05 ตุลาคม 2567, 20:02:04
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 214 215 [216] 217 218 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3483425 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 36 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #5375 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2555, 16:20:27 »

สวัสดีครับชาวหอ
    กุศลกินอิ่ม นอนหลับและ สุขสบายตลอดเวลา10 วันที่อินเดีย
    หากจะทุกข์บ้าง ก็คิดเสียว่าคนเราเกิดมามีกรรมติดตัวมาเป็นธรรมดา
รักษาแค่ศิลห้าให้บริสุทธ์ได้ก็ถือเป็นบุญแล้ว
     จะให้ลึกซึ้งไปกว่านั้นคงยาก
เพราะพอใจการปฎิบัติตนโดยมีกัลยาณมิตรกับเพื่อนมนุษย์ที่ดีกับเรา
แต่เมื่อถูกทัดทาน ผมก็เป็นทุกข์จึงหยุดการกระทำต่อหน้า
แต่ลับหลังคงดื้อทำอีกเพราะคิดว่าการพูดดุยเพื่อเจตนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ไม่น่าเป็นบาป
กลับดีในเบญจธรรมข้อความเมตตากรุณาครับ

ผมขอยอมรับผิดว่ายังรักษาได้แค่ศิล5 ก็ยังไม่สมบูรณ์นัก 
เกินกว่านั้นผมคิดว่าทำอย่างไรไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนก็คงพอ
การเดินทางไปอินเดียครั้งที่สองผมอยากทำหน้าที่ช่วยเหลือหลวงพ่อเท่าที่กำลังความสามารถพอช่วยท่านได้
เพราะเห็นแล้วว่าท่านเหน็ดเหนื่อยจริงๆที่จะทำเพี่อศาสนา
จนถึงกับพ้อว่าหากอายุมากกว่านี้จะขอหยุดทำ
สิ่งที่ผมภูมิใจในการเดินทางซ้ำคือ
1.ท่านเป็นนักบรรยายในสังเวชนียสถานเก่งที่สุดในอินเดีย(ไม่เชื่อลองไปเอง)
2.ท่านสามารถปรับเปลียนการเดินทางได้อย่างเหมาะสมเพราะท่านมีวัดเป็นของท่านเองถึง2แห่ง
3.อาหารที่วัดจัดให้โดยคนไทยเป็นแม่ครัวถึง10วันคนกินได้ไม่เบื่อ พวกไปต่างประเทศบ่อยๆต้องกินอาหารท้องถิ่นน่าจะรู้ดี
4.มีการทำวัดเช้า เย็นทุกวันในวัดบ้าง บนรถบ้าง แต่ภาคเช้าตี5ทราบว่ามีบางส่วนลงมาปฎิบัติแต่ไม่ทุกคน
5.ท่านสามารถเดินสายกลางไม่ตึงเกินไปและหย่อนเกินไปเช่นท่านหยั่งรู้ว่านักเดินทางส่วนใหญ่นิยมการซื้อของ ท่านก็ไม่ปิดบังพาไปแหล่งขายของราคาถูกเหมือนพาหุรัดบ้านเรา โดยท่านไม่ได้รับค่าคอมมิสชั่นใดๆทั้งสิ้น
    จึงคิดว่าหากมีโอกาส ก็จะไปอินเดียอีกครั้งกับพระภิกษุรูปนี้
   
สำหรับการเข้ามาเขียนบ่อยๆ ผมคงทำไม่ได้เพราะขณะนี้นัยตาอักเสบ ช้ำเป็นสีแดงต้องไปพบหมอ ไม่อาจมองที่จอนานๆได้จึงขออภัยที่บางคนเข้าใจผิดหาว่าผมมีโมหะ  แต่ก็เป็นไปได้ที่ผมแอบค้อนบางคนที่ผมหวังพึ่งในต่างแดนแต่กลับพึ่งพาไม่ได้เขาคนนั้นเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม มีหลายท่านโทร์มาแจ้งผมว่าอยากได้หัวหน้าคนเดิมที่สามารถเป็นที่ปรึกษากับเพื่อนฝูงและน้องๆได้
    ผมตอบเขาไปว่า ให้คุณไปหาคุณหมอนักจิตวิทยาหรือชวนกันไปเที่ยวอินเดียกับพระครูปลัดแห่งทับทิมเทศทัวร์ยังง่ายกว่าเป็นไหนๆ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5376 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2555, 16:56:44 »

ถ่ายจากบอร์ดประชาสัมพันธ์ตึก ๘๐ ปี โรงพยาบาลสิงห์บุรี ที่แม่พักอยู่









                            
                             พระท่านว่า "อุเบกขาไว้โยม"

                             พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนไว้ และเวลาเจริญสติก็สามารถค้นพบว่ามันเป็นความจริง คือ มนุษย์คิด พูด ชอบ ไม่ชอบ ไม่เหมือนกัน และมนุษย์จะหาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเองเสมอ  จึงมีแต่การวิวาทกันไม่หยุดหย่อน  ยิ่งมีทิฏฐิด้วยแล้ว ยิ่งต้องหนีให้ห่าง ๆ

                             ดังนั้น การยึดอุเบกขา สำรวมกาย  วาจา  ใจ  อยู่เป็นนิจ  เป็นสิ่งประเสริฐที่สุด ไม่ยินดียินร้ายในสิ่งที่ตาเห็นรูป  หูได้ยินเสียง  จมูกได้ดมกลิ่ม  ลิ้นได้ลิ้มรส  กายได้สัมผัส  จิตไม่ส่งออกนอกตัว  เป็นการดีที่สุด

                             เรื่องของคนอื่นก็เรื่องของเขา  เราอย่าไปแบกมันไว้แทนเลย  ยกเว้นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้พ้นทุกข์ โดยยึดหลักพรหมวิหาร ๔ เป็นหลักก็เพียงพอแล้ว  ทุกสิ่งปลดลงจากบ่าปล่อยไปกับสายน้ำในแม่น้ำเนรัญชราอันน้อยนิดหมดแล้ว  ไม่อยากกลับไปทุกข์อีก

