05 ตุลาคม 2567, 19:55:56
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 213 214 [215] 216 217 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3483313 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 45 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #5350 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2555, 08:04:27 »

สวัสดีครับ พี่สิงห์
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5351 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2555, 08:38:02 »



ภาพนี่ถ่ายที่ ธัมเมกขสถูป ป่าอิสิปัตตานะมฤคทายวัน สารนารถ เมืองพารานาสี สถานที่ทรงแสดงปฐมเทศนา

กับ ดร.พระมหาสุเทพ  อากิญฺจโน หรือพระปลัดสุวัฒนโพธิคุณ

สวัสดีครับ พี่-น้องและเพื่อนชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                       ผมมารายงานตัวครับ มาถึงบ้านตอนหกโมงเช้า ได้ถามแพรว (หลานสาว)ว่ายายเป็นอย่างไรบ้าง แพรวตอบว่า ป๋า(คุณหมอวิทิต) บอกว่า จะให้ยายกลับบ้านได้แล้ว  หลังจากนั้นก็เดินไปตลาดหลังการบินไทยไปซื้อข้าวแกงมาใส่บาตรพระเช้าที่หน้าบ้าน

                       วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาผมพักอยู่ที่วัดไทยสาวัตถีพุทธวิปัสสนา ผมตื่นตีสี่ อาบน้ำอุณหภูมิ ๘ องศา ปฏิบัติธรรมได้หนึ่งชั่วโมง  จึงมาช่วยเณรต้มน้ำร้อนใส่กะติกสำหรับให้คณะรับประทานกาแฟ(ขณะตักน้ำร้อนทีละกระบวย ก็ปฏิบัติธรรม คือตักอย่างมีสติ) และได้ไปต้มข้าวต้มแทนเณรที่จะต้องไปทำกับข้าว ขณะต้มข้าวต้มก็สวดอิติปิโสภาวนาไปด้วย ประมาณหลายสิบจบ และได้เอาข้าวต้ม กับข้าว ส้ม ไปถวายพระเป็นอาหารเช้า ร่วมทำบุญกับทางวัด เพื่อสมทบทุนสร้างกุฏิ ๕๐๐๐ บาท ใส่บาตรพระด้วยเงินสด บริจาคเงินทอดผ้าป่ากับคณะ บริจาคเงินให้กับคนทำงานที่วัด คนขับรถ และชาวอินเดียทีมาขอรับบริจาคทาน

                        หลังจากนั้นได้ไปที่วัดพระเชตวันมหาวิหาร ทีท่านอานาบิณฑิกเศรษฐ๊ เป็นผู้สร้างถวาย กราบระลึกถึงพระพุทธเจ้าที่คันธกุฏี ได้สวดมนต์ทำวัตรเช้า ปฏิบัติธรรม และเวียนเทียน ไปกราบ-สวดมนต์ที่ลานแสดงธรรมของพระพุทะเจ้า อานันทโพธิ์ กุฏิพระสาลีบุตร กุฏิพระโมคคัลลานะ กุฏิพระสีวลี ภายในวันเชตวันมหาวิหาร

                        ทุกครั้งที่แผ่ส่วนกุศล ได้แผ่กุศลถึงพี่-เพื่อน-น้อง-ชาวซีมะโด่งและครอบครัวทุกท่าน  ได้ปฏิบัติธรรมมาก จึงถ่ายรูปน้อย

                        ขอขอบคุณทุกท่านที่อวยพรวันเกิดให้ผม ขออำนาจกุศลผลบุญที่ได้จากการไปจาริกแสวงบุญ ปฏิบัติธรรม ยังดินแดนพุทธภูมิ ๔ สังเวชนียสถาน ตามที่พระพุทธองค์ได้สั่งไว้ให้กุลบุตร-ธิดาในพุทธศาสนา ไปกราบ ๔ สังเวชนียสถาน เพื่อระลึกถึงพระองค์  จงบันดาลให้พี่ เพื่อน น้องและครอยครัวชาวซีมะโด่งทุกท่าน ปราศจากทุกข์ ประสพแด่ความสุข สมปรารถนา ทุกท่านเทอญ

                         การเดินทางครั้งนี้ไม่มีอุปสรรคใด ๆ เลย รับประทานผลไม้ และอาหารอินเดียตามท้องถิ่นมากขึ้น ได้สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม เป็นอย่างมาก การเดินทางปลอดภัย ไม่เจ็บป่วย อากาศหนาวมากที่เมืองสาวัตถี ในตอนกลางคืน แต่กลางวันเย็นสบาย

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5352 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2555, 09:52:49 »



พระพุทธเมตตา ที่เจดีย์พุทธคยา  สถานที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
 

                    
                       มีอีกหนึ่งเรื่องที่อยากจะเรียนให้ทราบคือ ทุกครั้งที่แผ่ส่วนกุศลในการสวดมนต์-ปฏิบัติธรรม ผมจะอุทิศส่วนกุศลให้คุณแม่อิม  กลับดี และลูกสาว(เขาเรียกผมว่าพ่อทุกคำ) คือ คุณกุ้ง  พนักงานฝ่ายขายตรง บริษัท SIW ที่ป่วยมีลิ่มเลือดอุดตันในเส้นเลือดที่บริเวณคอ ผลคือ เลือดไม่ไปเลี้ยงสมองบางส่วน ทั้งๆที่อายุเท่าๆ กับแม่ของผมที่เป็นใหม่ๆเมื่อปี ๒๕๑๓ มีแนวโน้มเป็มอัมพฤกษ์ ไปซีกหนึ่งคือแขน-ขาแบบแม่ผม  ผมจึงแผ่่ส่วนบุญให้ทุกครั้ง  

                       วันนี้ผมจะไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ ก่อนไปที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อเดินทางไปทำงานที่นครศรีธรรมราช จะไปพุดคุย และแนะนำให้ปฏิบัติธรรม เพื่อเอาชนะใจตนเองให้ได้  ไม่ให้หมดกำลังใจที่จะต่อสู้ต่อไปกับโรคและความทุกข์ที่เกิด

                        แต่ก็ดีใจว่าอาจจะเป็นกุศลที่ผมได้แผ่ให้ทุกวัน  อาการดีขึ้นเป็นลำดับตั้งแต่ผมไปอินเดีย จนถึงขณะนี้

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5353 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2555, 10:55:05 »


                      

                       มีอยู่เรื่องหนึ่งอยากจะเรียนให้ทุกท่านทราบ คือ

                       ประธานชมรมพุทธศาสรวมใจ (ศิษย์เก่า ESSO) สองคนผัวเมีย ปฏิบัติธรรมมานาน จัดทัวร์ไปกราบไหว้ ทำบุญหลวงพ่อนักปฏิบัติมาเกือบทุกองค์ในประเทศไทย  ทำบุญมามาก เป็นศิษย์หลวงพ่อพระชโย วัดธรรมกาย  แต่สิ่งที่เห็นคือ การปฏิบัติธรรม ทำบุญที่ผ่านมาไม่ได้ยกระดับจิตให้สูงขึ้นเลย ขนาดจะกลับนั่งรออยู่ที่สนามบินโกลกัลต้า ยังทะเลาะกับภรรยา เพราะไม่ชอบใจในสิ่งที่ภรรยาคิด พูด ซึ่งก่อนหน้านั้นก็เป็นอย่างนี้เกือบทุกวัน มีปากเสียงกันเสมอ เพราะคิดไม่เหมือนกัน  เขาปฏิบิตืธรรม แต่ไม่เคยดูจิตตัวเองเลย พอโกรธ หรือประสพกับสิ่งที่ไม่ชอบ ก็แสดงออกทันทีทันใดเป็นทาสของโมหะทันที  นี่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเลย

