23 พฤศจิกายน 2567, 08:23:09
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 104 105 [106] 107 108 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3553866 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 32 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2625 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2554, 21:35:48 »

อยากจะเล่าว่าไปเจออะไรมามั่ง..
ฟังเหมือนน่ากลัว...ปล่าวคะ
คือเมื่อวานถีบจักรยานกันไปอีกหมู่บ้าน
เค้ามีงานของหน่วยดับเพลิง
กิน-ดื่มเสร็จเด็กๆเบื่อ ขอกลับบ้านก่อน
แฟนหนิงให้กุญแจบ้านไป..
หนิงถาม"แล้วกุญแจล็อกจักรยานล่ะ?"
แฟนหนิงว่า"จักรยานเด็ก 2 คันจอดไม่ได้ล๊อก"
22.00น.ได้ตั้งใจกลับบ้านเพรามืดแล้ว
เริ่มปรือแล้วคะดื่มไวน์หวาน ไวน์หวานไป
ลิตรครึ่ง....ว้ายยยย,จักรยานเราทั้งคู่ล๊อกคะ
ล๊อกแน่นหนา...ลูกกุญแจอยู่ในพวงกุญแจที่ให้เด็กไป!
..
..
วันนี้ต้องขับพาพ่อ(ที่ไม่ทันนึกถึง)ลูก(ที่ไม่สังเกต)
ไปส่งในงานอีกรอบให้ถีบจักรยานกลับ!
ส่วนหนิงกะอิหนู...หุหุ
ขับรถกลับบ้าน.

วันนี้อากาศหนาวคะ!
ฝนตกเปาะแปะ
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2626 เมื่อ: 25 กรกฎาคม 2554, 21:20:17 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน

                       วันนี้พี่สิงห์ไปสิงห์บุรีมาครับ เรื่องแรกที่กระทำคือไปที่โรงพยาบาลสิงห์บุรีไปให้คุณหมอวิทิต  ตรวจ ผลการตรวจคือ คอเป็นปกติไม่อักเสบ  X-ray ปอดปกติ  ความดันปกติ พี่สิงห์ก็รู้สึกว่าอาการไอลดลง คุณหมอเลยให้ยาแก้แพ้อากาศและยาแก้ไอมารับประทานครับ

                       พี่สิงห์วิเคราะห์ดูแล้ว คงจะเป็นห้องประชุมที่พี่สิงห์นั่งทำงาน นั้นอากาศไม่ดีเพราะนั่งทั้งวันทีไรหายใจไม่ออก จาม เป็นหวัด  ไอ ทุกครั้ง คงจะไม่ไปนั่งทำงานที่ห้องนั้นอีกแล้วครับ เพราะไม่อยากไอ และไม่สะบายกาย

                       สำหรับแม่พี่สิงห์นั้นอาการไม่สู้ดีนักเพราะอาหารเป็นพิษบ่อยมาก เมื่อสองวันที่ผ่านมาแทบไม่รอดเหมือนกันเป็นหนักแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เข้าใจว่าระบบย่อยอาหารคงจะทำงานเหลือน้อยมากแล้ว หรือไม่ทำงานเป็นบางครั้ง อาหารจึงเป็นพิษบ่อย ทั้งที่เป็นอาหารเหลวจากโรงพยาบาล  ตอนนี้แม้แต่น้ำแม่ก็ไม่สามารถกลืนได้ เพราะปราสาทมันไม่ทำงาน สำหรับผมนั้นปลงหมดแล้ว ได้แต่บอกน้องสาวว่า นี่ละชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกคนหนีไม่พ้นทั้งนั้น ดังนั้นอย่าประมาท เจริญสติเอาไว้ให้มาก  เราทำดีที่สุดกับแม่แล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดอย่าไปฝืนธรรมชาติ  พี่สิงห์คุยกับแม่ว่าเป็นอย่างไร  แม่ตอบว่าไม่เป็นไร  ไม่คิดอะไรทั้งสิ้น  พี่สิงห์ถามว่านี่ใครมาเยี่ยม แม่จำชื่อได้คือ มานพ เป็นลูกชายคนเล็ก  ผมถามว่าแม่จะอยู่อีกกี่ปี  แม่บอกว่าอยู่อีกสองปี  แต่สังขารมันไม่ไหว  แต่ใจและสติของแม่ดีมากๆ เวลาไม่เป็นโรคความจำเสื่อมเพราะเลือดไปเลี้ยวสมองไม่พอ  ผมก็บอกกับน้องสาวและคนดูแลเอาไว้ว่า ถ้าแม่ไม่ไหวจริงๆ ให้บอก จะได้พาแม่ไปบ้านที่อำเภออินทร์บุรี เพราะแม่อยากกลับบ้าน หรืออยากไปตายที่นั่น สถานที่คุ้นเคยเพื่อจะไปหาพ่อ

                       ช่วงที่ผมนั่งรอ X-ray นั้น ผมได้มีโอกาสไปคุยกับพยาบาลท่านหนึ่ง เป็นโรคจิต  คิดแต่จะฆ่าตัวตาย  ไม่มีแผนกไหนรับทำงาน น้องสาวผมจึงให้มาทำงานที่นี่ ทำเท่าที่จะทำได้ ขณะนี้ต้องรักษาทางจิตแพทย์  ต้องกินยาควบคุมปราสาท นอนไม่หลับ หาทางออกชีวิตไม่ได้ เหมือนคนแบกโลกไว้คนเดียว  ผมไม่ได้สอบถามมากเพราะเขาไม่ได้บอก  ตอนนี้น้องสาวผมพยายามให้ทำสมาธิตามที่ รศ.สมพร  ได้มาบรรยายให้ฟังที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี แต่เขาไม่ทำเพราะไม่เชื่อ ผมเลยไปนั่งคุยและสอนปฏิบัติธรรม
                       พยาบาลบอกพี่สิงห์ว่าใจเขาแตกสลายแล้ว  อยากตายเท่านั้น  ผมเลยบอกว่าไม่จริง  จิตคนนั้นไม่สามารถแตกสลายได้ เป็นเพราะเราคิดปรุงแต่งไปเอง และก็ตอบเอง มันจึงเป็นเช่นนั้น  ผมจึงบอกว่าคุณเป็นพยาบาลเห็นเด็กแรกเกิดก่อนที่จะร้องไหม นั่นละจิตเป็นประภัสสร ซึ่งเขาเข้าใจ เพราะรู้ว่างเป็นจิตที่ว่างเปล่าทั้งสิ้น  แต่ภายหลังจากเด็กร้องก็จะเก็บประสพการความทุกข์ สุขเก็บไว้ในความจำและสะสมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน  ผมก็บอกว่าสาเหตุที่นอนไม่หลับนั้น เป็นเพราะคุณคิดไม่หยุด ปรุงแต่งไปเรื่อยมีแต่ความวิตกกังวนมันจึงไม่หลับ ในขระเดียวกันเวลาตื่นคุณก็คิดๆๆๆ  ไม่หยุด  ไม่สามารถทำจิตให้อยู่กับปัจจุบันเพราะคุณไม่เชื่อ  ไม่มีศรัทธา  และไม่มีคตวามเพียรที่จะเอาชนะจิตตนเอง ผมอธิบายต่อไปว่า ปกติคนจะคิดเสียดายไปกับอดีตที่ผ่านมาแล้ว  และวิตกกังวนไปในอนาคต  แต่จะคิดอยู่กับปัจจุบัน นั้นน้อยมาก หรือไม่มีเลย และตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยดูใจตนเองเลย เป็นทาษหรือหลงติดอยู่ในความคิดตัวเอง และคิดเข้าข้างตนเองเป็นหลัก  แต่ถ้าใครมีสติที่เกิดจากการสร้างความรู้สึกตัวก็จะเห็นความคิดตัวเองได้  แต่มีคนอีกประเภทหนึ่งที่ปล่อยจิตคิดเกินเหตุ หลุดโลกไปเลยจากคนปกติ คือพวกเป็นบ้า  เป็นโรคปราสาท นั่นคือป่วยทางจิตจริงๆ ไม่สามารถมีสติได้  แต่เท่าที่เห็นคุณกายไม่ได้ป่วย  คุณยังไม่คิดหลุดโลก  ยังถ้าว่าเป็นโรคป่วยทางจิตที่สามารถแก้ไขได้ ด้วยการเอาชนะจิตตัวเองให้ได้ ตอนนี้สาเหตุที่คุณคิดว่าคุณเป็น คือคุณคิดเอง ปรุงแต่งไปต่างๆนาๆ ดังนั้นคุณต้องหยุดคิด  การที่จะหยุดคิดได้ คุณต้องสร้่งความรู้สึกตัวจากการเคลื่อนไหวอวัยวะของคุรเช่น การเดินก็ให้รู้สึกว่าเดิน  การหยิบของก็ให้รู้ว่าหยิบของ  การนั่งก็ให้รู้ตัวว่านั่ง การนอนก็ให้รู้สึกตัว  พูดง่ายๆ คุณจะต้องรู้สึกตัวกับอิริยาบทของคุณนั่นเอง  คุณลองขยับมือตามที่ รศ.สมพร  สอนมาจะเห็นว่าเวลาคุณขยับมาเข้า-ออก คุณรู้สึกตัว คนไม่คิดใช่ไหม เขาตอบว่าใช่ไม่คิด ผมอธิบายต่อไปว่า คนเรานั้นจิตมันคิดสองอย่างพร้อมกันไม่ได้  ถ้าคุณมีความรู้สึกตัว จิตมันจะไม่คิด  ดังนั้นคุณต้องสร้างความรู้สึกตัวให่มากๆเข้าไว้้ฝึกจิตตนเองไม่ให้คิด  เมื่อไม่คิดเสียอย่างโรคที่คุณว่าใจมันแตกไปแล้วนั้น มันไม่ได้แตก แต่คนควบคุมความคิดคุณไม่ได้เท่านั้น โดยสรุปคุณต้องสร้างความรู้สึกตัวเพื่อให้จิตมันหยุดคิด  ปฏิบัติธรรมตามแนวทางหลวงพ่อเทียนนั้นเหมาะสำหรับคุณมากที่สุด  ตามที่ผมเคยสอนให้และคุณก็ทำได้  แต่คุณไม่ทำเองเท่านั้น  ตอนนี้คุณต้องใช้ปัญญาเข้าช่วย เมื่อรู้แล้วว่าจะสามารถหยุดความคิดได้ ด้วยการมีสติสร้างความรู้สึกตัว ซึ่งคุณก็รู้ว่าเวลาทำนั้นมันไม่คิดจริง  ดังนั้นถ้าคุณอยากหายจากโรคนี้ คุณต้องหยุดคิดด้วยการสร้างความรู้สึกตัว รู้ซื่อๆ นี่ละทำให้เป็นนิสัยแล้วโรคมันจะหายไปเอง  ไม่ต้องไปหาหมอจิตแพทย์ หรืออ่านหนังสือใดๆให้เสียต้องทำด้วยตัวคุณเอง ด้วย ศรัทธา  มีความเพียร และปัญญา ของคุณเท่านั้น  การกินยาไม่สามารถหายได้เพราะใจคุณคิดตลอดเวลาไม่หยุด
                        นอกจากนี้ผมก็ได้เล่าประสพการณ์ต่างๆที่ผมพบ จิตตัวเองให้ฟังเพื่อให้เขามีศรัทธา ที่จะทำเอาชนะจิตตัวเองให้ได้  ผมเสียดายที่มีเวลาน้อยไม่ได้เล่าเรื่อง นางปาฎาจารีที่คิดว่าตัวเองจิตสลาย เพราะลูก ผัว พ่อ แม่ พี่ ตายหมด จนตัวเองเสียสติ เป็นบ้าแก้ผ้าเดินร้องไปตามถนน จนมาพบพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า  จิตหลุดพ้นระดับโสดาบันขอบวชเป็นภิกษุณี และต่อมาสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ซึ่งนางปาฎาจารีนั้นคงทุกข์มากกว่าพยาบาลท่านั้นมากนัก ตัวเองคิดว่าจิตแตกสลาย จริงไม่ใช้ ครับ จิตไม่มีแตกสลาย เพียงแต่เราไม่มีสติ จึงควบคุมมันไม่ได้

