สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
สำหรับนักปฏิบัติธรรมทุกท่าน พี่สิงห์อยากให้ท่านอ่านให้จบครับ ศิลปแห่งการรู้ซื่อ ๆ ของหลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ อ่านจบแล้วท่านจะได้ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติธรรมของท่าน สอนตัวเองได้ครับ ลองตรองด้วยปัญญาของท่านครับ
สวัสดี
รู้ธรรมวันละนิด จิตผ่องใส
ตอน
"ศิลปะแห่งการรู้ซื่อ ๆ"
โดย หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย กราบคารวะแด่พระเถรานุเถระ เพื่อนสหธรรมิกทุกรูป
เจริญในธรรมแด่ญาติโยม สาธุชนทุก ๆ คน
เราก็มาฟังพูด ถ้าฟังแล้วจำเอา มันก็ได้ของปลอม ๆ ไป แต่การพูดการสอนนี้ก็จำเป็น
การพูดให้รู้ ให้จำมันง่าย สอนให้รู้นี่มันง่าย มีผู้สอนทั่วบ้านทั่วเมือง ที่เรานั่งอยู่นี้ก็มีแต่
คนที่มีความรู้ทั้งนั้น รู้ดีรู้ชั่ว รู้ผิดรู้ถูก ทุกคนก็รู้อยู่ เช่นความโกรธ มันไม่ดี ความทุกข์
มันไม่ดี เราก็รู้อยู่ แต่เราก็ยังมีทุกข์ มีโกรธ ทีนี้การสอนให้เป็นนี่ เราต้องสอนตัวเราเอง
สอนให้รู้เรียนจากคนอื่นได้ สอนให้จำง่าย สอนให้เป็น ต้องสอนตัวเอง
การพูดวันนี้ ก็ให้เป็นเพื่อน เป็นกัลยาณมิตรกันกับพวกเราทุกคน แม้แต่ในเทศกาลนี้
โอกาสนี้ พวกเราก็มาเป็นกัลยาณมิตรกัน เพื่อที่จะร่วมกันทำ พากันกระทำ นี่เป็นสิ่งที่ดี
ที่ถูกต้อง การสอนให้เป็นนี้ เราต้องสอนตัวเอง แม้แต่การฟัง การพูด ก็เป็นการกระทำอยู่
ในตัวมันเอง เช่น เราเจริญสติ การเจริญสตินี้ ก็ขออย่าให้มีแนวร่วมอย่างอื่น ให้มีสติ
บริสุทธิ์ มีสติซื่อ ๆ ตรง ๆ ให้มีความรู้สึกตัว ซื่อ ๆ ตรง ๆ รู้สึกที่กาย ซื่อ ๆ ตรง ๆ ให้มี
สติเต็มที่ อย่าให้มีอะไรเป็น เบื้องหน้าเบื้องหลัง นั่นเรียกว่าสอนให้เป็น ให้สติมัน
ท่องเที่ยว อยู่กับกาย กับรูป ให้สติมันเห็นจิตเห็นใจ เวลาที่มันคิดอย่าให้มีอะไรมาขวาง
กั้น ให้โอกาสแก่สติเต็มที่ เกี่ยวกับกายนี้ รู้ซื่อ ๆ ตรง ๆ รู้บริสุทธิ์ วิธีใดที่เราจะมีความรู้
ตัวอยู่ภายในกาย เราก็หาโอกาสนั้น ให้มันซื่อ ๆ ตรง ๆ รู้ซื่อ ๆ แต่บางคนไม่ใช่ บางคน
และอาตมาหรือหลวงพ่อนี่ก็เหมือนกัน สมัยก่อนมันไม่รู้ซื่อ ๆ ตรง ๆ มันเผื่อมันก็ไปรู้
อะไรอยู่ มันก็คิดไป ทำไมจึงทำอย่างนี้ มันเอาผิดเอาถูกเอาเหตุเอาผล ไปร่วมด้วย ทำ
อย่างนี้มันดี มันชอบมันไม่ชอบ ทำไมจึงทำอย่างนี้ ถ้ารู้แล้วมันจะเป็นอย่างไร เช่น เรามี
สติอยู่ เอ้..เรามี สติหรือเปล่า อันนี้เป็นสติหรือเปล่า อันรู้อยู่นี้เป็นสติหรือความคิดกันแน่
บางทีมันก็คิดไป ไม่รู้ว่าตัวสติมันคืออะไร มันก็เลยถูกแบ่งถูกแยกตลอดเวลา เอาเหตุเอา
ผลไปร่วม เอาผิดเอาถูกไปร่วมกับการกระทำ มันก็เลยไม่เต็มที่
รู้ รู้ รู้ รู้ รู้ รู้สึกตัว ทำใหม่ ๆ นี้ อย่าเพิ่งไปเอาเหตุเอาผล ไปเอาผิดเอาถูกจากความคิด อย่าไปเอาอย่างนั้น วิธีใดที่จะมีสติรู้กาย วิธีใดที่จะมีสติรู้จิตใจ ให้ตรงเข้าไป ตรงเข้าไป อย่าเพิ่งไปเอาผิดเอาถูก
ถูกก่อนถูก ผิดก่อนผิด เป็นก่อนเป็น เห็นก่อนเห็น ไม่ใช่ มันจะผิดต่อเมื่อมันผิด มันจะ
ถูกต่อเมื่อมันถูก มันจะเป็นต่อเมื่อมันเป็น มันจะเห็นต่อเมื่อมันเห็น ให้มีสติซื่อๆ อย่าเพิ่ง
ไปเอาเหตุเอาผล อย่าเพิ่งไปคิด ต่อไปมันไม่ต้องคิดดอก เมื่อมีสติเห็นกาย มีสติเห็นจิตใจ