                        ผมพยายามเตือน ดร.กุศล  ตลอดเวลา ให้สำรวมกาย วาจา ใจ อยู่เป็นนิจ เพราะเรามากับกัยคณะของเขา เมื่อเห็นในสิ่งที่เราไม่ชอบ  ถึงแม้เราจะไม่ผิด เราไม่พอใจ  เราก็ต้องสำรวม มีอุเบกขาเข้าไว้  อย่าหวังดี แล้วแสดงออกไป เพราะนั่นละคือ อัตตาของเรา ที่เราหลงอยู่ในโมหะ  โดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่ง ดร.กุศล  เป็นมาก  ทั้งๆที่เจตตนาที่ดี เช่น

                        ตอนเดินไป ตรวจหนังสือเดินทาง เห็นเขาทิ้งขวดน้ำ เห็นไกด์(คุณน้อง)ยังมีขวดน้ำอยู่ในมือ ก็บอกให้เขาทิ้ง  พูดเพื่อหวังดี  แต่ผิด เพราะ ดร.กุศล  ไม่มีความรอบครอบ คิดปุ๊ปพูดปั๊บ ขาดสติปัญญา ไม่รู้ว่าเรากำลังจะตรวจหนังสือเดินทาง  ไม่ใช่ X-ray ไกด์เขายังไม่ทิ้งขวดน้ำ มันก็ถูกต้อง  และอีกอย่างมันเป็นเรื่องของเขา  ไม่ใช่เรื่องของเรา  แล้วเราจะแสดงออกไปทำไม เพราะเขาอาจจะดูถูกเอาได้ ว่า เป็นถึง ดร. แต่ไม่รู้ว่า ที่ตรวจหนังสือเดินทาง ถือขวดน้ำได้  เขาจะทิ้งเมื่อจะ X-ray และอยุ่ภายในรอขึ้นเครื่องเท่านั้น  ดร.กุศล เดินทางมามาก แต่ขาดสติ ไม่ใช้ปัญญา  ไม่มีความรอบครอบ ที่จะมาเตือนตัวเอง  ไม่สำรวมกาย วาจา ใจ อยู่เป็นนิจ หลงอยู่ในความคิดตัวเองที่หวังดี  และคิดว่าถูกต้อง  แต่มันปล่อยไก่ มันอายเขา ! เป็นสิ่งที่ไม่ควร

                         ทำไมเราไม่มีอุเบกขา เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเรา จะไปคิดแทน แนะนำเขา มันเป็นเรื่องของเขา อย่าไปหวังดีเขาเลย เพราะมันทำให้ทุกข์ เปล่า ๆ ที่ต้องเสียเวลาไปคิด ตัดสินใจแทนเขา  นี่ละคนขาดสติ  ทั้งที่บอกไว้เสมอว่า พระพุทธองค์ทรงสอนเอาไว้ "คนคิดไม่เหมือนกัน และจะคิดเข้าข้างตัวเองเสมอ โดยมีเหตุผลมาสนับสนุน" มีแต่วิวาทกันเท่านั้น ใช้สติ ทำให้เกิดปัญญา วางอุเบกขาดีกว่า เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเรา  เมื่อเราประสพ ก็วางอุเบกขาเตือนตัวเองให้เร็วด้วยสติ ปัญญาเกิดอย่างหลงในความคิดตัวเอง เราก็สามารถผ่านไปได้เพราะ ความคิด มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะ และดับไปในที่สุด ตามกฏไตรลักษณ์ เพียงเรามีอุเบกขาเท่านั้น เราก็จะไม่ไปทุกข์กับสิ่งที่เราประสบที่เราไม่รักไม่ชอบ ไม่ถูกใจเรา  สุขกว่าตั้งแยะ  ทำไมไม่กระทำ !  โยนทิ้งน้ำไปเสียทีเจ้า "อัตตา" หรือ "เจตสิกของเรา" หรือ "สันดานของเรา" ด้วยการมีสติ นี่ละ อย่าไปแบกมันไว้เลย

                         อดีตที่มันผ่านไปแล้ว เหมือนกับกระแสน้ำ มันไหลย้อนไม่ได้ ปล่อยมัน จะดี หรือไม่ดี ก็ปล่อยมัน สุขกว่าครับ

                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
swsm
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


@@ ยาหยี @@
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: Rcu2523
คณะ: Comm Arts
กระทู้: 28,369

« ตอบ #5354 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2555, 17:54:57 »

พี่สิงห์กลับมาแล้ว ..    บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า

.. don't play with me, cos I know how to play it too .. may be better than you do ..
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #5355 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2555, 19:22:22 »


...
โดยพื้นจริตวิสัย ของดร.กุศล ได้ปล่อยวางเหตุการณ์ไว้ตั้งแต่ตรงที่เกิดเหตุนั้นแล้ว
แต่อาจารย์มานพยังเก็บกลับมาวิคราะห์ชี้ผิดถูกถึงเมืองไทยเชียวรึ...

      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #5356 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2555, 20:21:33 »

            เรียนพี่สิงห์  พี่ป๋องที่เคารพค่ะ    ได้ข้อคิดดีดีจากพี่ในเรื่ิองอุเบกขาพร้อมยกตัวอย่าง เรื่อง
                          ขวดน้ำขณะตรวจพาสปอรต์ทำให้เข้าใจง่าย ยิ่งตอนตักน้ำชงชาแทนเณร ผู้คิดจะไป
                           แสวงบุญนึกภาพออกว่ามีกิจวัตรอะไรทำ มีบุญมีโอกาสน่าจะไปสักครั้งในชีวิต(คิดว่า)
                           
                           ภาพพุทธเมตตา งดงาม จับใจ พี่สิงห์ถ่ายด้วยกล้องหรือค่ะ องค์จริงสีสรรแบบนี้ไหม
                         
      บันทึกการเข้า

Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5357 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2555, 10:37:28 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2555, 19:22:22

...
โดยพื้นจริตวิสัย ของดร.กุศล ได้ปล่อยวางเหตุการณ์ไว้ตั้งแต่ตรงที่เกิดเหตุนั้นแล้ว
แต่อาจารย์มานพยังเก็บกลับมาวิคราะห์ชี้ผิดถูกถึงเมืองไทยเชียวรึ...