                         ราตรีสวัดิ์ทุกท่านครับ คืนนี้


รู้ธรรมวันละนิด  จิตผ่องใส

ตอน

ประวัติภิกษุณี

พระปฏาจาราเถรี

เอตทัคคะในฝ่ายผู้ทรงพระวินัย


              พระปฏาจาราเถรี เป็นธิดาของมหาเศรษฐีในเมืองสัตถี เมื่ออายุย่างได้ ๑๖ ปี เป็นหญิงมี
ความงดงามมาก บิดามารดาทะนุถนอมห่วงใยให้อยู่บนปราสาท ชั้น ๗ เพื่อป้องกันการคบหากับ
ชายหนุ่ม

•   ดอกฟ้าได้ยาจก
               แม้กระนั้น เพราะนางเป็นหญิงโลเลในบุรุษ จึงได้คบหาเป็นภรรยาคนรับใช้ในบ้านของ
ตน ต่อมาบิดามารดาของนางได้ตกลงยกนางให้แก่ชายคนหนึ่ง ที่มีชาติสกุลและทรัพย์เสมอกัน
เมื่อใกล้กำหนดวันวิวาห์ นางได้พูดกับคนรับใช้ผู้เป็นสามีว่า:-
“ได้ทราบว่า บิดามารดาได้ยกฉันให้กับลูกชายสกุลโน้น ต่อไปท่านก็จะไม่ได้พบกับ
ฉันอีก ถ้าท่านรักฉันจริง ท่านก็จงพาฉันหนีไปจากที่นี่แล้วไปอยู่ร่วมกันที่อื่นเถิด”
เมื่อตกลงนัดหมายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วชายคนรับใช้ผู้เปลี่ยนฐานะมาเป็นสามีนั้น ได้
ไปรออยู่ข้างนอกแล้วนางก็หนีบิดามารดาออกจากบ้าน ไปร่วมครองรักครองเรือนกันในบ้าน
ตำบลหนึ่งซึ่งไม่มีคนรู้จัก ช่วยกันทำไร่ ไถนา เข้าป่าเก็บผักหักฟืนหาเลี้ยงกันไปตามอัตภาพ
นางต้องตักน้ำตำข้าวหุ้งต้มด้วยมือของตนเอง ได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส เพราะตนไม่เคยทำ
มาก่อน

•   คลอดลูกกลางทาง
              กาลเวลาผ่านไป นางได้ตั้งครรภ์บุตรคนแรก เมื่อครรภ์แก่ขึ้นนางจึงอ้อนวอนสามีให้พา
นางกลับไปยังบ้านของบิดามารดาเพื่อคลอดบุตร เพราะการคลอดบุตรในที่ไกลจากบิดามารดา
และญาตินั้นเป็นอันตราย แต่สามีของนางก็ไม่กล้าพากลับไปเพราะเกรงว่าจะถูกลงโทษอย่างรุน
แรง จึงพยายามพูดจาหน่วงเหนี่ยวเธอไว้ จนนางเห็นว่าสามีไม่พาไปแน่ วันหนึ่ง เมื่อสามีออกไป
ทำงานนอกบ้าน นางจึงสั่งเพื่อนบ้านใกล้เคียงกันให้บอกกับสามีด้วยว่านางไปบ้านของบิดา
มารดาแล้วนางก็ออกเดินทางไปตามลำพัง
               เมื่อสามีกลับมาทราบความจากเพื่อนบ้านแล้ว ด้วยความห่วงใยภรรยาจึงรีบออกติดตาม
ไปทันพบนางในระหว่างทาง แม้จะอ้อนวอนอย่างไรนางก็ไม่ยอมกลับ ทันใดนั้น ลมกัมมัชวาต
คือ อาการปวดท้องใกล้คลอด ก็เกิดขึ้นแก่นาง จึงพากันเข้าไปใต้ร่มริมทาง นางนอนกลิ้งเกลือก
ทุรนทุรายเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างหนัก ในที่สุดก็คลอดบุตรออกมาด้วยความยากลำบาก
เมื่อคลอดบุตรโดยปลอดภัยแล้ว ก็ปรึกษากันว่า “กิจที่ต้องการไปคลอดที่เรือนของบิดา
มารดานั้นก็สำเร็จแล้ว จะเดินทางต่อไปก็ไม่มีประโยชน์” จึงพากันกลับบ้านเรือนของตน อยู่
รวมกันต่อไป

•   สามีถูกงูกัดตาย
               ต่อมาไม่นานนักนางก็ตั้งครรภ์อีก เมื่อครรภ์แก่ขึ้นตามลำดับนางจึงอ้อนวอนสามีเหมือน
ครั้งก่อน แต่สามีก็ยังคงไม่ยินยอมเช่นเดิม นางจึงอุ้มลูกคนแรกหนีออกจากบ้านไป แม้สามีจะ
ตามมาทันชักชวนให้กลับก็ไม่ยอมกลับ จึงเดินทางร่วมกันไป เมื่อเดินทางมาได้อีกไม่ไกลนัก
เกิดลมพายุพัดอย่างแรงและฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก พร้อมกันนั้นนางก็ปวดท้องใกล้จะคลอดขึ้น
มาอีก จึงพากันแวะลงข้างทาง ฝ่ายสามีได้ไปหาตัดกิ่งไม้เพื่อมาทำเป็นที่กำบังลมและฝน แต่
เคราะห์ร้ายถูกงูพิษกัดตายในป่านั้น นางทั้งปวดท้องทั้งหนาวเย็น ลมฝนก็ยังคงตกลงมาอย่าง
หนัก สามีก็หายไปไม่กลับมา ในที่สุดนางก็คลอดบุตรคนที่สองอย่างนาสังเวช
ลูกของนางทั้งสองคนทนกำลังลมและฝนไม่ไหว ต่างก็ร้องไห้กันเสียงดังลั่นแข่งกับลม
ฝน นางต้องเอาลูกทั้งสองมาอยู่ใต้ท้อง โดยนางใช้มือและเข่ายืนบนพื้นดินในท่าคลาน ได้รับ
ทุขเวทนาอย่างมหันต์สุดจะรำพันได้ เมื่อรุ่งอรุณแล้วสามีก็ยังไม่กลับมาจึงอุ้มลูกคนเล็กซึ่งเนื้อ
หนังยังแดง ๆ อยู่จูงลูกคนโตออกตามหาสามี เห็นสามีนอนตายอยู่ข้างจอมปลวกจึงร้องไห้รำพัน
ว่าสามีตายก็เพราะนางเป็นเหตุ เมื่อสามีตายแล้ว ครั้นจะกลับไปที่บ้านทุ่งนาก็ไม่มีประโยชน์ จึง
ตัดสินใจไปหาบิดามารดาของตนที่เมืองสาวัตถี โดยอุ้มลูกคนเล็ก และจูงลูกคนโตเดินไปด้วย
ความทุลักทุเลเพราะความเหนื่อยอ่อนอย่างหนักดูน่าสังเวชยิ่งนัก

