06 ตุลาคม 2567, 00:20:26
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 211 212 [213] 214 215 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3484526 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 21 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #5300 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2555, 13:20:19 »

ถูกพี่ป๋องกล่าวหาว่า
"ไปขอข้าวพระกินทุกเช้า "ต้องขอแก้ข่าวครับ
ความจริงคือกุศลเป็นลูกศิษย์วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขนจริง
เพราะบ้านพักที่อาศัยมากว่า30ปี เป็นที่ของวัด
และกุศลก็ได้พักอาศัยตามมติของคณะรัฐมนตรีว่า ให้อาจารย์มศว.พักในวค.พระนคร(สมัยนั้น)ได้
อาจเป็นเพราะกุศลไปใส่บาตรที่นั่นเป็นประจำ
จึงอยู่ด้วยความสุขมาจนทุกวันนี้
น่าสงสารก็พี่ป๋องนั่นแหละ
บวรนำอาหารใส่กล่องจากการบินไทยมาให้ทุกคนก็ทำเป็นหยิ่ง ไม่ยอมเอา
ตอนเลิกงานกุศลจะพาไปกินลูกชิ้นปิ้งกับหมูสเต๊ะข้างวัดก็หากันไม่เจอ
โทรศัพท์ไปตามก็ได้ข่าวว่าจะรีบกลับไปต้มมาม่าทาน....โถมักน้อย
สาวๆโปรดทราบ
ใครก็ได้รีบจองตัวพี่ป๋องด่วน
เช้า เที่ยง เย็น ท่านกินเป็นแต่มาม่า ขอรับ
หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5301 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2555, 14:40:51 »



อย่าลืม !

ใครมีเวลาว่าง ขอเรียนเชิญไปรำลึกถึงคุณแม่ยุพิน  วงศ์สินอุดม  

คุณแม่ของคุณบวร  วงศ์สินอุดม  อดีตประธานชมรมฯซีมะโด่งร่วม 2515

วัดพระศรีฯ บางเขน ศาลา ๑๔ สวดพระอภิธรรม ๑๘:๓๐ น. จนถึงวันศุกร์


                      
                วันนี้ ขอนำเสนอ "แก่นพระพุทธศาสนา" ตอนสุดท้าย ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.  ปยุตฺโต) เพื่อเจริญปัญญาครับ

                        สวัสดี



-๒-

แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา

โดย

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.  ปยุตฺโต)

ตอน ๗

จะพัฒนาศักยภาพของคน ให้มีชีวิตแห่งปัญญา

ก็ต้องรู้จักธรรมชาติของชีวิต ซึ่งจะทำหน้าที่ศึกษา

      อย่างไรก็ตาม  ระบบการทำงานของชีวิตมนุษย์มีความพิเศษต่างออกไปจากระบบการทำงานของรถยนต์เป็นต้น  กล่าวคือ  วัตถุต่าง ๆ เช่นรถยนต์เป็นต้น  แม้จะเคลื่อนไหวได้  แต่ก็ไม่มีชีวิต  ไม่มีเจตจำนงหรือเจตนา  มันจะเคลื่อนไปไหนก็ต้องมีคนมาขับขี่บังคับ  ลำพังตัวมัน องค์ประกอบทั้งหลาย ทั้งระบบ ก็ทำงานเคลื่อนไหวอยู่อย่างนั้น ๆ เท่าเดิม

      แต่ระบบการทำงานของชีวิตมนุษย์ไม่ได้วนอยู่ในวงจรเท่าเดิมอย่างนั้น  มนุษย์มีเจตจำนง หรือมีเจตนา  และมีคุณสมบัติพิเศษ เช่นปัญญาเป็นต้น  ทำให้การเคลื่อนไหวของชีวิตมนุษย์มีการปรับตัว  ปรับปรุง พัฒนาระบบการทำงานของตัวมันเอง  และจัดการกับสิ่งอื่นภายนอกได้ด้วย

      การทำงานขององค์ประกอบทั้งหลายของชีวิตมนุษย์ที่มีลักษณะพิเศษอย่างนี้เรียกง่าย ๆ ว่าเป็น “ระบบการเป็นอยู่หรือการดำเนินชีวิต”  ซึ่งเราก็จะต้องศึกษาให้เห็นองค์ประกอบต่าง ๆ ของมันและการที่องค์ประกอบเหล่านั้นทำงานสัมพันธ์กันในการที่มันจะเป็นอยู่  เจริญงอกงาม  พัฒนาไป  และจัดการกับสิ่งอื่น ๆ ภายนอกให้ได้ผลดียิ่งขึ้น

      “ชีวิตมนุษย์” ที่เป็นอยู่หรือดำเนินไปทั้งระบบนี้แยกองค์ประกอบได้ ๓ ส่วนใหญ่  คือ

      ๑. การเคลื่อนไหวติดต่อสัมพันธ์กับโลกภายนอก  โดยใช้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และการแสดงออกต่าง ๆ ซึ่งปรากฏออกมาทาง กาย วาจา  จะใช้คำตามภาษาสมัยใหม่ว่า “พฤติกรรม” ก็มีความหมายแคบเกินไป  ขอแต่งเป็นคำใหม่ว่า “พฤติสัมพันธ์”

      ๒. เบื้องหลังการติดต่อสัมพันธ์และพฤติกรรมที่แสดงออกก็มีกระบวนการทำงานของจิตใจ  เริ่มตั้งแต่เจตจำนง (ความตั้งใจ) เพราะการติดต่อสัมพันธ์และพฤติกรรมที่แสดงออกมาทุกอย่างของมนุษย์เกิดจากเจตนา  คือมีความตั้งใจ  จงใจ

      นอกจากนี้ยังมีแรงจูงใจเป็นตัวกำหนดอีกชั้นหนึ่งว่า  จะตั้งใจอย่างไร  แรงจูงใจนี้ มีทั้งฝ่ายชั่วและฝ่ายดี เช่น  ความรัก  ความโกรธ  ความอยากรู้  ความลุ่มหลง  ความเคารพ  ความริษยา  เป็นต้น

      แล้วก็มีความสุขหรือความทุกข์อยู่ในใจอีก  ซึ่งเป็นตัวกำหนดหรือชักจูงความตั้งใจนั้น  เช่นว่า เพราะอยากได้สุขจึงเคลื่อนไหวทำพฤติกรรมแบบนี้  เพราะอยากหนีทุกข์ จึงเคลื่อนไหวทำพฤติกรรมแบบนี้

      เพราะฉะนั้น  การติดต่อสัมพันธ์และพฤติกรรม จึงไม่ได้เกิดขึ้นมาลอย ๆ  แต่มีปัจจัยขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง  คือกระบวนการของจิตใจ (หลายอย่างที่ปัจจุบันมักเรียกเพี้ยนไปว่า “อารมณ์”)  เป็นด้านที่ ๒  ในกระบวนการทำงานของชีวิต  เรียกสั้น ๆ ว่า “จิตใจ”

      ๓. ในการเคลื่อนไหวติดต่อสัมพันธ์ทำพฤติกรรมนั้น  คนต้องมีความรู้  รู้เท่าไรก็ตั้งใจเคลื่อนไหวทำพฤติกรรมได้เท่านั้น  ถ้าไม่รู้เลยความตั้งใจทำพฤติกรรมก็ส่งเดชเรื่อยเปื่อย  พอมีความรู้บ้างก็ตั้งใจเคลื่อนไหวทำพฤติกรรมได้ผลขึ้นบ้าง  ถ้ารู้มาก  การตั้งใจเคลื่อนไหวพฤติกรรมก็จะซับซ้อนและจะได้ผลสำเร็จมากยิ่งขึ้น

      ฉะนั้น  ความรู้จึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมาก  ซึ่งทำให้เราตั้งเจตจำนงได้แค่ไหนว่าจะเอาอย่างไร  แล้วก็เคลื่อนทำพฤติกรรมออกไปตามนั้น  เพราะฉะนั้นแดนรู้จึงเป็นแดนใหญ่ด้านหนึ่งของชีวิตได้แก่ “ปัญญา”

      ถ้าเราพัฒนาปัญญา  เราก็จะขยายมิติและขอบเขตทั้งของด้านจิตใจ และของด้านพฤติกรรมออกไปทั้งหมด

      พฤติกรรมของมนุษย์ที่พัฒนาออกมาเป็นกลุ่มเป็นหมู่รวม ๆ กัน เป็นวัฒนธรรมและอารายธรรมนั้นก็เกิดจากเจตจำนงตามอำนาจของแรงจูงใจ  เช่นความปรารถนาที่จะเอาชนะธรรมชาติ  ทำให้อารยธรรมตะวันตกเจริญมาอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้  นี่คือเจตจำนงซึ่งอยู่ในด้านจิตใจ

      แต่เจตจำนงนั้นเกิดขึ้นได้ถายใต้เงื่อนไขของความรู้  เขามีความรู้ความเข้าใจอะไรอย่างไร  ก็มีความเชื่อ  ยึดถือ  และคิดไปได้อย่างนั้นแค่นั้น  แล้วก็ตั้งเจตจำนงต่าง ๆ ที่จะทำพฤติกรรมภายในขอบเขตเท่านั้น  เพราะฉะนั้นแดนปัญญา คือความรู้จึงยิ่งใหญ่มาก

      ลักษณะสำคัญของกระบวนการดำเนินชีวิตของมนุษย์คือ การพัฒนาศักยภาพในการที่จะดำเนินชีวิตก็สามารถอยู่รอดและอยู่ได้อย่างดีงามมีความสุขยิ่งขึ้น  หรือพัฒนาขึ้นไปสู่ความเป็นสัตว์ที่ประเสริฐยิ่งขึ้น  จนถึงความเป็นพุทธะในที่สุด

      ตกลงว่า ชีวิตของมนุษย์ที่เป็นกระบวนการ เคลื่อนไหว ดำเนินไป ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมนี้แยกเป็น ๓ ด้าน คือ

             ๑. พฤติสัมพันธ์

             ๒. จิตใจ

             ๓. ปัญญา

      นี่คือการแยกองค์ประกอบของชีวิตอีกแบบหนึ่งตามหลักพระพุทธศาสนา

      เรามักจะติดอยู่แค่การแยกแบบกายกับใจ  ซึ่งเป็นการแยกเพื่อความรู้เข้าใจ  แต่เอามาใช้ปฏิบัติได้น้อย

      ถ้าเราจะนำพระพุทธศาสนามาใช้ในระดับปฏิบัติการ  ในการทำกิจการต่าง ๆ  โดยเฉพาะในการพัฒนามนุษย์  และในการพัฒนาสังคม  จะต้องก้าวมาถึงการแยกในระดับกระบวนการดำเนินชีวิต  คือแยกเป็น ๓ ด้านหรือ ๓ แดน  อย่างนี้

      ถึงตอนนี้เราได้ครบแล้ว  เหมือนที่บอกเมื่อกี้  ในตัวอย่างเรื่องรถยนต์  ซึ่งมีการแยกแยะ ๒ ระดับ  คือแยกตอนจอดอยู่นิ่ง ๆ  ให้เห็นว่ามีองค์ประกอบอะไรบ้าง  และแยกตอนทำงานคือวิ่งแล่นไป  ว่ามันทำงานอย่างไร  แต่ในเรื่องชีวิตมนุษย์  เราแยกส่วนหรือแยกองค์ประกอบ ๓ ระดับ  คือ

      ๑.แยกองค์ประกอบ  ตามสภาพหรือในภาวะอยู่นิ่งเฉย (เช่น แยกเป็น รูป + นาม, กาย + ใจ,  ขันธ์ ๕ )

      ๒. แยกให้เห็นระบบและกระบวนการดำเนินชีวิต  ที่องค์ประกอบ ๓ ด้านมาร่วมกันขับเคลื่อนชีวิตให้เป็นอยู่ได้ดียิ่งขึ้น ๆ ไปสู่จุดหมายที่จะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ (แยกเป็น ๓ ด้านหรือ ๓ แดน  คือด้านสัมพันธ์ภายนอก ด้านจิตใจ  และด้านปัญญา)

      เมื่อได้ความเข้าใจเป็นพื้นฐานแล้ว ก็ขอจบเรื่องธรรมชาติของมนุษย์เท่าที่พอจะใช้แค่นี้ก่อน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5302 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2555, 19:49:01 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                        ผมอยู่สิงห์บุรี ครับ

                        การที่มีโอกาสอยู่สิงห์บุรีนาน ๆ ก็ดีไปอย่างครับ มีของกินที่เราเคยกินเมื่อสมัยเป็นเด็ก ราคาก็ไม่แพงเหมือนกรุงเทพฯ จนขณะนี้น้ำหนักเพิ่มขึ้นมาหนึ่งกิโลกรัม  โดยเฉพาะกล้วยปิ้ง หน้าโรงพยาบาล ปิ้งอร่อยดี ๒๐ บาท อิ่มสบายเลย ทุกเลยกินทุกวันเป็นอาหารว่าง  รวมทั้งข้าวหลามด้วย

                        ที่ตลาดสดก็มีแกงแปลก ๆ ที่ กทม.ไม่มี และรสชาดก็ถูกปาก ถุงละ ๒๐ บาท เท่านั้นเอง  ตอนนี้เห็นมีมะม่วงสุกวางขายแยะอีกด้วย  ว่าง ๆ จะไปเดินตลาดสด สำรวจมาฝากทุกท่าน ครับ  แต่ต้องรอเอาไว้กลับจากอินเดีย ครับ

                        นอกจากนี้เวลาเย็น ขนมเอย กับข้าวเอย เต็มไปหมด เช่น มันต้มขิง  ต้มถั่วเขียว ราคาถุงละ ๑๐ บาท เมื่อเย็นรับประทานมันต้มขิง แทนข้าวเย็นครับ