                             สวัสดี  
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5377 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2555, 19:47:57 »

จาริกแสวงบุญ - ปฏิบัติธรรม

ตอนที่ ๔

ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่เขาคิชกูฏ







วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์

                    04:00 น. ไปทำวัตรเช้า ปฏิบัติธรรม ที่ห้องปฏิบัติธรรมชั้นสาม

                    06:00 น. รับประทานอาหารเช้า เป็นข้าวต้ม กับข้าวเหมือนเดิม คือไข่เจียว ถั่วลิสงคั่ว และผัดผัก

                    07:00 น. ออกเดินทางไปกรุงราชคฤห์ ไปเฝ้าพระพพุทะเจ้าที่เขาคิชกูฏ  นมัสการมูลคันธกุฎี  ระหว่างทางได้ชมทัศนียาภาพ เป็นนาข้าวสาลีผสมกับมัสตาสสีเหลืองสวยงามมาก ผ่านสวนตาลหนุ่มในสมัยพุทธกาล ผ่านประตูเมือง และภูเขาทั้ง ๕ เข้ากรุงราชคฤห์ สำหรับการขึ้นเขาคิชกูฏนั้น  ผู้ที่สูงอายุมาก ๆ จะนั่งเสลี่ยงหามโดยคนสองคนเสียค่าแบก 900 รูปีทั้งไปและกลับ

                     ที่ยอกเขาคิชกูฏได้พบกับพระจากสำนักอโศก ได้สวดมนต์ทำวัตรเช้า รับทราบประวัติความเป็นมา นปฏิบัติธรรม เดินเวียนเทียนรอบมูลคันธกุฎี และจบด้วยการกราบและปิดทอง

                      หลังจากนั้นได้ไปชมสถานที่พระเทวทัตผลักก้อนหินทำร้ายพระพุทธเจ้า ได้ไปสวดมนต์ที่ถ้ำสุกรขาตาที่พระสาลีบุตรสำเร็จเป็นพระอรหันต์ และถ้ำพระโมลคัลลานะ หลังจากนั้นก็ลงเขาคิชกูฏ แวะซื้อของและทางร้านเลี้ยงกลามจาย(ชาอินเดีย) กับขนมซาโมซา(กรหรี่ป๊าปอินเดีย) อร่อยมาก

                      อาหารกลางวัน ไปรับประทานที่วัดไทยนาลันทา มีผัดผัก แกงไก่ฟักทองแบบอินเดีย ต้นย้ำปลา และได้ทอดผ้าป่าที่วัดไทนนาลันทา ได้เงินประมาณ 80,000 รูปี

                    










ชาวนาเมืองนาลันทา  ตากข้าว



วัดเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ

                          
                          ภายหลังทอดผ้าป่าเสร็จ เดินทางไปไหว้หลวงพ่อองค์ดำ โดยการนั่งรถม้า  ออกจากหลวงพ่อองค์ดำ ไปมหาวทยาลัยนาลันทา แต่ผมได้ปลีกตัวไปนั่งปฏิบัติธรรม  ไม่ได้เดินชมและรับฟังการบรรยายจากไกดือินเดียและพระมหา ดร.สุเทพ ทั้งสิ้น  ที่นาลันทาที่เป็นบ้านเกิดของพระสารีบุตรนี้ หลวงพ่อพระมหา ดร.สุเทพ ได้ไปซื้อขนม "ขาชา" หรือโรตีแขกมีแบบเค็มกับหวานมาให้รับประทานแต่ผมถือศีล ๘ จึงไม่ได้รับประทาน แต่ได้ซื้อเอามารับประทานตอนเช้าซึ่งเย็นหมดแล้วและกินไม่ไหวจึงเอาไปให้เจ้าหน้าที่โรงครัวรับประทาน

                          จากนั้นคณะไปสวดมนต์ทำวัตรเย็น สวดโอวาทปาติโมกข์ และเวียนเทียน ที่วัดเวฬุวัน วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา ที่พระเจ้าพิมพิศาลสร้างถวายในสวนป่าไผ่

                           ออกจากวัดเวฬุวันก็ไปดูการอาบน้ำตามวรรณของคนอินเดียและเดินทางกลับวัดไทยมคธฯ รับประทานอาหารเย็น

                           ผมไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้ เพราะตั้งใจไปปฏิบัติธรรม  ดร.กุศล  ก็ไม่ยอมทำหน้าที่เอารูปมาลง และบรรยาย ตามที่ได้รับปากกันไว้  ไม่เป็นไร  ผมก็จะเล่าแบบย่อ ๆ เพราะปีที่แล้วได้ลงรายละเอียดทั้งหมด ท่านสามารถกลับไปค้นอ่านได้ในกระทู้นี้ครับ

                           ราตรีสวัสดิ์ ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5378 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2555, 09:37:56 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                             วันนี้วันพระ ครับ เมื่อเช้าผมไปทำบุญที่วัดพระนอนมา  ได้รับข่าวร้ายพี่สำราญ  วงษ์ใบแก้ว อยู่ในขั้นโคมา ไม่รู้ว่าจะจากไปวันไหน  พี่สำราญ เป็นภรรยาของอาสนิท  ที่ช่วยพ่อแจวเรือขึ้น-ร่องกรุงเทพฯ-สิงห์บุรี เมื่อวัยย์หนุ่ม ครับ

                              ชีวิตคนเรามันก็เป็นอย่างนี้ เราไม่รู้ว่าเราจะจากโลกนี้ไปเมื่อไร กำหนด หรือสั่งมันไม่ได้ทั้งสิ้น  ยกเว้นตั้งใจฆ่าตัวตาย หรือโดนคนอื่นฆ่า  ส่วนใหญ่ชาวบ้านที่ตายกันในปัจจุบันนั้นมาจาก เบาหวาน หลอดเลือดตีบตับ เป็มอัมพฤกษ์ และโรคหัวใจ เป็นส่วนใหญ่ เพราะความไม่รู้เรื่องการกินอาหาร ซึ่งพฤติกรรมการกินเปลี่ยนไปจากปู่-ย่า ตา-ยาย คือกินอาหารสมัยใหม่ มีแต่น้ำมัน มันจึงเป็นโรคเรื้อรัง และจบลงด้วยการช่วยตัวเองไม่ได้ และตายในที่สุด