•   หัวใจสลายเพราสูญเสียลูกน้อยทั้งสอง
              นางเดินทางมาถึงริมฝั่งแม่น้ำจิรวดี มีน้ำเกือบเต็มฝั่งเนื่องจากฝนตกหนักเมื่อคืนที่ผ่าน
มา นางไม่สามารถจะนำลูกน้อยทั้งสองข้ามแม่น้ำไปพร้อมกันได้เพราะนางเองก็ว่ายน้ำไม่เป็น
แต่อาศัยที่น้ำไม่ลึกนักพอที่เดินลุยข้ามไปได้ จึงสั่งให้ลูกคนโตรออยู่ก่อนแล้ว อุ้มลูกคนเล็กข้าม
แม่น้ำไปยังอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อถึงฝั่งแล้วได้นำใบไม้มาปูรองพื้นให้ลูกคนเล็กนอนที่ชายหาดแล้วกลับ
ไปรับลูกคนโตด้วยความห่วงใยลูกคนเล็ก นางจึงเดินพลางหันกลับมาดูลูกคนเล็กพลาง ขณะที่มี
ถึงกลางแม่น้ำนั้น มีนกเหยี่ยวตัวหนึ่งบินวนไปมาอยู่บนอากาศ มันเห็นเด็กน้อยนอนอยู่มี
ลักษณะเหมือนก้อนเนื้อ จึงบินโฉบลงมาแล้เฉี่ยวเอาเด็กน้อยไป นางตกใจสุดขีดไม่รู้จะทำอย่าง
ไรได้ จึงได้แต่โบกมือร้องไล่ตามเหยี่ยวไป แต่ก็ไม่เป็นผล เหยี่ยวพาลูกน้อยของนางไปเป็น
อาหาร ส่วนลูกคนโตยืนรอแม่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง เห็นแม่โบกมือทั้งสองตะโกนร้องอยู่กลางแม่น้ำ ก็
เข้าใจว่าแม่เรียกให้ตามลงไป จึงวิ่งลงไปในน้ำด้วยความไร้เดียงสา ถูกกระแสน้ำพัดพาจมหาย
ไป

•   ทราบข่าวการตายของบิดามารดาถึงกับเสียสติ
              เมื่อสามีและลูกน้อยทั้งสองตายจากนางไปหมดแล้วเหลือแต่นางคนเดียวนางจึงเดินทาง
มุ่งหน้าสู่บ้านเรือนของบิดามารดา ทั้งหิวทั้งเหนื่อยล้า ได้รับความบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ รู้
สึกเศร้าโศกเสียใจสุดประมาณ พลางเดินบ่นรำพึงรำพันไปว่า:-
“บุตรคนหนึ่งของเราถูกเหยี่ยวเฉี่ยวเอาไป บุตรอีกคนหนึ่งถูกน้ำพัดไปสามีก็ตายในป่า
เปลี่ยว”
นางเดินไปก็บ่นไปแต่ก็ยังพอมีสติอยู่บ้างได้พบชายคนหนึ่งเดินสวนทางมา สอบถาม
ทราบว่ามาจากเมืองสาวัตถี จึงถามถึงบิดามารดาของตนที่อยู่ในเมืองนั้น ชายคนนั้นตอบว่า:-
“น้องหญิงเมื่อคืนนี้เกิดลมพายุและฝนตกอย่างหนักเศรษฐีสองสามีภรรยาและลูกชาย
อีกคนหนึ่ง ถูกปราสาทของตนพังล้มทับตายพร้อมกันทั้งครอบครัวเธอจงมองดูควันไฟที่เห็นอยู่
โน่น ประชาชนร่วมกันทำการเผาทั้ง ๓ พ่อ แม่ และลูกบนเชิงตะกอนเดียวกัน”
นางปฏาจารา พอชายคนนั้นกล่าวจบลงแล้วก็ขาดสิตสัมปชัญญะไม่รู้สึกตัวว่าผ้านุ่งผ้า
ห่มที่นางสวมใส่อยู่หลุดลุ่ยลงไป เดินเปลือยกายเป็นคนวิกลจริตร้องไห้บ่นเพื่อรำพันเซซวนคร่ำ
ครวญว่า:-
“บุตรสองคนของเราตายแล้ว สามีของเราก็ตายที่ทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายของ
เราก็ถูกเผาบนเชิงตะกินเดียวกัน”
นางเดินไปบ่นไปอย่างนี้ คนทั่วไปเห็นแล้วคิดว่า “นางเป็นบ้า” พากันขว้างปาด้วย
ก้อนดินบ้าง โรยฝุ่นลงบนศีรษะนางบ้าง และนางยังคงเดินต่อเรื่อยไปอย่างไร้จุดหมายปลายทาง

•   หายบ้าแล้วได้บวช
            ขณะนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางพุทธบริษัท ทรงทราบด้วยพระฌาณ
ว่านางปฏาจารามีอุปนิสัยแห่งพระอรหัต จึงบันดาลให้นางเดินทางมายังวัดพระเชตวัน นางได้
เดินมายืนเสาศาลาโรงธรรมอยู่ท้ายสุดพุทธบริษัทหมู่คนทั้งหลายพากันขับไล่นางให้ออกไป แต่
พระบรมศาสดาตรัสห้ามไว้แล้วตรับกับนางว่า “จงกลับได้สติเถิด น้องหญิง”
ด้วยพุทธานุภาพ นางกลับได้สติในขณะนั้นเอง มองดูตัวเองเปลือยกายอยู่ รู้สึกอายจึงนั่ง
ลง อุบาสกคนหนึ่งโยนฝ้าให้นางนุ่งห่ม นางเข้าไปกราบถวายบังคมพระศาสดาที่พระบาท แล้ว
กราบทูลเคราะห์กรรมของนางให้ทรงทราบโดยลำดับ พระพุทธองค์ได้ตรัสพระดำรัสว่า:-
“แม่น้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ก็ยังน้อยกว่าน้ำตาของคนที่ถูกความทุกข์ความเศร้าโศก
ครอบงำ ปฏาจารา เพราะเหตุไร เธอจึงยังประมาทอยู่”
ปฏาจารา ฟังพระดำรัสนี้แล้วก็คลายความเศร้าโศกลง พระบรมศาสดา ทรงทราบว่านาง
หายจากความเศร้าโศกลงแล้ว จึงตรัสต่อไปว่า:-
“ปฎาจารา ขึ้นชื่อว่าบุตรสุดที่รัก ไม่อาจเป็นที่พึ่ง เป็นที่ต้านทานหรือเป็นที่ป้องกันแก่
ผู้ไปสู่ปรโลกได้ บุตรเหล่านั้น ถึงจะมีอยู่ก็เหมือนไม่มี ส่วนผู้รู้ทั้งหลายรักษาศีลให้บริสุทธิ์แล้ว
ควรชำระทางไปสู่พระนิพพานของตนเท่านั้น”
                เมื่อจบพระธรรมเทศนา นางปฏาจาราดำรงอยู่ในโสดาปัตผล เป็นพระอริยบุคคลชั้นพระ
โสดาบันแล้ว กราบทูลขออุปสมบท พระพุทธองค์ทรงอนุญาตแล้วจึงบวชเป็นภิกษุณี ไม่นานนัก
ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล
                เมื่อนางปฏาจาราได้อุปสมบทแล้ว ปรากฏว่าเป็นพระเถรีผู้มีความรอบรู้ในเรื่องพระวินัย
เป็นอย่างดี อาศัยเหตุนี้ พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องเธอไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่า
ภิกษุณีทั้งหลายในฝ่าย ผู้ทรงพระวินัย
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #2627 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2554, 02:07:39 »

หายป่วยและสุขภาพดีเกินวัยด้วยครับ
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2628 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2554, 07:54:33 »

อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 26 กรกฎาคม 2554, 02:07:39
หายป่วยและสุขภาพดีเกินวัยด้วยครับ
สวัสดีครับป๋าทู
                     ขอบคุณมาก  พี่สิงห์ไม่ได้เป็นอะไรมาก  ช่วงนี้อากาสเปลี่ยนแปลงมาก  จึงแพ้อากาศ เกือบหายแล้วครับ
                     สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2629 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2554, 08:05:50 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 23 กรกฎาคม 2554, 08:06:32
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                      วันนี้เป็นวันพระ ทำจิตให้ผ่องใส  ด้วยการไม่คิดนอกตัวนะครับ ให้มีสติอยู่กับอิริยาบถของการยืน เดิน นั่ง นอน และการทำงานของท่าน  วันนี้พี่สิงห์ถือศีล ๘ หรืออุโบสถศีล ครับ

                      เมื่อวานอากาศมีแต่ฝนพรำๆ จิตพี่สิงห์เลยแกว่งออกจากกายมาก ไปหลงอยู่กับสิ่งแวดล้อมรอบตัว กว่าจะนำกลับมาได้ก้หลงอยู่ในความคิดตัวเองนานเกินไป ไม่ไวเหมือนแต่ก่อนแล้ว วันนี้พี่สิงห์เลยไปเอาพระสูตรของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกมาบอกกล่าวตัวเอง และทุกท่านให้ทราบ  จะได้กระทำกับจิตตน คือฝึกจิตตนเองให้ได้ ไม่คิดนอกตัว  แต่ทุกท่านต้องทราบก่อนว่า พระสูตรนั้นแยบคายมาก ท่านต้องพิจารณาอย่างละเอียดด้วยปัญญาของท่าน ท่านจึงจะเห็นคล้อยไปตามพระสูตร นั้นครับ  ลองพิจารณาด้วยปัญญครับ

                      สวัสดี(33339)


 
รู้ธรรมวันละนิด  จิตผ่องใส

พระสูตรตอน

จิตที่กวัดแกว่งดิ้นรนนั้นดัดให้ตรงได้

   “ผู้มีปัญญา  ย่อมทำจิตที่กวัดแกว่ง  ดิ้นรน  รักษายาก  ห้ามยากให้ตรงได้เหมือนช่างศรดัดลูกศรฉะนั้น.  จิตนี้  ที่ยกขึ้นจากห้วงน้ำคือความอาลัย  เพื่อจะละบ่วงมารย่อมดิ้นรนเหมือนปลาที่ถูกโยนไปบนบก.”