                        นอกจากนี้ผมก็ไปสำรวจร้านอาหารสุขภาพด้วย  ครั้งหน้าใครมาเที่ยวค้างคืนสิงห์บุรี จะพาไปกินอาหารอร่อย ราคาถุกครับ

                         พรุ่งนี้เป็นวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๓ เป็นวันมาฆะบูชาของทุกปีที่เดือนกุมภาพันธ์ มี ๒๘ วัน แต่ปีนี้เดือนกุมภาพันธ์มี ๒๙ วัน ดังนั้นวันมาฆะบูชา จึงต้องเลื่อนไปเป็นขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ แทนครับ  ผมไปทำบุญวัดพระนอน ครับถือเป็นวันพระใหญ่เหมือนกัน

                        ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ คืนนี้


หมายเหตุ

                        คิดถึงคุณน้องหมี   ไม่ทราบหายไปไหน  หรือแต่งงานไปแล้วแบบคุณน้องเนีะ ครับ
 
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #5303 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2555, 20:16:32 »

พี่สิงห์

หากจัดงานศพคุณแม่ยุพิน วงศ์สินอุดม ที่อำเภอบางมูลนาก ผมอาจจะไปงานได้หลายครั้ง-หลายวันอยู่
เนื่องจากเส้นนครสวรรค์-โพทะเล-บางมูลนาก ใกล้กว่า นครสวรรค์-วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5304 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2555, 10:47:54 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 06 กุมภาพันธ์ 2555, 20:16:32
พี่สิงห์

หากจัดงานศพคุณแม่ยุพิน วงศ์สินอุดม ที่อำเภอบางมูลนาก ผมอาจจะไปงานได้หลายครั้ง-หลายวันอยู่
เนื่องจากเส้นนครสวรรค์-โพทะเล-บางมูลนาก ใกล้กว่า นครสวรรค์-วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน


สวัสดีครับ คุณเหยง

                  คุณบวร  วงศ์สินอุดม  เขาจัดตามความสะดวกของเขาและพี่น้อง   และบ้านแม่ที่แท้จริงอยู่อำพะวา   ครับ

                  ได้ทราบข่าวว่า วันนี้ทางกรรมการชมรมฯ จะเป็นเจ้าภาพร่วม ครับ

                   สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5305 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2555, 12:09:50 »

สวัสดัครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                       วันนี้วันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ผมไปทำบุญที่วัดพระนอน และรับศีล ๘ จากหลวงพ่อเพื่อเอาไปปฏิบัติที่อินเดีย

                       ขอขอบคุณ ท่านขุน ๒๘ ที่ส่งบทสวดมนต์ ทั้งบาลี ภาษาไทย และธรรมะบรรยาย บทโพชณงค์ ๗ มาให้ ผมได้เปิดให้แม่ฟัง และตัวเองได้ทบทวนบทโพชณงค์ นี้ ไปด้วย   ครับ  ขอบคุณมาก ๆ

                       นอกจากนี้ท่านขุน๒๘ ยังส่งพุทธธรรม มาให้ (ผมมีหนังสือ และอ่านจบแล้ว) จาริกบุญ (ผมมีเทปฟังหลายรอบแล้ว) และแก่นพระพุทธศาสนา  ทั้งหมดเป็นของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.  ปยุตฺโต)  ต้องขอขอบคุณจริง ๆ ในความกรุณา

                       หลังจากทำบุญ ผมซื้อข้าวหลามไปฝากหมอหลานชายที่โรงพยาบาลท่าวุ้ง วันนี้ชาวลพบุรีแต่งชุดไทยลพบุรีกันหมด ยกเว้นหมอเท่านั้น พวกพยาบาลนุ่งจูงกะเบนกันทั้งโรงพยาบาล

                       แม่อาการปกติ อยู่ได้นาน พูดรู้เรื่อง ยกเว้นเรื่องแผลเท่านั้น  จิตแม่เข้มแข็ง  แต่กาย(รูป) มันไม่ไหว ไปตามหลักไตรลักษณ์ คือขันธ์ ๕ มันเป็น อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  ผมได้เตรียมทุกอย่างไว้ให้แล้ว  ไม่มีกังวลกับแม่ทั้งสิ้น ในการไปอินเดีย

                       เย็นนี้ผมกลับ กทม. เพื่อรับหนังสือจากอดิศร ครับ

                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
ทราย 16
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,838

« ตอบ #5306 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2555, 13:35:59 »

ขอให้พี่สิงห์ & พี่กุศล เดินทางไปอินเดียอย่างปลอดภัย
และประสบความสำเร็จในการประกอบศาสนกิจ
ให้ดวงตาเห็นธรรม สมดังใจหวังน่ะค่ะ
ทราย 16
      บันทึกการเข้า
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #5307 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2555, 14:09:40 »


   พี่สิงห์..ไปอินเดียรึยังคะ?...

     หนูมาส่ง ขอให้เดินทางปลอดภัยทั้งไปและกลับ
     ขอให้บุญกุศลที่พี่ทำมาและตั้งใจไปจาริกแสวงบุญถึงถิ่นพระพุทธเจ้า
     กุศลทั้งหลายนี้จงส่งให้พี่ได้บรรลุธรรมชั้นสูงยิ่งๆขึ้นไป
     พบความสุขสงบเย็นอย่างที่พี่ปรารถนาทุกประการนะคะ..
   
      บันทึกการเข้า
อ้อย 14
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,055

« ตอบ #5308 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2555, 15:52:58 »

อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย17 เมื่อ 07 กุมภาพันธ์ 2555, 14:09:40

   พี่สิงห์..ไปอินเดียรึยังคะ?...

     หนูมาส่ง ขอให้เดินทางปลอดภัยทั้งไปและกลับ
     ขอให้บุญกุศลที่พี่ทำมาและตั้งใจไปจาริกแสวงบุญถึงถิ่นพระพุทธเจ้า
     กุศลทั้งหลายนี้จงส่งให้พี่ได้บรรลุธรรมชั้นสูงยิ่งๆขึ้นไป
     พบความสุขสงบเย็นอย่างที่พี่ปรารถนาทุกประการนะคะ..
   

หนูด้วยค่ะ...
      บันทึกการเข้า
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #5309 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2555, 16:57:10 »

อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย 14 เมื่อ 07 กุมภาพันธ์ 2555, 15:52:58
อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย17 เมื่อ 07 กุมภาพันธ์ 2555, 14:09:40

   พี่สิงห์..ไปอินเดียรึยังคะ?...

     หนูมาส่ง ขอให้เดินทางปลอดภัยทั้งไปและกลับ
     ขอให้บุญกุศลที่พี่ทำมาและตั้งใจไปจาริกแสวงบุญถึงถิ่นพระพุทธเจ้า
     กุศลทั้งหลายนี้จงส่งให้พี่ได้บรรลุธรรมชั้นสูงยิ่งๆขึ้นไป
     พบความสุขสงบเย็นอย่างที่พี่ปรารถนาทุกประการนะคะ..
   

หนูด้วยค่ะ...

  หุหุ...พี่อ้อยอยู่ไหนคะ วันนี้...มาส่งพี่สิงห์ด้วยหรือคะ?.....
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #5310 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2555, 18:32:12 »

พี่สิงห์

คงได้เดินทางไปปฎิบัติธรรมที่อินเดียพร้อมพี่กุศลนะครับ
ขอให้เดินทางไป-กลับปลอดภัยครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5311 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2555, 20:48:38 »

อ้างถึง
ข้อความของ ทราย 16 เมื่อ 07 กุมภาพันธ์ 2555, 13:35:59
ขอให้พี่สิงห์ & พี่กุศล เดินทางไปอินเดียอย่างปลอดภัย
และประสบความสำเร็จในการประกอบศาสนกิจ
ให้ดวงตาเห็นธรรม สมดังใจหวังน่ะค่ะ
ทราย 16
สวัสดีค่ะ คุณน้องทราย ที่รัก

                     ขอบคุณเธอมาค่ะ

                     พี่สิงห์ก็ตั้งใจ ตามที่เธอให้พรนั่นแหละ เพราะข้าวมันหุงจะสุกแล้ว  ยังรอเวลา...เท่านั้น แล้วแต่วาสนา  แต่ก็ตั้งใจไปปฏิบัติธรรม จริง ๆ คงปลีกวิเวก จากหมู่คณะ เพราะเห็นหมดแล้ว  รู้เรื่องดีหมดแล้ว  ขอไปกราบตามสถานที่พุทธสถานเท่านั้น ที่เหลือขอปฏิบัติธรรม เป็นส่วนใหญ่ ครับ

                      เมื่อเช้าไปทำบุญที่วัดพระนอน พี่สนม(ลูกของน้องสาวพ่อ) บอกว่า "ทำไมไม่ห่มผ้าเหลืองเสียเล่า"  ผมก็บอกว่า "ขอเวลาตัดสินใจอีกครั้ง ภายหลังแม่จากไปแล้ว" เพราะไม่มีอะไรต้องห่วงทั้งสิ้น นอกจากตัวเองเท่านั้น

                      สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5312 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2555, 20:57:23 »

อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย17 เมื่อ 07 กุมภาพันธ์ 2555, 14:09:40

   พี่สิงห์..ไปอินเดียรึยังคะ?...

     หนูมาส่ง ขอให้เดินทางปลอดภัยทั้งไปและกลับ
     ขอให้บุญกุศลที่พี่ทำมาและตั้งใจไปจาริกแสวงบุญถึงถิ่นพระพุทธเจ้า
     กุศลทั้งหลายนี้จงส่งให้พี่ได้บรรลุธรรมชั้นสูงยิ่งๆขึ้นไป
     พบความสุขสงบเย็นอย่างที่พี่ปรารถนาทุกประการนะคะ..
   

สวัสดีค่ะ คุณน้องอ้อย17 ที่รัก

                    พี่สิงห์ไปวันพุธที่ ๘ นัดพบที่สนามบินสุวรรรภูมิ  16:30 น. ตรงที่ Jet Airway

                    พรุ่งนี้ช่วงเช้าเขาจะเอาหนังสือสวดมนต์ที่พิมพ์มาส่ง แล้วจะเอาไปฝากไว้ที่ ดร.สุริยา ครับ

                    ขอบคุณมากสำหรับคำอวยพร 

                    วันนี้พี่สิงห์ก็ไปทำบุญและรับศีล ๘ มาจากเจ้าอาวาสวัดพระนอน เรียบร้อยแล้ว จะถือศีล ๘ ตลอดช่วงจาริกแสวงบุญ และปฏิบัติธรรม

                     พี่สิงห์ ได้ติดเอาหลวงพ่อทวดองค์เล็กๆ ไปประมาณร่วมสี่สิบองค์ เพื่อเอาไปแสวงบุญด้วยตามพุทธสถานด้วย แล้วจะนำกลับมาฝาก  และถ้าไปกินข้าวกลางวันที่วัดไทยนาลันทา  จะเอาหลวงพ่อองค์ดำ มาฝาก ครับ

                     สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5313 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2555, 21:00:52 »

อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย 14 เมื่อ 07 กุมภาพันธ์ 2555, 15:52:58
อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย17 เมื่อ 07 กุมภาพันธ์ 2555, 14:09:40

   พี่สิงห์..ไปอินเดียรึยังคะ?...

     หนูมาส่ง ขอให้เดินทางปลอดภัยทั้งไปและกลับ
     ขอให้บุญกุศลที่พี่ทำมาและตั้งใจไปจาริกแสวงบุญถึงถิ่นพระพุทธเจ้า
     กุศลทั้งหลายนี้จงส่งให้พี่ได้บรรลุธรรมชั้นสูงยิ่งๆขึ้นไป
     พบความสุขสงบเย็นอย่างที่พี่ปรารถนาทุกประการนะคะ..
   

หนูด้วยค่ะ...