                              จริงอยู่ความเจริญทางด้านการแพทย์รุดหน้าไปไกลมาก แต่มันเป็นไปเฉพาะบุคคลที่มีเงินคือคนรวย แต่คนจนรักษาฟรีแล้ว ต้องใช้ยาสามัญตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดเท่านั้น เพราะถ้าจ่ายยาดี โรงพยาบาลรัฐไม่มีให้ และโรงพยาบาลจะขาดทุน จึงไม่มีการจ่ายยาดี ๆ ความก้าวหน้าทางการแพทย์จึงไม่มีความหมายสำหรับผู้รักษาฟรี เท่าที่ควร นี่เป็นความเห็นของผม ที่สังเกตพบ  จะโทษคุณหมอก็ไม่ได้  ต้องโทษรัฐบาล ที่กำหนดการรักษาฟรี เป็นสิ่งที่ดี  แต่มันไม่มีงบประมาณเพียงพอ ที่จะจ่ายยาดีๆ ให้กับประชาชน โดยเฉพาะโรงพยาบาลประจำอำเภอ ขาดทุนเป็นแถว  จะปิดอยู่แล้ว  อย่างโรงพยาบาลอินทร์บุรี เมื่อก่อนมีหมอครบทุกสาขา มีความสามารถเทียบเท่าโรงพยาบาลประจำจังหวัด แต่ปัจจุบันขาดทุน ๔๐ กว่าล้านบาท  อยู่ไม่ได้  จนจะหาหมอมาอยู่ไม่ได้แล้ว นี่ละทุกสิ่งย่อมเป็นไปตามกฏธรรมชาติ คือ อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา

                              บ่ายนี้ผมต้องเดินทางไปทำงานที่สูงเนิน โคราช เอารถไปจอดที่ PSTC สระบุรี โดยคุณนิรันดร์มารับอีกทีหนึ่ง เพราะไม่ได้ไปเสียนานตั้งแต่แม่ป่วย กลับวันพุธบ่าย เพื่อให้สามารถไปประชุมจัดกอล์ฟ วศ. ๑๓ ได้ทันในเวลา 18:30 น. ที่ร้านอาหารบ้านม้า ซอยนวลจันทร์

                              สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5379 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2555, 12:20:01 »




                             ผมอยู่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ไม่มีอะไรจะทำ ได้ใช้บริเวณหน้าห้องที่แม่รักษาตัวอยู่เปิดเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ทั้งนั่งสร้างจังหวะ ๑๔ จังหวะ ของหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ และสลับกับการเดินจงกรม  อากาศดีมาก สงบ มีสิ่งรบกวนน้อย และไม่อายใครทั้งสิ้น เพราะเป็นเรื่องของผม ที่อยากกระทำ  ดีกว่านั่งทำอย่างอื่น เป็นการฆ่าเวลาไปวัน ๆหนึ่ง

                             เมื่อวานขณะขับรถมาสิงห์บุรี เปิดวิทยุพุทธศาสนาของวัดกุฎีทอง เป็นเพื่อนเดินทาง มีตอนหนึ่งหน้าสนใจคือ ตามประวัติศาสนาพุทธ มีอุบาสกที่บรรลุโสดาบันจำนวนมากเช่น ท่านอาณาบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขา เป็นต้น และโดยเฉพาะลูกสาวของท่านอนาบิณฑิกเศรษฐี สามารถบรรลุถึงขั้น สกนาคามี เลยทีเดียว แต่สำหรับอุบาสกที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์นั้นมีสองท่าน แต่ก็ต้องเสียชีวิตลง เพราะโดยทั่วไปแล้วผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ จะต้องบวช ถ้าไม่ได้บวชจะเสียชีวิต มันเป็นเช่นนั้น เหตุผล ผมยังไม่ทราบ เพราะยังไม่ได้ศึกษา เช่นลูกชายเศรษฐีท่านหนึ่งและท่านภัททิยะ

                            วันนี้ผม นำเสนอวิธีการแปรงฟัน และการใช้ไหมขัดฟันมาฝาก จากโรงพยาบาลสิงห์บุรีครับ

                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5380 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2555, 12:50:19 »



วัดป่ามหาวัน  นครไวสาลี

สถานที่พระนางมหาปชาบดีโคตรมี พร้อมด้วยนางสายิกา ๕๐๐ คนมาขอบวชเป็นภิกษุณี
 


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                               มีหลายท่านได้ปรารภมา จะโดยทางตรง หรือทางอ้อมก็ตาม ผมต้องขอขอบคุณมากที่ไว้วางใจผม  แต่ก็ขอเรียนให้ทราบว่า มันเลยสภาวะของผมที่จะมีหน้าที่จัดการไปแล้ว  ขอให้เป็นเรื่องของกรรมการชมรมฯ หรือคนรุ่นหลังครับ

                               ผมไม่ได้รังเกียจอะไรเลย  ถ้าทุกคนอยากจะไปท่องเที่ยว  ขอให้รวบรวมกัน ผมก็ยังยินดีจะเป็นผู้นำทัวร์ให้ได้อย่างเคย ไม่มีข้อแม้เหมือนกัน  แต่จะไม่เป็นผู้ดำเนินการทั้งหมดเท่านั้นเอง