                 
                   ผมไม่ได้เก็บมาวิเคราะห์ทั้งสิ้น เพราะผลกระทบมันเกิดกับผม

                   ดร.กุศล  จะเก็บเอามาแสดงออกที่ผม  มาบอก มาสาธยายให้รับฟัง ส่วนมากผมจะวางอยู่ในอุเบกขา คือรับฟัง แล้วปล่อยลืมไปเลย อยู่ในความสงบ ไม่ตอบโต้  ไม่พูดด้วย  เดี๋ยว ดร.กุศล  ก็เลิกพูดไปเอง ธรรมชาติของจิตมันเป็นอย่างนั้น  

                   แต่บางทีก็เกิดคิดขึ้นมา เราจะปล่อยวางแบบนั้นตลอดไปอย่างนั้นหรือ ดร.กุศล  จะไม่ได้ประโยชน์ ผู้อื่นก็จะไม่ได้ประโยชน์ จะเป็นแบบปัจเจกพระพุทธเจ้าที่ท่านรู้แล้วไม่แสดงธรรม ท่านได้ผู้เดียว  ในกรณีก็เช่นกัน ผมบอก ดร.กุศล  สองครั้ง  ครั้งแรกบอกไปแล้ว  ดร.กุศล  ก็ยังไม่เข้าใจความหมายของผมอยู่ดี  จึงต้องสอนซ้ำอีก ครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง เพื่อให้เข้าใจ ผู้อื่นที่ผ่านมา มีปัญญา อ่านแล้วเกิดปัญญาก็จะเป้นประโยชน์ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ต้องยอมรับตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้

                   พระพุทธองค์ ทรงเปรียบปัญญามนุษย์เหมือนบัวสี่เหล่า  มันก็เป้นจริง ครับ

                   กรณีนี้ ที่ผมเอามาเขียนนี้  ผมได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ผู้รู้อย่าง ดร.สุริยา  จะต้องออกมาแสดงความคิดเห็น ว่าผมไม่ปล่อยวาง เก็บเอามาปรุงแต่ง เอามาเขียน มันก็เกิดขึ้นจริงๆ  ตามที่คาดการณ์ไว้ ทุกประการ

                   ผมได้เอาภาระต่างๆ "อัตตาตนเอง  ความยึดมั่นตนเอง" ปลดลง ปล่อยไปตามกระแสน้ำที่มีนิดเดียวลงไปในแม่น้ำเนรัญชราหมดแล้ว เหลือเพียง ส่วนที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่าน เป็นตัวอย่างที่ดี ก็นำมาเสนอให้ได้ศึกษากัน เพื่อจุดหมายสุดท้ายในชีวิต คือ ความปล่อยวาง  ความพ้นทุกข์ที่แท้จริง

                   สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5358 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2555, 11:07:27 »

อ้างถึง
ข้อความของ Dtoy16 เมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2555, 20:21:33
           เรียนพี่สิงห์  พี่ป๋องที่เคารพค่ะ    ได้ข้อคิดดีดีจากพี่ในเรื่ิองอุเบกขาพร้อมยกตัวอย่าง เรื่อง
                          ขวดน้ำขณะตรวจพาสปอรต์ทำให้เข้าใจง่าย ยิ่งตอนตักน้ำชงชาแทนเณร ผู้คิดจะไป
                           แสวงบุญนึกภาพออกว่ามีกิจวัตรอะไรทำ มีบุญมีโอกาสน่าจะไปสักครั้งในชีวิต(คิดว่า)
                          
                           ภาพพุทธเมตตา งดงาม จับใจ พี่สิงห์ถ่ายด้วยกล้องหรือค่ะ องค์จริงสีสรรแบบนี้ไหม
                          










สวัสดีค่ะ คุณน้องต้อย ที่รัก

                   พี่สิงห์ถ่ายเอง แบบมือกล้องสมัคเล่น และคนแออัดจำนวนมาก  ถ้ามีโอกาสได้ไปกราบพระพุทธเมตตา จะทราบด้วยจิตเอง สร้างในสมัยพุทธกาลผ่านไป ๕-๖๐๐ ปี

                   สวัสดี
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #5359 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2555, 11:26:43 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2555, 10:37:28
อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2555, 19:22:22

...
โดยพื้นจริตวิสัย ของดร.กุศล ได้ปล่อยวางเหตุการณ์ไว้ตั้งแต่ตรงที่เกิดเหตุนั้นแล้ว
แต่อาจารย์มานพยังเก็บกลับมาวิคราะห์ชี้ผิดถูกถึงเมืองไทยเชียวรึ...


                   
                   ผมไม่ได้เก็บมาวิเคราะห์ทั้งสิ้น เพราะผลกระทบมันเกิดกับผม

                   ดร.กุศล  จะเก็บเอามาแสดงออกที่ผม  มาบอก มาสาธยายให้รับฟัง ส่วนมากผมจะวางอยู่ในอุเบกขา คือรับฟัง แล้วปล่อยลืมไปเลย อยู่ในความสงบ ไม่ตอบโต้  ไม่พูดด้วย  เดี๋ยว ดร.กุศล  ก็เลิกพูดไปเอง ธรรมชาติของจิตมันเป็นอย่างนั้น   

                   แต่บางทีก็เกิดคิดขึ้นมา เราจะปล่อยวางแบบนั้นตลอดไปอย่างนั้นหรือ ดร.กุศล  จะไม่ได้ประโยชน์ ผู้อื่นก็จะไม่ได้ประโยชน์ จะเป็นแบบปัจเจกพระพุทธเจ้าที่ท่านรู้แล้วไม่แสดงธรรม ท่านได้ผู้เดียว  ในกรณีก็เช่นกัน ผมบอก ดร.กุศล  สองครั้ง  ครั้งแรกบอกไปแล้ว  ดร.กุศล  ก็ยังไม่เข้าใจความหมายของผมอยู่ดี  จึงต้องสอนซ้ำอีก ครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง เพื่อให้เข้าใจ ผู้อื่นที่ผ่านมา มีปัญญา อ่านแล้วเกิดปัญญาก็จะเป้นประโยชน์ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ต้องยอมรับตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้

                   พระพุทธองค์ ทรงเปรียบปัญญามนุษย์เหมือนบัวสี่เหล่า  มันก็เป้นจริง ครับ

                   กรณีนี้ ที่ผมเอามาเขียนนี้  ผมได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ผู้รู้อย่าง ดร.สุริยา  จะต้องออกมาแสดงความคิดเห็น ว่าผมไม่ปล่อยวาง เก็บเอามา
ปรุงแต่ง เอามาเขียน มันก็เกิดขึ้นจริงๆ  ตามที่คาดการณ์ไว้ ทุกประการ

                   ผมได้เอาภาระต่างๆ "อัตตาตนเอง  ความยึดมั่นตนเอง" ปลดลง ปล่อยไปตามกระแสน้ำที่มีนิดเดียวลงไปในแม่น้ำเนรัญชราหมดแล้ว เหลือเพียง ส่วนที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่าน เป็นตัวอย่างที่ดี ก็นำมาเสนอให้ได้ศึกษากัน เพื่อจุดหมายสุดท้ายในชีวิต คือ ความปล่อยวาง  ความพ้นทุกข์ที่แท้จริง