สวัสดีค่ะ คุณอ้อย14 ที่รัก

               ขอบคุณมากค่ะ ที่มาร่วมส่งและอวยพร  ทำให้พี่สิงห์ มีความตั้งใจเพิ่มขึ้นในการปฏิบัติธรรม 

               ได้ลาแม่ และน้องสาวมาแล้ว แม่บอกให้เดินทางปลอดภัย และโชคดี  แม่จะรอ

               สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5314 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2555, 21:03:05 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 07 กุมภาพันธ์ 2555, 18:32:12
พี่สิงห์

คงได้เดินทางไปปฎิบัติธรรมที่อินเดียพร้อมพี่กุศลนะครับ
ขอให้เดินทางไป-กลับปลอดภัยครับ


สวัสดีครับ คุณเหยง

                   ขอบคุณมาก ที่มาส่งและอวยพรให้  จะตั้งใจครับ

                   พี่สิงห์ ต้องขอให้คุณเหยง หาอะไร มาบอกกล่าวในกระทู้นี้แทนพี่สิงห์ ด้วยครับ  จักขอบคุณมาก

                   สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5315 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2555, 21:15:51 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 03 กุมภาพันธ์ 2555, 13:08:42
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 03 กุมภาพันธ์ 2555, 10:58:35
พี่สิงห์ ไปแสวงบุญ-ปฏิบัติธรรม ๑๐ วัน ที่ อินเดีย - เนปาล ระหว่างวันที่ ๘ - ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕


วันพุธที่ ๘ กุมภาพันธ์

                       16:30 น. ณ. สนามบินสุวรรณภูมิ  จุดนัดหมายสายการบิน Jet Airways
                       20:50 น. ออกเดินทางสู่สนามบินกัลกัตต้า
                       21:45 น. ถึงสนามบินเมืองกัลกัตต้า (เวลาที่อินเดีย)
                       22:45 น. คณะออกเดินทางไป วัดไทยมคธพุทธวิปัสสนา เมืองคยา รับพิหาร

วันพฤหัสบดีที่ ๙ กุมภาพันธ์

                       07:45 น. เดินทางถึงวะดไทยมคธพุทธวิปัสสนา
                       11:30 น. รับประทานอาหารกลางวัน
                       14:00 น. นำคณะสู่ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ สถานที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู็ เป็นพระพุทะเจ้า นมัสการพระมหาเจดีย์พุทธคยา สวดมนต์ ไหว้พระ ปฏิบัติธรรมและเวียนเทียน
                       18:30 น. รับประทานอาหารเย็น

วันศุกร์ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์

                       06:00 น. สวดมนต์ทำวัตรเช้า
                       06:30 น. รับประทานอาหารเช้าที่ วัดไทยมคธพุทธวิปัสสนา
                       07:00 น. ออกเดินทางสู่ กรุงราชคฤห์  ขึ้นเขาคิชกูฎ  นมัสการมูลพระคันธกุฎี  กุฏิพระอานนท์  ถ้ำสุกรขาตา  ถ้ำพระโมคคัลลานะ โรงพยาบาลพ่อปู่หมอชีวกโกมารภัจน์ และวัดเวฬุวนาราม
                       11:00 น. รับประทานอาหารกล่อง หรือ ที่วัดไทยนาลันทา ชมมหาวิทยาลัยนาลันทา กราบนมัสการหลวงพ่อองค์ดำ
                       17:00 น. ถึงไวสาลี สักการะ "ปาวาฬเจดีย์"
                       18:00 น. เดินทางสู่ที่พัก Vaishali Hotel และรับประทานอาหารเย็น

วันเสาร์ที่ ๑๑ กุมภาพันธ์

                        05:30 น. รับประทานอาหารเช้า
                        06:30 น. ออกเดินทางสู่ นครกุสินารา
                        11:00 น. รับประทานอาหารกลางวัน (อาหารกล่อง บนรถ)
                        15:30 น. ถึงนครกุสินารา เข้าสู่สาลวโนทยาน สถานที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน สวดมนต์ ทำวัตรเย็น นั่งสมาธิ เวียนเทียน ที่ มกุฎพันธนเจดีย์ สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ
                        18:30 น. ออกเดินทางไปสู่ เมืองโครักปูร์ เข้าพักและรับประทานอาหารเย็นที่โรงแรม คล๊ากอิน

วันอาทิตย์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์

                        05:00 น. รับประทานอาหารเช้า
                        06:00 น. ออกเดินทางสู่ ลุมพินี ประเทศเนปาล
                        09:00 น. ผ่านด่านโสเนาว์รี
                        09:30 น. เข้าสู่บริเวณลุมพินี  นมัสการสถานที่ประสูติขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สวดมนต์  นั่งสมาธิ เวียนเทียน
                        11:00 น. รับประทานอาหารกลางวันที่โรงแรม พวา ประเทศเนปาล
                        13:30 น. ออกเดินทางสู่ เมืองสาวัตถี ประเทศอินเดีย
                        19:30 น. เข้าพักที่วัดไทยสาวัตถีพุทธวิปัสสนา และรับประทานอาหารเย็น

วันจันทร์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์

                        06:00 น. รับประทานอาหารเช้าที่วัดไทยสาวัตถีพุทธวิปัสสนา
                        07:00 น. ออกเดินทางสู่วัดพระเชตวันมหาวิหาร สวดมนต์ทำวัตรเช้า  นั่งสมาธิ เวียนเทียนที่พระคันธกุฎี ที่พระพุทธองค์ประทับ  กุฏิพระอรหันต์ ๘ ทิศ นมัสการอานันโพธิ์ ชมคฤหาสน์อนาถบิณฑิกเศรษฐี และชมสถานที่พระพุทะองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์  ออกเดินทางสู่เมืองพรราณาสี
                        11:00 น. รับประทานอาหารกลางวัน-ทอดผ้าป่า ที่วัดไทยสาวัตถีพุทธวิปัสสนา
                        20:00 น. เดินทางถึงเมืองพาราณสี พักที่โรงแรมฮินดูสถาน

วันอังคารที่ ๑๔ กุมภาพันธ์

                        05:00 น. ออกเดินสู่แม่น้ำคงคา  ชมพิธีการอาบน้ำเพื่องล้างบาป  ล่องเรือในแม่น้ำคงคา
                        07:00 น. กลับที่พัก รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม
                        08:00 น. ออกเดินทางไปนมัสการสถานที่แสดงปฐมเทศนา สวดธรรมจักรกัปปวัตนสูตร นั่งสมาธิ ทำประทักษิณรอบธัมเมกขสถูป ๓ รอบ  ชมมูลคันธกุฎีที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของสมาคมศรีมหาโพธิ์ ชมพิพิธภัณฑ์ นมัสการเจาวคานธีสถูป สถานที่พระพุทธเจ้าทรงพบเบญจวัคคีย์
                        11:00 น. รับประทานอาหารกลางวันที่โรงแรมฮินดูสถาน
                        12:00 น. ออกเดินทางสู่พุทธคยา
                        19:30 น. เดินทางถึงวัดไทยมคธพุทธวิปัสสนา รับประทานอาหารเย็นและค้างคืน
                                     พี่สิงห์จะปฏิบัติธรรม เนื่องในวันเกิดครบ ๖๑ ปี
    

วันพุธที่ ๑๕ กุมภาพันธ์

                        06:00 น. รับประทานอาหารเช้าที่วัด
                        08:00 น. ออกเดินทางไปกราบต้นพระศรีมหาโพธิ์ ชมวัดนานาชาติ
                        11:30 น. รับประทานอาหารกลางวันที่วัด
                        15:30 น. ออกเดินทางไปสวดมนต์ทำวัตรเย็น  นั่งสมาธิ บริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์
                        17:00 น. รับประทานอาหารเย็นที่วัด
                        19:00 น. สำหรับผู้ปฏิบัติธรรม  ออกเดินทางไปที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทั้งคืน

วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ กุมภาพันธ์

                        06:00 น. ฝึกโยคะ รับประทานอาหารเช้า
                        11:00 น. รับประทานอาหารกลางวัน  ออกเดินทางไปเมืองกัลกัตต้า
                        22:00 น. ถึงสนามบินเมืองกัลกัตต้า
                        23:00 น. เช็คอิน

วันศุกร์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์

                        01:30 น. ออกเดินทางกลับประเทสไทย สายการบิน Jet Airways
                        05:40 น. ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ


                         วิทยากรบรรยาย พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (ดร. พระมหาสุเทพ  อกิญฺจโน)


                        
 

ต้องกราบขออภัย พี่-น้อง ชาวซีมะโด่ง และกรรมการชมรมฯ ทุกท่าน

ที่ปีนี้ ผมไม่สามารถไปร่วมงาน "คืนสู่เหย้า ชาวซีมะโด่ง" ได้

ผมขอไปแสวงบุญ - ปฏิบัติธรรม เพื่อตัวเองบ้าง

เพราะเวลามันตรงกัน แยกรูป-นามไม่ได้

เอาไว้โอกาสหน้า

สวัสดี



รูปแม่รูปนี้ เป็นรูปที่ผมถ่าย ขณะให้อาหารทางสายยาง

แม่ปกติดีทุกอย่าง  ยกเว้นร่างกายที่ทรุดโทรมไม่ไหวแล้ว และการเต้นขอหัวใจที่ผิดปกติ ครับ

และผมได้กราบลาท่านเพื่อไปจาริกแสวงบุญ - ปฏิบัติธรรม ตามพุทธสถานที่อินเดีย-เนปาล ครับ


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                     วันนี้ภายหลังจากทำบุญที่วัดพระนอน ผมก็เปิดโพชณงค์ ๗ ทั้งพระสวดภาษาบาลี  สวดภาษาไทย และความหมายของดพชณงค์ ๗ ให้แม่ฟัง  และแถมด้วยเพลงสุนทราภรณ์ ครับ

                      ก่อนกลับกรุงเทพฯ ได้บอกกับแม่ว่าจะไปอินเดีย ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ตามพุทธสถาน ไปปฏิบัติธรรม จะเอาบุญมาฝากแม่  แม่ต้องอยู่รอผมกลับนะ  แม่บอกไปเถอะ ขอให้โชคดี  ปลอดภัย  แม่จะคอย

                       และผมได้บอกลาน้องสาว  ฝากดูแลแม่ด้วย  น้องสาวบอกไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง  แม่ไม่เป็นอะไรหรอก  ถ้าเป็นจะเก็บเอาไว้รอกลับมา  ผมบอกว่า ผมได้อัดรูปแม่เอาไว้ให้แล้ว  ได้ทำหนังสือเอาไว้ให้แล้ว ถ้าแม่จากไปไม่ต้องรอผมกลับก้ได้ เพราะไม่ได้กังวลอะไรทั้งสิ้นแล้ว  ได้ไหว้แม่ ลาแม่ที่ยังพูดคุยกันรู้เรื่องมีสติดีกันแล้ว หมดห่วงทั้งสิ้น น้องสาวอวยพรขอให้เดินทางปลอดภัย  ไม่ต้องเป็นห่วง แม่รอพี่กลับมา

                        ผมได้บอกคุณประเสริฐ  ที่ดูแลแม่ว่า ช่วยดูแลยายให้ด้วย (ซึ่งปกติเขาก็ดูแล และรักยายอย่างญาติจริงๆ มาสี่ปีแล้ว  มีความผูกพันธ์ ก็ไม่อยากให้ยายจากไปเหมือนกัน)

                         เมื่อช่วงเช้า ผมแวะเอาข้าวหลามไปให้หลานชาย และสั่งว่า ถ้ายายจากไปโทรศัพท์ไปบอกให้ด้วย

                         เป็นอันว่าผมหมดห่วงทุกประการ ในการไปอินเดียครั้งนี้ ไม่มีความกังวลใด ๆ ทั้งสิ้น ครับ

                         ขอขอบคุณทุกท่าน ครับ

                         ราตรีสวัสดิ์
      บันทึกการเข้า
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #5316 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2555, 22:47:14 »

ขอให้พี่สิงห์เดินทางปลอดภัยนะคะ กลับมาพร้อมเอาบุญมาฝากน้องๆด้วยเน้อเจ้า
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #5317 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2555, 07:58:06 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 07 กุมภาพันธ์ 2555, 20:57:23
อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย17 เมื่อ 07 กุมภาพันธ์ 2555, 14:09:40

   พี่สิงห์..ไปอินเดียรึยังคะ?...

     หนูมาส่ง ขอให้เดินทางปลอดภัยทั้งไปและกลับ
     ขอให้บุญกุศลที่พี่ทำมาและตั้งใจไปจาริกแสวงบุญถึงถิ่นพระพุทธเจ้า
     กุศลทั้งหลายนี้จงส่งให้พี่ได้บรรลุธรรมชั้นสูงยิ่งๆขึ้นไป
     พบความสุขสงบเย็นอย่างที่พี่ปรารถนาทุกประการนะคะ..
   

สวัสดีค่ะ คุณน้องอ้อย17 ที่รัก

                    พี่สิงห์ไปวันพุธที่ ๘ นัดพบที่สนามบินสุวรรรภูมิ  16:30 น. ตรงที่ Jet Airway

                    พรุ่งนี้ช่วงเช้าเขาจะเอาหนังสือสวดมนต์ที่พิมพ์มาส่ง แล้วจะเอาไปฝากไว้ที่ ดร.สุริยา ครับ

                    ขอบคุณมากสำหรับคำอวยพร 

                    วันนี้พี่สิงห์ก็ไปทำบุญและรับศีล ๘ มาจากเจ้าอาวาสวัดพระนอน เรียบร้อยแล้ว จะถือศีล ๘ ตลอดช่วงจาริกแสวงบุญ และปฏิบัติธรรม

                     พี่สิงห์ ได้ติดเอาหลวงพ่อทวดองค์เล็กๆ ไปประมาณร่วมสี่สิบองค์ เพื่อเอาไปแสวงบุญด้วยตามพุทธสถานด้วย แล้วจะนำกลับมาฝาก  และถ้าไปกินข้าวกลางวันที่วัดไทยนาลันทา  จะเอาหลวงพ่อองค์ดำ มาฝาก ครับ

                     สวัสดีค่ะ


     อนุโมทนาค่ะ ..พี่สิงห์...
 