อยู่นาน ๆ มันจะเห็นเอง เขาไม่เรียกว่าคิดดอก เขาเรียกว่าธรรมวิจย เรียกว่า โยนิโสมน
สิกการ มันแยกมันแยะ มันเกิดญาณ เกิดปัญญา ขึ้นเอง นี่เรียกว่าทำซื่อ ๆ เช่น เรายกมือ
พลิกมือ ก็ให้รู้ซื่อ ๆ ไปก่อน ให้รู้สึกว่ายกมือขึ้น รู้สึกว่าพลิกมือขึ้น รู้สึกว่า ไหวไปไหว
มา ที่จริงวิธีที่เราทำอยู่นี้ แต่ก่อนเขามีรูปแบบ แบบหนึ่ง เขาไม่ได้ทำเหมือนกับเราทุก
วันนี้ ต่อมาหลวงปู่เทียนได้มาประยุกต์ขึ้น สมัยก่อนเรียกว่า วิธีไหว-นิ่ง เช่น เอามือวาง
ไว้บนเข่า พลิกมือขึ้น ก็ว่า ไหว-นิ่ง ไหว-นิ่ง ไหว-นิ่ง เขาบริกรรมไปด้วย มีคำบริกรรม
มันไม่ซื่อ ๆ มันไม่ตรงมันยังมีคำบริกรรมมาขวางกั้นอยู่ หลวงปู่เทียน ก็เลยมาพัฒนาให้
ไม่ต้องบริกรรม ให้รู้สึกเฉย ๆ รู้สึกตัว รู้สึก ก็ไม่ต้องว่านะ ให้รู้สึกเฉย ๆ รู้สึก ที่จริงมันก็
รู้รู้ มันรู้ ลักษณะของความรู้สึกนี่มันรู้เฉพาะ มันไม่ใช่รู้จี้นะ มัน รู้ รู้ รู้ (หลวงพ่อยกมือ
ทำตัวอย่างประกอบ) รู้ รู้ รู้อย่างนี้นะ ไม่ใช่จี้นะ แต่บางคนรู้จี้ไป รู้จี้ไป จี้ไป ตามไป ตาม
ไป มันยาว ถ้าอย่างนั้นมันจะกลายเป็นสมถะไป บางทีก็อึดอัดขัดเคือง บางทีก็แน่น บาง
ที่ก็ง่วง บางทีก็เครียดไปเลย รู้ซื่อ ๆ นี่ รู้อย่างยิ้มแย้มแจ่มใสนะ รู้รู้ ถ้าจะนับ ดูก็มี หนึ่งรู้
สองรู้ สามรู้ สี่รู้ ห้ารู้ หกรู้ เจ็ดรู้ แปดรู้ เก้ารู้ สิบรู้ สิบเอ็ดรู้ สิบสองรู้ สิบสามรู้ สิบสี่รู้ มัน
รู้ เป็นรู้ เป็นรู้ นี่เป็นรู้อย่างบริสุทธิ์ อย่ามีอะไรเป็นแยก เป็นแยะ ให้ตัวรู้สัมผัสกับตัวกาย
จริง ๆ ให้สัมผัสกันจริง ๆ เมื่อมันรู้อย่างนี้มันจะชำนาญ มันจะต้องชำนาญแน่นอน ถ้ามัน
สัมผัส สัมผัส สัมผัส เหมือนกับมือที่เราสัมผัสกับอะไรบ่อย ๆ มันก็ต้องชำนาญอย่าง
แน่นอน
ศิลปะศิลปิน หลวงพ่อเป็นศิลปะศิลปินในการดนตรีอยู่บ้าง เวลาเราเอานิ้วมือสัมผัสกับรู
แคน รูขลุ่ย สัมผัสกับฆ้อน ตีระนาด การสัมผัสจริง ๆ นี้ มันมีศิลปะของมันอยู่ในตัว
เช่น นิ้วมือที่ไปสัมผัสรูแคน รูขลุ่ยนี้มันจะได้เสียงที่ไพเราะที่สุด ถ้าเรามีความกดกลึงเข้า
ไป มันจะจี้ เสียงมันจะไม่เพราะ ถ้าเราไปนับรูแคนนี้ มันจะย้อน ๆ หน่อยหนึ่ง นับรูขลุ่ย
มันจะย้อน ๆ หน่อยหนึ่ง ระหว่างนิ้วที่มันดีดพอดี ๆ กับเสียงที่เราต้องการพอดี ระหว่าง
ค้อนที่มันไปถูกระนาดพอดี ๆ แทนที่จะตีเป็ง อย่างนี้ มันมีเสียงตรึง..ง เสียงมันเพราะ
การมีสติสัมผัสกายซื่อ ๆ ตรง ๆ มันจะมีศิลปะของมัน ไม่ต้อง ไปหาเหตุหาผล มันจะรู้
แบบบริสุทธิ์ รู้แบบสุขุม รู้แบบชัดเจน ถ้ามันได้สัมผัสกับความรู้สึกจริง ๆ มันจะเป็น
ศิลปะ มันจะชำนิชำนาญ มันจะรู้ที่ชัดเจนเข้าไป การสัมผัสกับกาย การมีความรู้สึกอยู่กับ
กายจริง ๆ นี้ มันไม่ใช้รู้เฉย ๆ มันก็เป็นงานพัฒนาของมันอยู่ในตัว หรืออุปมาเหมือนกับ
เรา ทำมาหากิน ถ้าเรารู้ไม่บริสุทธิ์ มันจะสิ้นเปลืองพลังงานมากนะ รู้แบบเอาเหตุเอาผล
รู้แบบจี้ รู้แบบบังคับนั่นมันจะสิ้นเปลืองพลังงาน บางคนทำความเพียร เดินจงกรมก็ดี นั่ง
สร้างจังหวะก็ดี รู้สึกว่าหน้าตาบูดบึ้ง คร่ำเครียด มันหนักเกินไป ถ้าเราทำถูก ทำถูกมันไม่
หนัก มันสดชื่น มันเบา มันสบาย มันลืม ลืมเวลา แต่บางคนนี้โอย.. พลิกแล้วพลิกอีกมัน