                   สวัสดีครับ

ผมก็แกล้งกวนอารมณ์ท่านให้กระเพื่อมเล่นไปอย่างนั้นเอง
เพราะมีกองเชียร์ให้เล่นบทนั้นอยู่หลายท่าน โดยเฉพาะเสี่ย MINK RCU2517
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
ทราย 16
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,838

« ตอบ #5360 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2555, 11:49:30 »

พี่ป๋อง 'กวน' แล้วเกิดข้อคิดแตกฉานแบบนี้ ก็ดีน่ะค่ะ
กวนบ่อยๆ จิตของท่านพี่สิงห์จะได้ 'อุเบกขา ๆๆๆ'
ปัญญา จะเกิดแก่น้องๆที่ติดตามศึกษาอยู่ค่ะ
      บันทึกการเข้า
Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #5361 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2555, 13:51:09 »

                   ขอบคุณค่ะพี่สิงห์  จะต้องจำหน้า 215 เอาไว้เปิดให้แม่ชม เวลาสวดมนต์ค่ะ
      บันทึกการเข้า

suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #5362 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2555, 13:59:07 »

อ้างถึง
ข้อความของ ทราย 16 เมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2555, 11:49:30
พี่ป๋อง 'กวน' แล้วเกิดข้อคิดแตกฉานแบบนี้ ก็ดีน่ะค่ะ
กวนบ่อยๆ จิตของท่านพี่สิงห์จะได้ 'อุเบกขา ๆๆๆ'
ปัญญา จะเกิดแก่น้องๆที่ติดตามศึกษาอยู่ค่ะ
ยินดียิ่งครับ อาจารย์ทราย
...
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5363 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2555, 14:44:07 »

จาริกแสวงบุญ-ปฏิบัติธรรม

ตอนที่ ๑

ผู้ที่โชคดีที่สุด













                         ผู้ที่โชคดีที่สุดในคณะ ต้องมอบให้ ดร.กุศล ครับ

                         คณะที่นำโดยพระมหา ดร.สุเทพ  อกิญฺจโน  ออกเดินทางโดยสายการบิน Jet Airway ไปเมืองโกลกาต้า ที่ว่า ดร.กุศล  โชคดีนั้น คือสายการบินเต็มแต่มีที่ว่างชั้นธุรกิจเหลือ ทีแรกผู้โชคดีได้อัพเกรดที่นั่งมี พระมหา ดร.สุเทพ ผม คุณสมศักดิ์และภรรยา เจ้าหน้าที่ทัวร์คือคุณเดี่ยว(คุณเดี่ยวสละสิทธิให้กับลูกทัวร์ที่ชรามากนั่งแทน) แต่ตอนหลังมีเหลืออีกหนึ่งที่ ดร.กุศลจึงได้สิทธินั้น สิทธินั้นเอามาจากเป็นสมาชิกโรยัลออคิดพลัสของการบินไทย

                          ขากลับก็เช่นเดียวกันมีว่างอีกในชั้นธุรกิจ คือ ผม พระมหา ดร.สุเทพ คุณสมศักดิ์-ภรรยา ดร.กุศล คุณเดี่ยว  แต่เนื่องจากเป็นอินเดีย ระเบียบไม่ชัดเจน ทำให้ที่นั่งหายไปสองที่ ผู้ที่โชคดีต้องไปนั่งชั้นธุรกิจปนกับแขกคือ ผม กับ พระมหา ดร.สุเทพ  แต่คุณน้องภรรยาคุณเดี่ยวเจ้าหน้าที่ทัวร์ขอสละสิทธิและบังคับให้ พระมหา ดร.สุเทพ ไปนั่งแทน

                          สำหรับผมได้ที่นั่งตรงกลาง(ABC ผมนั่ง B) ผมยอมรับสภาพทุกอย่างเพราะปล่อยวางเป็นการปฏิบัติธรรม ไปนั่งได้สักพัก ก็มีคนมายกมือไหว้ผม ขอแลกที่นั่งเพราะอยากนั่งสองคนผัว-เมีย ผมก็บอกว่ายินดีให้ครับ ผมก็ต้องไปหาที่นั่่งที่ภรรยาเขามีสิทธิ นั่งปนกับแขกอินเดียอยู่ด้านหน้า  เสร็จแล้วมีคนอินเดียมาสองคนนั่งข้างผม เขาคิดว่าผมพูดอังกฤษ ไม่ได้ จึงขอสลับที่นั่งกับคนอินเดียข้างๆ  แต่คนอินเดียท่านนั้นไม่ยอม  แต่ถ้าเขามาขอแลกกับผมอีก ผมก็จะให้ทันที บังเอิญเขาไม่ขอแลก ทั้งทางฝั่งซ้าย-ขวา แขกอินเดียไม่ยอม

                           สรุป ดร.กุศล  โชคดีได้นั่งชั้นธุรกิจ ทั้งไป-กลับ

                          ในรูปผมนำภาพ ศาลารับประทานอาหารของวัดไทยมคธพุทธวิปัสสนา มาให้ชม เป็นอาหารไทย อาหารยืนพื้น คือ ผัดผักกาดขาว-ดอกกะหร่ำปรี ไข่เจียว ถั่วลิสงคั่ว เพราะผักที่อินเดียมีมากมาย สะอาด ต้นใหญ่เพราะแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ ขนมมี มันฝรั่งต้มขิง และกล้วยเชื่อม

                          หลวงพ่อ พระมหา ดร.สุเทพ ท่าน บอกผมว่า โยมมานพ  ให้ไปพักชั้นสาม เงียบ หนาว  ต้องเดินขึ้นบันได เมื่อหลวงพ่อบอก ก็ปฏิบัติตามทันที ไม่มีข้อแม้  ถึงแม้ว่า ดร.กุศล  บอกว่า ชักโครกเสียขอเปลี่ยนห้อง  ผมยอมรับสภาพ ไม่เปลี่ยน เพราะชักโครก ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม(เหตุ ที่หลวงพ่อสั่งแบบนั้น เพราะห้องชั้นหนึ่งสอง ญาติโยมแย่งกันมาก เพราะไม่อยากขึ้นบันใด และหนาวมาก)

                           สำหรับผม ภายหลังไปถึงที่วัด อาบน้ำ รับประทานอาหารเช้าเสร็จ(กินตอน 09:00 น.) ก็ไปสมาทานขอรับศีล ๘ ตลอดเวลาที่จาริกแสวงบุญในแดนพุทธภูมิ

                           รายละเอียดต่างๆ ต้องรอ ดร.กุศล  เพราะเขาบันทึกการเดินทาง ถ่ายรูปเอาไว้มาก สำหรับผม มุ่งปฏิบัติธรรม เป็นส่วนใหญ่

                           สวัสดี

หมายเหตุ
                            คณะออกเดินทางจากเมืองโกลกาต้าเวลา ห้าทุ่มครึ่ง และถึงมคธเวลา 08:00 น.วันรุ่งขึ้น รับประทานอาหารเช้ารองท้องบนรถเป็นข้าวเหนียว หมูทอดกระเทียม และระหว่างทางใช้บริการห้องน้ำดาวล้านดวง อากาศหนาวกลางคืน 12 องศา C
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5364 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2555, 14:54:46 »