       

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5318 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2555, 08:50:10 »

อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 07 กุมภาพันธ์ 2555, 22:47:14
ขอให้พี่สิงห์เดินทางปลอดภัยนะคะ กลับมาพร้อมเอาบุญมาฝากน้องๆด้วยเน้อเจ้า

สวัสดีค่ะ คุณน้องป้อม ที่รัก

                 ขอบคุณเธอมาก ๆ แล้วพี่สิงห์จะเอาบุญมาฝาก (ถ้าให้กันได้)

                 ขอความสุขจงมีแก่เธอ และครอบครัว ด้วยค่ะ

                 เมื่อเช้าขณะเดินจงกรมที่หน้าบ้าน ก็มีมารมาผจญ  จิตล่องลอยไปกับอดีตที่พอใจ  นึดถึงความดีที่คุณน้องนางทราย  เคยช่วยพี่สิงห์ ที่โรงพยาบาลแพทย์ปัญญา เป็นสุขแต่ต้องตัดทิ้งเพราะส่งจิตออกนอก เป็นมาร มันผ่านไปแล้ว

                 สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5319 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2555, 09:13:46 »


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติที่ผ่านมาเยือน ที่รักทุกท่าน

                        เช้านี้ผมอยู่บ้าน ได้ปฏิบัติธรรมในช่วงอมฤตกาล และหุงข้าวใส่บาตรพระที่หน้าบ้านตอนเช้า  วันนี้เจ้าอาวาสวัดลาดพร้าวมาบิณฑบาตร และผมได้เรียนให้ท่านทราบว่า จะไปแสวงบุญ ปฏิบัติธรรม ที่ดินเดีย-เนปาล ท่านก็ให้พร ขอให้เดินทางปลอดภัย และประสบความสำเร็จในกิจที่ตั้งใจไปกระทำ

                        เนื่องจาก ผมต้องหายไปจากกระทู้นี้นาน ๑๐ วัน ขอฝากให้ทุกท่านช่วยดูแลต่อด้วยครับ จักขอบคุณยิ่ง

                        และในโอกาสนี้ ผมได้นำสิ่งที่ท่านขุน๒๘  ส่งมาให้ผม ได้เจริญปัญญา  ทบทวนองค์ความรู้ ในการที่จะไปปฏิบัติธรรม ที่แดนพระพุทะภูมิ  และเอาไปเปิดให้แม่ได้ฟังเป็นการรักษาจิต

                        ผมเห็นว่ามีประโยชน์ยิ่ง จึงขอนำมาเสนอให้ทุกท่านได้เจริญปัญญา  สามารถอ่านซ้ำจนเกิดปัญญาได้  สามารถเอาไปใช้ในการกระทำให้สำเร็จกิจ เป็นธรรมที่สูงยิ่ง ยิ่งกว่า "อิทธิบา ๔" ครับ นั่นคือ

                        "โพชณงค์ ๗ องค์ธรรมแห่งการตรัสรู้" ที่เทศนาโดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.  ปยุตฺโต)

                        สวัสดีครับ



โพชฌงค์

พุทธวิธีเสริมสุขภาพ



                              วันก่อนนี้ โยมได้ปรารภทำนองอาราธนาว่า ถ้าอาตมภาพแสดงเรื่องโพชฌงค์ ก็คงจะดี

                               โพชฌงค์นี้ เป็นหลักธรรมสำคัญหมวดหนึ่ง ญาติโยมหลายท่านรู้จักในชื่อที่เป็นบทสวดมนต์ เรียกว่าโพชฌงคปริตรและนับถือกันมาว่า เป็นพุทธมนต์ สำหรับสวดสาธยาย เพื่อให้คนป่วยได้สดับตรับฟังแล้วจะได้หายโรคที่เชื่อกันอย่างนี้ ก็เพราะมีเรื่องมาในพระไตรปิฎกเล่าว่า พระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นพระเถระผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเคยอาพาธ และพระพุทธเจ้าเสด็จไปเยี่ยม แล้วทรงแสดงเรื่องโพชฌงค์นี้ ตอนท้ายพระมหากัสสปเถระก็หายจากโรคนั้น

                                อีกคราวหนึ่ง พระมหาโมคคัลลานะ ซึ่งเป็นอัครสาวกฝ่ายซ้าย ก็อาพาธและพระพุทธเจ้าเสด็จไปเยี่ยม ก็ได้ทรงแสดงโพชฌงค์นี้อีก แล้วพระมหาโมคคัลลานะก็หายโรคอีกคราวหนึ่ง พระพุทธองค์เองทรงอาพาธ ก็ตรัสให้พระมหาจุนทะ ซึ่งเป็นพระเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่งแสดงโพชฌงค์ถวาย แล้วพระพุทธเจ้าก็หายประชวร

                              จากเรื่องราวที่กล่าวถึงนี้ พุทธศาสนิกชนก็เลยเชื่อกันมาว่าบทโพชฌงค์นั้น สวดแล้วจะช่วยให้หายโรค แต่ที่เราสวดกันนี้ เป็นการสวดคำ บาลี ผู้ฟังก็ฟังไป ซึ่งบางทีอาจจะไม่เข้าใจเนื้อความก็ได้แต่ที่ท่านแสดงในพระไตรปิฎกนั้น ท่านแสดงเนื้อหาคือตัวหลักธรรม และธรรมะที่แสดงนั้นเป็นธรรมเกี่ยวกับปัญญา เป็นธรรมะชั้นสูง ซึ่งความจริงก็เป็นเรื่องของการทำ ใจให้สว่าง สะอาดผ่องใส เป็นการรักษาใจ

พุทธวิธีเสริมสุขภาพ

                              เป็นธรรมดาว่า กายกับใจนั้นเป็นสิ่งที่อาศัยกันและกัน พอกายเจ็บป่วยไม่สบาย คนทั่วไปก็มักจะพาลจิตใจไม่สบาย เศร้าหมอง กระวนกระวาย กระสับกระส่ายไปด้วย และในทำนองเดียวกัน เมื่อจิตใจไม่สบายก็พลอยให้กายไม่สบายไปด้วย เริ่มต้นตั้งแต่รับประทานอาหารไม่ได้ ร่างกายเศร้าหมอง ผิวพรรณซูบซีด เป็นสิ่งที่เนื่องอาศัยกัน

                              ในทางตรงข้าม คือในทางที่ดี ถ้าจิตใจดี สบาย บางทีก็กลับมาช่วยกาย เช่นในยามเจ็บป่วยถ้าจิตใจสบาย เช่น มีกำลังใจหรือจิตใจผ่องใสเบิกบาน โรคที่เป็นมาก ก็กลายเป็นน้อย หรือที่จะหายยากก็หายง่ายขึ้น ยิ่งถ้าหากว่ากำลังใจที่ดีนั้นมีมากถึงระดับหนึ่ง ก็ไม่เพียงแต่ทำ ให้โรคบรรเทาเท่านั้น แต่อาจจะช่วยรักษาโรคไปด้วยเลย ทั้งนี้ก็อยู่ที่ว่าจะช่วยทำใจของเราหรือรักษาใจของเราได้มากแค่ไหนพระพุทธเจ้าและพระมหาสาวกนั้น ท่านมีจิตใจที่พัฒนาให้ดีงามเต็มที่ มีสุขภาพด้านจิตที่สมบูรณ์แล้ว เมื่อถึงเวลาที่ต้องการ ก็จึงเรียกเอาด้านจิตมาช่วยด้านกายได้เต็มที่ ถ้าไม่เหลือวิสัยของเหตุปัจจัย ก็เอาของดีที่มีในใจออกมารักษากาย ที่เป็นโรคให้หายไปได้ หลักโพชฌงค์เป็นหลักปฏิบัติทั่วไป ไม่เฉพาะสำหรับผู้ป่วยเท่านั้น ถ้าวิเคราะห์ดูความหมายของศัพท์ ก็จะเห็นว่า ศัพท์เดิมนั้นท่านมีความมุ่งหมายอย่างไร

                              โพชฌงค์มาจากคำ ว่า โพชฺฌ กับ องฺค หรือโพธิ กับ องค์ จึงแปลว่า องค์แห่งผู้ตรัสรู้ หรือองค์แห่งการตรัสรู้ก็ได้ พูดตามศัพท์ก็คือองค์แห่งโพธิ หรือองค์แห่งโพธิญาณนั่นเอง หมายถึงองค์ประกอบ หรือหลักธรรม ที่เป็นเครื่องประกอบของการตรัสรู้ หรือองค์ประกอบแห่งโพธิญาณ แสดงว่าหลักธรรมนี้สำคัญมาก เพราะเป็นธรรมที่จะช่วยให้เกิดการตรัสรู้การตรัสรู้นั้นเป็นเรื่องของปัญญา ปัญญาคือความรู้ความเข้าใจขั้นที่จะทำ ให้ตรัสรู้นี้ มีความหมายลึกซึ้งลงไป กล่าวคือ การตรัสรู้นั้นหมายถึงว่า

                              ประการที่ ๑ รู้แจ้งความจริงของสิ่งทั้งหลาย เห็นสว่างโล่งทั่วไปหมด ไม่มีจุดหมอง จุดมัว เพราะความรู้นั้นชำระใจให้หมดกิเลส ให้บริสุทธิ์ด้วย เพราะฉะนั้น ปัญญาตรัสรู้นี้ จึงหมายถึงความรู้บริสุทธิ์ หรือความรู้ที่เป็นเหตุให้เกิดความบริสุทธิ์

                              ประการที่ ๒ ปัญญาที่ทำ ให้ตรัสรู้นี้ทำ ให้เกิดความตื่น คือเดิมนั้นมีความหลับอยู่ คือมัวเพลิน มัวประมาทอยู่ ไม่ลืมตาลืมใจดูความเป็นจริง และมีความหลงใหล เช่น มีความหมกมุ่นมัวเมายึดติดในสิ่งต่างๆ เมื่อปัญญารู้แจ้งความจริงตรัสรู้แล้วก็กลายเป็นผู้ตื่นขึ้น พ้นจากความหลับ จากความประมาทมัวเมา พ้นจากความยึดติดต่างๆ พูดสั้นๆ ว่า ตื่นขึ้นทั้งจากความหลับใหลและจากความหลงใหล และ

                              ประการที่ ๓ จากการที่บริสุทธิ์และตื่นขึ้นมานี้ ก็ทำ ให้จิตใจของผู้นั้นมีความเบิกบานผ่องใส ปลอดโปร่งโล่งเบา เป็นอิสระอันนี้คือสภาพจิตที่ดีงาม ถ้าเรียกในสมัยปัจจุบันก็ว่าเป็นสุขภาพจิตที่ดีมาก ถ้าท่านผู้ใดก็ตามได้มีสุขภาพจิตอย่างนี้แล้ว แม้จะไม่ถึงขั้นหมดกิเลสโดยสิ้นเชิง ก็นับว่าเป็นผู้มีความสุขมาก ถ้าเป็นผู้ป่วยไข้ก็เรียกว่ามีสภาพจิตที่เหมือนกับไม่ได้ป่วย อย่างที่เรียกว่า “กายป่วยแต่ใจไม่ป่วย” หรือ “ป่วยแต่กายใจไม่ป่วย” ดังที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสสอนท่านผู้สูงอายุ ท่านผู้เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะ กระสับกระส่ายในวัยชราว่า ให้ทำใจว่า “ถึงแม้กายของเราจะป่วยแต่ใจของเราจะไม่ป่วยด้วย”

                               ถ้าทำได้อย่างนี้ ก็จะเป็นจิตใจที่มีความสุขและก็จะช่วยผ่อนคลายห่างหายจากโรคนั้น หรืออย่างน้อยก็บรรเทาทุกขเวทนาที่เกิดจากโรคนั้นลงได้ อันนี้คือการอธิบายความหมาย ของคำว่า “โพชฌงค์” ที่แปลว่า “องค์แห่งการตรัสรู้”

องค์แห่งการตรัสรู้และสุขภาพที่สมบูรณ์

                               ต่อจากนี้ก็ควรจะมาสำรวจกันว่า หลักธรรมที่เป็นองค์ประกอบของการตรัสรู้นั้นมีอะไรบ้าง และมีความหมายอย่างไรโพชฌงค์ มี ๗ ประการด้วยกัน เรียกกันว่า โพชฌงค์ ๗ เหมือนอย่างที่บอกไว้ในบทสวดมนต์ว่า โพชฌังโค สะติสังขาโต . ..

                               โพชฌงค์ เริ่มด้วย

                                     องค์ที่ ๑ คือ สติ

                                     องค์ที่ ๒ คือ ธัมมวิจยะ

                                     องค์ที่ ๓ คือ วิริยะ

                                     องค์ที่ ๔ คือ ปีติ

                                     องค์ที่ ๕ คือ ปัสสัทธิ

                                     องค์ที่ ๖ คือ สมาธิ

                                     องค์ที่ ๗ คือ อุเบกขา

                              รวมเป็นองค์ธรรมที่เรียกว่า โพชฌงค์ ๗ ประการด้วยกัน ทีนี้ลองมาดูความหมายเป็นรายข้อเสียก่อนในหลักธรรมที่เรียกว่า “โพชฌงค์” หรือ “องค์แห่งการตรัสรู้” นั้น การตรัสรู้เป็นจุดหมายที่ต้องการ องค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ ก็เปรียบเสมือนเครื่องมือที่จะช่วยให้บรรลุจุดหมายที่ต้องการ ก่อนที่จะใช้เครื่องมือก็ต้องทำ ความรู้จักกับเครื่องมือ หรืออุปกรณ์ก่อนว่า อุปกรณ์แต่ละอย่างนั้นมีอะไรบ้าง จะใช้สำหรับทำ อะไร