ไปอยู่กับอะไร มันบังคับเกินไปมันไม่ซื่อ มันไม่ตรง มันจะเป็นสุข มันจะเป็น ธรรมตั้งแต่
แรกแล้ว ความรู้สึกตัวนี่นะ มันจะจัดสรรของมันเอง ทำให้รู้สึกระลึกได้ชัดเจนไป
ตามลำดับ
อยู่ตรงกลาง ดูนอกดูใน ไม่เข้าไม่ออก คนโบราณเขาทำมาหากิน หลวงพ่อเคยไปกับโยมแม่สมัยเด็ก ไปปลูกแตง ปลูกถั่ว เวลา
ฝนตกใหม่ ๆ เวลาโยมแม่เอาเม็ดแตงเม็ดถั่วปลูกลงไป แม่จะพูดออกไปว่า “คนกินเป็น
บุญ นกกินเป็นทาน นกกินเป็นทาน คนกินเป็นบุญ” มันสบายดี แต่ถ้าเราไม่รู้นะ ทำอะไร
ลงไป เราก็อาจจะคิดไป คิดไป จะได้ผล จะขาดทุน จะกำไร จะเสียหายอย่างไร มัน
สิ้นเปลืองพลังงาน บางทีก็นับวันเวลาไป เออ.. เรามาเท่านั้นเท่านี้วัน ยังไม่รู้ ไม่รู้ เป็นผู้
ไม่รู้ไปแล้ว บางคนก็เป็นผู้รู้ไปแล้ว เข้าไปเป็นง่าย ๆ ถลำเข้าไปในความคิด ไปปรุงแต่ง
ผลที่สุด ตัวสังขารมันปฏิบัติธรรม ตัวหลงมันปฏิบัติธรรม ปฏิบัติอยู่ก็ยังหลงอยู่ รู้แล้วไม่
รู้แล้ว อยู่กับความรู้ อยู่กับความไม่รู้ อยู่กับความผิด อยู่กับความถูก ถ้าเข้าไปอยู่ มันจะ
เห็นได้ ย่างไร มันก็เลยอยู่ในถ้ำ หลวงปู่เทียนท่านสอนพวกเรา สมัยที่หลวงพ่อปฏิบัติ
ใหม่ๆ หลวงปู่เทียนท่านให้เข้าไปในกุฏิ หลวงปู่เทียนก็บอกว่า เอ้า.. ปิดประตู ปิดประตู
หลวงพ่อก็ปิดประตู ท่านก็ถาม เห็นข้างนอกไหม เห็นข้างนอกไหม ไม่เห็นครับ ทำ
อย่างไรจึงจะเห็นข้างนอกและข้างใน เปิดประตูหลวงพ่อ เอ้า..เปิดประตูซิ ก็เปิดประตู
ออกมายืนอยู่ตรงกลางประตู ระหว่างกลางประตู หลวงปู่เทียนก็ถามว่า เห็นข้างนอกไหม
เราก็บอกว่าเห็น เห็นข้างในไหม เห็น ทำอย่างนี้นะ ให้ทำอย่างนี้นะ ว่าแล้วท่านก็หนีไป
มันคืออะไร ก็คือ ให้รู้ซื่อ ๆ นี่แหละ อย่าเข้าไปอยู่ อย่าไปเอา อย่าไปเป็น เป็นผู้ผิด เป็นผู้
ถูก เป็นผู้ได้ เป็นผู้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นมันก็เหมือนกับมีม่านมาขวางกั้น มันไมซื่อมันไม่
ตรง มันไม่เปิดออก มันไม่เปิดเผย ไม่เปิดเผย
สติล้วน ๆ ไม่เอา ไม่เป็น ลองทำดูซิ ให้รู้ซื่อ ๆ ก้าวไปทีละก้าวก็รู้ซื่อ ๆ อย่าไปเอาผิดเอาถูก อย่าไปเอาได้ อย่าไป
เอาเสีย ไม่มีเสีย ไม่มีได้ ไม่มีผิด ไม่มีถูก ถ้าเป็นสติล้วน ๆ นะ มันไม่มีถูก ไม่มีผิดมันไม่
รู้ มันไม่มีไม่รู้ มันจะมีแต่สติล้วน ๆ ให้สติมีโอกาสเต็มที่ เหมือนกับเราปลูกข้าว ถ้าปลูก
ไม่เป็น มันก็ไม่ค่อยขึ้นเหมือนกันนะ ถ้าปลูกข้าว ปลูกพริก ปลูกมะเขือ ปลูกผลหมาก
รากไม้นี้ ถ้าปลูกไม่เป็นมันก็ขึ้นยาก รากมันก็ไม่ค่อยงอกง่าย ถ้าเราปลูกเป็นนี้มันเหมาะ
มันเหมาะเจาะ มันเหมาะสม มันสมดุล มันก็ออกราก ตั้งต้นดี ถ้าเราปลูกไม่เป็น มันก็
ขาด พอจะแตกรากออกมา เดี๋ยวก็รากขาด ลมพัดง่อนแง่นคลอนแคลนอยู่เรื่อย ตั้งต้น
ใหม่ ตั้งต้นใหม่อยู่เสมอ ผลที่สุดก็ไม่งอกงาม นี่ให้เราทำดู นี่สอนให้ทำ ไม่ใช่สอนให้รู้
สอนให้ทำนะ พวกเรามาอยู่กันที่นี่ ต้องพยายามทำ ทำซื่อ ๆ ตรง ๆ มีตัวอย่าง สมัยหนึ่ง
หลวงพ่อกลับจากสิงคโปร์มาแวะที่หาดใหญ่ ก็มีคนนำฝรั่งคนหนึ่งเข้าไปหา ฝรั่งคนนั้น
ก็บอกกับหลวงพ่อเลยว่า อย่าสอนผมนะ หลวงพ่ออย่าสอนผมนะ หลวงพ่อสั่ง ให้ผมทำ
ดีกว่า ผมรู้มามากแล้วอย่าสอนผม ให้ผมทำดีกว่า ดูซิ ฝรั่งเขาพูด หลวงพ่อก็รู้สึกว่า โอ..ดี
เหมือนกัน ก็บอกเขา ให้เขาเริ่มต้นแบบนี้แหละ กรรม กรรมคือการกระทำ ให้รู้สึก พลิก
