราบด้วยตัวของท่านเอง ในความรู้สึกอันนี้(มันจะช้าในความรู้สึกของผมเวลาคิด ทำให้ผมมีเวลาที่จะใช้เหตุ-ผลมาพิจารณาได้ทันก่อนที่จะกระทำต่อหรือคิดต่อ)

                           ฉนั้น ความสงสัยนี้เมื่อท่านปฏิบัติธรรมไปมาก ๆ หน่อย ความสงสัยมันไม่มี ไม่เกิด เพราะสิ้นสงสัยด้วย แรงศรัทธา และความจริงที่ค้นพบด้วยตัวเองเกี่ยวกัยธรรมชาติของกายและจิต หรือในสิ่งที่พระพุทธองค์ ให้พิจารณา คือ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรม เมื่อมันเกิดขึ้นความสงสัยก็หายไป

                           ในสมัยพุทธกาล คนส่วนใหญ่ที่มาโต้วาทะกับพระพุทธองค์ หรือมาถามคำถามกับพระพุทธองค์ ส่วนใหญ่เป็นสรรพพัญญู(เขียนผิด) หรือเป็นวิญญูชนม์เป็นส่วนใหญ่ คือเป็นผู้รู้  ก่อนมาพบพระพุทธเจ้าก็มีแต่ทิฏฐิในตัวเองหลงอยู่ในโมหะ  ไม่ว่าจะอวดดีขนาดไหน แต่เมื่อมาพบพระพุทธองค์ ได้ฟังเหตุ - ผล ที่พระพุทธองค์ทรงอ้าง  อธิบาย  ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริง ที่มีอยู่แล้ว บุคคลเหล่านั้นมองไม่เห็นเองด้วยทิฏฐิ แต่พอฟังจากพระพุทธองค์และคิดด้วยปัญญา จึงยอมรับ ได้ดวงตาเห็นธรรม คือรู้ตามที่พระพุทธองค์ทรงอธิบายให้ฟังทันที  เพราะสิ้นความสงสัย นี่เอง(สิ้นทิฏฐิ)

                             แต่บุคคลสมัยนี้ มีแต่ความสงสัยเติมไปหมด  ศรัทธาจึงเกิดน้อย และด้วยโมหะ หรือทิฏฐิ ยิ่งไปกันใหญ่ ผมถึงบอกว่าเพราะ เจ้าความสงสัยนี่ละ เป็นยิ่งกว่าพญามาร แท้แน่ทีเดียว ครับ

                             สวัสดี
                    
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5797 เมื่อ: 27 มีนาคม 2555, 08:35:07 »


                              ท่านเขมานันทะ เคยมีความสงสัยเป็นอย่างมากในหลาย ๆ เรื่อง ถึงกับไปยืนรอดักหลวงพ่อเทียน (สมัยอยู่วัดชลประทาน) เพื่อถามให้สิ้นสงสัย  เมื่อเจอหลวงพ่อเทียน  ได้มองไปในดวงตาท่าน เห็นดวงตาท่าน ความสิ้นสงสัยก็หายไปหมด  จนหลวงพ่อเทียนถามว่า ลืมหมดแล้วหรือปัญหาที่สงสัย ที่ตั้งใจจะมาถาม  ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้พูดกันเลยสักคำ ?

                               ดังนั้น  จงมีศรัทธา  วิริยะ  สติ  สมาธิ  และปัญญา ท่านจะรู้ด้วยตัวของท่านเอง ความสงสัยต่าง ๆ อย่าไปหามันเลย มันไม่มีเพราะมันไม่มีตัวมีตน เป็นเพียงอารมณ์หนึ่งของความคิด อย่าไปยึดติดมันเลย มีแต่เรื่องยุ่งครับ

                               ขอเพียงมีการสำรวมกาย  วาจา  และใจ ของเราให้มั่นด้วยศรัทธา วิริยะ สติ  สมาธิ และปัญญาเท่านั้น มันรู้เองครับ

                               ลืมบอกไปวันนี้ผมไม่ได้ใส่บาตรเณรได้แต่อนุโมทนา เพราะแพรวหลานสาว กำลังจะไปเรียนพอดี ออกมาที่หน้าบ้านเณรมาพอดี ผมจึงให้ใส่บาตรแทนผม   บังเอิญอีกเหมือนกัน เขาจะไปสอบพอดี(พี่โสถาม)  พี่โส  เลยบอกว่าขอให้น้องแพรวได้ A นะจ๊ะ

                               สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5798 เมื่อ: 27 มีนาคม 2555, 08:50:50 »