                               อย่างวันอาทิตย์ที่ ๔ มีนาคม  ผมจะทำบุญเพลให้คุณพ่อ  พี่เขย และหลานชาย  ที่วัดพระนอนเวลา 10:00-12:00 น. ท่านใดอยากทำบุญ  อยากใส่บาตรพระ-เณร อยากกินอาหารสิงห์บุรี  ผมยินดีต้อนรับ หรือจะให้พาไปไหว้พระก็ยินดี เช่นกัน ถ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศไม่อยากอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ

                               ผมท่องเที่ยวมามากพอแล้ว  อยากจะเอาเวลามาใช้ปฏิบัติธรรมให้มากเป็นการกระทำเพื่อตัวเองบ้าง ในช่วงชีวิตที่เหลือ และก็อยู่อย่างพอเพียงด้วย  ทุกสิ่งผ่านมามากแล้ว ไม่ขอกลับไปใช้ชีวิตในรูปแบบเดิม ๆ ที่ยังยึดติดอยู่ในหลาย ๆ เรื่อง จนลืมดูกาย ดูใจ ของตนเองไป และเมื่อมีเวลาได้พิจารณากาย พิจารณาใจตนเองแล้ว ก็เห็นความจริงนั้นพอสมควร  จึงขออยู่ห่างกิเลสต่างๆ ให้มากไว้  จิตจะได้มีเรื่องรบกวนน้อย อดีตก็ลืมไปมากแล้ว  อนาคตไม่คิดวิตกกังวลทั้งสิ้น  ไม่เอาอะไร ๆ อีกแล้ว ครับ เชิญทุกท่านตามสะดวกเลย  จะมีเพียงแค่ทักทายกับทุกท่านทางเวบ นี่ละครับ ที่จะยังไม่ทิ้งไป ยังตัดขาดไม่ได้  ยังยึดติดอยู่ ที่อยากจะเป็นที่ส่งเสริม   สื่อสารถึงกัน  ช่วยเหลือ ทุกท่านที่ต้องการทั้งทางความรู้และสนับสนุนด้านอื่นๆ ที่ผมสามารถกระทำให้ได้  
                            
                                ดร.สุริยา  อาจจะแย้ง แสดงว่ายังหลงอัตตาตนเอง  ผมก็ยอมรับ และมันก็ไม่ได้ผิดอะไรหนักหนา เพราะผมยังเป็นปุถุชนม์ คนธรรมดาที่ไม่ได้บรรลุอะไรเลย เพียงแต่มีจิตโน้มนำไปในทางธรรม เพราะรู้ความจริงของชีวิตแล้ว  รู้แนวทางที่ถุกต้องแล้ว

                               หลวงพ่อต่างๆ เช่น หลวงพ่อไพศาล  ท่าน ว.วชิรเมธี  พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ. ปยุตฺโต)ท่านก็บ่ายเบนแนวทางของท่าน  หันมาส่งเสริม บรรยายธรรมให้กับประชาชนเหมือนกัน

                               ดังนั้น ช่องทางนี้สำหรับผม ยังไม่ตัดออกจากการดำรงชีวิตครับ

                               สวัสดี
      บันทึกการเข้า
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #5381 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2555, 16:14:19 »

ขออภัย ตามองแทบไม่เห็น
แต่ฝืนทำให้ เพื่อไม่ให้ผิดคำพูด
คนไปอินเดีย ได้อะไรมามากมาย โดยเฉพาะธรรมมะ
ผมได้สิ่งที่เป็นรูปธรรมเอามาฝากญาติโยม เอ้า เชิญชมครับ
สร้อยประคำจะเอาไปฝากพี่ป๋อง
      บันทึกการเข้า
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #5382 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2555, 16:22:46 »


ผ้าขาวใช้ห่มก็หนาดีจะเอาไปฝากคุณยายหัวหน้าแม่ชีที่ให้ทองคำเปรวมา
ส่วนพรหมจะเอาไปฝากหลวงตาเพราะกุฎิท่านน้ำท่วมสมบัติเสียหายไม่มีที่นั่ง
      บันทึกการเข้า
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #5383 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2555, 16:23:34 »


สร้อยประคำ ผ้าพันคอ จะเอาไปฝากเพื่อนๆที่ทำงาน
ขืนบอกเอาบุญมาฝาก เขาจะได้ค้อนให้ปะไร
      บันทึกการเข้า
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #5384 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2555, 16:26:56 »


กำไรเพชร โคตรเพชร มะรังมะเรือง
พี่ติ๋ว พี่ตาเขาสั่งจองตั้งแต่อยู่เมืองไทย
กะจะเอาไปใส่ในงานการาดินเนอร์ที่สวนลุม
      บันทึกการเข้า
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #5385 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2555, 16:29:39 »


ท่านพี่ผู้อิ่มบุญ
จนลืมน้องๆที่คบกันมากว่าสี่สิบปี
กะจะให้บรรลุเหมือนท่าน จนลืมไปว่าคนเราไม่เหมือนกัน
ท่านบ่นจนลืมไปว่า ที่ท่านเขียนอยู่คนเดียววันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาผมไม่รู้เรื่องทั้งสิ้น (เพราะที่บ้านไม่มีทั้งโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์)
      บันทึกการเข้า
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #5386 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2555, 16:33:56 »


กุศลผู้มักน้อย หมดอายุราชการแล้วอาจจะไปเป็นนายหางที่อินเดีย
เห็นร้านค้าเล็กๆที่มีผ้าสีแดงตรงกลางใหม นั่นแหละเขาเรียกนายห้าง ขายของ
จะชวนพี่ป๋องไปนั่งขายมาม่า ส่วนกุศลจะไปขายข้าวไข่ต้ม เป็นนายห้างทั้งคู่ใครจะทำไม
      บันทึกการเข้า
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #5387 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2555, 17:08:57 »

ก่อนจบขอฝากข้อคิดของอาบังที่อินตะระเดียความว่า
"โหม่ยโลก โหม่ยดำ  รับป๋ากาน จำนำโหม่ยได้......"
หมายความว่า
สร้อยที่ผมกำลังเลือกขอรับรองว่า" ไม่ลอก ไม่คำ รับประกัน จำนำไม่ได้......"ซึ้งไม๊ครับพี่ป๋อง
      บันทึกการเข้า
Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #5388 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2555, 18:51:29 »