มือขึ้นรู้ไหม รู้ ยกมือขึ้น รู้ไหม รู้ รู้นะ รู้ ก็ให้เขา ทำอยู่นั่นราว 30 นาที ต่อจากนั้นก็พา
เขาเดิน เดินก้าวไปให้รู้นะ เขาก้าวไปทีใด หลวงพ่อก็เอามือเคาะแขนเขา รู้อย่างนี้นะ รู้
อย่างนี้นะ ก้าวไป ก็ให้รู้อย่างนี้นะ รู้ รู้ รู้สึก ให้เดินดูสัก 30 นาที ก็เรียกเขามานั่ง ให้เขา
ยกมือสร้างจังหวะอีก เขาได้สัมผัสกับความรู้สึกตัว สัมผัสกับสติอยู่กับกาย ก็ถามเขาว่า
เมื่อกี้นี้คุณมีสติอยู่กับกาย จิตใจของคุณคิดไปทางอื่นไหม ไม่คิด อยู่ตรงนี้ รู้ตรงนี้ รู้ตรง
นี้ ถ้ารู้อย่างนี้ คุณเคยรู้อยู่อย่างนี้นาน ๆ ไหม 1 วันเคยไหม ไม่เคย ชั่วโมงหนึ่งเคยรู้ไหม
ไม่รู้ ก็เพิ่ง มารู้เดี๋ยวนี้ หลวงพ่อสอน ชี้ให้เห็นนี้เป็นจุดที่เราบกพร่องกันอยู่ ในหมู่พุทธบริษัท
จุดอื่นไม่บกพร่องกันหรอก มันบกพร่องจุดนี้แหละ พุทธศาสนาเกิดขึ้นตรงนี้ พระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ก็เกิดขึ้นตรงนี้ คือ คุณนั่นแหละคือคุณธรรม ต้องให้กำเนิด ให้กำเนิด
ตรงนี้ ตรงนี้เป็นที่เกิดของพุทธภาวะคือภาวะที่รู้ รู้เข้าไป อย่าทำลาย อย่าทำลายภาวะอัน
นี้
เราจึงสมควรที่จะมีโอกาสอย่างนี้ มีสถานที่อย่างนี้ ไม่ใช่เราทำเป็นแฟชั่น ไม่ใช่เรา
โฆษณา จะทำอย่างอื่นมันไม่ถูก พิธีรีตอง ทำบุญ ทำทาน เข้าปริวาสอะไรต่าง ๆ มันไม่
ถูก วิธีที่จะให้มันถูกกับความรู้สึกจริง ๆ มันต้องทำ ทำอย่างนี้ ต้องชวนกันมาทำอย่างนี้
ต้องมาอยู่อย่างนี้ เรียกว่ากิจกรรมของพระศาสนาต้องเริ่มด้วยวิธีนี้ เราปฏิเสธวิธีนี้ไม่ได้
ต้องมีสถานที่ ต้องมีสิ่งแวดล้อม ต้องชวนกันมา ต้องมาทำอย่างนี้ ตอนเช้า ตอนเย็น ก็พูด
ประกอบ มีการพูดประกอบ มีการกระทำประกอบ เพื่อให้มันได้สิ่งแวดล้อมที่ดี ๆ นี่เรา
จึงพากันมาทำแบบนี้ แม้แต่หลวงพ่อพูดอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ไม่ใช่ฟังแล้วจำ แต่ให้ฟังแล้วทำ ฟัง
แล้วกระทำ ทำอยู่ในกายในใจของเรา สัมผัสอยู่กับตัวเรา พอหลวงพ่อพูดว่าสติ เราก็รู้ โอ
.. รู้สึก รู้สึกไปกับการได้ยิน สิ่งที่หลวงพ่อพูดก็มีอยู่กับเรา อยู่กับตัวเราทุกคน มันมีอยู่กับ
เรา คล้ายกับว่า ยิ่งหลวงพ่อพูด เราก็ยิ่งเห็นตัวเรา เห็นอะไร เห็น เห็นในสิ่งที่หลวงพ่อพูด
เช่น ความรู้สึก เราก็มีความรู้สึก อยู่เฉยๆ ก็มีความรู้สึก ถ้าเราชำนาญนะ อาจจะไม่ต้องยก
มือเคลื่อนไหวก็ได้ นั่งอยู่เฉย ๆ ก็มีความรู้สึก กระพริบตาก็รู้สึกได้ หายใจก็รู้สึกได้ ตัวรู้
ที่ไปรู้การกระพริบตาก็เป็นความรู้สึกคือสติ ตัวรู้ที่ไปรู้ลมหายใจก็เป็นความรู้สึกคือสติ
ความรู้ที่กระดิกนิ้วมือ ก็เป็นความรู้สึกคือสติ อยู่เฉยๆ ก็เป็นสติ อยู่ที่ไหนก็เป็นสติ แม้แต่
อยู่เฉย ๆ นั่งอยู่เฉย ๆ ก็เป็นความรู้สึกตัว
กัลยาณมิตร บัณฑิตภายใน นำไปสู่มรรค สู่ผล นี่ การที่หลวงพ่อพูดนี่ ขอให้เสียงนี้เป็นกัลยาณมิตรกับเรา สติก็เป็นกัลยาณมิตรกับตัว
เรา ให้คบ คบกับสิ่งเหล่านี้ คบบัณฑิต คบบัณฑิต ก็ไม่ใช่คบกับคนนั้นคนนี้ อันนั้นก็
ดี เป็นบัณฑิตภายนอก แต่บัณฑิตภายในจริง ๆ ก็คือความรู้สึกตัวนี้ เราพยายามคบดูสิ
สัก 7 วัน เราก็คบมาหลายวันแล้ว เรียกว่าคบบัณฑิตรู้ซื่อ ๆ รู้ตรง ๆ เห็นไหมตอนที่
พระพุทธองค์แสดงธรรมปฐมเทศนาให้ปัญจวัคคีย์ฟัง โกณฑัญญะพราหมณ์เห็น