                               องค์ประกอบที่ ๑ “สติ” สติเป็นธรรมที่เรารู้จักกันดี แปลว่าความระลึกได้ ระลึกได้อย่างไร ท่านบอกว่า สตินั้นมีลักษณะที่เป็นเครื่องดึงจิตไว้กับสิ่งนั้นๆ ซึ่งภาษาธรรมเรียกว่า “อารมณ์” ดึงจิตหรือกุมจิตไว้กับอารมณ์  อารมณ์ในที่นี้ก็คือ สิ่งที่เราต้องเกี่ยวข้องทุกอย่าง สิ่งที่เรารับรู้ สิ่งที่ใจเรานึกถึงได้ เรียกว่า “อารมณ์” ไม่ใช่อารมณ์อย่างในภาษาไทย ในที่นี้เพื่อกันความสับสนกับภาษาไทยก็จะพูดว่า “สิ่ง” แทนที่จะพูดว่า “อารมณ์” สติมีหน้าที่ดึงหรือตรึงจิตไว้กับสิ่งนั้นๆ ถ้าเราจะทำ อะไรก็ให้จิตระลึกถึงสิ่งนั้น ดึงเอาไว้เหมือนกับเชือก สมมติว่ามีหลักปักไว้ และมีสัตว์ตัวหนึ่งเป็นต้นว่าลิงถูกเชือกผูกไว้กับหลักนั้น จิตของเรานี้เปรียบเทียบได้กับลิงเพราะว่าวุ่นวายมาก ดิ้นรนมาก อยู่ไม่สุข ท่านเปรียบว่าต้องผูกลิงเอาไว้กับหลัก มิฉะนั้นลิงก็จะหนีไปไม่อยู่กับที่ หรือหลุดหายไปเลย สิ่งที่จะผูกลิงก็คือเชือก เมื่อเอาเชือกมาผูกลิงมัดไว้กับหลัก ลิงไปไหนไม่ได้ ก็วนอยู่กับหลักหรือใกล้ๆ หลัก ท่านเปรียบในทางธรรมว่า จิตนั้นเหมือนกับลิง หลักที่ผูกไว้นั้น เหมือนกับสิ่งที่เราเกี่ยวข้องต้องทำ ในขณะนั้น จะเป็นกิจที่ต้องทำ หรือเป็นธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งก็คือหลักนั้น เชือกที่ผูกก็คือสติ สติเป็นตัวที่ผูกจิตไว้กับหลักหรือสิ่งนั้น ดึงไว้ คุมไว้ กำกับไว้ ไม่ให้หลุดหายไป ถ้าเป็นสิ่งเฉพาะหน้า ซึ่งปรากฏอยู่หรือโผล่เข้ามา ก็เพียงแต่ดึงจิตไว้กับสิ่งนั้นๆ กุมไว้ กำกับไว้ไม่ให้หลุดลอยหรือผ่านหายไปไหน อย่างที่พูดกันว่า เวลาทำอะไร ก็ให้ระลึกไว้ คือคอยนึกถึงสิ่งที่เรากำลังทำ นั้น นึกถึงอยู่เรื่อยๆ ให้สิ่งนั้นอยู่ในการรับรู้ หรืออยู่กับจิตของเรา ไม่ให้คลาด ไม่ให้พลัดกันไป อย่าให้สิ่งนั้นหลุดหายหรืออย่าให้จิตของเราฟุ้งซ่านล่องลอยไปที่อื่น แต่ทีนี้ ถ้าสิ่งนั้นอยู่ห่างไกลออกไปไม่ปรากฏอยู่ เช่นเป็นเรื่องอดีตผ่านไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ธรรมคือคำสอนที่ได้ฟังมาก่อนหรือสิ่งที่ได้เล่าเรียนไว้ เมื่อหลายวันหรือหลายเดือนมาแล้วสิ่งนั้นอยู่ห่าง สติก็ทำหน้าที่ดึงเอามา เมื่อกี้ดึงไว้ ไม่ให้ไปไหนให้อยู่กับสิ่งนั้น ทีนี้ถ้าสิ่งนั้นอยู่ห่างก็ดึงเอามา หรือดึงจิตไปไว้กับสิ่งนั้น ให้ไปอยู่ด้วยกัน นี่คือสิ่งที่เรียกว่า สติ  สติดึงเอาจิตมากำกับไว้กับสิ่งที่ต้องการ หรือสิ่งที่เราควรจะเกี่ยวข้อง ทำให้สิ่งนั้นอยู่ในการรับรู้ของจิต ไม่หลุดลอย ไม่หล่นหาย ไม่พลัดกันไปเสีย นี้คือหน้าที่ของสติ ประโยชน์ของสติก็อยู่ตรงนี้ อันนี้คือเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่เรียกว่าองค์ประกอบข้อที่ ๑ ได้แก่ สติ

                              องค์ประกอบที่ ๒ “ธัมมวิจยะ” หรือ “ธรรมวิจัย” แปลว่าการวิจัยธรรม วิจัย นั้นแปลว่า การเฟ้นหรือเลือกเฟ้น คือการใช้ปัญญาไตร่ตรอง พิจารณา สอดส่อง ค้นคว้า  ธรรมก็คือความจริงความถูกต้อง สิ่งที่ดีงาม สิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูล หรือคำสอนที่ให้ความรู้เกี่ยวกับความจริง ความถูกต้องดีงาม และสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลนั้น สิ่งนั้นอาจจะอยู่ต่อหน้าก็ได้ เช่นเรามองเห็นอะไรอยู่ข้างหน้าหรือขณะนี้ เรากำลังเผชิญกับอารมณ์ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เราก็เฟ้น คือมองค้นหาให้เห็นธรรมเฟ้นเอาธรรมออกมาให้ได้ หรือมองให้เป็นธรรมถ้ามองไม่ดี ใจของเราก็วุ่นวาย ปั่นป่วน กระวนกระวาย เดือดร้อน แต่ถ้ามองให้ดี ถึงแม้สิ่งนั้นคนทั่วไปเขาว่าไม่ดี ไม่ชอบใจ เมื่อจำเป็นที่เราจะต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นเฉพาะหน้าแล้ว เราก็มองให้มันเป็นธรรมไป หรือมองให้เห็นธรรมขึ้นมา ทำ แบบนี้ก็เป็นธรรมวิจัยอย่างหนึ่ง เรียกว่ามองอะไรก็ได้ ถ้ามองให้ดีแล้วมันเป็นธรรมหรือทำให้เห็นธรรมได้หมดเหมือนอย่างอาจารย์ที่สอนธรรมบางท่าน ท่านเน้นในเรื่องนี้ว่า มองอะไรให้เห็นเป็นธรรม มองใบไม้ อิฐ ดิน อะไรก็เป็นธรรมหมด ถ้ามองไม่ดี อะไรๆ ก็เป็นอธรรมไปหมด ทำให้ใจของเราเสียหาย เช่นเห็นคนไม่น่าดู ถ้ามองไม่ดีก็เกิดโทสะ แต่ถ้ามองให้ดีอาจจะเกิดกรุณา เกิดความสงสาร อย่างนี้เป็นต้น หรืออย่างพระเถรีท่านหนึ่งในสมัยพุทธกาล ถึงวาระมีหน้าที่ไปจัดอุโบสถก็ไปจุดเทียนขึ้น แสงเทียนสว่าง มองที่เปลวเทียนนั้น เห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป พอมองอย่างนี้ก็เห็นธรรม ทำให้เกิดปัญญาขึ้นมา

                   ฉะนั้น สิ่งทั้งหลายนี้อยู่ที่เรามอง จึงต้องรู้จักมอง มองให้ดีมองให้เป็น มองให้เห็นธรรม หรือมองให้เป็นธรรม ทีนี้ประการต่อไป ธรรมวิจัยนั้นพิจารณาไตร่ตรองสิ่งที่สติดึงมา อย่างที่อาตมาภาพได้กล่าวเมื่อกี้ว่า เราอาจจะใช้สติดึงสิ่งที่อยู่ห่างไกล เช่น สิ่งที่เราได้เล่าเรียนมาแล้ว ได้ฟังมาก่อนแล้ว อาจเป็นธรรมคำสอนต่างๆ เข้ามาสู่จิต แล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณาเฟ้นหาความหมาย เฟ้นหาสาระ เลือกเฟ้นเอามาใช้ให้เหมาะหรือให้ตรงกับที่ต้องการจะใช้ให้ได้ผลเช่น เวลาเราอยู่นิ่งๆ ว่างๆ เราก็ระลึกนึกถึงทบทวนธรรมที่ได้เล่าเรียนมาแล้ว เอามาเลือกเฟ้น นำ มาใช้ให้ถูกกับโอกาส ใช้ให้
เหมาะกับกิจเฉพาะหน้าหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของเราให้ถูกต้องได้ ให้พอดี การเลือกเฟ้นออกมาให้ถูกต้องนี้ก็เรียกว่า ธรรมวิจัยเหมือนกัน แม้กระทั่งว่า เฟ้นให้รู้ว่าความหมายของหลักธรรมนั้นคืออะไร ในกรณีนั้นๆ มุ่งเอาแง่ไหน อย่างนี้ก็เรียกว่า “ธรรมวิจัย”

                             องค์ประกอบที่ ๓ “วิริยะ” วิริยะ แปลว่าความเพียร ความเพียรนี้แปลตามศัพท์ว่า ความเป็นผู้กล้าหาญ หรือความแกล้วกล้า วิริยะหรือวีริยะก็มาจาก วีระ ได้แก่ความเป็นวีระ อย่างที่เราพูดกันในคำ ว่า วีรชน วีรบุรุษ วีรสตรี เป็นต้นนั่นเอง วิริยะ หรือความแกล้วกล้านี้ หมายถึงพลังความเข้มแข็งของจิตใจ ที่จะเดิน ที่จะก้าวหน้าต่อไป ถึงจะเผชิญอุปสรรค ความยุ่งยาก ความลำบาก ถึงจะเป็นงานหนัก หรือมีภัย ก็ไม่ครั่นคร้ามไม่หวั่นหวาด ไม่กลัว ใจสู้ ไม่ย่อท้อ ไม่ท้อถอย และไม่ท้อแท้ มีกำลังประคับประคองใจของตัวเองไว้ไม่ให้ถอย อันนี้เรียกว่า วิริยะก็เป็นหลักสำคัญ เป็นตัวกำลังความเข้มแข็ง เป็นองค์ประกอบที่จะให้ทำได้สำเร็จ

                              องค์ประกอบที่ ๔ “ปีติ” ปีติ แปลว่าความอิ่มใจ หรือความดื่มดํ่า ความซาบซึ้ง ปลาบปลื้ม จิตใจของเราก็ต้องการอาหารหล่อเลี้ยง คล้ายกับร่างกายเหมือนกัน ปีตินี้เป็นอาหารหล่อเลี้ยงสำคัญของจิตใจ บางท่านที่ได้เจริญธรรมดีแล้ว แม้จะรับประทานอาหารทางกายไม่มาก แต่ถ้าอิ่มใจ สามารถทำใจของตนเองให้มีปีติได้เสมอ ก็จะเป็นผู้ผ่องใส กระปรี้กระเปร่า ร่างกายก็พลอยเอิบอิ่มไปด้วยได้เหมือนกัน อย่างที่ท่านเรียกว่า “ปีติภักขา” แปลว่า ผู้มีปีติเป็นภักษา คือ มีปีติเป็นอาหารเพราะฉะนั้น วิธีการอย่างหนึ่งที่จะช่วยจิตใจของตัวเอง ก็คือพยายามสร้างปีติขึ้นมา ปีติเป็นอาหารหล่อเลี้ยงจิตใจให้เอิบอิ่ม ความอิ่มใจช่วยได้มากบางคนแม้จะรับประทานอาหารได้มาก แต่ถ้าจิตใจมีความวิตกกังวล เร่าร้อนใจ ร่างกายก็อาจจะซูบซีดทรุดโทรมลงได้แต่คนที่สบายใจ มีอะไรช่วยให้ดีใจ อิ่มใจอยู่เสมอ ก็อาจทำ ให้ร่างกายดีมีผิวพรรณผ่องใสไปด้วย โดยที่อาหารกายนั้น มีแต่เพียงพอประมาณ เพราะฉะนั้น ปีตินี้ จึงเป็นหลักสำคัญอย่างหนึ่ง เป็นธรรมที่ควรจะสร้างให้เกิดมีในใจของตนเสมอ ๆ

                              องค์ประกอบที่ ๕ ”ปัสสัทธิ” ปัสสัทธิ แปลว่าความผ่อนคลาย หรือสงบเย็น ไม่กระสับกระส่าย ไม่เครียด ท่านแบ่งเป็นกายผ่อนคลาย กับใจผ่อนคลาย หรือสงบเย็นกายกับสงบเย็นใจ คือไม่กระสับกระส่าย ไม่เขม็งเครียด สงบเย็นกาย ท่านหมายเอาลึกซึ้งถึงการสงบผ่อนคลายของกองเจตสิก แต่เราจะถือเอาการสงบผ่อนคลายของร่างกายธรรมดาก็ได้ ง่ายๆคนเราถ้ามีความเครียด มีเรื่องไม่สบายใจแล้ว มันจะเครียดทั้งกายและใจ สภาพที่ตรงข้ามกับปัสสัทธิ ก็คือความเครียด เมื่อมีเรื่องกลุ้มกังวลใจ อะไรต่าง ๆ ทางใจแล้ว ก็พลอยเครียดทางกายด้วย ไม่มีความสุข และจะทำให้ร่างกายทรุดโทรมลงด้วยหรือถ้ากายเครียด ใจก็พลอยเครียดไปด้วย เช่น พระพุทธเจ้าครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์ ก่อนตรัสรู้ ทรงทดลองบำเพ็ญทุกรกิริยา กลั้นลมหายใจจนกายสะท้าน ก็เกิดความเครียด ความกระสับกระส่าย ทั้งทางกายและทางใจ เช่นเดียวกันฉะนั้น ท่านจึงให้เจริญธรรมที่ตรงข้ามกับความเครียดนี้นั่นก็คือ ปัสสัทธิ ความสงบเย็น ความผ่อนคลาย ร่างกายก็ผ่อนคลาย จิตใจก็ผ่อนคลาย ภาวะนี้เรียกว่าปัสสัทธิ เป็นสิ่งที่ดีมากเป็นตัวที่มักจะมาตามปีติ คือ พออิ่มใจ ก็เกิดความผ่อนคลาย สบาย