          เรียนพี่สิงห์ พี่กุศล  มารับธรรมะตอนเย็นได้อรรถรสคนละแบบ ซึ้งบ้าง สนุกบ้าง ขำสำนวนพี่กุศล
          ภาพสุดท้ายที่เรียกคนขายของว่า นายห้าง หน้าตาคนขาย คนเดินเหมือนไม่มีทุกข์ถ้าเป็นเรา
          ขายไม่ได้เป้า เซ็งแย่ ขอบคุณมากมากที่โพสภาพให้ชมค่ะ
      บันทึกการเข้า

เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #5389 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2555, 20:40:16 »

พี่สิงห์

 "สำหรับ อุบาสกที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์นั้นมีสองท่าน แต่ก็ต้องเสียชีวิตลง เพราะโดยทั่วไปแล้วผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ จะต้องบวช ถ้าไม่ได้บวชจะเสียชีวิต"


ฟังจากพระท่านบอกว่า พระสงฆ์มีความเพียรและเหนือกว่าปุถุชน หากปุถุชนสำเร็จอรหันต์แล้ว ให้พระกราบไว้ย่อมทำไม่ได้ ดังนั้นอุบาสกผู้เป็นปุถุชน หากสำเร็จอรหันต์ต้องนิพพาน(ดับขันธุ์)ทันที แต่หากครองเพศบรรพชิต ยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อเผยแพร่พระธรรมได้ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5390 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2555, 21:15:09 »



นายห้างรับจ้างซ่อมรองเท้า ตรงด่านชายแดนอินเดีย-เนปาล



นางห้างขายจัมปาตี อร่อย ๆ ๆ



กล้วยจ้านาย



ผลไม้จ้านายจ๋า



คิดเอาเอง !
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5391 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2555, 21:21:17 »


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                               คืนนี้ผมมานอนค้างคืนที่ฉัตรทิพย์รีสอร์ท ที่อำเภอสูงเนิน โคราชครับ เป็นห้องรับรองพิเศษ จากท่านนายกเทศมนตรีเทศบาลอำเภอสูงเนิน คุณนคร  กิตติพูลธนากร จัดเอาไว้ให้ ครับ

                               อากาศหนาวครับ พรุ่งนี้คงได้เดินจงกรมออกออกกำลังกายยามเช้าบนดาษฟ้าของรีสอร์ท

                               ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5392 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2555, 10:17:25 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2555, 20:40:16
พี่สิงห์

 "สำหรับ อุบาสกที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์นั้นมีสองท่าน แต่ก็ต้องเสียชีวิตลง เพราะโดยทั่วไปแล้วผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ จะต้องบวช ถ้าไม่ได้บวชจะเสียชีวิต"


ฟังจากพระท่านบอกว่า พระสงฆ์มีความเพียรและเหนือกว่าปุถุชน หากปุถุชนสำเร็จอรหันต์แล้ว ให้พระกราบไว้ย่อมทำไม่ได้ ดังนั้นอุบาสกผู้เป็นปุถุชน หากสำเร็จอรหันต์ต้องนิพพาน(ดับขันธุ์)ทันที แต่หากครองเพศบรรพชิต ยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อเผยแพร่พระธรรมได้ครับ

สวัสดีครับคุณเหยง

                        ในพระสูตร มิได้กล่าวไว้

                        ส่วนใหญ่ที่เป็นโสดาบัน ได้ดวงตาเห็นธรรม จะขอบวชทันทีต่อพระพุทธองค์ทั้งสิ้น  ยกเว้นฆาราวาสที่ยังต้องรับภาระ เช่นพระเจ้าแผ่นดิน หรือนางวิสาขา เป็นต้น

                        ปกติผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่กิจใดๆ ต้องกระทำอีกแล้ว  นอกจากเผยแพร่พุทธศาสนาเท่านั้น และดำรงค์ชีพอยู่เพื่อรอเวลาจากไป หรือ

                        อาจจะเป็นตามที่คุณเหยงบอกก็ได้ ล้วนไม่สำคัญทั้งสิ้น ถ้าสำเร็จเป็นอรหันต์แล้วตายทันที มันคุ้ม และไม่มีกิจอื่นพึงกระทำทั้งสิ้นแล้ว

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
ทราย 16
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,838

« ตอบ #5393 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2555, 14:39:06 »

อ้างถึง
ข้อความของ KUSON เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2555, 16:14:19
ขออภัย ตามองแทบไม่เห็น
แต่ฝืนทำให้ เพื่อไม่ให้ผิดคำพูด
คนไปอินเดีย ได้อะไรมามากมาย โดยเฉพาะธรรมมะ
ผมได้สิ่งที่เป็นรูปธรรมเอามาฝากญาติโยม เอ้า เชิญชมครับ
สร้อยประคำจะเอาไปฝากพี่ป๋อง
โห ... เทอค้อยท์ สวยอ่ะพี่กุศล
อยากได้มานับมั่งอ่ะ ... อิติปิโส ภควา ...
      บันทึกการเข้า
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #5394 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2555, 19:27:20 »