ธรรม ได้ดวงตาเห็นธรรม ได้มาเป็นพระสงฆ์รูปแรก สองสามวันต่อมา วัปปะ ภัททิ
ยะ มหานามะ อัสสชิ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม พอพระพุทธเจ้าแสดงธรรมปฐมเทศนา
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ก็ชี้ก็พูดเรื่องทางกามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค เป็น
ทางสุดโต่งไม่ควรเดิน มัชฌิมาปฏิปทา คือทาง ทางเดินของใจ ทางเดินทางใจเรียกว่า
มรรค มรรคก็คือความรู้สึกตัวนี้ ความรู้สึกตัว ตัวดู ตัวเห็น ตัวรู้อยู่นี่ เรียกว่ามรรค
ผู้ใดมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ ผู้นั้นกำลังเดินทาง ทางใจกำลังเป็นมรรคหรือเป็นยาน ก็
กำลังนั่งอยู่บนยาน กำลังพาไป ยาน ก็คือมรรค พอพูดเรื่องนี้ไป โกณฑัญญะ
พราหมณ์ก็ทำไปด้วย รู้ไปด้วย ในที่สุดก็แสดงถึงอนัตตลักขณสูตร รูปนี้เที่ยงไหม ไม่
เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ควรหรือที่จะไปยึดไป
ถือเอา มันไม่ใช่บอกหรอกมันเห็น สอนให้เห็นว่าโดยความเป็นจริงก็คือตัวเรานั่น
แหละสอนตัวเรา สอนตัวเรา สอนให้เป็น สอนให้รู้นั้นคนอื่นสอนให้ แต่สอนให้เป็น
ตัวเราต้องสอนตัวเราเอง เป็นแล้วหรือยัง มีความรู้สึกไปในกายเป็นหรือยัง หัดมัน
ไหม เราเดินอยู่รู้สึก รู้สึก บางทีมันคิดไป พอมันคิดไปเราทำอย่างไร ก็มีสติ ให้มีสติ
กำหนด รู้กายที่มันเคลื่อนไหวอยู่นี้ เวลามันมีสติมันยังคิดอยู่ หรือมันแก้ได้ไหม มัน
เปลี่ยนได้ไหม มันเปลี่ยนได้ พอมีสติทีใด ความคิดมันก็หยุด ก็มารู้ที่กายเคลื่อนไหว
อยู่นี้ นี่มันเป็น มันคิดไปทีหนึ่งก็รู้มาทีหนึ่ง พอรู้ นั่นก็คือการสอนตัวเรา ถูกสอนบ่อย
ๆ มันคิดเท่าไรก็ยิ่งดี แต่บางคนไปเอาถูกเอาผิดกับความคิด พอมันคิดไปก็ผิดแล้ว ถ้า
อย่างนั้นไม่ถูก พอมันคิด เห็นมันคิด ไม่ใช่ผิดไม่ใช่ถูก มีแต่เห็น เห็นมันคิดรู้ว่ามัน
คิด พอรู้สึกว่ามันคิด เรื่องทุกอย่างมันก็จบ ต่อรู้ว่ามันคิด มันก็ชำนาญขึ้น
ภาวะที่รู้ว่ามันคิดนี้ เห็นอยู่บ่อย ๆ เห็นอยู่บ่อย ๆ มันจะมีศิลปะ เหมือนกับเราเห็นหน้า
เห็นตากัน เห็นกันครั้งหนึ่ง อาจจะลืมๆหลงๆไป ให้เห็นหลายครั้งหลายคราว หลาย
หน มัน ก็รู้กันแหละ คุ้นเคยกัน รู้กัน ไม่ใช่รู้เฉย ๆ นะ รู้น้ำใจ รู้นิสัย เป็นเพื่อนเป็น
มิตรกัน อย่างไรควรคบ ควรไม่คบอย่างไร นี่่ความรู้สึกตัวนี้เช่น บางคนเห็นความคิด
ก็เข้าใจว่าตัวเองผิด พอมันคิดไป ผิดแล้ว อันนั้น เป็น เป็นผู้ผิด มันไม่ถูก เหมือน
หลวงพ่อสมัยไปปฏิบัติใหม่ ๆ อยู่วัดภูเขา บ้านบุโฮม บ้านหลวงปู่เทียน สมัยนั้น
หลวงปู่เทียนท่านให้ไปอยู่ที่นั่น มีผู้ปฏิบัติหลาย ๆ คน มีพระองค์หนึ่งเดินจงกรมอยู่
ด้วยกัน เดินไป มันเป็นภูเขา หลวงพ่อรูปนั้นเดินต่ำกว่าหลวงพ่อที่นั่งอยู่นี่ หลวงพ่อ
รูปนั้นเดินเหนื่อยก็เลยนั่ง หลวงพ่อก็เห็นท่านนั่ง แต่หลวงพ่อยังเดินอยู่ หลวงพ่อได้
ยินเสียงแป๊ะ แป๊บ เอารองเท้ามาตีหัวตัวเอง นั่งอยู่เอารองเท้าแตะมาตีหัวเองดัง แป๊ะ
โป๊ก ก็เดินไปหา ถามว่าหลวงพ่อทำอะไร หลวงพ่อรูปนั้นก็พูดว่ามันคิดอะไร ไม่รู้ว่า
มันคิดอะไรนักหนา ไอ้บ้านี่ ไอ้ห่านี่ เอารองเท้ามาตีหัวตัวเอง นั่นมันไม่ใช่เห็นแล้ว
มันเป็นไปแล้ว เอาผิดกับตัวเอง ทำเท่าไรก็ไม่รู้นะถ้าทำอย่าง นั้นน่ะมันจะไปอยู่กับ