จิตที่ฝึกแล้วนำสุขมาให้

   “การฝึกจิตที่ข่มได้ยาก  เป็นของเบา  มักตกไปในอารมณ์ตามที่ใคร่  เป็นการดี เพราะจิตที่ฝึกแล้วนำความสุขมาให้.”

จิตที่คุ้มครองแล้วนำสุขมาให้

   “ผู้มีปัญญา  พึงรักษาจิต  ที่เห็นได้ยาก  ละเอียดอ่อน  มักตกไปในอารมณ์ตามที่ใคร่  เพราะจิตที่คุ้มครองแล้วนำความสุขมาให้.”

จะพ้นจากบ่วงมารได้อย่างไร

   “ผู้ใดสำรวมจิต  ซึ่งเที่ยวไปได้ไกล  เที่ยวไปดวงเดียว  ไม่มีร่าง  มีแค่คูหา (คือตัวมนุษย์) เป็นที่อาศัยได้  ผู้นั้นย่อมพ้นจากบ่วงแห่งมาร.”


ผู้เช่นไรปัญญาไม่รู้จักบริบูรณ์  ผู้เช่นไรไม่มีภัย

   “ผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น  ไม่รู้แจ้งพระสัทธรรม  มีความเลื่อมใสอันเลื่อนลอย  ปัญญาของเขาย่อมไม่บริบูรณ์  ผู้มีจิตอันกิเลสไม่รั่วรดแล้ว  มีจิตอันกิเลสตามกำจัดไม่ได้  ละบุญและบาปได้แล้ว  เป็นผู้ตื่นอยู่  ย่อมไม่มีภัย.”

ไตรลักษณ์มีอยู่แล้วโดยปกติ

   “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เพราะตถาคตเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม  ธาตุ, ความตั้งอยู่แห่งธรรม  ทำนองแห่งธรรมอันนั้น  ก็ตั้งอยู่แล้ว  คือข้อที่ว่า  สังขาร (สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง)  ทั้งปวงไม่เที่ยง ; สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ (ทนอยู่ไม่ได้) ; ธรรม (ทั้งสิ่งมีปัจจัยปรุงแต่ง และไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง) ทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน  ตถาคตตรัสรู้เข้าใจทำนองนั้น  ครั้งตรัสรู้แล้ว  เข้าใจชัดแล้ว  ก็บอก, แสดง, บัญญัติ, ตั้งไว้, เปิดเผย, แจกแจง, ทำให้ง่ายถึงข้อที่ว่า  สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ; สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ; ธรรมทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน.”

ฤกษ์งามยามดี

   “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตทางกาย  วาจา  ใจ  ในเวลาเช้า  เช้าวันนั้นย่อมเป็นเช้าที่ดีของสัตว์เหล่านั้น.  สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตทางกาย  วาจา  ใจ  ในเวลากลางวัน  กลางวันนั้นย่อมเป็นกลางวันที่ดีของสัตว์เหล่านั้น.  สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตทางกาย  วาจา  ใจ  ในเวลาเย็น  เย็นวันนั้นย่อมเป็นเย็นที่ดีของสัตว์เหล่านั้น.”

การแสวงหาสองอย่าง

   “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! การแสวงหามี ๒ อย่าง คือการแสวงหาอามีส  กับ  การแสวงหาธรรม.  ในการแสวงหาทั้งสองอย่างนี้  การแสวงหาธรรมเป็นเลิศ.”


นักรบทางธรรม

   “บุคคลรู้จักกาย  ซึ่งมีอุปมาด้วยหม้อดิน (คือแตกง่าย)  ปิดกั้นจิต  ซึ่งมีอุปมาเหมือนพระนคร (ซึ่งมีคูและป้อมเป็นเครื่องกั้น)
 
               พึงรบมารด้วยอาวุธคือปัญญา  พึงรักษาชัยชนะและไม่มุ่งแต่จะพัก (คือไม่ติดในสมาบัติจนไม่มีโอกาสทำหน้าที่สูงขึ้นไป).”

อนาคตของกายนี้

   “ไม่นานหนอ  กายนี้จักนอนทับแผ่นดิน  ถูกทอดทิ้งปราศจากวิญญาณ  เหมือนท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์ฉะนั้น.”

ใครทำร้ายก็ไม่เท่าจิตของตน

   “โจรต่อโจร  หรือคนผูกเวรต่อคนผูกเวร  พึงทำความพินาศอะไรให้แก่กัน  จิตที่ตั้งไว้ผิด  พึงทำบุคคลให้เลวร้ายยิ่งกว่านั้น.”
   
               หมายความว่า  “จิตที่วางไว้ผิด  จักนำทุกข์มาให้”

ใครทำดีให้ก็ไม่เท่าจิตของตน

   “มารดา  บิดา  หรือญาติอื่น ๆ ทำความดีบางชนิดให้ไม่ได้  จิตที่ตั้งไว้ชอบแล้ว  ทำบุคคลให้ดีได้ยิ่งกว่านั้น.”

   หมายความว่า  “จิตที่วางไว้ถูก  จักนำสุขมาให้”

ตัวอย่าง การวางจิตผิดที่ นำทุกข์มาให้

               หลวงพ่อไพศาล  ท่านบอกว่า ท่านเคยได้ฟังคุณหมอประเวศ  วสีเล่าให้ฟัง สมัยที่ท่านเป็นอาจารย์อยู่ที่ ศิริราช  ขณะบรรยายให้นักเรียนแพทยืฟังนั้น ท่านพาไปพบคนไข้ เป็นชายหนุ่ม ตัวซีดเสียว  ผอม  ไม่มีแรง ต้องนอนบนเตียงให้เขาเข็นมา คุณหมอเข้าไปดูแล้วอธิบายว่า  คนไข้คนนี้ไม่เป็นอะไรมากเลย รักษาง่ายนิดเดียว ให้กินเหล้กก็หายแล้ว เป็นพยาธิปากขอ  คนไข้พอได้ฟังเท่านั้นแหละลุกขึ้นยืนจากเตียงทันทีแล้วบอกว่า ถ้ามันรักษาง่ายแบบคุณหมอว่า ผมไม่ต้องนอนบนรถเข็นแล้ว กลับมีแรงเดินได้สบายเลย เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะเดิมทีตัวเองวางจิตไว้ผิดที่ คือตัวเองคิดไปว่า ที่ผอม ซีดเสียวนั้นเพราะเป็นมะเร็ง หมดแรง หมดกำลังใจทั้งสิ้น  คิดว่าจะตายเมื่อไร คิดไปต่างๆ นาๆ มีแต่ทุกข์  วิตกกังวล  ทั้งๆที่เป็นเพียงพยาธิปากขอเท่านั้น   อย่าลืมจิตที่วางไว่ผิด(คิดมาก  คิดไปเอา เกินจริง เพราะอวิชชา) มีแต่นำทุกข์มาให้ ครับ

ตัวอย่าง การวางจิตถูกที่  นำสุขมาให้

               คุณหมอประเวศ นำนักศึกษาแพทย์ไปดูงานที่สงขรา  ไปพบหญิงสาวคนหนึ่งท่าทางร่าเริงไม่ทุกข์เลย เธอเป็นมะเร็งในสมอง  จึงถามเธอว่าเป็นโรคอะไร  จึงร่าเริงนัก  เธอตอบว่าเธอเป็นมะเร็งในสมองระยะที่สอง  แต่เธอยังดีกว่าญาติของเธอมากที่ญาติของเธอเป็นมะเร็งเต้านมระยะที่สาม  คุณหมอบอกว่าเห็นไหม จิตที่วางไว้ถุกมีแต่นำสุขมาให้ เธอเป็นมะเร็งสมอง  ถึงตายแน่นอน แต่เธอคิดว่า เธอยังดีกว่าคนที่เป็นมะเร็งเต้านม  ในขณะเดียวกันชายหนุ่มที่เป็นพยาธิปากขอนิดเดียว มีแต่ทุกข์เพราะวางจิตไม่ถูกที่  ดังนั้นจิตที่วางไว้ถูก นำสุขมาให้เสมอ

อย่าลืมวางจิตของเราให้ถูกที่เมื่อประสพกับเหตุการณ์ที่ร้ายๆ ครับ
                  ผมเชื่อว่าความทุกข์ของพยาบาลที่สิงห์บุรี ที่คิดว่าตัวเองหัวใจแตกสลาย  จึงได้แต่คิดไม่หยุด  ทำงานไม่ได้นั้น ยังทุกข์น้อยกว่า นางปาฎาจารา มากนักที่สูญเสียบุตร สามี พ่อ-แม่ และพี่ชาย หัวใจสลายแต่ยังมีสติกลับมาได้ และเป็นพระอรหันต์     พยาบาลที่สิงห์บุรีนั้น  มีแต่ความคิดปรุงแต่งไปเอง  ถ้าเขาใช้ปัญญาพิจารณาตามที่ผมได้บอกไปแล้ว คงจะพอมีสติ และสร้างความรู้สึกตัวให้มากๆ ก็สามารถจะหยุดความคิดปรุงแต่งลงได้ และถ้ากระทำต่อเนื่องตลอดไปคงหายจากโรคจิตนั้นได้ เพราะยังพอมีสติ  แต่ขาดความมั่นใจตัวเอง  คิดไปเองว่าจิตแตกสลายไปแล้ว  ครั้งหน้าถ้าไปพบผมจะเล่าเรื่องนางปาฏาจารา ให้ฟัง และจะอยู่ปฏิบัติธรรมกับเขา  ให้เขาพยายามทำแล้วจะรู้เอง ครับ