อ่าฮ่า.........ชัดช้า
ของซ้อของขาย  ขอกันไม่ได้นะคุณนายจ๋า....
ว่าแต่เทอค้อยคือเส้นใหนนะคุณนาย
บังจะได้ยึดคืน ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เวลาพี่ป๋องเขามาทวง
บอกหน่อยนะ  สีแดง  สีเขียว  หรือเลือดหมู  เพราะปีที่แล้วอาบังทำหน้าใหญ่แจกเขาหมด
ปีนี้กว่าจะได้มาต้องลงทุนนั่งยองๆหยิบเส้นโน้นที เส้นนี้ทีวางเรียงๆกันหลายสิบเส้น
บางคนจะมาคว้าไอ้ที่เราเลือกไว้ พอบอกผมเลือกแล้วครับเขาทำหน้าไม่พอใจ
พอเสียงนกหวีดประกาศให้รีบขึ้นรถ ผมก็ถามคนขายว่า..เฮามัช
คนขายเป็นพวกทิเบต(ตัวขาว หน้าตาเหมือนพวกชาวเขาบ้านเรา) ทำมือทำไม้บอก3000รูปื
พี่รีบส่งให้500รูปีแล้วซี้ว่ารถจะออกแล้ว
คนขายรืบดึงสร้อยกลับคืนทั้งหมดทั้งๆที่รับเงินเราไปแล้ว
พี่ใจหายนึกว่าเขาโกรธไม่ยอมขาย
ที่ใหนได้ส่งกลับมาให้แค่สองเส้น
พี่ปฎิเสธ no  no  ไอขอ 10 เส้น
ที่สุดคนขายส่งให้อีก3เส้น แต่เป็นลูกประคำไม้เส้นเล็กๆ
ไกด์บอกให้รีบขึ้นรถ
โอ้ต้องจากลาไอ้เส้นเขียว เส้นแดงที่เลือกใว้20กว่าเส้นด้วยความอาลัย.....ปีหน้าจะไปเลือกใหม่
น้องเสียดอย่าลืมสมัครไปด้วยกันนะจ๊ะ

      บันทึกการเข้า
ทราย 16
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,838

« ตอบ #5395 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2555, 20:01:19 »

กว่าจะได้มาแต่ละเส้น ... เล่นเอาท่านพี่กุศลระทมทุกข์เอาเรื่อง
นึกภาพออกว่า ท่านพี่คงเมื่อยกะการนั่งโก้งโค้ง บรรจงเลือก
ผสมกับบรรยากาศที่เร่งเร้า ...

ปีหน้า ... อยากไปด้วยค่ะ
ทราย 16 (บ่ แม่นเสียดเด้อ...)
 หลั่นล้า หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #5396 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2555, 20:15:18 »

อ้างถึง
ข้อความของ KUSON เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2555, 16:23:34

สร้อยประคำ ผ้าพันคอ จะเอาไปฝากเพื่อนๆที่ทำงาน
ขืนบอกเอาบุญมาฝาก เขาจะได้ค้อนให้ปะไร
ยิ่งสร้อยทองคำ3-4เส้นที่เห็นนั่นนะครับ
ตอนกลางวันแขกมาเดินขายเส้นละ2-300รูปีเป็นอย่างต่ำ
พอถึงวันสุดท้ายหลวงพ่อเมตตาอุส่าพาไปแหล่งขายส่ง
พวกธรรมมะ ธรรมโม้ผู้หญิงบางคนทำเป็นใจแข็งไม่ยอมลงไป
ผมเดินส่องไปเรื่อยๆเข้าไปด้านในคูหา
แม่เจ้าโว้ยร้านขายส่งเต็มไปหมด
เหมือนเยาวราชและพาหุรัดรวมกัน(เสียดายลืมถ่ายรูป)
อย่างร้านสร้อยก็มีสร้อยกองเป็นภูเขาเลากา
รับรองของทุกอย่างต่างจากบ้านเราเพราะที่นี่เป็นแหล่งผลิตเองค่าแรงถูกมาก
ผมตรงเข้าไปเลือกสร้อยโดยเร็วกลัวผิดหวังเหมือนตอนเลือกวันก่อนหน้านี้
นายครัย..โหม๋ยดำ โม๋ยลอก รับรอง  จำนำโหม๋ยด้าย (ไม่ดำ ไม่ลอก รับรองจำนำไม่ได๋...แขกหนุ่มวัย15โมษณา
คิก ๆแขกพูดไทยเก่งนิ ใหนว่าใหม่ช้าๆ....กุศลแกล้งเชียร์
โหม่ยดำ โหม่ยลอก.........แขกหนุ่มบ้ายอว่าช้ำแล้วซ้ำอีกหลายเที่ยวท่าทางภูมใจ
ตอจากนั้น กลุ่มคนไทยพอเห็นผมเลือกก็แห่กันเลือกตามแน่นขนัด
น้องๆ  ซ่วยเลือกเผื่อพี่สัก10เส้นนะพ่อคุณ พี่เบียดคนไม่ไหว.....คุณป้าวัย70กว่าสกิดบอกอยู่ข้างหลัง
คนก็แน่น ของก็มาก ทั้งเบียดทั้งแย่งกันซื้อตามประสาไทยมุง
ช่วยหยืบทองอร่าม3เส้นแบบนี้ให้ป้าที.....คุณป้าเจ้าเดิมมาขอให้ผมช่วยเลือกต่อ
พอผมจะดึง3เส้นขึ้นมาก็รู้สึกเหมือนมีคนมาดึงทั้งช่อออกไป
ปึด......เสียงสร้อยขาดคามือ3เส้นรุ่งริ่งคามือกุศลต่อหน้าคนขายที่อยู่ตรงหน้า
โหม๋ยดำ  โหม๋ยลอก รับปากาน......แขกหนุ่มยังลอยหน้าลอยตาโม้คำไทยไม่หยุด สายตาจ้องหน้าโอ้อวดไม่สนใจขาย
กู๊ดๆๆ....เก่งมาก..ผมชูหัวแม่มือขวาแสดงว่าเก่ง ส่วนมือซ้ายที่มีสร้อยขาดคามือรีบยัดคืนกลับเข้าไปในกอง
คุณป้าครับคนบางแล้ว  ช่วยเลือกเองเถอะครับ เดียวผมต้องรีบไปร้านเครื่องสำอางค์ต่อ........ว่าแล้วกุศลรีบเผ่นออกจากร้านทันที
ปล.ปกติสร้อยเส้นละไม้เกินร้อยรูปี แต่ถ้าตกเป็นจำเลยราคาอาจสูงขึ้นอึก4-5เท่าผมรู้จักแขกดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #5397 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2555, 20:28:33 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2555, 10:17:25
อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2555, 20:40:16
พี่สิงห์