                              องค์ประกอบที่ ๖ “สมาธิ” สมาธิ แปลว่า ความตั้งจิตมั่นหรือแน่วแน่อยู่กับสิ่งนั้นๆ ถ้าพิจารณาสิ่งใด ก็ให้จิตใจแน่วแน่ จับอยู่ที่สิ่งนั้น ถ้าทำกิจ ทำงานอะไร ก็ให้ใจของเราแน่วอยู่กับสิ่งนั้นอย่างที่เรียกว่า “ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับงาน” อันนี้เรียกว่า สมาธิใจอยู่กับสิ่งที่นิ่งไม่เคลื่อนที่ ก็มี สมาธิ ก็จับนิ่งสนิทอยู่ แต่ถ้าทำกิจอะไรที่เป็นความเคลื่อนไหว เป็นการเคลื่อนที่ไป สมาธิก็คงอยู่ คือจิตอยู่ด้วยกับสิ่งที่กำหนด เป็นไปแบบเรียบสนิท อันนี้ก็เรียกว่า สมาธิ จิตใจที่แน่วแน่เป็นจิตใจที่มีกำลังมาก เฉพาะอย่างยิ่งคือเป็นจิตใจซึ่งเหมาะที่จะใช้งานให้ได้ผลดีในข้อ ๑ ที่ว่าด้วยสติ ได้บอกว่า สติเป็นตัวที่จับ ดึง ตรึงหรือกำกับไว้ ทำให้จิตอยู่กับสิ่งที่กำหนด ไม่หลุดลอยหาย หรือคลาดจากกันไป ในข้อ ๖ นี้ก็ว่า สมาธิ คือการที่จิตอยู่กับสิ่งที่กำหนดนั้น แน่วแน่ ตั้งมั่น แนบนิท โยมบางท่านก็จะสงสัยว่า สติกับสมาธินี้ฟังดูคล้ายกันมาก จะเห็นความแตกต่างกันได้อย่างไรขอชี้แจงว่า คำ อธิบายข้างต้นนั้นแหละ ถ้าอ่านให้ดี ก็จะมองเห็นความแตกต่างระหว่างสติกับสมาธิ การทำให้จิตอยู่กับสิ่งที่กำหนดเป็นสติ การที่จิตอยู่กับสิ่งที่กำหนดได้เป็นสมาธิ การดึง การตรึง การจับ การกำกับไว้ เป็นการทำให้จิตอยู่กับสิ่งที่กำหนด การดึง การตรึง การจับ การกำกับนั้น จึงเป็นสติส่วนการที่จิตตั้งมั่น แน่วแน่ แนบสนิท เป็นอาการที่จิตอยู่กับสิ่งที่กำหนด การตั้งมั่น แน่วแน่ แนบสนิทนั้นจึงเป็นสมาธิ สิ่งทั้งหลายที่เข้ามาสู่การรับรู้ของเรา หรือสิ่งที่ใจเรารับรู้นั้น ผ่านเข้ามาทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ปรากฏขึ้นมาในใจบ้าง ศัพท์ทางพระเรียกว่า อารมณ์เมื่ออารมณ์เข้ามาแล้ว มันก็ผ่านหายไป ทีนี้ถ้ามันไม่เกี่ยวอะไรกับเรา มันจะผ่านหายไป ก็ช่างมัน เราก็ไม่ต้องไปยุ่งด้วย แต่ถ้าเราจะต้องใช้ หรือจะต้องเกี่ยวข้องขึ้นมา แล้วมันหายไป หลุดลอยไป ไม่ยอมอยู่กับเรา เราก็จะไม่ได้ประโยชน์ที่ต้องการ ตอนนี้แหละผลเสียก็จะเกิดแก่เรา เราจึงต้องมีความสามารถที่จะดึงเอามันไว้ ไม่ให้หลุดลอยหาย หรือผ่านหายไป การดึงเอาสิ่งนั้นไว้ เอาจิตกำ กับมันไว้ หรือตรึงมันไว้กับจิต นี่แหละคือบทบาทของสติ ได้แก่การคอยนึกเอาไว้ ไม่ให้อารมณ์นั้นหลุดลอยหายไป

                            อีกอย่างหนึ่ง อารมณ์นั้นเข้ามาแล้วและผ่านล่วงไปแล้วไม่ปรากฏต่อหน้าเรา แต่ไปอยู่ในความทรงจำ ตอนนี้เราเกิดจะต้องใช้ จะต้องเกี่ยวข้องกับมัน เราจะทำอย่างไร เราก็ต้องมีความสามารถที่จะดึงเอามันขึ้นมาไว้ต่อหน้าเราขณะนี้ การดึงเอาอารมณ์ที่ผ่านล่วงไปแล้วขึ้นมาให้จิตพบกับมันได้ นี่ก็เป็นบทบาทของสติ ได้แก่การระลึกขึ้นมา ทำให้สิ่งที่ผ่านล่วงแล้วโผล่ขึ้นมาปรากฏอยู่ต่อหน้า อย่างไรก็ดี การดึง การตรึง การจับ หรือการกำกับไว้ ย่อมเป็นคู่กันกับการหลุด การพลัด การพลาด การคลาด หรือการหายไป การนึกและระลึก ก็เป็นคู่กับการเผลอและการลืม ดังนั้น เพื่อไม่ให้เผลอหรือลืม ไม่ให้อารมณ์หลุดลอยหายไปจากจิต หรือไม่ให้จิตพลัดพลาดกันกับอารมณ์ ก็ต้องคอยกำกับ จับ ดึง เหนี่ยว รั้งไว้เรื่อยๆ

                             ถ้าจะให้มั่นใจหรือแน่ใจยิ่งกว่านั้น ก็ต้องให้จิตตั้งมั่น หรือแน่วแน่อยู่กับอารมณ์นั้น หรือให้อารมณ์นั้นอยู่กับจิตแนบสนิทหรือนิ่งสนิทไปเลย ถ้าถึงขั้นนี้ได้ ก็เรียกว่าเป็นสมาธิ เราจะใช้ จะทำ จะดู จะพิจารณาสิ่งใด สิ่งนั้นก็ต้องอยู่ในกำกับหรือปรากฏอยู่ต่อหน้า ถ้าของนั้นเป็นสิ่งที่เลื่อนไหล หรือจะปลิวลอย เช่นอย่างแผ่นผ้า หรือสำลี ที่อยู่กลางลมพัด ก็ต้องมีอะไรผูกรั้งดึงไว้ ไม่ให้หลุดลอยหรือเลื่อนไหลหายไป เมื่อสิ่งนั้นถูกผูกรั้งดึงไว้แล้ว เราก็จัดการ พิจารณาดู และทำอะไรๆ กับมันได้ตามต้องการ

                               ในกรณีที่งาน ซึ่งจะทำกับแผ่นผ้าหรือสำลีนั้น ไม่จำเป็นต้องให้ละเอียดชัดเจนนัก เมื่อแผ่นผ้าหรือสำลีถูกดึงรั้งตรึงไว้ แล้วถึงจะสั่นจะไหวหรือจะส่ายไปมาบ้าง ก็ยังทำงานได้สำเร็จ ถึงจะดูก็พอมองเห็นและบอกได้ว่า มีสีสันและรูปทรงอย่างไรแต่ในกรณีที่เป็นงานละเอียด เช่น ต้องการเห็นรายละเอียดชัดเจน ถึงแม้จะมีเชือกดึงไว้ ตรึงไว้ แต่ถ้ายังสั่นไหวส่ายอยู่ ก็ไม่สามารถเห็นรายละเอียดหรือทำงานที่ต้องใช้ความแม่นยำ ให้สำเร็จได้ ในกรณีนี้จะต้องปัก ตอก ยึด หรือประทับให้แน่นแนบนิ่งสนิททีเดียว จึงจะดูให้เห็นชัดในรายละเอียด หรือทำสิ่งที่จำเพาะให้แม่นยำ ได้ในทำนองเดียวกัน ถ้าจิตจะมอง จะพิจารณาหรือทำกิจกับอารมณ์ใดที่ไม่ต้องการความละเอียดชัดเจนนัก เพียงมีสติคอยดึงตรึง จับ กำกับ หรือคอยรั้งไว้ ก็เพียงพอที่จะทำงานได้สำเร็จ แต่ถ้าเรื่องใดต้องการความชัดเจนในส่วนรายละเอียด หรือต้องการ การกระทำที่แม่นยำ แน่นอน ตอนนี้จำเป็นจะต้องให้จิตถึงขั้นมีสมาธิแน่วมากทีเดียว ท่านเปรียบเทียบไว้ เหมือนกับว่าเราเอาลูกวัวป่าตัวหนึ่งมาฝึก วัวจะหนีไปอยู่เรื่อย เราก็เอาเชือกผูกวัวป่านั้นไว้กับหลัก ถึงแม้วัวจะดิ้นรนวิ่งหนีไปทางไหน ก็ได้แค่อยู่ในรัศมีของหลัก วนอยู่ใกล้ๆ หลัก ไม่หลุด ไม่หายไป แต่ถึงอย่างนั้น วัวนั้นก็ยังดิ้นรนวิ่งไปมาอยู่ ต่อมานานเข้า ปรากฏว่า วัวป่าคลายพยศ มาหยุดหมอบนิ่งอยู่ที่หลัก สงบเลย ในข้ออุปมานี้ ท่านเปรียบการเอาเชือกผูกวัวป่าไว้กับหลักเหมือนกับเป็นสติ ส่วนการที่วัวป่าลงหมอบนิ่งอยู่ใกล้หลักนั้นเปรียบเหมือนเป็นสมาธิ ความจริง สติกับสมาธิ ทั้งสองอย่างนี้ทำงานด้วยกันประสานและอาศัยกัน สติเป็นตัวนำหน้า หรือเป็นตัวเริ่มต้นก่อน แล้วสมาธิก็ตามมา ถ้าสมาธิยังไม่แน่ว ยังไม่เข้มมาก สติก็เป็นตัวเด่น ต้องทำ งานหนักหน่อย ต้องดึงแล้วดึงอีก หรือคอยดึงแรงๆ อยู่เรื่อย แต่พอสมาธิแน่วสนิทอยู่ตัวดีแล้ว สมาธิก็กลายเป็นตัวเด่นแทน สติที่คอยกำกับหรือคอยตรึงๆ ดึงๆ ไว้ จะทำงานเพียงนิดๆแทบไม่ปรากฏตัวออกมา แต่ก็ทำงานอยู่นั่นตลอดเวลา ไม่ได้หายไปไหนเปรียบเทียบเหมือนกับว่า เอาแผ่นผ้ามาขึงกลางลม โดยเราเอาเชือกดึงไว้หรือขึงไว้ แผ่นผ้าถูกลมพัด แต่ก็ไม่หลุดลอยหายไป เพราะถูกเชือกดึงเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้แผ่นผ้าจะไม่หลุดลอยหายไป แต่มันก็ขยับอยู่เรื่อย ยังส่ายไปส่ายมา พลิ้วไปพลิ้วมาอยู่ที่นั่น ไม่นิ่งในตัวอย่างเปรียบเทียบนี้ มีทั้งการดึงของเชือกและการอยู่นิ่งของแผ่นผ้า มาด้วยกัน คือตอนที่เชือกดึงไว้ ก็มีการอยู่ตัวของแผ่นผ้าด้วย แต่การอยู่ตัวนั้นมีอยู่ชั่วเดี๋ยวเดียวๆ ความเด่นไปอยู่ที่การดึงหรือรั้งของเชือก การดึงของเชือกนั้นคือสติ ส่วนการอยู่ตัวหรืออยู่นิ่งของแผ่นผ้าเท่ากับสมาธิ จะเห็นว่าตอนนี้สติเป็นตัวเด่นทำงานหนัก ทำงานมาก ส่วนสมาธิมีได้นิด ๆ หนึ่ง ไม่เด่นออกมาคือสติดึงไว้ อยู่ตัวได้นิดก็ขยับไปอีกแล้ว ดึงไว้อยู่ตัวได้นิดก็ไปอีกแล้ว ตัวดึงเลยเด่น ส่วนการหยุดนิ่งสั้นเหลือเกิน ชั่วขณะๆ เท่านั้น

                              อีกกรณีหนึ่ง เป็นแผ่นเหล็ก เอามาตั้งไว้ ก็ต้องเอาเชือกผูกดึงรั้งไว้เหมือนกัน แต่เมื่อถูกลมพัด แผ่นเหล็กนั้นไม่ค่อยจะหวั่นไหว ไม่ค่อยจะขยับ อยู่ตัวนิ่งดีกว่าแผ่นผ้า ตอนนี้การทำงานของสติ คือเชือกที่ดึง ไม่เด่น แต่ก็มีอยู่ คล้ายๆ แอบๆ อยู่ ตัวที่เด่นคือความอยู่ตัวนิ่งของแผ่นเหล็ก สติได้แต่คลอๆ ไว้ แต่ทั้งสองอย่างก็อยู่ด้วยกัน