                            
                              ดร.กุศล  ไม่ได้ผิดใด ๆ ทั้งสิ้น แต่มีความปราถนาดีต่อผู้อื่น เพียงแต่ขาดการสำรวมกาย วาจา ใจ เท่านั้นเอง

                              แต่การปฏิบัติธรรมนั้น ต้องสำรวมกาย  วาจา  ใจ  อยู่เป็นนิจ  ระวังตนเอง คอยดูกาย ดูใจ  ของเรา คนอื่นจะเป็นอย่างไร ทำอย่างไร  คิดอย่างไร ก็เรื่องของเขา เราระวังแต่เรื่องของเราเท่านั้น อย่าไปหวังดี เพราะเขาคิดหรือมีมาตรฐานไม่เหมือนเรา อุเบกขา ระวังตนอย่างเดียว เพราะถ้าระวังกาย วาจา ใจ ของเราแล้ว เราจะอยู่ในสังคมได้  

                              ผมนำมาเปิดเผย เพราะผมได้สอนให้ ดร.กุศล ระวังให้รักษากาย วาจา ใจ  ให้สำรวมอยู่เป็นนิจ  อย่าไปยินดี ยินร้ายในสิ่งที่ประสพ ที่เราไม่พอใจ ไม่ชอบใจ ในการกระทำของคนอื่นที่มีผลต่อเรา  เพราะเราเหมือนกาฝาก ที่มาอยู่ในคณะของเขา  ให้ยอมรับทุกอย่าง อย่าไปยึดมั่นกับอัตตาตนเอง เป็นทุกข์เปล่า ๆ

                              ทั้งหมดเป็นเรื่องที่นำมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเจริญสติปัญญา เท่านั้น  ไม่ได้รบกวนจิตแต่อย่างใดทั้งสิ้น  ท่านที่อยากจะไปอินเดียจะได้มีข้อมูลไว้สำหรับเตรียมตัว  การไปอินเดียนั้น ต้องปล่อยวางทั้งหมด ไม่ยึดติดกับอะไรทั้งสิ้น มีแต่ทุกข์สำหรับผู้จาริกแสวงบุญ เราจะเห็นทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรามากมายเต็มไปหมด  แต่เราอย่าไปเป็นทุกข์ เท่านั้น เราก็สุขแล้ว เพราะพระพุทธเจ้าท่านให้ไปหาทุกข์ เพื่อจะค้นหาความจริงจากกาย-ใจของตนเอง เนื่องจากเราต้องประสพความลำบากเป็นส่วนใหญ่ จริงๆ ในเกือบทุกด้าน  ต้องอยู่กับสิ่งที่ประสบให้ได้เราจะมีแต่ความสุข และอยากไปอีก

                               ปีหน้าผมยังคงตั้งใจไปอีก  และจะเลยไปถ้ำอาจันต้า ด้วยครับ

                              สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5365 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2555, 15:11:57 »

                           
                             เมื่อคืนได้นอนเต็มอิ่ม เพราะไม่ได้นอนเลยหนึ่งคืนสองวัน

                             ตอนเช้าตื่นมาตอนหกโมงเช้าไปออกกำลังกายเดินจงกรม รำชิกง  โยคะ เสียหนึ่งชั่วโมง  จึงรับประทานอาหารเช้าเมื่อเวลา 07:30 น. ลงไปกินข้าวต้มกล้องกับผักสด

                             09:00 น. มีคนมารับไปทำงาน และวันนี้เที่ยงผมพาพนักงานที่บริษัท ไปรับประทานอาหารเที่ยงที่ร้านท่าศาลาซีฟู๊ด  ผมเป็นเจ้าภาพ เพราะทุกปีวันเกิดผม ผมจะพาพนักงานที่บริษัท ไปรับประทานอาหารทำมาทุกปี

                             วันนี้ผมเดินทางกลับ กทม. Boarding 16:50 น.

                             สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #5366 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2555, 20:11:52 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2555, 09:52:49


พระพุทธเมตตา ที่เจดีย์พุทธคยา  สถานที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
 

                     
                       มีอีกหนึ่งเรื่องที่อยากจะเรียนให้ทราบคือ ทุกครั้งที่แผ่ส่วนกุศลในการสวดมนต์-ปฏิบัติธรรม ผมจะอุทิศส่วนกุศลให้คุณแม่อิม  กลับดี และลูกสาว(เขาเรียกผมว่าพ่อทุกคำ) คือ คุณกุ้ง  พนักงานฝ่ายขายตรง บริษัท SIW ที่ป่วยมีลิ่มเลือดอุดตันในเส้นเลือดที่บริเวณคอ ผลคือ เลือดไม่ไปเลี้ยงสมองบางส่วน ทั้งๆที่อายุเท่าๆ กับแม่ของผมที่เป็นใหม่ๆเมื่อปี ๒๕๑๓ มีแนวโน้มเป็มอัมพฤกษ์ ไปซีกหนึ่งคือแขน-ขาแบบแม่ผม  ผมจึงแผ่่ส่วนบุญให้ทุกครั้ง 

                       วันนี้ผมจะไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ ก่อนไปที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อเดินทางไปทำงานที่นครศรีธรรมราช จะไปพุดคุย และแนะนำให้ปฏิบัติธรรม เพื่อเอาชนะใจตนเองให้ได้  ไม่ให้หมดกำลังใจที่จะต่อสู้ต่อไปกับโรคและความทุกข์ที่เกิด

                        แต่ก็ดีใจว่าอาจจะเป็นกุศลที่ผมได้แผ่ให้ทุกวัน  อาการดีขึ้นเป็นลำดับตั้งแต่ผมไปอินเดีย จนถึงขณะนี้

                        สวัสดี

สีจีวรของพระพุทธเมตตาดูแปลกไปจากเดิมครับ  ที่ผมเคยเห็นจะเป็นสีเหลืองทอง
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5367 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2555, 20:34:36 »

สวัสดีครับ ท่านขุน ๒๘

                       ปีที่แล้วจีวร เป็นสีเหลืองทอง  แต่ปีนี้เปลี่ยนไป  มันขึ้นอยู่กับมางสมาคมศรีมหาโพธิ์ เขาครับ อย่าไปคิดอะไรมาก ดีทั้งนั้น

                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5368 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2555, 20:35:44 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องยาหยี ที่รัก

                        ไม่ได้ทักทายเธอเสียนาน คิดถึงจ่ะ

                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #5369 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2555, 20:50:53 »

เรียนพี่สิงห์
             ผมได้รับหนังสือสวดมนต์ที่พี่จัดทำแล้ว
ขอบคุณมากครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5370 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2555, 21:27:14 »





อัมพฤกษ์ !