 "สำหรับ อุบาสกที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์นั้นมีสองท่าน แต่ก็ต้องเสียชีวิตลง เพราะโดยทั่วไปแล้วผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ จะต้องบวช ถ้าไม่ได้บวชจะเสียชีวิต"


ฟังจากพระท่านบอกว่า พระสงฆ์มีความเพียรและเหนือกว่าปุถุชน หากปุถุชนสำเร็จอรหันต์แล้ว ให้พระกราบไว้ย่อมทำไม่ได้ ดังนั้นอุบาสกผู้เป็นปุถุชน หากสำเร็จอรหันต์ต้องนิพพาน(ดับขันธุ์)ทันที แต่หากครองเพศบรรพชิต ยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อเผยแพร่พระธรรมได้ครับ

สวัสดีครับคุณเหยง

                        ในพระสูตร มิได้กล่าวไว้

                        ส่วนใหญ่ที่เป็นโสดาบัน ได้ดวงตาเห็นธรรม จะขอบวชทันทีต่อพระพุทธองค์ทั้งสิ้น  ยกเว้นฆาราวาสที่ยังต้องรับภาระ เช่นพระเจ้าแผ่นดิน หรือนางวิสาขา เป็นต้น

                        ปกติผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่กิจใดๆ ต้องกระทำอีกแล้ว  นอกจากเผยแพร่พุทธศาสนาเท่านั้น และดำรงค์ชีพอยู่เพื่อรอเวลาจากไป หรือ

                        อาจจะเป็นตามที่คุณเหยงบอกก็ได้ ล้วนไม่สำคัญทั้งสิ้น ถ้าสำเร็จเป็นอรหันต์แล้วตายทันที มันคุ้ม และไม่มีกิจอื่นพึงกระทำทั้งสิ้นแล้ว

                        สวัสดี


พี่สิงห์

ฆาราวาสบรรลุขั้นโสดาบันได้ และสามารถมีชีวิตอยู่ แต่เพราะทุกคนเมื่อผ่านโสดาบัน ก็อยากหลุดพ้น
เหมือนคนจน พอมีฐานะขึ้น ก็อยากร่ำรวย และอยากรวยขั้นมหาเศรษฐีขึ้นไปอีก นั่นแหละครับ
แต่กลับกันตรงที่ ผู้มีสติต้องการหลุดพ้นวัตตะสงสาร คือนิพพานที่ถือว่าสูงสุด
พระพุทธเจ้าและสาวก เมื่อตรัสรู้แล้ว ยังไม่ยอมดับขันธ์ เนื่องจากเป็นห่วงพุทธบริษัท จึงต้องอยู่เผยแพร่ระยะหนึ่ง

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5398 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2555, 21:07:51 »

อ้างถึง
ข้อความของ ทราย 16 เมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2555, 20:01:19
กว่าจะได้มาแต่ละเส้น ... เล่นเอาท่านพี่กุศลระทมทุกข์เอาเรื่อง
นึกภาพออกว่า ท่านพี่คงเมื่อยกะการนั่งโก้งโค้ง บรรจงเลือก
ผสมกับบรรยากาศที่เร่งเร้า ...

ปีหน้า ... อยากไปด้วยค่ะ
ทราย 16 (บ่ แม่นเสียดเด้อ...)
 หลั่นล้า หลั่นล้า
สวัสดีค่ะพระน้องนางทราย ที่รัก

                          ดีใจมากที่ปีหน้าเธอจะไปอินเดียด้วย

                          ปีนี้ราคาเต็มไปอินเดีย 31,500 บาท แต่หลวงพ่อบอกว่าอาตมาเก็บเพียง 27,500 บาทสำหรับโยม เพราะไม่ได้สมัคมากับคณะชมรมพุทธศาสนารวมใจ เป็นคนของอาตมา อาตมาขอคืนให้ 4,000 บาท (ในโปรแกรมต้องนอนโรงแรม ๒ คืน) แต่ผมบอกหลวงพ่อว่าไม่ต้องคืนขอทำบุญบริจาคผ้าห่มกันหนาวที่หลวงพ่อกำลังหาเจ้าภาพอยู่แทน

                          วันเดินทางหลวงพ่อเอาเงืนมาคืนให้คนละ 4,000 บาท หลวงพ่อบอกว่าโปรแกรมเดิมต้องนอนโรงแรม แต่ทางคณะขอนอนวัดเพราะอยากทอดผ้าป่า ๖ วัด อาตมาเลยคืนให้โยม ทั้งสี่คน ที่ไปกับอาตมา

                          ตกลงผมจ่ายค่าทัวร์ไปอินเดีย 27,500 บาท ไม่รวมทำบุญอีก 4,000 บาท ครับ งงเหมือนกัน แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก ได้ทำบุญ ทอดผ้าป่า ๖ วัด ถวายเงินสร้างวัดที่เกษรียา 5,000 บาท ถวายที่วัดไทยสาวัตถีพุทธวิปัสสนา 5,000 บาท และทอดผ้าป่า ถวายเงินใส่บาตรพระเณร อีกจำนวนหนึ่ง รวมกันประมาณ 10,000 บาท รวมยอดทำบุญไป 20,000 บาท
(บางส่วนเป็นเงินที่พรรคพวกให้ไปอินเดีย  จึงขอทำบุญ ดีกว่า)

                          สำหรับของฝาก ซื้อเพียงกำไรข้อมือ ๔ ชุดเอาไปฝากลูกสาวคนดูแลแม่ และเหลน ๆ ลืมไปยังมี มุงดาน อีก ๕๐ ซอง ไปฝากหลาน  พรรคพวก SIW และรับประทานเอง นอกนั้นไม่ได้ซื้ออะไรเลย นอกจากน้ำมันมะรุมเอาไปใช้ทาให้แม่แก้คลายเส้นเอ็นและกระเทียมแคปซูลให้ตัวเอง และไม่ได้ไปเดินตลาดซื้อของกับ ดร.กุศล ไม่อยากขน ขอกลับวัดไปนั่งปฏิบัติธรรม ดีกว่า  จึงไม่มีของมาฝากใครทั้งสิ้น  ต้องกราบขอโทษทุกท่านด้วย