                              ในกรณีของแผ่นผ้าที่ขยับๆ หรือส่ายๆ ไหวๆ นั้น ถ้ามีรูปภาพที่เขียนไว้ใหญ่ๆ หรือตัวหนังสือโตๆ ก็อ่านได้ พอใช้การ แต่ถ้าเป็นลวดลายละเอียด หรือตัวหนังสือเล็กๆ ก็เห็นไม่ถนัด อ่านได้ไม่ชัดเจน หรือถ้าละเอียดนักก็มองไม่ออก หรืออ่านไม่ได้เลยเพราะฉะนั้น ถ้าเป็นเรื่องที่ดูพอเห็นผ่านๆ เป็นเรื่องหยาบๆ เห็นง่าย เพียงคอยมีสติกำกับไว้ ถึงแม้จิตจะอยู่ตัวเป็นสมาธิเพียงชั่วขณะสั้นๆ ก็พอให้สำเร็จกิจ ใช้งานได้ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาตรวจดูละเอียด ก็ต้องให้จิตเป็นสมาธิอยู่ตัวแน่วแน่มากๆ จึงจะมองเห็นได้ถนัดชัดเจนยิ่งละเอียดลึกซึ้งซับซ้อนมาก ก็ยิ่งต้องการจิตที่เป็นสมาธิแน่วสนิททีเดียว ถ้าเปรียบเทียบก็หมือนกับจะใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูจุลินทรีย์ที่แสนเล็ก หรืออะไรที่เล็กเหลือเกิน สิ่งที่ถูกดูถูกตรวจพิจารณา ซึ่งถูกเครื่องจับกำกับไว้ จะต้องนิ่งแน่วประสานกับตาและเลนส์ที่ส่องดู อย่างสนิททีเดียวตอนนี้แหละ ที่สมาธิเป็นตัวจำเป็น ต้องมีให้มาก เวลาที่เราจะเอาจิตไปใช้งานสำคัญๆ จะในแง่พลังจิตก็ดี ในแง่ของการพิจารณาเรื่องละเอียดซับซ้อนมากด้วยปัญญาที่คมกล้าก็ดี ท่านจะเน้นบทบาทของสมาธิอย่างมาก เรียกว่าสมาธิเป็นบาทหรือเป็นฐานของงานใช้กำลังจิตหรืองานใช้ปัญญานั้นๆตอนที่สมาธิยังอ่อน อยู่ชั่วขณะเดี๋ยวหนึ่งๆ จะไปๆ ก็ต้องใช้สติคอยดึงอยู่เรื่อยๆ สติก็จึงทำงานมาก เป็นตัวเด่นอย่างที่กล่าวแล้ว ตอนนั้นจึงอยู่ในภาวะที่คอยดึงไว้ กับจะหลุดไป เหมือนคอยดึงฉุดหรือชักคะเย่อกันอยู่ พอแน่วแน่อยู่ตัวสนิทดีแล้วก็หมดเรื่องที่จะต้องคอยฉุดพ้นจากการที่จะต้องคอยดึงกันที สติก็เพียงแต่คลออยู่ ก็เอาจิตที่เป็นสมาธิไปใช้งานได้เต็มที่อย่างที่กล่าวแล้วว่า ระหว่างสติกับสมาธินั้น สติเป็นตัวนำหน้า หรือเป็นตัวเริ่มต้นก่อน แม้ว่าจุดหมายเราจะต้องการสมาธิ โดยเฉพาะต้องการสมาธิที่แน่วแน่เข้มมาก แต่ก็จะต้องเริ่มงานด้วยสติ ดังนั้น ในการฝึกสมาธิ จึงต้องเริ่มต้นด้วยการเอาสติมาชักนำ หรือมาจับตั้งจูงเข้า คือเอาสติมากำ หนดอารมณ์หรือสิ่งที่ใช้เป็นกรรมฐานนั้น ๆ ก่อน

                               ดังจะเห็นว่า ในการฝึกสมาธิหรือเจริญสมาธินั้น วิธีฝึกทั้งหลายจะมีชื่อลงท้ายด้วยสติ กำกับไว้ เช่น อานาปานสติ พุทธานุสติ มรณสติ เป็นต้น พูดง่ายๆ ว่า สติเป็นเครื่องมือของสมาธิภาวนา หรือสมาธิภาวนาใช้สติเป็นเครื่องมือนั่นเอง พูดเรื่องสติมาเสียนาน ขอยุติเอาไว้แค่นี้ก่อน ยังมีองค์ประกอบข้อสุดท้าย ที่จะต้องพูดต่อไปอีก

                             องค์ประกอบที่ ๗ ซึ่งเป็นข้อสุดท้าย คือ “อุเบกขา” อุเบกขา แปลกันง่ายๆ ว่า ความวางเฉย วางเฉยอย่างไร ถ้าเราเห็นอะไร รับรู้อะไรแล้วเราวางเฉยเสีย บางทีมันเป็นแต่เพียงความวางเฉยภายนอก หรือพยายามทำเป็นเฉย แต่ใจไม่เฉยจริง และไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เฉยอย่างนี้ไม่ใช่อุเบกขา ความวางเฉยในที่นี้ หมายถึง ความเรียบสงบของจิตที่เป็นกลางๆ ไม่เอนเอียงไปข้างโน้นข้างนี้ และเป็นความเฉยรู้ คือ รู้ทันจึงเฉย ไม่ใช่เฉยไม่รู้ หรือเฉยเพราะไม่รู้ เป็นการเฉยดูอย่างรู้ทันและพร้อมที่จะทำ การเมื่อถึงจังหวะ ท่านเปรียบจิตที่เป็นอุเบกขานี้ว่า เป็นจิตที่ทุกอย่างเข้าที่ดีแล้ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่ถูกจังหวะกันดีแล้ว ใจของเราจึงวางเฉยดูมันไป เหมือนอย่างเมื่อท่านขับรถ ตอนแรกเราจะต้องวุ่นวายเร่งเครื่องปรับอะไรต่ออะไรทุกอย่างให้มันเข้าที่ พอทุกอย่างเข้าที่แล้ว เครื่องก็เดินดีแล้ว วิ่งเรียบสนิทดีแล้ว ต่อแต่นี้เราก็เพียงคอยมองดู คุมไว้ ระวังไว้ ให้มันเป็นไปตามที่เราต้องการเท่านั้นการที่ทุกสิ่งเข้าที่เรียบร้อยดีแล้ว เดินดีแล้ว เราได้แต่คุมเครื่องอยู่มองดูเฉยๆ นี้ สภาวะนี้เรียกว่าอุเบกขา เป็นสภาพจิตที่สบาย เพราะว่าทำทุกอย่างดีแล้ว ทุกอย่างเดินเข้ารูปของมันแล้วเหมือนอย่างว่า ถ้าเป็นพ่อเป็นแม่ เมื่อลูกเขารับผิดชอบตัวเองได้ เขามีการมีงานต่างๆ ทำแล้ว เราช่วยเขามาแล้ว เขาดำเนินการของเขาได้ ทำงานของเขาได้ดีแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็เพียงแต่มองดูเท่านั้น ไม่เข้าไปวุ่นวาย ไม่ก้าวก่ายแทรกแซงในชีวิตหรือในครอบครัวของเขา จิตใจที่วางเฉยอย่างนี้ได้เรียกว่า อุเบกขา

                              อุเบกขาไม่ใช่ไม่รับรู้อะไร ไม่ใช่เฉยเมยไม่รู้เรื่อง หากแต่รับรู้อย่างผู้มีปัญญา รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อเข้าที่ดีแล้ว ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี รู้ว่าคนเขาควรรับผิดชอบตัวเองในเรื่องนี้ ใจเราวางเป็นกลางสนิท สบาย อย่างนี้เรียกว่า “อุเบกขา”

                              ทั้งหมดนี้คือ ตัวองค์ธรรม ๗ ประการ ที่เป็นองค์ประกอบขององค์รวมคือ โพธิ หรือการตรัสรู้ เวลาเอามาพูดแยกๆ กันอย่างนี้ บางทีก็เข้าใจไม่ง่ายนัก แต่ก็พอเห็นเค้าได้ว่า ธรรมทั้ง ๗ อย่างนี้ไม่ต้องเอาครบทั้งหมดหรอก แม้เพียงอย่างเดียวถ้ามีสักข้อก็ช่วยให้จิตใจสบายแล้วถ้าเป็นผู้เจ็บไข้ มีเพียงอย่างเดียว หรือสองอย่าง จิตใจก็สบาย เช่น มีสติ จิตใจไม่หลงใหลฟั่นเฟือน หรือมีปัสสัทธิ กายใจผ่อนคลาย เรียบเย็น สบาย ไม่มีความเครียด ไม่กังวลอะไร แค่นี้ก็เป็นสภาพจิตที่ดีแล้ว ถ้ารู้จักมองด้วยธัมมวิจยะ ก็ทำใจได้ ยิ่งถ้ามีวิริยะ มีกำลังใจด้วย ก็เห็นชัดเจนว่า เป็นสภาพดีที่พึงต้องการแน่ๆ จิตใจของผู้เจ็บไข้นั้น จะไม่ต้องเป็นที่น่าห่วงกังวลแก่ท่านผู้อื่น ยิ่งมีปีติ มีสมาธิ มีอุเบกขา ที่สร้างขึ้นมาได้ก็ยิ่งดี

บูรณาการองค์ประกอบให้เกิดสุขภาพเป็นองค์รวม


                              แต่ที่ท่านต้องการก็คือ ให้องค์ธรรมทั้ง ๗ นี้มาทำงานร่วมกันครบถ้วน จึงจะเรียกว่าเป็น “โพชฌงค์” ที่จะให้เกิดการตรัสรู้ ทำให้กลายเป็นผู้ตื่น ให้กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ ให้กลายเป็นผู้ผ่องใสเบิกบาน โดยที่องค์ธรรมทั้ง ๗ นี้มาทำงานร่วมกันครบบริบูรณ์ เป็นองค์รวมอันหนึ่งอันเดียว
ท่านแสดงลำดับวิธีการที่องค์ธรรมทั้ง ๗ ประการนี้ มาทำงานร่วมกันไว้ว่าเริ่มต้นด้วยข้อ ๑ คือสติ สติอาจจะดึงสิ่งที่เราเกี่ยวข้องเฉพาะหน้าไว้ให้อยู่กับจิต หรือให้จิตอยู่กับสิ่งที่พิจารณาหรือที่กระทำนั้นอย่างหนึ่ง หรืออาจจะดึงสิ่งที่ห่างไกลเข้ามา คือเรื่องที่ผ่านไปแล้ว เช่น ธรรมที่ได้เล่าเรียนมาแล้ว ก็มานึกทบทวนระลึกขึ้นในใจอย่างหนึ่ง สตินี้เป็นตัวแรกที่จะเข้าไปสัมผัสกับสิ่งที่เราเข้าไปเกี่ยวข้อง พอสติดึงเอาไว้ ดึงเข้ามา หรือระลึกขึ้นมาแล้วต่อไปขั้นที่ ๒ ก็ใช้ธรรมวิจัย เลือกเฟ้นไตร่ตรองธรรม เหมือนกับที่อาตมภาพกล่าวสักครู่นี้ว่า เมื่อจิตของเราพบปะกับอารมณ์นั้น หรือสิ่งนั้นแล้ว ก็มองให้เป็นธรรม มองให้เห็นธรรม มองอย่างท่านพระเถรีที่กล่าวถึงเมื่อกี้ ที่มองดูเปลวเทียนก็มองเห็นธรรม เกิดความเข้าใจ หยั่งลงไปถึงความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความดับไปของสิ่งทั้งหลาย หรือถ้ามองเห็นภาพหมู่มนุษย์กำลังวุ่นวายกัน ก็อย่าให้จิตใจปั่นป่วนวุ่นวายสับสน มองให้เห็นแง่ด้านที่จะเกิดความกรุณา ให้จิตใจมองไปในด้านความปรารถนาดี คิดจะช่วยเหลือ หรือเป็นเรื่องน่าสงสาร ถ้าเป็นสิ่งที่ล่วงแล้ว ก็ดึงจิตกับอารมณ์เข้ามาหากัน แล้วก็มองเห็นธรรมในอารมณ์นั้น หรือระลึกถึงคำสอน นำเอาธรรมที่ได้เรียนมานั้น ขึ้นมาไตร่ตรองดู เฟ้นให้เห็นความหมายเข้าใจชัดเจนดี หรือเลือกเฟ้นให้ได้ว่า ในโอกาสเช่นนี้ ขณะนี้ เราควรจะใช้ธรรมข้อไหนแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพราะบางทีเราไม่สามารถทำใจได้ ไหวกับสิ่งที่เราเห็นเฉพาะหน้า ถึงแม้ท่านจะบอกว่า ให้มองอารมณ์ที่เห็นเฉพาะหน้านี้ เป็นธรรม หรือมองให้เห็นธรรม แต่เราทำไม่ไหว เราก็อาจจะระลึกนึกทบทวนไปถึงธรรมที่ผ่านมาแล้ว เพื่อเอามาใช้ว่า ในโอกาสนี้จะเลือกเอาธรรมอะไรมาใช้จึงจะเหมาะ จึงจะเป็นประโยชน์ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ อันนี้ก็เป็นข้อที่ ๒ เรียกว่าธรรมวิจัยอย่างน้อยการที่ได้ทบทวน นึกถึงธรรมที่ได้เล่าเรียนมานั้นก็ทำ ให้จิตมีงานทำ ก็สบายใจขึ้น ถ้าเลือกได้ธรรมที่ต้องการ หรือเฟ้นได้เข้าใจความหมาย ก็จะเกิดกำลังใจขึ้นมา จิตก็จะมีแรงก้าวหน้าต่อไปต่อไปก็ผ่านเข้าสู่ข้อที่ ๓ คือ วิริยะ ที่แปลว่าความแกล้วกล้า ความมีกำลังใจ จิตใจของเรานั้นมักจะท้อถอยหดหู่ บางทีก็ว้าเหว่ เหงา เซ็ง หรือไม่ก็ดิ้นรน กระสับกระส่าย วุ่นวายใจ กลัดกลุ้มที่เป็นอย่างนี้เพราะจิตไม่มีที่ไป จิตของเราเคว้งคว้างแต่ถ้าจิตมีทางไป มันก็จะแล่นไป เพราะจิตนี้ปกติไม่หยุดนิ่ง ชอบไขว่คว้าหาอารมณ์ แต่เราคว้าอะไรที่จะให้เป็นทางเดินของจิตไม่ได้ จิตก็ว้าวุ่นและวนเป็นวัฏฏะ วิ่งพล่านในวงจรที่ไม่ดีไม่งามอยู่อย่างนั้นนั่นเอง ทำความเดือดร้อนใจให้แก่ตนเอง ทีนี้ถ้าทำทางเดินให้แก่จิตได้แล้ว จิตก็จะมีพลัง ก็จะเกิดวิริยะ มีกำลังใจที่จะวิ่งแล่นไป