                     ดังนั้นทุกท่านที่กำลังมีความทุกข์  คิดว่าตัวเองแบกโลกนี้ไว้แทบขาดใจ อยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว ลองอ่านเรื่องราวของพระปาฏาจารา แล้วท่านจะเห็นว่าความทุกข์ของท่านนั้นน้อยนิดเมื่อเทียบกับทุกข์ของนางปาฏาจารา  ขอเพียงท่านอย่ายอมแพ้  สร้างความรู้สึกตัวอยู่กับปัจจุบัน ให้มากไว้หรือต่อเนื่อง ใช้ปัญญาและสติคิด ความทุกข์ของท่านก็จะผ่านไปได้ด้วยดี  ด้วยการไม่ทุกข์ ท่านอาจจะได้เป็นพระอรหันต์ หรืออย่างน้อยเป็นพระโสดาบัน ก็ได้ใครจะไปรู้ครับ

                    อย่าลืมพระสูตรของพระพุทธองค์ จิตคนนั้นดิ้นไปไม่รู้จบ คือคิดแวบไปแวบมาตลอดเวลาเหมือนปล่าดิ้นอยู่บนบกฉันนั้น  ดังนั้นเราต้องมีสติ  วางใจของเราให้ถูกที่ด้วยการหมั่นเจริญสติ  สร้างความรู้สึกตัวเข้าไว้  จิตที่ฝึกดีแล้วนำสุขมาให้  แต่จิตที่ขาดการฝึกฝน มีแต่นำทุกข์มาให้ ครับ

                    สวัสดี  อย่าลืมเช้านี้ทำจิตให้ผ่องใสนะครับ(33760)
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2630 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2554, 12:02:57 »

รู้สุขภาพวันละนิด  จิตพ้นทุกข์

ตอน


อันตราย!!!จากอาหารกล่องโฟมน่ะครับ







อันตราย!!!จากอาหารกล่องโฟมน่ะครับ


                      มีเรื่องมาแชร์ครับพี่ๆเพื่อนๆน้องๆ เรื่องนี้ผมได้รับข้อมูลมาจากเพื่อนสนิทคนหนึ่งครับ
คิดว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ อย่างเช่น งาน S/D แบบนี้เรามีข้าวกล่อง โฟม เพียบเลย
เรากินกันเกือบทุกคนเลยจริงมั๊ยครับ วันนึง 2 มื้อ คือ เที่ยง กะ เย็นใช่ป่าวครับ งั้นมาลองอ่านกันดู ว่าเป็นไงบ้าง

                      กล่องโฟมที่ร้านค้าเอามาใช้เค้าจะแกะจากถุงพลาสติกใหญ่
(กล่องโฟมจะเรียงซ้อนกันเป็นแถวๆ)
แล้วหยิบใช้ใส่อาหารขายไม่มีการเช็ด/ล้างก่อน
เคยลองเอามือลูบดูกล่องโฟมใหม่ที่เพิ่งแกะจากถุงจะมีฝุ่นโฟมติดอยู่
คิดว่าน่าจะมาจากการตัดโฟมจากโรงงาน     
หลายคนคงจะรู้จัก โรคด่างขาว บางคนเรียกโรคสะเก็ดขาว
มันก็โรคมะเร็งผิวหนังดีๆ นี่เอง
เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมเจอเพื่อนรุ่นพี่ที่ไม่ได้พบกันมานานหลายปี
(เมื่อก่อนดื่ม เที่ยวด้วยกันเป็นประจำ)
ก็เลยลงไปสนทนาปราศรัยในฐานะเพื่อนรุ่นพี่ที่เคารพรัก
และไม่ได้พบปะกันมานาน สอบถามสารทุกข์สุขดิบกันตามประสา
พี่คนนี้ลักษณะแกคล้ายๆ อี๊ด วงฟลาย แต่หน้าตาดีกว่า
ลักษณะแบบนี้คงนึกออกนะว่าเป็นยังไง
แต่พอคุย จ้องหน้ากันมากๆ แกก็อายๆ อยู่บ้าง เพราะไม่เจอนานหลายปี
แต่ตอนนี้แกเป็นโรคด่างขาว ขึ้นทั้งปาก ทั้งศีรษะ กระทั่งมือ เต็มไปหมด
แกเล่าให้ฟังว่า เวลารับประทานอาหารทุกมื้อ ลูกน้องจะเป็นผู้ไปซื้ออาหารมาให้
คือพี่แกเป็นคนรับประทานอะไรง่ายๆ อาหารทุกอย่างจะใส่กล่องโฟมมาตลอด
แกบอกรับประทานอาหารที่ใส่กล่องโฟมแบบนี้ทุกมื้อเป็นเวลาประมาณ 2 ปี
เท่านั้นแหละ โรคด่างขาวมันอาละวาด ลุกลามเต็มตัว และรวดเร็วมาก
ทุกวันนี้ต้องไปโรงพยาบาลศิริราช
แพทย์จะให้ยามาทาหลอดหนึ่งราคา 1,800.- บาท รักษามา 6 เดือนแล้ว
ตอนนี้ดีขึ้นมาก ตั้งแต่นั้นมา แกบอกว่า เวลาลูกน้องไปซื้ออาหาร
ห้ามใส่กล่องโฟมโดยเด็ดขาด ให้ใส่ถุงพลาสติคเพียงอย่างเดียว
ซึ่งแพทย์บอกว่า ถุงพลาสติคยังไม่ค่อยอันตรายเท่าไร
เพราะกล่องโฟมเวลาโดนอาหารร้อนๆ จะมีสารชนิดหนึ่งละลายออกมา
อยู่ในอาหารในกล่อง พอเรารับประทานเข้าไปมากๆ ก็จะเป็นผลเสียต่อร่างกาย
 
ด้วยความเป็นห่วงครับ แนะนำว่าควรเอาอาหารออกจากกล่องโฟมมาใส่จานแทนก่อนที่จะทานเข้าไป จะดีกว่าครับผม
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2631 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2554, 15:15:35 »

พี่สิงห์ขา,
อ่านซะปวดตาเลยค่ะ!
เดี๋ยวแสบตาหนิงเข้าเวบไม่ได้นะคะ,

พี่สิงห์ หนิงอยากถามหน่อยค่ะ
พี่คุยกับผู้หญิงคนนั้นที่เค้าอยาก
ฆ่าตัวตาย...พี่ไม่ได้ถามเค้าเหรอคะ
ทำไมเค้าถึงใจสลาย??
ใจสลายเพราะผู้ชาย??
ใจสลายเพราะอกหัก/รักคุด??
หนิงสงสัยว่าถ้าสาเหตุไม่ได้รับการปล่อยปลด
ออกจากใจ...ไปบอกให้เค้าหยุดคิดไม่ได้ค่ะ
เพราะเท่ากับกดปัญหาลงให้ลึก ไช่จะไปไหน
ก็ไปฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกอีก...วันดีคืนดีก็โผล่ขึ้นมา

สงสัยว่าก่อนเค้ารักคนอื่น เค้าน่าที่จะรักตัวเองก่อน
คนที่รักตัวเอง จะไม่มีวันคิดทำร้ายตัวเอง!
การฆ่าตัวตาย หรือคิดฆ่า คือการคิดหนีปัญหาเท่านั้น
คะหนิงว่า...หยุดเค้าไม่ได้หรอกคะ...เดี๋ยวเค้าก็พยายามอีก

มาหาหนิงเหรอคะ....หนิงจะคุยกะเค้าว่ารักตัวเองมั้ย?
ไม่รัก?na fine...ทำไงดีให้เร็ว/ฉับพลัน/ไม่สกปรก/ไม่เขรอะ
/ไม่อุจาดตา/ไม่รบกวนคนข้างหลัง....

ว๊ายยยยย ไปยุเค้าได้ไง??
อ้าว...ก็เค้าอยากตายนี่พี่!
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2632 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2554, 16:28:55 »

เอ,พี่สิงห์ หนิงสงสัยอีกแล้วค่ะ!

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 26 กรกฎาคม 2554, 12:02:57
รู้สุขภาพวันละนิด  จิตพ้นทุกข์

ตอน


อันตราย!!!จากอาหารกล่องโฟมน่ะครับ

อันตราย!!!จากอาหารกล่องโฟมน่ะครับ


                      มีเรื่องมาแชร์ครับพี่ๆเพื่อนๆน้องๆ เรื่องนี้ผมได้รับข้อมูลมาจากเพื่อนสนิทคนหนึ่งครับ
คิดว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ อย่างเช่น งาน S/D แบบนี้เรามีข้าวกล่อง โฟม เพียบเลย
เรากินกันเกือบทุกคนเลยจริงมั๊ยครับ วันนึง 2 มื้อ คือ เที่ยง กะ เย็นใช่ป่าวครับ งั้นมาลองอ่านกันดู ว่าเป็นไงบ้าง