                          ราตรีสวัสดิ์ครับค่ำนี้ เพราะเหนื่อย ต้องเดินทางกลับจากโคราช ไปประชุมจัดกอล์ฟที่ร้านบ้านม้า และกลับมาบ้าน โดยหนีกลับก่อนเมื่อหมดเรื่องที่จะต้องรับทราบปล่อยให้ท่านผูว่า กฟภ.ประธานและกรรมการสนุกกับการดื่มไวน์และร้องเพลงคาราโอเก๊ะ ต่อกัน  ส่วนผมขอไกลจากกิเลส  ไม่ขอกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #5399 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2555, 22:38:28 »

    "มาวัดเพื่ออะไร มาเพื่อศึกษาให้มันรู้ความจริงตามธรรม ถ้ารู้แล้วมันจะหมดทุกข์ รู้แล้วมันจะหมดอยาก รู้แล้วมันจะหายลำบาก จะไม่มีโศกาปริเทวารำพัน มันจะรู้เสมอภาคว่า
    สภาพทั้งหลาย ของสังขารที่มันอยู่นี้ตามความเป็นจริง ถ้ารู้ตามความเป็นจริงแล้ว พวกเราจะไม่พากันเป็นทุกข์ จะพากันสบาย ของมันได้มาก็ได้มาอย่างนี้ ได้มาอย่างนี้มันก็ไปอย่างนั้น ใจเราก็จะก็ไม่ยึด ไม่มั่น มีลูกก็ให้รู้ว่าสมมุตินะนี่นะ มีบ้านเรือนก็รู้แต่ว่ามันเป็นเพียงสมมุติ เลยไม่มีของเราจริงๆ มันก็จะได้คิด

    ถ้าคนไม่รู้จักก็มีแต่ของกูๆ ลูกกู เมียกู หลานกู กู๊...กูๆ ๆ อยู่อย่างนั้นเหมือนกันกับนกเขา อยู่บนต้นมะขาม ร้อง กูๆ กูๆ มีแต่ของกูของกู หรือเหมือนบ่างตาโตกินมะขาม จะว่าของกูอย่างนั้นเหรอ... พากันดูหน่อยดูข้างหน้าข้างหลังหน่อย ดูข้างล่างดูข้างบนหน่อย โยมไม่เคยเห็นหมอลำเขารำหรือ โยมพ่อออกแม่ออกหมอลำเขาว่าอย่างไร? เขาว่า "เอา...จิ๊กเข้าไปเข้าไปข้างในข้างนอก" ได้ยินไหมล่ะไม่รู้อะไร? ไม่รู้ข้างในไม่รู้ข้างนอก รู้ไหมล่ะ ข้างในก็เหมือนข้างนอก ข้างนอกก็เหมือนข้างใน เขาก็เหมือนกัน เราก็เหมือนเขา มันไม่ได้แปลกอะไรกัน ลูกท่านหลานท่าน ก็เหมือนกับลูกเราหลานเรา พ่อท่านแม่ท่านก็เหมือนพ่อเรา แม่เราของเราก็เหมือนของท่าน นี่แหละท่านจึงว่า ให้รู้เข้าไปข้างในข้างนอก ยังจะพูดเล่นอยู่นั้นหรือ อย่าว่าของเราของเรา ต้องมีเมตตา กรุณา ดูให้มันทั่วให้มันถึง

    ถ้าเรามีธรรม รู้จักธรรมแล้วเราจะสบายกันมาก จะพากันถอนความโลภออก ถอนความโกรธออก ถอนความหลงออก หลงว่าของคนโน้น หลงว่าของคนนี้ หลงว่าของกูหลงว่าของมึง หลงยึดหลงหมาย หลงทุกข์ หลงยาก หลงลำบาก แต่ที่สุดก็ไม่มีอะไร ให้พากันเข้าใจเอาไว้ให้พากันรู้เรื่องเอาไว้ ถ้ารู้เรื่องสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ข้างนอกก็ดีข้างหลังก็ดี ข้างนอกคือต้นไม้ภูเขาเครือเขาเถาวัลย์ก็ดี

    ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนเป็นของไม่แน่นอน เกิดมาแล้วก็ละลายไปเป็นธรรมดา เห็นไหมล่ะ? ต้นไม้บ้าง ดินบ้าง มันมีที่สูงที่ต่ำ ต้นไม้ก็ต้นตอต้นงอเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น
    เป็นธรรมชาติของสังขารข้างในเราก็เหมือนกัน ตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ก็ไม่เหมือนกันเป็นของไม่แน่นอน เป็นไปตามสภาพของมัน หูมันอยากหนวกวันไหน มันก็หนวก
    ตามันอยากบอดวันไหนมันก็บอด กายมันอยากเจ็บวันไหนมันก็เจ็บ อยากพิการตรงไหนมันก็พิการ มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น จะไปร้องขอยอมือกับมันไม่ได้ ถึงคราวมันจะเป็นมันก็เป็น อันนั้นมันเป็นของเราแท้ๆ เป็นสังขารแท้ๆ เป็นสังขารแท้ๆ ไม่ใช่เป็นของเราตามเป็นจริง เป็นของเราโดยสมมุติ ดังนั้น พระพุทธเจ้าก็ดี สาวกทั้งหลายก็ดี ท่านพ้นจากทุกข์ จากความลำบาก ก็เพราะท่านมารู้ตามความเป็นจริง รู้อะไร? ก็คือรู้ว่าของมันไม่แน่นอน"


    พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภัทโท)
    วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี
 
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
  หน้า: 1 ... 214 215 [216] 217 218 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><