                                ถ้ามีธัมมวิจยะ คือมองและเฟ้นธรรมให้ปัญญาเกิด มีความสว่างขึ้นมาในอารมณ์นั้น ก็เป็นทางเดินแก่จิตได้ จิตก็จะมีทางและวิ่งแล่นไปในทางนั้น คือมองเห็นเรื่องที่จะทำ มองเห็นทางที่จะก้าวหน้าไป รู้จุดรู้แง่รู้วิธีที่จะแก้ไขจัดการกับเรื่องนั้นๆ หรือที่จะปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆ แล้วก็จะมีแรงขึ้น ก็จะกิดกำลังใจขึ้น ทั้งสองข้อนี้เป็นสิ่งที่เนื่องอาศัยกัน อันนี้เรียกว่า วิริยะ คือความมีกำลังใจที่จะก้าวไป เป็นเครื่องประคับประคองจิตไม่ให้หดหู่ ไม่ให้ท้อแท้หรือท้อถอยพอเกิดวิริยะ จิตมีกำลังแล้ว ปีติ ความอิ่มใจก็เกิดขึ้นด้วยคนที่มีกำลังใจ ใจเข้มแข็ง ใจได้เห็นเป้าหมายอะไรขึ้นมาแล้วก็จะเกิดปีติ มีความอิ่มใจขึ้น อย่างที่เรียกว่าเกิดมีความหวังท่านเปรียบเหมือนกับว่า คนหนึ่งเดินทางไกลฝ่ามากลางตะวันบ่าย แดดร้อนจ้า บนท้องทุ่งโล่งที่แห้งแล้ง มองหาหมู่บ้านและแหล่งนํ้า สระห้วยลำธาร ก็ไม่เห็น เดินไปๆ ก็เหน็ดเหนื่อย ชักจะเมื่อยล้า ทำท่าจะเกิดความท้อแท้และท้อถอย อ่อนแรงลงไป ใจก็หวาดหวั่นกังวล เกิดความเครียดขึ้นมา แต่ตอนหนึ่งมองไปลิบๆ ข้างหน้าด้านหนึ่ง เห็นหมู่ไม้เขียวขจีอยู่ไกลๆ พอเห็นอย่างนั้นก็เอาข้อมูลที่มองเห็นในแง่ต่างๆ มาคิดพิจารณาตรวจสอบกับความรู้ที่ตนมีอยู่ ก็รู้แจ้งแก่ใจว่าที่นั่นมีนํ้า พลันก็เกิดวิริยะมีกำลังเข้มแข็งขึ้นมา ก้าวหน้าต่อไป และพร้อมกับการก้าวไป เดินไป หรือวิ่งไปนั้น หัวใจก็เกิดความชุ่มชื่นเปี่ยมด้วยความหวัง ทั้งที่ยังไม่ถึงนํ้า ก็ชุ่มฉํ่าใจ เกิดความอิ่มใจด้วยปีติพอเกิดความอิ่มใจแล้ว ก็จะมีความผ่อนคลายสบายใจสงบลงได้ หายเครียด เพราะคนที่เครียดกระสับกระส่ายนั้น ก็เนื่องด้วยจิตเป็นอย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ว่า หวาดหวั่นกังวล อ้างว้าง หรือวนอยู่ ติดค้างอยู่ ไม่มีที่ไป ก็เคว้งคว้างๆ จิตก็ยิ่งเครียดยิ่งกระสับกระส่าย พอจิตมีทางไปแล้ว ก็มีกำลังใจเดินหน้าไป มีความอิ่มใจ ก็มีความผ่อนคลายสบายสงบไปด้วย หายเครียด หายกระวนกระวายใจ จิตก็ผ่อนคลายสงบระงับ กายก็ผ่อนคลายสงบระงับ อันนี้เรียกว่า เกิดปัสสัทธิ พอเกิดปัสสัทธิแล้ว จิตซึ่งเดือดร้อนวุ่นวายเพราะความเคว้งคว้างกระสับกระส่าย เมื่อมีทางไปแล้วก็เดินเข้าสู่ทางนั้นความกระสับกระส่าย กระวนกระวาย ความหวาดหวั่นกังวลและเครียดก็หายไป จิตก็นิ่งสงบ แน่วแน่ไปกับการเดินทางและกิจที่จะทำในเวลานั้น ก็เกิดเป็นสมาธิขึ้น แล่นแน่วไปในทางนั้น วิ่งไปทางเดียวอย่างแน่วแน่ และมีกำลังมาก ท่านเปรียบเหมือนกับนํ้าที่เรารดลงมาจากที่สูง นํ้าที่เราเอาภาชนะหรือที่บรรจุขนาดใหญ่เทลงบนยอดภูเขา ถ้านํ้านั้นไหลลงมาอย่างกระจัดกระจายก็ไม่มีกำลัง แต่ถ้าเราทำทางให้ จะต่อเป็นท่อก็ตาม หรือขุดเป็นรางนํ้าก็ตาม นํ้าที่ลงมาตามทางนั้นจะไหลพุ่งเป็นทางเดียว และมีกำลังมาก เหมือนจิตที่ได้ทางของมันชัดเจนแล้ว ก็จะเป็นจิตที่ไหลแน่วไปในทางนั้น และมีกำลังมาก นี้เป็นจิตที่มีสมาธิ เมื่อจิตมีสมาธิ ก็เป็นอันว่าทุกอย่างเดินไปด้วยดีแล้ว เมื่อจิตมีทางไป ไปในทางที่ถูกต้องสู่จุดหมาย เดินไปด้วยดี ไม่มีห่วงกังวล ใจก็สบาย ปล่อยวาง เฝ้าดูเฉยวางทีเป็นกลางอยู่ จิตที่เฝ้าดูเฉยนี้ คือจิตที่มีอุเบกขา เป็นกลาง ไม่เกาะเกี่ยวสิ่งใด เพราะไม่ต้องกังวลถึงงานที่ทำเหมือนอย่างคนขับรถที่ว่าเมื่อกี้นี้ เขาเพียรพยายามในตอนแรกคือ เร่งเครื่อง จับโน่น ดึงนี่ เหยียบนั่น แต่เมื่อเครื่องเดินไปเรียบร้อยเข้าที่ดีแล้วก็ปล่อย จากนั้นก็เพียงนั่งมองดูเฉย สบายคอยคุมอยู่ และทำอะไรๆ ไปตามจังหวะของมันเท่านั้น ตอนนี้จะคุยจะพูดอะไรกับใครก็ยังได้ ถ้าทำ อย่างนี้ได้ จิตที่เดินไปในแนวทางของการใช้ปัญญา ก็จะเจริญปัญญา เกิดความรู้ความเข้าใจเพิ่มพูนเป็นปัญญายิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าเดินไปในทางของการทำกิจเพื่อโพธิ ก็จะบรรลุโพธิคือการตรัสรู้

                             เป็นอันว่า จุดเริ่มต้นที่สำคัญคือ ต้องมีสติ สตินั้นก็นำมาใช้ประโยชน์ดังที่กล่าวแล้ว ให้มันส่งต่อกันไปตามลำดับ เป็นธรรมที่หนุนเนื่องกัน ๗ ประการ ถ้าทำได้เช่นนี้ ก็เป็นประโยชน์ช่วยให้บรรลุถึงจุดหมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น หรือจะใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน แม้แต่ถ้าใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันถูกต้อง ก็เป็นการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นไปด้วยในตัวนั่นเอง เพราะการปฏิบัติที่ว่าเพื่อความหลุดพ้นนั้น ก็คือการที่สามารถทำจิตใจของตนเอง ให้ปลอดโปร่งผ่องใสด้วยสติปัญญานั่นเอง จะเป็นเครื่องช่วยในทางจิตใจของแต่ละท่านทุกๆ คน ทำให้เกิดความโล่งเบา เป็นอิสระ

                             อาตมภาพแสดงธรรมเรื่องโพชฌงค์มานี้ ก็ได้พูดไปตามหลัก ให้เห็นความหมายของแต่ละข้อและความสัมพันธ์กัน แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าเราจะนำมาใช้อย่างไร ในกรณีแต่ละกรณี อันนี้เป็นเพียงการพูดให้เห็นแนวกว้างๆ เท่านั้น จะให้ชัดเจนได้ก็ต่อเมื่อเรานำไปใช้ ในเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ ในเรื่องแต่ละเรื่องว่าจะใช้อย่างไรให้เห็นประจักษ์แก่ตนเอง เมื่อได้เห็นประโยชน์ ประจักษ์ขึ้นมาครั้งหนึ่ง เราก็จะมีความชัดเจนขึ้นและนำไปใช้ได้ผลดียิ่งๆ ขึ้น

                              โอกาสนี้อาตมภาพก็ถือว่าเป็นการพูดเริ่ม หรือเป็นการบอกแนวทางให้หลักการไว้ เป็นความเข้าใจทั่วไป เกี่ยวกับเรื่องโพชฌงค์ ก็พอสมควรแก่เวลา ขอส่งเสริมกำลังใจโยม ขอให้โยมเจริญด้วยหลักธรรมเหล่านี้ เริ่มต้นด้วยสติเป็นต้นไป โดยเฉพาะข้อหนึ่ง ที่อยากให้มีมากๆ ก็คือ ปีติ ความอิ่มใจ จะได้ช่วยเป็นอาหารใจ คือนอกจากมีอาหารทางกายเป็นภักษาแล้ว ก็ขอให้มีปีติเป็นภักษาด้วย คือ มีปีติเป็นอาหารใจ เป็นเครื่องส่งเสริมให้มีความสุข เมื่อมีความสุขกายแล้ว มีความสุขใจด้วย ก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้มีความสุขโดยสมบูรณ์ มีสุขภาพพร้อมทั้งสองด้าน คือด้านกาย และด้านใจ มีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต
 
                               หลักธรรมที่อาตมภาพนำมาชี้แจงเหล่านี้ หากว่าได้นำไปใช้ก็ จะเป็นพรอันประเสริฐที่เกิดขึ้นในจิตใจของโยมแต่ละท่านเอง

                               อาตมภาพขอให้ทุกท่านได้รับประโยชน์จากหลักธรรมชุดนี้โดยทั่วกัน
      บันทึกการเข้า
ทราย 16
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,838

« ตอบ #5320 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2555, 12:22:12 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 08 กุมภาพันธ์ 2555, 08:50:10
อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 07 กุมภาพันธ์ 2555, 22:47:14
ขอให้พี่สิงห์เดินทางปลอดภัยนะคะ กลับมาพร้อมเอาบุญมาฝากน้องๆด้วยเน้อเจ้า
สวัสดีค่ะ คุณน้องป้อม ที่รัก
                 ขอบคุณเธอมาก ๆ แล้วพี่สิงห์จะเอาบุญมาฝาก (ถ้าให้กันได้)
                 ขอความสุขจงมีแก่เธอ และครอบครัว ด้วยค่ะ
                 เมื่อเช้าขณะเดินจงกรมที่หน้าบ้าน ก็มีมารมาผจญ  จิตล่องลอยไปกับอดีตที่พอใจ  นึกถึงความดีที่คุณน้องนางทราย  เคยช่วยพี่สิงห์ ที่โรงพยาบาลแพทย์ปัญญา เป็นสุขแต่ต้องตัดทิ้งเพราะส่งจิตออกนอก เป็นมาร มันผ่านไปแล้ว
                 สวัสดี
โอ๊ะ! นานโขแล้ว จิตพระเชษฐาสิงห์ยังเก็บความจำนี้ไว้รึค่ะ
ยามนี้ ... ถึงเวลาปล่อยวางแล้วพี่ท่าน!
จงน้อมใจ รวบจิตให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อเดินสู่ทางหลุดพ้นเถิดพี่ยา ...
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5321 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2555, 14:29:38 »

อ้างถึง
ข้อความของ ทราย 16 เมื่อ 08 กุมภาพันธ์ 2555, 12:22:12
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 08 กุมภาพันธ์ 2555, 08:50:10
อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 07 กุมภาพันธ์ 2555, 22:47:14
ขอให้พี่สิงห์เดินทางปลอดภัยนะคะ กลับมาพร้อมเอาบุญมาฝากน้องๆด้วยเน้อเจ้า
สวัสดีค่ะ คุณน้องป้อม ที่รัก
                 ขอบคุณเธอมาก ๆ แล้วพี่สิงห์จะเอาบุญมาฝาก (ถ้าให้กันได้)
                 ขอความสุขจงมีแก่เธอ และครอบครัว ด้วยค่ะ
                 เมื่อเช้าขณะเดินจงกรมที่หน้าบ้าน ก็มีมารมาผจญ  จิตล่องลอยไปกับอดีตที่พอใจ  นึกถึงความดีที่คุณน้องนางทราย  เคยช่วยพี่สิงห์ ที่โรงพยาบาลแพทย์ปัญญา เป็นสุขแต่ต้องตัดทิ้งเพราะส่งจิตออกนอก เป็นมาร มันผ่านไปแล้ว
                 สวัสดี
โอ๊ะ! นานโขแล้ว จิตพระเชษฐาสิงห์ยังเก็บความจำนี้ไว้รึค่ะ
ยามนี้ ... ถึงเวลาปล่อยวางแล้วพี่ท่าน!
จงน้อมใจ รวบจิตให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อเดินสู่ทางหลุดพ้นเถิดพี่ยา ...

              บอกแล้วว่า นั่นละพญามาร มาผจญ ครับ
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #5322 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2555, 16:39:42 »

  มาส่งพี่สิงห์ด้วยคนค่ะ....ขอให้พี่สิงห์เดินทางโดยสว้สดิภาพนะคะ.....
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #5323 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2555, 17:35:12 »

เดินทางอย่างมีความสุข สงบ ปลอดภัย
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #5324 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2555, 20:21:00 »

พี่สิงห์คะ
บุญเอามาฝากได้ค่ะ สมัยก่อนหม่อน(แม่ของแม่ของแม่)กลับมาจากวัดยังบอกว่า
เอาบุญเอากุศลตวยกั๋นเน้อ อำเมี๊ยะอำเมี๊ยะอำเมี๊ยะ (อย่าถามเชียวว่าแปลว่าอะไร ไม่ได้ถามเอาไว้ค่า)
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
  หน้า: 1 ... 211 212 [213] 214 215 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><