ลูกสาว คุณอภิวรรณ(กุ้ง) พนักงานขายของ SIW สุภาพสตรีที่ยืนทางซ้ายมือ




                       เมื่อวันศุกร์ก่อนที่จะไปสนามบินสุวรรณภูมิ  ผมได้แวะไปเยี่ยมลูกสาวที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ไปแล้วรู้สึกปลงสังเวชจริงๆ ว่าทำไม ? มันเป็นอย่างนี้ คือไปพบเธอที่ร่างกายทางด้านขวาขยับไม่ได้ พูดไม่เป็นภาษามนุษย์ แต่รับฟังเราได้และรู้เรื่อง ก่อนหน้านี้เป็นคนร่าเริง เสมอ เพียงแค่วินาทีเดียวที่ขาดสติล้มลงเพราะร่างกายอ่อนเพลีย อดนอน มีลิ้มเลือดไปอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ต้องกลายเป็นผู้พิการทันที จะทำใจอย่างไรได้ !

                        ผมเห็นแล้วต้องปลงสังเวชจริง ๆ ชีวิตนี้หมดสิ้นแล้ว !

                        ผมจึงได้สอนสามีคือคุณไลท์ว่า ต้องยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับภรรยา นึกเสียว่าชาติที่แล้วกูุ้งเคยดูแลเรามาก่อน  ชาตินี้เราต้องดูแลเขาแล้วตลอดชีวิตในสภาพที่จะดีกว่านี้ไม่มากนัก และยกคำที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ มาอธิบายคือ คนที่มีความกตัญญูต่อบิดา-มารดา ครู-อาจารย์ ภรรยา-บุตร ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ มีเทวดาคอยเกื้อหนุน และสังคมจะสรรเสริญ ไม่อับจนแน่นอน  แต่ถ้ากระทำตรงกันข้าม สังคมจะประณามเอาได้  ขอให้ใช้สติ ปัญญาพิจารณา

                        หลังจากนั้นผมก็พูดกับกุ้ง ให้ทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น และผมได้สอนให้เขาปฏิบัติธรรมตามแนวทางหลวงพ่อเทียน โดยให้กำมือ-แบมือ เวลากำให้ภาวนาคำว่า "พุทธ" เวลาแบมือให้ภาวนาคำว่า "โธ" เวลากำให้รู้สึกตัว  เวลาหงายให้รู้สึกตัว เพียวแค่นี้  จิตจะอยู่ที่มือ ไม่ฟุ้งซ่าน ทำให้บ่อยๆ เข้าไว้ เพียงเท่านี้เอง

                       ทดลองให้ทำมือซ้ายก่อน แต่ภาวนาไม่เป็นภาษามนุษย์ แต่ตอนหลังสามารถออกเสียงใกล้เคียงขึ้น และมีอยู่ครั้งหนึ่งสามารถออกเสียงได้ใกล้เคียงเปลี่ยนจากตัว"จ" เป็น "บ"ผสม ดีขึ้น

                       ทดลองมือขวา ตอนแรกไม่สามารถขยับได้เลย ผมจับมือเธอกำ - หงาย พร้อมกับภาวนา ไปสามครั้ง ลองให้เธอลองทำดู เธอพยายามอย่างมากในที่สุดก็สามารถกำ-แบได้สามครั้ง และทำไม่ได้อีก ผมบอกว่าเอาละไม่ต้องรีบร้อนมีเวลา ผมได้สอนวิธีปฏิบัติธรรม ทั้งให้ทั้งกุ้งและไลท์ได้เข้าใจพยายามทำ จะช่วยฝึกจิต เอาชนะเวทนาที่เกิดขึ้นได้ เห็นได้ว่า จากขยับไม่ได้สามารถทำได้ เป็นแนวทางที่ดี ขอให้พยายามกระทำแต่อย่าเร่งจนเกินไป เราต้องการกระตุ้นปราสาทให้กลับคืนมา

                       ผมได้เอาหลวงพ่อองค์ดำ ที่นาลันทามอบให้เธอ ให้ไล้ท์ไปเลี่ยมมาคล้องคอหรือเอาไว้หัวเตียง และได้เอาทับทิมที่นำมาจากอินเดียให้เอาไว้รับประทาน ทับทิมเหมาะสำหรับคนป่วย

                       ก่อนกลับไล้ท์จับมือกุ้งพนมที่อก ผมเอามือไปจับมือของเธอที่พนมไว้ และบอกว่า พ่อได้ไปจาริกแสวงบุญ-ปฏิบัติธรรม ที่อินเดีย ที่สังเวชนี ๔ แห่ง ที่พระพุทธองค์และพระอรหันต์เคยอยู่ ได้สวดมนต์-ปฏิบัติธรรม แผ่เมตตาส่วนบุญมาให้ทุกครั้งเพื่อให้อาการเจ็บป่วยเธอดีขึ้น ซึ่งก็เป็นจริงตามที่ได้แผ่เมตตาส่วนกุศลมาให้ เธอฟัง น้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม ผมบอกว่าอาการจะค่อยๆ ดีขึ้น ขอให้ทำจิตให้สงบ รู้สึกตัวอยู่กับปัจจุบัน  อย่าคิดอะไรทั้งสิ้น พยายามกำ-แบ พร้อมทั้งภาวนา ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ที่มือขวา ปราสาทจะกลับคืนมาเอง แล้วพ่อจะมาสอนปฏิบัติธรรมให้บ่อยเท่าที่จะกระทำได้

                       ครับไม่น่าเชื่อวันมันจะเกิดขึ้นกับคนอายุยังน้อยแบบนี้ เป็นเพราะขาดการออกกำลังกาย  พักผ่อนไม่เพียงพอ  อยู่ในความประมาท ถึงแม้ทางบริษัท จะตรวจร่างกายประจำปีอยู่เสมอ แต่ก็เป็นไปได้

                       อย่างเก่ง คงแย่กว่าแม่ผม เพราะแม่ผมยังเดินได้ ช่วยตัวเองได้ และยังพูดได้  แต่นี่เธอพูดไม่เป็นภาษาเลย แต่เข้าใจได้  ผมก็ได้แต่ภาวนาให้เธอกลับมามีสติ อย่างเดิมให้มากที่สุด ให้เดินได้  พูดได้ เพื่อว่าเธอสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้  เรื่องงานไม่ต้องพูดถึงมันจบแล้วสำหรับเธอ แต่ทางครอบครัวยอมรับ ผมดีใจที่คุณพ่อเขาบอกลูกๆ ว่า ต่อไปนี้พวกเราต้องชดเชยชีวิตที่เหลือให้กับกุ้งแล้ว ผมดีใจที่ได้ยินคำนี้ครับ

                       ผมเองจะต้องไปสอนเธอให้ปฏิบัติธรรม เพื่อปล่อยวางให้ได้  เพื่อให้เธอทำใจยอมรับชะตากรรมในสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ เพื่อให้เธอมีชีวิตต่อไปที่ดี  เธออาจจะมีบุญสามารถค้นหาสัจจธรรมที่แท้จริงก็ได้ ครับ

                       เอามาเขียนเพื่อเตือนตัวเอง และทุกท่าน อย่าประมาทครับ

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5371 เมื่อ: 19 กุมภาพันธ์ 2555, 20:20:31 »