อะไร พลัดถิ่นอยู่เรื่อย ๆ เหมือนกับปลูกข้าวแล้วถอนอยู่เรื่อย ๆ รากมันก็ไม่งอก เรา
ปลูกข้าวที่มันลอยน้ำขึ้นมา เพื่อนเขาถอดหางไก่ เขียว งามดีแล้ว (ข้าวถอดหางไก่ =
ข้าวที่ปักดำแล้วถอดยอดใหม่) นี่ยังเหลืองจ๋องอยู่ มันก็ไม่เป็นผล เพราะฉะนั้นเวลา
มันคิด อย่าไปเอาผิดเอาถูก ให้เห็นซื่อ ๆ ความคิดก็เป็นประโยชน์ เราจะได้เห็นมัน
มันไม่ใช่ผิดอะไรดอก ความคิดเกิดขึ้นแล้ว ดี เราจะได้เห็น ภาวะรู้สึก นี่ อือ..ม์ รู้สด
ชื่น เห็นมันสุข เห็นมันทุกข์ ก็ อือ..ม์ เห็นมันร้อนก็ อือ..ม์ เห็นมันหนาว ก็อือ..ม์ นี่
เป็นวิปัสสนาน้อย ๆ วิปัสสนาน้อย ๆ กำลังเกิดขึ้น
อย่างนี้ไม่ใช่นักกรรมฐาน ถ้าเป็นผู้ผิด เป็นผู้ถูก มันเป็นภพเป็นชาติอยู่ มันยังหลง ถ้าจะว่าแล้ว มันยังหลงอยู่
ไม่ใช่รู้ ตัวรู้นี่นะมันจะเป็นกลางที่สุด ไปประกอบกับอะไรก็ได้ มันจะเป็นกลางที่สุด
เป็นธรรมที่สุด ใช้กับอะไรก็ได้ ไม่ใช่จะไปเอาผิด ผิดไม่ชอบ ถูกเราจึงชอบ รู้เราจึง
ชอบ ไม่รู้เราไม่ชอบ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ถ้าเป็นอย่างนั้น ตัวรู้ไม่เจริญ ถูกตัดถูกแบ่ง ถูก
แยกอยู่เสมอ ตัวรู้มันไม่เจริญ เข้าใจไหมโยม ที่หลวงพ่อพูดนี่ เป็นไหม เป็นไหมโยม
ที่หลวงพ่อพูดอยู่นี้ เวลามันรู้เราก็พอใจใช่ไหม เวลามันไม่รู้ ก็หน้าเง้าหน้างอ ไม่
สบายใจ เวลาใดมันผิด ก็อือ..ม์ ไม่สบายใจ เวลาใดมันถูกอือ..ม์อย่างนี้ดี หลวงพ่อเคย
ไปถาม ไปสอบอารมณ์ สมัยก่อนที่อยู่ป่าสุคะโต มีคนไปปฏิบัติมาก ไปถามผู้หญิงคน
หนึ่ง เป็นอย่างไรหนู ฮือ..วันนี้หนูแย่ ไม่รู้ว่ามันคิดอะไร มันเครียดไปหมดเลย ไม่
เหมือนเมื่อวานนี้ วันนี้หนูไม่ไหว ๆ ๆ หลวงพ่อก็บอกว่า เอ้ย..พูดอย่างนี้ไม่ ใช่นัก
กรรมฐานหรอก พูดใหม่ดูซิ เขาก็คิด ก็พูดใหม่ว่า อือ..วันนี้หนูเห็นมันคิด เห็นมันคร่ำ
เครียด เออ..ถ้าพูดอย่างนี้ใช้ได้ หนูเห็นมัน ประโยคก่อน เขาเป็น เขาก็ฉลาดขึ้นมา เขา
เห็น เห็นอะไร เห็นมันเครียดเห็นมันคิด คำว่าเห็นนี่ใช้ได้ คำว่าเป็นนี่ใช้ไม่ได้ เข้าใจ
ไหมโยม เข้าใจบ่..
พวกเราเป็นหรือว่าเห็น แยกตรงนี้นะ วิปัสสนาจะแยกตรงนี้ กำลังถลุงแล้ว กำลังย่อย
ออก กำลังสลาย ย่อยออก สลายออก เป็นสุญญตา จนทำให้ไม่มีตัวไม่มีตน วิธีที่เราจะ
เข้าสู่มรรคผล ต้องไปทางนี้นะ มันมีอยู่ในตัวเรา มันบอกเส้นทางเรา มรรคก็แน่นอน
อยู่แล้ว มรรคก็คือดู คือเห็นนั่นแหละโยม มันมาให้เราดู มาให้เราเห็น เห็นไหม สิ่งที่
เกิดขึ้นกับกาย ทางกายก็มี ทางใจก็มี เรื่องทางใจที่มันมาให้เราดู เยอะแยะมันยินดี มี
ไหม ห้าหกวันนี้ เคยเห็นความยินดีไหม มีสุขเคยเห็นไหม มันทุกข์เคยเห็นไหม มันมา
ให้เราเห็น เห็นไหม พอใจ มีไหม ไม่พอใจ มีไหม เห็นไหม นี่ มรรค ถ้าเห็นเป็นมรรค
ไม่ใช่มัก*นะ (มัก = ภาษาอีสาน เพี้ยนเสียง หมายถึง ชอบ รัก พอใจ) ถ้าเห็นจึงจะเป็น
มรรค นั่นแหละมรรค มรรค มัชฌิมาปฏิปทา ทางไปสู่มรรค ผล ก็คือตรงนี้แหละ ตรง
เห็นอย่าเป็น มันมาให้เราเห็น บางคนอาจจะเครียด เห็นไหม เห็นความเครียด บางคน
อาจจะเห็นความง่วง เห็นไหม บางคนอาจจะเห็นความคิด เห็นไหม
เรื่องจิตนี่เอาไม่ได้ มีแต่เห็น เห็น ภาวะที่ดู ภาวะที่เห็นนี่นะ ให้เจริญให้มาก เจริญตัวเห็นให้มาก ให้เห็นกายมัน