                      กล่องโฟมที่ร้านค้าเอามาใช้เค้าจะแกะจากถุงพลาสติกใหญ่
(กล่องโฟมจะเรียงซ้อนกันเป็นแถวๆ)
แล้วหยิบใช้ใส่อาหารขายไม่มีการเช็ด/ล้างก่อน
เคยลองเอามือลูบดูกล่องโฟมใหม่ที่เพิ่งแกะจากถุงจะมีฝุ่นโฟมติดอยู่
คิดว่าน่าจะมาจากการตัดโฟมจากโรงงาน     
หลายคนคงจะรู้จัก โรคด่างขาว บางคนเรียกโรคสะเก็ดขาว
มันก็โรคมะเร็งผิวหนังดีๆ นี่เอง
เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมเจอเพื่อนรุ่นพี่ที่ไม่ได้พบกันมานานหลายปี
(เมื่อก่อนดื่ม เที่ยวด้วยกันเป็นประจำ)
ก็เลยลงไปสนทนาปราศรัยในฐานะเพื่อนรุ่นพี่ที่เคารพรัก
และไม่ได้พบปะกันมานาน สอบถามสารทุกข์สุขดิบกันตามประสา
พี่คนนี้ลักษณะแกคล้ายๆ อี๊ด วงฟลาย แต่หน้าตาดีกว่า
ลักษณะแบบนี้คงนึกออกนะว่าเป็นยังไง
แต่พอคุย จ้องหน้ากันมากๆ แกก็อายๆ อยู่บ้าง เพราะไม่เจอนานหลายปี
แต่ตอนนี้แกเป็นโรคด่างขาว ขึ้นทั้งปาก ทั้งศีรษะ กระทั่งมือ เต็มไปหมด
แกเล่าให้ฟังว่า เวลารับประทานอาหารทุกมื้อ ลูกน้องจะเป็นผู้ไปซื้ออาหารมาให้
คือพี่แกเป็นคนรับประทานอะไรง่ายๆ อาหารทุกอย่างจะใส่กล่องโฟมมาตลอด
แกบอกรับประทานอาหารที่ใส่กล่องโฟมแบบนี้ทุกมื้อเป็นเวลาประมาณ 2 ปี
เท่านั้นแหละ โรคด่างขาวมันอาละวาด ลุกลามเต็มตัว และรวดเร็วมาก
ทุกวันนี้ต้องไปโรงพยาบาลศิริราช
แพทย์จะให้ยามาทาหลอดหนึ่งราคา 1,800.- บาท รักษามา 6 เดือนแล้ว
ตอนนี้ดีขึ้นมาก ตั้งแต่นั้นมา แกบอกว่า เวลาลูกน้องไปซื้ออาหาร
ห้ามใส่กล่องโฟมโดยเด็ดขาด ให้ใส่ถุงพลาสติคเพียงอย่างเดียว
ซึ่งแพทย์บอกว่า ถุงพลาสติคยังไม่ค่อยอันตรายเท่าไร
เพราะกล่องโฟมเวลาโดนอาหารร้อนๆ จะมีสารชนิดหนึ่งละลายออกมา
อยู่ในอาหารในกล่อง พอเรารับประทานเข้าไปมากๆ ก็จะเป็นผลเสียต่อร่างกาย
 
ด้วยความเป็นห่วงครับ แนะนำว่าควรเอาอาหารออกจากกล่องโฟมมาใส่จานแทนก่อนที่จะทานเข้าไป จะดีกว่าครับผม



สงสัยว่า:
1.กล่องโฟมแพร่หลายมากๆทั่วบ้านทั่วเมือง
2.ถ้าสารเคมีในโฟม มีปฏิกิริยาต่อผิวหนังจริง..
3.คนทั้งบ้านทั้งเมืองคงเดินกัน...ด่าง...เหมือนๆกัน?
4.ทำไมบางคนเป็น ทำไมส่วนใหญ่ไม่เป็น?
..
..
เดี๋ยว,พี่บอกไม่ให้เชื่อตามหลักกาลามสูตร๑๐
หนิงclickระวิงกลับไป 2 หน้า....
ยังหากาลามสูตร๑๐ไม่เจอ!
..
..
แล้วตกลงหนิงจะถามอะไรนี่?
ถามว่าที่ไม่ให้เชื่อ...ฟังห.ไว้ห.
เพราะเหตุ อะไรคะ.
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2633 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2554, 16:51:34 »

กว่าพี่สิงห์จามาค้นให้..
หนิงใจร้อน!
ค้นเองละกัน...



อย่าเชื่อ 10 ประการ (กาลามสูตร)       
กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง
วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร

1.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)

2.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)

3.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)

4.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)

5.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)

6.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)

7.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)

8.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)

9.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)

10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)

ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว
จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น

สูตรนี้ในบาลีเรียกว่า เกสปุตติสูตร ที่ชื่อกาลามสูตร เพราะทรงแสดงแก่ชนเผ่ากาละมะ
แห่งวรรณะกษัตริย์ ที่ชื่อเกสปุตติยสูตร เพราะพวกกาละมะนั้นเป็นชาวเกสปุตตะนิคม
ในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผลตามหลัก 10 ข้อ

      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2634 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2554, 16:54:22 »

ยังคะยัง!
hilightอยู่ตรงนี้:




ตัวอย่าง

1.อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ประเภท "เขาว่า" "ได้ยินมาว่า" ทั้งหลาย

2.อย่าได้ยึดถือถ้อยคำสืบๆกันมา ประเภท "ใครๆว่า" "โบราณว่า" ตามกระแส

3.อย่าได้ยึดถือโดยความตื่นข่าวว่า เข่าว่าอย่างนี้ ประเภทข่าวลือ ข่าวโคมลอย ทั้งหลาย

4.อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา อย่าไปตามตำรามากนัก ตำราว่าอย่างนั้น ต้องออกมาเป็นอย่างนั้น เท่านั้น
เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะอย่าลืมว่า ตำราบางเล่ม คนแต่งก็มั่วมาบ้าง เขียนไม่ครบบ้าง
ใส่ไข่เอาเองบ้าง คนมีกิเลสไปแก้ไขตำรา คนมีผลประโยขน์ ไม่แก้ไขตำราเท่ากับเราโดนหลอก

5.อย่าได้ยึดถือโดยนึกเดาเอาเอง เช่น เข้าใจเอาเอง หรือข้อมูลไม่พอ ใจร้อนเดาสุ่มเอา มั่วๆ เอา

6.อย่าได้ยึดถือโดยการคาดคะเน การคาดการณ์ตามประวัติศาสตร์ ตามสถิติ ความน่าจะเป็น
ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพราะเห็นแค่ร้อย อย่าเหมาว่าที่ร้อยเอ็ดจะเป็นไปด้วย

7.อย่าได้ยึดถือตรึงตามอาการ อย่าเห็นว่าอาการแบบนี้ น่าจะเป็นแบบนี้ ให้คิดเผื่อๆไว้ด้วย เช่น
เห็นคนไข้เป็นแบบที่เคยรักษาคนอื่นๆมาก่อน อย่าไปตรึกเอาเองว่าเป็นแบบนั้น เห็นเงาก็จ่ายยาได้
เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าเข้าข้างตนเอง นั่งสมาธิเห็นโน่น เห็นนี้    
อย่านึกว่าเป็นจริง เพราะอาจจะเป็นจิตหลอกจิต


8.อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับทิฐิของตัว อย่าเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่
อะไรที่ตรงกับที่ตนคิดไว้เท่านั้นที่เชื่อได้ คนคิดแบบนี้ ดื้อตายชัก

9.อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ระวังจะโดนหลอก อย่าลืมว่า
สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง

10.อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา
การยึดอาจารย์ของตนเองมากไป ก็ไม่ดี ควรทำตาม ทดสอบดู ถ้าผิดพลาดก็ไม่ต้องเชื่อ
ถ้าทำแล้วดีขึ้นก็แสดงว่าเชื่อได้
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2635 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2554, 16:57:45 »

พี่ดูสิ...
ที่มา...

http://www.buddha4u.org/index.php?option=com_content&view=article&id=67&Itemid=69

พุทธะฟอร์ยูเชียวนะคะ
not for me!


nn.(192224)
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2636 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2554, 17:07:40 »

มีชาวอ่านท้วงมา
"หนุงหนิง,ข้อ๑๐ ไปหลบอยู่ในหลืบ"
"หลืบไหนคะ มี ๙หลืบ"
"หลืบ๙ นั่นแหละ เดี๋ยวไม่ครบ๑๐นะ"
"ค่า ค่า ja,wohl"
แก้แล้วคะพี่สิงห์
แก้อะไร?
แก้....นั่นแหละ


ว๊ายยยยย ทะลึ่งจริง
ไปว่ายน้ำดีกว่า
กลับมาทะลึ่งกว่านี้อีก
ขอบอก.
      บันทึกการเข้า


Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #2637 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2554, 18:11:40 »

         หนูหนิงจ๋า  พี่ต้อยให้คะแนนเต็ม10 เลยค่ะ เดี๋ยวจาให้อีก10 ถ้าหนูapply มาใช้กับชีวิตประจำวัน
                        (ลูกเล่น เอ้ย ล้อเล่น)นะคะพี่ต้อยว่าไปตามบทครูจ๊ะ แต่ที่หนิงค้นมา สุดยอดมาก
                         กาลามสูตรเป็นบทสวดมนต์บทหนึ่งด้วยนะจ๊ะ ยาวมากกกจนหลับก่อนสวดจบ
      บันทึกการเข้า

khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2638 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2554, 19:58:51 »

พี่ต้อย,
พี่ดูข้อ 3 .สิคะ
"เข่าว่า"....โหดง่ะ


 
อ้างถึง   
3.อย่าได้ยึดถือโดยความตื่นข่าวว่า เข่าว่าอย่างนี้ ประเภทข่าวลือ ข่าวโคมลอย ทั้งหลาย
      บันทึกการเข้า


Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #2639 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2554, 20:32:04 »

               5555....มีเรื่อง...มีเรื่อง...ขึ้นเข่า ...ลงศอก ตาม ภาษาfbน้องหนิงจะตามproof  ไหนว่าแสบตาค่ะ?
      บันทึกการเข้า

Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2640 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2554, 20:53:33 »



สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง และคุณน้องต้อย ที่รัก

                      ถูกต้องแล้วที่ไม่เชื่อตามหลัก "กาลามสูตร"  

                      หมู่บ้านเกสรียา นั้น พี่สิงห์ ไปมาแล้ว สถานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม กาลามสูตร
               
                      เวลาพี่สิงห์ ซื้อข้าวกล่องตอนเช้า แม่ค้าเขาเอาพลาสติกรองก้นไม่ให้ติดโฟม เลยยังไม่เห็นผงโฟมติดมา แต่เวลากินข้าวกล่อง พี่สิงห์จะกินไม่หมด ข้าวส่วนที่ติดก้นจะไม่รับประทาน ครับ  เมื่อเขาทักเราจะได้รักษาความสะอาดเอาไว้ เป็นการดีครับ

                     หลักกาลามสูตร นี้เป็นหลักที่ดี  ที่เราควรจะใช้ปัญญาพิจารณา นำเอามาใช้กับตัวเราครับ  คอยเตือนตนเอง อย่าเชื่อง่ายๆ

                     สำหรับพยาบาลที่สิงห์บุรีนั้น  น้องสาวพี่สิงห์เล่าให้ฟังเบื้องหลังสั้น ครับ ถ้าเขาไม่บอกเรา พี่สิงห์ไม่ซอดแวกถามหรอกครับ  กลัวเขาอาย  ปัจจุบันเขาก็ระบายสิ่งต่างๆ ออกไปให้จิตแพทย์รับทราบหมดแล้ว  พี่สิงห์หาวิธีทำให้เขาสามารถนอนหลับได้  คือการสร้างความรู้สึกตัวเข้าไว้  จะทำให้จิตมันหยุดคิดปรุงแต่ง  พอจิตมันชิน  มันก็เลิกคิดไปเองง ณ ปัจจุบัน จริงๆ เขาก็ไม่ได้เดือดร้อนมาก งานก็มี  เงินเดือนก็มี สามารถเลี้ยงตัวเองได้ และมีแม่ที่ช่วยตัวเองไม่ได้อยู่ที่บ้าน  เพียงแต่ขาดสติในการทำงาน และคิดๆๆๆๆๆๆๆ เกินเลยไปเท่านั้น ครับ  ต้องแก้ด้วยการมีสตินี่ละถูกต้องแล้ว อยู่ที่ตัวเขาเองว่า จะทำหรือไม่  ได้แต่พยายามหาสำนักปฏิบัติธรรมตาม internet อยู่นั่นแหละ แต่ไม่ลงมือสักทีครับ

                     พรุ่งนี้พี่สิงห์ไปทำงานที่สระบุรีทั้งวัน ครับ

                     ขอบคุณมากที่นำ กาลามสูตร  มาลงให้อีกครั้ง เป็นการย้ำเตือน จะได้จำได้นำเอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน  

                     ธรรมะนั้น อย่าปล่อยให้มันเป็นธรรมะ อยู่ตามหนังสือ หรือคำที่พระใช้สอน  เราต้องน้อมนำเอาธรรมะนั้นมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเรา มันถึงจะออกดอกออกผล คือเราได้รับผลดีจากธรรมะนั้น  ชีวิต  ครอบครัว ก็มีแต่สงบ สุข ครับ

                     ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ(33880)
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2641 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2554, 22:05:57 »

พี่สิงห์ไปมาแล้วด้วย หมู่บ้านเกสปุตตะนิคม?
 
พี่เล่าให้ฟังคะ ทำไมชนชั้น/วรรณะกษัตริย์เมืองนี้
ถึงมีความเชื่องมงาย เรื่องอะไรเหรอคะ?
เพราะเมื่อ 2500กว่าปีก่อน คนที่นั่นคงเชื่อเจ้า เชื่อผี
ซึ่งถือว่าปกตินี่พี่?ฝนตก ฟ้าร้อง น้ำท่วม ฟ้าผ่า
โรคระบาด อาการผิดปกติ ....หาสาเหตุเองไม่ได้
ก็ยกให้สิ่งเหนือธรรมชาติทั้งสิ้น.

ธรรมะเป็นสิ่งดีคะ(ถ้าปฏิบัติได้หมด...)
แต่"ทำ-ม๊ะ?"คะ....
สนุกกว่า

ว๊ายยยยยย ทาเลิ่งงง
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2642 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2554, 10:02:57 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 26 กรกฎาคม 2554, 22:05:57
พี่สิงห์ไปมาแล้วด้วย หมู่บ้านเกสปุตตะนิคม?
 
พี่เล่าให้ฟังคะ ทำไมชนชั้น/วรรณะกษัตริย์เมืองนี้
ถึงมีความเชื่องมงาย เรื่องอะไรเหรอคะ?
เพราะเมื่อ 2500กว่าปีก่อน คนที่นั่นคงเชื่อเจ้า เชื่อผี
ซึ่งถือว่าปกตินี่พี่?ฝนตก ฟ้าร้อง น้ำท่วม ฟ้าผ่า
โรคระบาด อาการผิดปกติ ....หาสาเหตุเองไม่ได้
ก็ยกให้สิ่งเหนือธรรมชาติทั้งสิ้น.

ธรรมะเป็นสิ่งดีคะ(ถ้าปฏิบัติได้หมด...)
แต่"ทำ-ม๊ะ?"คะ....
สนุกกว่า

ว๊ายยยยยย ทาเลิ่งงง

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                  หมู่บ้านกาลามชน นั้นเป็นเมืองผ่านหมายความว่า ทุกคนที่มาจากเมืองไวสาลีก็ต้องผ่านหมู่บ้านนี้ โดยเฉพาะบรรดาเจ้าลัทธิต่างๆในสมัยนั้นเวลาผ่านมาที่นี้ก็สอนให้ชาวบ้านปฏิบัติตามลัทธิของตนทั้งนั้น ชาวบ้านเลยเกิดความสับสนว่าจะเชื่อคำสอนของใครกันแน่ แต่ละลัทธิก็อ้างว่าคำสอนของตนดีทั้งนั้น เมื่อพระพุทธองค์เสด็จผ่านมายังหมู่บ้านกาลามชนเมือเกสรีนี้ชาวบ้านก็เล่าเรื่องต่างๆให้พระพุทธองค์ทรงทราบ พระพุทธองค์จึงสอนเรื่อง อย่าเชื่อ ๑๐ ประการ  ให้ชาวบ้านได้รับฟัง หลังจากที่พระองค์แสดงธรรมนี้จบ ชาวบ้านก็กล่าวสรรเสริญ และน้อมนำคำสอนนั้นไปปฏิบัติ จึงชื่อว่า กาลามสูตร ครับ

                  ปัจจุบัน นั้นมีสิ่งก่อสร้างที่เป็นต้นแบบบูโรพุทโธ  ที่อินโดนิเซีย คือเป็นซากสถูปญ์ที่มีพระแปดทิศ เท่ากับมรรคมีองค์ ๘  แต่พระพุทธรูปถูกตัดศรีษะทิ้งทั้งหมด สำหรับสถูปย์นั้น ขุดเพียงด้านเดียวตามภาพ ส่วนข้างหลังนั้นยังไม่ได้ขุด ยังเป็นเนินดินทับอยู่และมีต้นไม้ขึ้นรก  ยังรอการขุดค้นอยู่ครับ พี่สิงห์ได้ร่วมทำบุยเนื่องในวันเกิด 5,000 บาท กับหลวงพ่อเจ้าอาวาสที่วัดไทยไวสาลี เพราะท่านจะมาสร้างวัดไทยเกสลี ที่นี่ครับ และที่เชิงสถูปย์ปัจจุบันมีที่บวงสรวงหรือวัดทางศาสนาพราห์มตั้งอยู่  บริเวณโดยรอบชาวบ้านปลูกข้าวสาลี เต็มไปหมด เป็นชนบทห่างไกลเมืองมาก ทางการอินเดียได้ตัดถนนมายังสถานที่นี้จากเมืองไวสาลีไปเนปาลลุมพิณีสถานที่พระพุทธองค์ประสูติเป็นเสันทางธรรม ครับ

                  อากาศไม่ดีเลยเช้านี้มีอาการเหมือนเป็นหวัดหายใจไม่สะดวกครับ

                  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #2643 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2554, 10:43:07 »

อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 26 กรกฎาคม 2554, 02:07:39
หายป่วยและสุขภาพดีเกินวัยด้วยครับ
ดีเกินวัย = แก่กว่าวัย
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2644 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2554, 16:01:00 »

พี่สิงห์,
อากาศร้อนเหรอคะ?
หรือร้อนๆอบๆอ้าวๆ?
พี่พันผ้าพันคอด้วยคะ...
ทำไมต้องพัน ก็มันร้อน...
ร้อนแต่พี่เป็นหวัดนี่....
เหอะน่า ยังถอดมาสั่งน้ำมูกได้น่า.


ส่งแผนที่มหัศจรรย์มาให้พี่
ว่าจะส่งภาคอังกฤษ ก็เกรงทั้งพี่แลพี่กุศล
จะงงงวย ภาคภาษาไทยนี่ล่ะ..ระลึกแบบเฉียบพลัน!




Quelle:เขาให้มา!
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2645 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2554, 23:32:30 »

ได้แล้วคะพี่สิงห์!
หนูได้พระไตรปิฎกonline
ทีนี้ล่ะ...
จะสนธยาทำ กะพี่..บทต่อบท

เถียงคำไม่ตกฟาก..