                           
                             ดร.สุริยา

                             พระพุทธองค์ ทรงเริ่มต้นด้วย "ธรรมอันไปไปสู่ความสำเร็จ" คือ อิทธิบาท ๔ ประกอบด้วย ฉันทะ  วิริยะ  จิตตะ  และวิมังสา  แต่สำหรับผุ้ปฏิบัติธรรมนั้น อิทธิบาท ๔ ไม่เพียงพอ ต้องมี สัมมัปทาน ๔ คือ เพียรระวังบาปที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้นหนึ่ง  เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้วหนึ่ง เพียรทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นหนึ่ง และเพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วไว้ และเพิ่มเติมให้มากยิ่งขึ้นจนบริบูรณ์หนึ่ง

                             จึงตามด้วย อินทรีย์ ๕ ที่ใหญ่ยิ่ง และตามด้วย พละ ๕ ที่มีกำลังมากกว่าอินทรีย์ขึ้นไปอีก

                             จะเห็นว่าผู้ปฏิบัติธรรมนั้น จำเป็นต้องสำรวมกาย วาจา ใจ คือมีศีลนั่นเอง  ซึ่งก็อยู่ใน สัมมัปทาน ๔ ข้อนี้ผมเคยทดลองมาแล้ว ผลคือ ต้องเริ่มต้นใหม่หมดทุกที ทำให้เราเสียเวลาเปล่าไปเป็นปี เพียงผิดศีลครั้งเดียว หมดกัน ต่อไม่ติด เป็นความจริงครับ เราสามารถรู้ด้วยตัวเองทั้งสิ้น ไม่ต้องมีใครมาบอก เพราะเรารู้กาย รู้ใจของเราดี ยิ่งกว่าคนอื่น ยกเว้นอยู่ภายใต้ทิฏฐิ

                             วันนี้ปัญญามันออดมาดังสายน้ำ  พอเพียงนี้ก็แล้วกันเดี๋ยวตกอย่ในทิฏฐิ อีก

                             สวัสดี


                             ขอใช้คำที่พระมหา ดร.สุเทพ  อกิญฺจโณ  ท่านบอกญาติโยมบนรถ  "วันนี้ได้ฟังธรรมจากโยมมานพ แล้วดีเหมือนกันเพราะไม่ได้ฟังมานานแล้ว ได้แต่พูดเอง แต่นี่ได้ฟังเลยทำให้ได้พิจารณาอะไร ๆ หลายอย่าง  ดีเหมือนกัน"

                             สรุปแล้ว เราอย่าไปสงสัยอะไรเลยครับ มันไม่มีตัวมีตนทั้งนั้น  เรามาดำเนินชีวิตของเราด้วยความเป็นปกติ ให้มีสตินี่ละ หลวงพ่อคำเขียน  ท่านบอกผมมาอย่างนี้ และมันก็เป็นจริงด้วยครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5799 เมื่อ: 27 มีนาคม 2555, 09:08:21 »

อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย17 เมื่อ 27 มีนาคม 2555, 07:46:34

   มาตามอ่านและชมภาพอิตาลี สวิสด้วยค่ะ..

           ตามมาทุ๊กวันเลยค่ะ....

สวัสดีค่ะ คุณน้องอ้อย ที่รัก

                             ไปอิตาลีเที่ยวนี้ พี่สิงห์เสียสตางค์ไปหลายเหมือนกัน คือ ไปซื้อกระเป๋าลองชอมมา ๕ ใบ หลานสาวเอาใบสีส้มไปเพราะเขาเรียนที่ครุศาสตร์ (๗๕ ยูโร) น้องสาวนั้นเป็นแบบสะพายยาว(ทีแรกกะว่าถ้าเขาไม่เอาพี่สิงห์จะใช้เองเอาไว้ใส่กล้อง 120 ยูโร) สีเขียวเอาให้คนดูแลแม่  ยังเหลือสีเขียวกับสีขาว ว่าจะเอาให้หลาน และเหลน ตอนช่วงสงกรานต์ (สามใบหลัง ๗๕ ยูโร)

                             สำหรับตัวเองนั้นซื้อเสื้อ AC Milan หนึ่งตัว และน้ำหอม โนอิ้ง ของเอสเต้ ที่สุวรรรภูมิหนึ่งขวดและที่บาเรนหนึ่งขวด เอามาเปรียบเทียบกัน (ดร.สุริยา  อาจจะแย้ง  ไม่เป็นไร ผมมันก็คนธรรมดาเดินดิน ยังยึดติดในกามม์ ไม่อยากให้ผุ้ใกล้ชิดบอกว่าเหม็นครับ  จึงใสน้ำหอม ไม่ผิดศีล ๕ )

                             สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 230 231 [232] 233 234 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><