เคลื่อนไหวอยู่นั่น ยกมือขึ้นเห็น เอามือลงเห็น รู้เห็น รู้เห็นอยู่ เวลาใดที่เราไม่ต้องการ
มันมา ให้เราเห็นอีก นอกจากที่เราเจตนา เช่นความคิด ไม่ได้เจตนา มันก็คิดขึ้นมา เมื่อ
เราเห็นความคิดก็หมดไป เรามากำหนดตัวรู้นี้แทนที่มันจะเสีย มันไม่เสีย ดี มันคิด
ขึ้นมา ดีเสียด้วยเราจะได้เห็นมัน เห็นมันคิด บางทีมันรู้นะมันรู้อะไรต่อมิอะไร
เยอะแยะ บางทีมันก็สุข อมยิ้ม อย่าไปเอา อย่าไปเป็น ยืนอยู่บนความเห็นเอกลักษณ์
ของนักปฏิบัติ อยู่ที่ตัวเห็นตัวดูนี่ ไม่เป็น ไม่ผิด ไม่เสียเวลา แต่ถ้าบางคนเป็น ก็เสียไป
อีกหละ เป็นปิติ เป็นปัสสัทธิ เป็นนิมิต เป็นวิปัสสนู เป็นจินตญาณ รู้อะไร เยอะแยะ
ไปหมดเลย ไปตกแหล่งความรู้ ก็รู้เอา รู้โน่นรู้นี่ เป็นผู้รู้เสียเวลาไปอีกแล้ว ไม่ต้องรู้ ก็
ได้ แต่ให้เห็นมัน เห็นมันรู้ เห็นมันไม่รู้ เหมือนกับเรานั่งรถจากโน่นจากจังหวัดชัยภูมิ
พอมาถึงวัดป่าเขาคงคา พอมาถึงที่นี่ี่แล้วไม่ต้องสอน เรื่องที่ผ่านมา ไม่ต้องสอน มัน
เห็นแล้วเพราะผ่านมา แต่บางคนพอไปเจอต้นไม้ใหญ่ร่มเย็นสบาย บางทีก็พักอยู่ที่นั่น
เสียเลย บางคนไปเจอแดดเจอร้อนหน้าดำหน้าแดงมา ไปเป็นเอากับภาวะนั้น ให้เรา
ผ่านมาเสียก่อนอย่าโลภ บางคนก็โลภเอา เอาผิดเอาถูก ก็เป็นความโลภ จะเอา จะเอา
เอาอย่างนั้นมันไม่ถูก โดยเฉพาะเรื่องจิตใจนี่เอาไม่ได้ มีแต่เห็น เห็นนี่
ถึงคราวจนเข้ามาจริง ๆ จะมีค่า บางคนอาจจะฟังไม่เข้าใจ พูดไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ก็พูดเอาไว้อย่างนี้แหละ ถ้ามันจน
มามันอาจจะคว้าหา อาจจะเป็นประโยชน์ในช่วงนั้น เมื่อวานนี้ก็ได้พูดกับหลวงพ่อ
เจริญ หลวงพ่อจรัลว่า ผมพูดนี้ ผมไม่ได้ทำให้คนรู้เดี๋ยวนี้ อาจจะเป็นไปไม่ได้ อาจจะ
20-30 ปีโน่น คำพูดนี้อาจจะพิสูจน์ได้ หรือ บางทีเราจน เราจนตรอกมา เพราะเราเคย
ได้ยินมา อาจจะคว้าหาเอามาทำให้มันมีขึ้นมา เช่น หลวงพ่อพูดว่า อย่าไปอยู่ ให้ดู
บางทีเราจนเจียนเข้ามา มันทุกข์ มันเจ็บมันปวด อาจจะระลึกได้ว่าหลวงพ่อเคยพูด ดูดู
มัน ก็มาดูมัน ภาวะที่ดูอาจจะช่วย ช่วยแก้ปัญหาได้ ภาวะที่ดู พอเราสัมผัสกับภาวะที่ดู
นี่ มันก็อาจจะหลุดจะพ้นจะปล่อยจะวางอะไรก็ได้ ใครจะช่วยเราเดี๋ยวนี้ เราอาจจะมี
ตาเต้นอยู่เยอะแยะ อาจจะเอาโน่นเอานี่ ยังไม่จน ถึงคราวจนเข้ามาจริง ๆ จะมีค่า จะมี
ค่า เพราะฉะนั้น พูดเอาไว้อย่างนี้แหละให้ได้ยินได้ฟังกันเอาไว้ รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบก
หาม แต่ว่าไม่ใช่เหลือวิสัยของเรา เราจึงมาทำกรรมฐานกัน กรรมเป็นสิ่งจำแนกสัตว์
มาเริ่มต้นที่ตรงนี้กัน พวกเรามาดูกาย ความรู้สึก ให้มันสัมผัสกับกายจริง ๆ บางที่เราดู
กายอยู่ สิ่งที่มันมารบกวน มาแยกให้เราหลง ชวนให้เราหลง เช่นความคิด ความง่วง
นิวรณ์ธรรมต่าง ๆ เราก็จะได้เห็นมัน จะได้เห็นสิ่งที่มันผิด จะได้เห็นสิ่งที่มันถูก เห็น
ผิด เห็นทั้งผิด เห็นทั้งถูก นี่เรียกว่ามรรคแล้ว สิ่งที่มันทำให้เราหลง เช่น นิวรณ์ธรรม
สังขาร ความคิดปรุงแต่ง เราก็จะได้เห็น บางคนก็เป็นไปกับมัน ไม่ใช่มันไม่มีค่า
บทเรียนที่มีค่า ก็คือเวลาใดที่มันหลงมันก็สอน แต่บางคนเอาความหลงมาลงโทษ เอา
ผิด ทำให้งานล้มเหลว มันไม่ใช่ เวลาใดที่มันหลง เรารู้ขึ้นมา มันมีค่าเป็นบทเรียนที่มี