ว่าแต่ upมาแล้ว ไหงไม่compatibilityกะเครื่องไม่ทราบคะ
ต้องแก้ไขก่อน แล้วจะมาแจกจ่ายคะพี่..
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2646 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2554, 08:33:29 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง และชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                      วันพุธประชุมทั้งวันภาคบ่าย อยู่ในห้องแอร์ ทำให้หายใจไม่สะดวก ตอนเช้าไปถึงโรงงานนั่งในห้องแอร์ จาม ไอ รุมเร้ามาก เห็นท่าไม่ดี  จึงหาหมวกนิรภัยมาสวม เอาผ้าปิดปากกันฝุ่น เดินตรวจโรงงานเสียสองชั่วโมงเพื่อหลีกเลี่ยงไม่นั่งห้องแอร์ ครับ

                       พอดีผลตรวจร่างกายที่โรงงานออกมาพอดี ปรากฎว่าปริมาณเม็ดเลือดขาวน้อยไปหน่อย มันก็ตรงกับสิ่งที่เป็นอยู่คือ ถ้าปริมาณเม็ดเลือดขาวน้อยกว่าปกติ(WBC 4,000 เกณฑ์ 5,000-10,000) ภูมิต้านทานจะลดลง  โดยเฉพาะโรคภูมิแพ้ และโอกาสเป็นมะเร็งจะสูง ซึ่งมันก็เป็นจริง พี่สิงห์จึงต้องทนทุกข์ไอ แพ้อากาศอย่างหนักมาหนึ่งเดือนเต็มแล้ว  กำลังจะหาวิธีเพิ่มปริมาณเม็ดโลหิตขาวให้กับตัวเอง คงต้องเป็นเรื่องอาหารการกิน  ส่วนความดันโลหิตปกติแต่สูง  คอเรสตอรอลสูงเกินปกตินิดหน่อย ไตรกรีเวอไรที่เคยสูงปรากฏว่า ต่ำมาก  คงยังต้องควบคุมอาหาร งดไขมัน (แต่ก็งงเหมือนกัน เพราะอาหารไขมันกินน้อยมาก  เนื้อหมู ไก่ เนื้อ  จนคิดว่าน้อยเกินไปด้วยซ้ำ) และออกกำลังกายให้มากขึ้น พักผ่อนให้เพียงพออีกด้วย ตอนนี้น้ำหนัก 67 กิโลกรัม  คงต้องทำให้มันลดลงเหลือ 66 กิโลกรัมภายในสองอาทิตย์ เพราะที่ผ่านมาคิดว่ากินน้อย ภูมิต้านทานลดลง ตอนนี้เลยกิน กิน มาก อยู่ที่ 68 กิโลกรัม ส่วนสูง 172 เซนติเมตร  อีกสามเดือนจะลองไปตรวจเลือดใหม่ ครับ

                       เป็นอันว่าชีวิตพี่สิงห์เหลืออีกไม่มากแล้ว ก็จะเป็นท่อนไม้แห้งจมอยู่ในแผ่นดิน หรือถูกเผาเป็นอากาศธาตุ  คงต้องเร่งความเพียรให้มากกว่านี้เพราะเวลาเหลือน้อยลงแล้ว  การปฏิบัติธรรมที่ผ่านมานั้น จิตไม่อยู่ปกติ ณ ปัจจุบัน ยังมีอยู่ประมาณ 25% ในหนึ่งวันโดยเฉลี่ย ก็นับว่าสูง คือเผลอ ขณะกินข้าว  พูด  ทำงาน  อ่านหนังสือ หรืออยู่หน้าจอทีวี คอมพิวเตอร์ คือลืมดูกาย-ใจไป  แต่ก็ยังมีสติรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ณ ขณะนั้น  ส่วนจิตนั้น ยังดีอยู่คือ ไม่ปล่อยให้ใจลอยคิดเลื่อยเปื่อย ไปตามอารมณ์ ยังสามารถกลับมาได้เร็วมากเวลาเผลอตัวไป ส่วนเรื่องคิดเพือฝัน เกือบไม่มีเพราะจะตัดทิ้งไม่คิด เช่น เรื่องทางเพศ พอคิดปุ๊ปตัดปั๊ปทันที รู้ตัวเณ้วมาก จนมันไม่คิดลืมไปเลยเรื่องนี้ แต่เรื่องทัวไปในอดีตเกี่ยวกับการทำงานมานั้น มันยังเผลอคิดไปบ้าง แต่ก็พอรู้ตัวว่าเผลอไปคิดก็ตัดทิ้งทันที เพราะความคิดแบวแบบนี้มันเป็นความคิดภายใต้โมหะ คือหลงอยู่ในความคิด ต้องตัดทิ้ง จนบางครั้งก็รู้ตัวเองเหมือนกัน ว่าเรานี่คิดน้อยไปหรือไม่คิดอะไรเลย ในแต่ละวัน  จนลืมอะไรๆ ไปแยะมากโดยเฉพาะชื่อคน

                         มาวิเคราะห์ดูแล้ว  สิ่งที่เราคิดแวบอยู่นี้ก็คือ เรืองงานที่ผ่านมา และกามสุขทางตา หู จมูก  ลิ้น กาย ที่ยังสัมผัสอยู่ ณ ปัจจุบัน แต่ถ้าเราไม่เกี่ยวข้อง เช่น ไม่ดูทีวี  ฟังข่าว  ไม่อ่าน ไม่ไปไหน  ไม่พบผู้คน จะพบว่า เราสามารถตัดความคิดทางกามสุขจากทางอายตนะออกได้ เพราะปัจจุบันก็ไม่คิดปรุงแต่งอะไร เมื่อมีสิ่งมากระทบทาง อายตนะ ๖ อยู่แล้ว  พระท่านถึงให้ไปหาสถานที่สงบตามป่าเขาปฏิบัติธรรม เพราะจะเหลือเพียงจิตของเราอย่างเดียวเท่านั้น เพราะสิ่งที่มากระทบทางอายตนะ ไม่มีหรือมีก็น้อยมาก จนไม่ปรุงแต่งได้ เหลือเพียง จิตเราปรุงแต่ง คือเผลอตัว คิดนอกตัวเท่านั้น  เราก็จะมีโอกาสเอาชนะจิตเราได้ คือ ไม่เป็รทาษ หรือหลงไปกับมัน ครับ

                          พี่สิงห์ก็ได้แต่ ภาวนาสักวันเราหน้าที่จะไปอยู่ในสภาพที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ให้เหลือแต่โลกภายใน คือ จิตเรายังเดียวที่จะต้องต่อสู้กับมัน  คอยดูมันคิด จริงๆ จังๆ เสียที แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอถึงเมื่อใด  เพราะตอนนี้ยังต้องใช้กรรมเก่าอยู่  ยังต้องหาเงินมาซื้อข้าวเลี้ยงชีวิต  เป็นห่วงแม่-พี่สาว ที่ต้องอุปการะอยู่  ยังทิ้งไม่ได้ ยังต้องทำงานเพราะไม่มีเงินเก็บ มีเพียงทรัพย์สินเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น พอเพียงจริงๆ เพราะไม่เคยคดโกงใคร  มีแต่เป็นผู้ให้เสียมากกว่า  แต่ก็ตั้งใจไว้ไม่เกินสี่ปี  คงต้องละทุกอย่างเพื่อตัวเองเสียที คงต้องคอยไป หรือบางทีอาจจะเร็วกว่านั้นก็ได้

                          หลงอยู่ในความคิดตัวเองอีกแล้วเรา

                         สวัสดีครับ (34066)
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2647 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2554, 08:36:22 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 27 กรกฎาคม 2554, 10:43:07
อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 26 กรกฎาคม 2554, 02:07:39
หายป่วยและสุขภาพดีเกินวัยด้วยครับ
ดีเกินวัย = แก่กว่าวัย

ตอนนี้ยอบรับว่า มันแก่จริง  ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในเรื่องทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์  ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้  ได้แต่ชลอเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้นาน  ทุกอย่างต้องเป็นไปตาม อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  ทั้งนั้น นี่ละธรรมที่แท้จริง
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2648 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2554, 09:34:03 »


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์และสมาชิกทุกท่าน...

...เข้ามาตามอ่านอยู่ค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2649 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2554, 13:17:45 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ และชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน

                        วันนี้พี่สิงห์เดินทางไปทำงานที่นครศรีธรรมราช ครับ ขณะนี้นั่งรอขึ้นเครื่องอยู่ที่สนามบินดอนเมือง อึดอัดมากครับ คือมันเป็นห้องแอร์หายใจไม่ออกเลย แพ้อากาศอย่างหนัก ไม่มีไข้  ไม่ไอ  แต่หายใจไม่ออก  อากาศไม่ดีเลยครับในห้องแอร์ สงสัยพี่สิงห์จะแพ้แอร์เสียแล้วครับ คงเป็นเวรกรรมครับ  จริงๆไม่ใช่เวรกรรมหรอก เพราะสมัยเด็กที่บ้านมีโรงสีหมู่บ้าน คลุกคลีกับฝุ่นละอองข้าวมาตลอด  สมัยเรียนก็เป็นหวัดเรื้อรัง จนเป็นไซนัสอักเสบ  มันก็เลยพัฒนามาเป็นแพ้อากาศ  ปัจจุบันพอแก่เข้า  ร่างกายอ่อนแอ  มันก็เลยมาถล่มอย่างหนัก  ก็ต้องรับกรรมต่อไป  จนกว่ามันจะหายสนิท ครับ พยายามเดินออกกำลังกายและรำมวยจีนทุกวัน  มาไม่ดีก็ห้องแอร์นี่ละครับ

                        สงสัยวันนี้พี่สิงห์คงมีโอกาสได้เห็น นายกรัฐมนตรีในอนาคตของประเทศไทยที่เป็นสุภาพสตรี ที่สนามบินดอนเมืองครับ

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 104 105 [106] 107 108 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><