จาริกแสวงบุญ-ปฏิบัติธรรม

ตอนที่ ๒

กราบนมัสการสังเวชนีสถานที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้













วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕

                           ภายหลังจากพักผ่อนเพราะนอนบนรถมาทั้งคืน รับประทานอาหารกลางวันที่วัด เป็นข้าวสวย กับข้าวมีไข่เจียว ผัดผักกะหร่ำดอก กับผักกาดขาว แกงส้มผัก และข้าวเหนียวแก้วเป็นของหวาน และกาแฟ เสร็จเรียบร้อยแล้ว คณะได้ออกเดินทางไปชมวัดธิเบต ที่องค์ดาไลลามะประมุขของชาวธิเบต องค์ใหม่ที่ได้รับแต่งตั้งเมื่อเร็ว ๆ นี้ พำนักอยู่ ผมจำชื่อไม่ได้อายุ ๒๔ ปี ส่วนองค์ดาไลลามะองค์เดิม ท่านลาออกเพื่อจะเรียกร้องเสรีภาพของธิเบตอย่างเต็มที่

                           หลังจากนั้นได้ข้ามแม่น้ำเนรัญชรา มีน้ำติดท้องแม่น้ำนิดเดียว ไปยังบ้านของนางสุชาดา ผู้ซึ่งถวายข้าวมธุปายาสแก่พระโพธิสัตว์ ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ได้สวดมนต์ รับทราบประวัติจาก พระมหา ดร.สุเทพ นั่งสมาธิ และเวียนเทียนรอบสถูป

                           ต่อจากนั้นได้ไปริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา สถานที่พระพุทธองค์ทรงปั้นข้าว ๔๙ ก้อนฉัน ทรงลอยถาดทองลงในแม่น้ำคงคา ทรงอธิษฐาน ถ้าจะตรัสรู้ในคืนนี้ขอให้ถาดนี้ลอยทวนกระแสน้ำ ก็เป็นจริง ได้ยืนสวดมนต์

                           และบริเวณใกล้ๆ กันพระองค์ทรงรับหญ้ากุสสะจากพราหมณ์ เพื่อทำอาสนะรองนั้น หลังจากนั้นก็เสด็จข้ามแม่น้ำเนรัญชราไปยังฝั่งตรงกันข้าม คือสถานที่พระองค์ทรงตรัสรู้

                           หลังจากนั้นได้ออกเดินทางไปยังต้นพระศรีมหาโพธิ์  ได้รับทราบประวัติจากพระมหา ดร.สุเทพ บรรยาย สวดมนต์เย็น สวดบทธรรมจักรฯ นั่งปฏิบัติธรรม เข้าไปกราบหลวงพ่อพระพุทธเมตตาในวิหาร และจบด้วยการเวียนเทียนรอบพระมหาเจดีย์พุทธคยาและต้นพระศรีมหาโพธิ์ สามรอบ  วันนี้พุทธสานิกชนแน่นมาก หลังจากนั้นเดินทางกลับวัดไปรับประทานอาหารเย็น และพักผ่อน  อากาศหนาวมากประมาณ ๑๒ องศา ตอนกลางคืน

                            วันนี้ผมได้ปฏิบัติธรรมที่สถานที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ ประมาณสองชั่วโมง และกลับไปปฏิบัติธรรมต่อที่วัด เนื่องจากงดอาหารเย็น ถือศีล ๘ จนหลับ และต้องตื่น 03:50 น.เพื่ออาบน้ำและไปปฏิบัติธรรม - สวดมนต์ทำวัตรเช้า ที่ห้องสวดมนต์-ปฏิบัติธรรมของวัด อยู่ชั้น ๓ เวลา 04:00 น. ส่วน ดร.กุศล  ไม่นิยมสวดมนต์ทำวัตรเช้า-ปฏิบัติธรรม ขอนอนดีกว่าและลุกไปกินข้าวเช้าเวลา 06:00 น. และ 07:00 น. ออกเดินทางไปเขาคิชกูฏ

                            รายละเอียด ต้องให้ ดร.กุศล มาบรรยาย และมีรูปมาฝาก เพราะผมถ่ายภาพไม่มากเอาเวลาส่วนใหญ่ไปปฏิบัติธรรม

                            สวัสดี
                         

 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5372 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2555, 08:13:40 »

สวัสดียามเช้า ครับชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                       เช้านี้ผมอยู่บ้าน เลยได้หุงข้าวใส่บาตรพระตอนเช้าที่หน้าบ้าน วันนี้หลวงพ่อวัดลาดพร้าวท่านมาบิณฑบาตร

                       น่าเสียดายที่มีเพื่อนบ้านจากไปหนึ่งท่านในช่วงที่ผมไปอินเดีย เผาเรียบร้อย ทำบุญเจ็ดวันไปแล้ว เป็นโรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน อ้วนไม่ออกกำลังกาย แต่ใส่บาตรพระทุกเช้า ด้วยอานิสสงฆ์จากการใส่บาตรประจำ เมื่อจะต้องจากโลกนี้ไป ก็ไปดีไม่ทุกข์ทรมาร คือล้มในห้องน้ำแล้วหลับไปเลย

                        วันนี้สาย ๆ ผมจะไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี และอยู่ค้างคืนที่สิงห์บุรี  จะไปกราบท่าน และเอาบุญไปให้ท่าน  น้องสาวคงรอการตัดสินใจของผมว่า จะพาแม่กลับบ้าน หรือให้อยู่โรงพยาบาลต่อไป  เพราะอาการแม่พ้นขีดอันตรายทั้งปวงสามารถกลับบ้านได้แล้ว

                        วันเสาร์ที่ ๒๕ กุมภาพันธ์  คุณน้องเน๊ะ ฉลองการแต่งงานที่โรงแรม ในจังหวัดสิงห์บุรี  ใครว่างเรียนเชิญไปร่วมแสดงความยินดีกับคุณน้องเน๊ะ ด้วยครับ  

                        สำหรับผม เนื่องจากลืมบอกลูกน้องได้จองตั๋วเครื่องบินกลับตอนเย็น  คงจะต้องไปหาทางเปลี่ยนตั๋วเครื่องบินกลับเร็วขึ้นเพื่อว่าจะได้เดินทางไปสิงห์บุรีได้ เพราะมีสองงาน คืองานคุณน้องเน๊ะหนึ่ง  และงานทอดผ้าป่าหาเงินบำรุงโรงเรียนและงานชุมนุมศิษย์เก่าโรงเรียนอินทร์บุรี  ได้รับปากเพื่อนๆ ไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะไปร่วมงาน

                        สงสัย ดร.กุศล  โกรธผม  ไม่ยอมเข้าเวบ มาเขียนเรื่องราวการไปจาริกแสวงบุญที่อินเดีย  ตามที่ได้รับปากเอาไว้  "ความเป็นอัตตา" นี่มันตัดหรือปลดทิ้งยากจริง ๆ  ทั้ง ๆ ที่แรกเกิดมานั้นมีแต่ "อนัตตา" เพราะการสะสมความสะดวกสบาย การสะสมความชอมความยินดี ความไม่ชอบความไม่ยินดี ต่าง ๆ ตั้งแต่จำความได้ เลยกลายมาเป็น "อัตตา" ให้เรายึดมั่นถือมั่น "เป็นของกู  ตัวกู  กูจะทำอย่างนี้ใครจะทำไม  มันเรื่องของกู" ไปเสียสิ้น น่าเสียดาย ๆ ๆ ๆ ๆ

                        สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5373 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2555, 12:12:52 »

จาริกแสวงบุญ-ปฏิบัติธรรม

ตอนที่ ๓

เปลี่ยนจากทุกข์ให้เห็นธรรม


                            ตามที่พระอานนท์ได้ถามพระพุทธองค์ว่า "เมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว จะยึดอะไรเป็นสรณะ" พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เมื่อพระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ให้ยึดหลักพระธรรม-วินัย เป็นสรณะแทนพระองค์ และให้กุลบุตร-ธิดา ที่มีศรัทธา ให้มาระลึกถึงพระองค์ได้ที่สังเวชนีย์ ๔ แห่ง คือสถานที่ที่พระพุทธองค์ประสูติ คือลุมพินีหนึ่ง  สถานที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ พุทธคยาหนึ่ง สถานที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา ที่ป่าอิสิปัตนมฤคทายวัน สารนารถ เมืองพารานาสีหนึ่ง และสถานที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ที่กุสินาราหนึ่ง

                            การที่กุลบุตร-ธิดา ต้องเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ที่พระพุทธองค์ทรงบอกไว้นั้น มีแต่ความทุกข์เกิดขึ้นกับผู้จาริกแสวงบุญทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน กินไม่เป็นเวลา ต้องกินตามสภาพที่พึงมี ต้องนอนตามสภาพที่พึงมี เช่นต้องนอนหลายคนต่อหนึ่งห้อง อากาศร้อน-หนาว  การเดินทางทีนานทั้งสภาพรถ ถนน ต้องทนทุกข์อย่างมาก การเข้าห้องน้ำต้องอาศัยข้างถนน ผู้จาริกแสวงบุญจะต้องประสพปัญหาทุกอย่าง มีแต่ทุกข์ทั้งสิ้น

                            แต่ทำไมในแต่ละปีจึงมีผู้เดินทางไปแสวงบุญกันมาก เพราะความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใดทั้งสิ้น มีแต่ความศรัทธา เพราะผู้ที่จะเดินทางไปนั้น ก่อนไปได้ปลดความยึดมั่นถือมั่นหรืออัตตาตนเองทิ้งไปหมดแล้ว จึงสามารถรับกับสภาพต่างๆ ที่ประสพได้ทั้งหมด คือเปลี่ยนจากความทุกข์ที่ประสบนั้น ให้รับทราบ กำหนดรู้และแปลงให้ทุกข์นั้นเป็นธรรม ก็จะได้ดวงตาเห็นธรรม ที่สามารถละทิ้งสภาพอัตตาตนเองได้ ว่ามันเป็นอนัตตา ความทุกข์ก็จะไม่บังเกิดขึ้น มีแต่ความสุขทางใจที่ได้รับ

                            แต่ถ้าใครยังยึดมั่นถือมัน เป็นอัตตา ที่ต้องได้รับ จะมีแต่ความทุกข์  จะสุขเพียงแค่เวลาได้ไปกราบ สวดมนต์ตามสถานที่ต่าง ๆ ที่มีแต่ซากปรักหักพังของอิฐทั้งสิ้น  จะไม่ได้อะไรเลย เราต้องมองให้เห็นธรรม แม้แต่สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ก็ยังเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ทั้งสิ้น

                            สำหรับผมนั้น จิตอยู่กับการปฏิบัติธรรม ตลอดเวลา อยู่กับปัจจุบัน อุเบกขา สำรวมกาย วาจา ใจ เกือบจะพูดได้ว่า  อยู่คนเดียว  จึงไม่รู้สึกถึงความทุกข์ที่เกิดขึ้นเลย  รับได้ทุกเรื่อง  โดยไม่มีข้อต่อรองใด ๆ ทั้งสิ้น  จึงไม่ได้ทุกข์อะไรเลย และยังอยากจะไปอีกอย่างน้อยหนึ่งครั้ง

                            ขณะนี้ผมอยู่โรงพยาบาลสิงห์บุรี อยู่กับแม่ครับ

                            สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5374 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2555, 13:05:58 »



                             ผมพอทราบสาเหตุ แล้วครับ ว่าลูกสาวผมเจ็บป่วยด้วยสาเหตุอะไร?

                             สาเหตุเกิดจาก คลอเลสเตอรอลในเส้นเลือดที่กระเทาะหลุดร่อนออกมาจากผนังหลอดเลือด กลายเป็นลิ่มเลือดไปอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ทำให้สมองขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง ผลจึงทำให้สมองตายเป็นบางส่วน ทำให้ร่างกายซีกขวาขยับไม่ได้

                             คลอเลสเตอรอล หรือไขมันในเส้นเลือดนั้นมีอยู่ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีคือ ชนิด LDL และ HDL  ไขมันส่วนดีคือ HDL ซึ่งจะเกิดมีได้ด้วยการออกกำลังกายเท่านั้น ส่วน LDL เป็นไขมันตัวผู้ร้ายที่จะทำให้เส้นเลือดอุดตัน หรือหลุดเป็นลิ่มเลือด

                             ดังนั้น เราต้องพยายามออกกำลังกายเพื่อเปลี่ยนไขมันในเส้นเลือดให้เป็น HDL ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสุขภาพ แต่ละครั้งให้นาน ๔๕ นาทีอย่างต่อเนื่อง และอย่างน้อยอาทิตย์ละสามวัน จะเปลี่ยนไขมันเป็น HDL ได้

                             สำหรับลูกสาวผมนั้น ต้องรอเวลาอีกอย่างน้อยสอง-สามเดือน  อาจจะโชคดีที่จะกลับคืนมา อาจจะพูดได้  เดินได้ แต่ก็พิการตลอดชีวิต ค่อนข้างแน่นอน ไม่มีทางเลี้ยง แต่ปัจจุบันการรักษาดีขึ้นแยะ อาจจะไม่เลวร้ายก็เป็นไปได้  ผมก้ภาวนาให้เป็นเช่นนั้น

                             อย่าลืม ไขมันในเส้นเลือดเป็นตัวอันตราย  ไขมันสามารถแสดงออกมาได้ ๒ ประการ คือ ไขมันภานนอก คืออ้วน กับไขมันภายใน คือไม่อ้วนแต่จะไปอุดตันในเส้นเลือดที่อันตรายมาก แต่ขอให้สังเกตตัวเอง  ถ้าใครปวดหัวบ่อยๆ เป็นมายเกรานบ่อยๆ มึนหัวบ่อยๆ ให้สันนิษฐานเลยว่า มีปัญหาการไหลของโลหิตแน่นอน คือไขมันอุดตันในเส้นเลือด ท่านต้องไปตรวจอย่างละเอียดแล้วครับ

                             สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 213 214 [215] 216 217 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><