ค่า เป็นบทเรียนที่ให้ประสบการณ์ ขณะที่มันหลง หลงทีหนึ่ง ประสบการณ์ทีหนึ่ง มี
ค่าทีหนึ่ง ยิ่งมันคิดหลายทีที่มันชวนให้หลง ความง่วงเหงาหาวนอน ที่มันชวนให้ ก็รู้
มัน เกี่ยวข้องกับมันถูกก็มีค่า เหมือนกับเราเรียนหนังสือ ครูสอนหนังสือ เวลา
นักเรียนทำผิด ครูสอนให้เขียน ก ไก่ นักเรียนไปเขียน ป ปลา ครูเห็นทำผิด ก็สอน
บอกนักเรียนให้แก้ไข ขณะนักเรียนทำผิด นักเรียนได้แก้ไขขณะทำผิดนั้น มันก็มีค่า
แต่เวลาใด ที่นักเรียนทำผิด ครูไม่ได้สอน มันไม่มีค่า มันเป็นบาปของนักเรียนไป ตัว
ของเราเองก็เหมือนกันเวลาใดที่มันผิด เราเป็นผู้ผิดก็เป็นบาปของเราไปเสียแล้ว แต่
เวลาใดที่เราผิด เราเห็นผิดก็แก้ไข มันก็เป็นบุญแล้ว ความผิดเป็นครู แต่ความผิด
เพราะคนอื่นบอก มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่นี่ ที่เราทำอยู่นี้ เรารู้ของเราเอง เวลาเราเห็น
ผิด เราเปลี่ยนเป็นถูก เวลาใดเห็นทุกข์ เราเปลี่ยนเป็นความไม่ทุกข์ เวลาใดเห็นมัน
โกรธ เราเปลี่ยนเป็นไม่โกรธ จุดนี้ี้ป็นกรรมของเรา คนอื่นช่วยไม่ได้หรอก ความคิด
เวลาใดที่เราคิด คนอื่นมาเห็นกับเราไม่ได้ เราเห็นเอง ความโกรธ คนอื่นก็ไม่เห็น เรา
ต้องเห็นเอง ความโลภ ความหลง กิเลส ตัณหา ราคะ ความง่วงเหงาหาวนอน คนอื่น
ไม่เห็น เราเห็น คนอื่นอาจจะเห็นบ้าง จากลักษณะภายนอก แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถ้า
เราเห็นขึ้นมา เราก็แก้ได้ ก็ลองแก้ลองดู อย่าเพิ่งไปหมดตัวกับมัน พอมันง่วงก็หลับ
ตาปี๋เข้าไป หาว อ้าปาก ก็เรียกว่าร่วมกับมัน เป็นแนวร่วมไปกับ มัน มันก็ง่วงง่าย เรา
หาวิธีดูซิ พอมันง่วงทำอย่างไร อย่าเพิ่งไปยอมแพ้มัน สู้มันสักหน่อย อาจจะไปมอง
ท้องฟ้า มองยอดไม้ ดูวัน ดูเวลา ดูทิศ ดูทาง เอาความรู้สึกออกไปไกล ๆ มองก้อน
เมฆ ท้องฟ้า ทำความเห็นว่าเวลานี้เป็นกลางวัน ไม่ใช่เวลานอน เป็นเวลาทำงาน
กลางคืนจึงจะเป็นเวลานอน มองไป ถ้ามันไม่หาย ก็เดินไปเอาน้ำล้างหน้า อาบน้ำ สู้
มันสักหน่อย อย่าไปนั่งสัปหงก ถ้าไปนั่งสัปหงก โอย ไม่ไหวแล้ว นั่น มันเข้าไปลึก
แล้ว ถ้าถึงกับนั่งสัปหงก ก็เข้าไปลึกแล้ว ต้องตื่น! ลืมตาทำความรู้สึก มันก็สู้ได้ มัน
เปลี่ยนได้ มันแก้ได้
ภาวนา คือ ทำความดีให้มาก นี่.. ปฏิบัติ ปฏิคือกลับคือแก้ ไม่ใช่เดินจงกรมทั้งวัน นั่งอยู่ทั้งวัน แต่ว่าไม่เคยแก้้ นั่น
ไม่ใช่ เวลามันครุ่นคิดก็ครุ่นคิด ไปเป็นชั่วโมงสองชั่วโมง ก็นั่งคิดอยู่นั่นแล้ว ถ้าอย่าง
นั้นไม่ใช่ ปรารภความเพียร เป็นความเกียจคร้าน นักปฏิบัติคือ เปลี่ยน เปลี่ยนผิดให้
เป็นถูก เปลี่ยนหลงให้เป็นไม่หลง เวลาใดมันหลง เปลี่ยนทันทีมันจะมีค่า เวลาใดมัน
ผิด เปลี่ยน รู้ทันที ปฏิบัติ ปฏิคือเปลี่ยน ภาวนาคือทำความดีให้มาก ทำความร้ายให้
กลายเป็นความดี เขาเรียกว่าภาวนา ความดีคืออะไร ความดี ก็คือความรู้สึกตัวที่เรามา
ทำกันอยู่นี้ ทำให้มาก ๆ ทำความดีอันนี้ เรียกว่าภาวนาบริกรรม ก็คือนึกเป็นคำพูดไว้
ในใจ พุทโธ สัมมา อรหัง ๆ นะมะพะทะ ๆ อย่างบริกรรมคาถา สมัยก่อนหลวงพ่อ
เรียนคาถาต้องบริกรรม เช่นคาถาหนังเหนียวต้องบริกรรม ถ้าบริกรรมไม่ได้มั้นก็ไม่
อยู่ยงคงกระพัน ต้องบริกรรม บริกรรมถ้าตัวไม่ใหญ่คับห้องก็เรียกว่าบริกรรมไม่ได้
อันนั้นเรียกว่าบริกรรม บางทีเราใช้ศัพท์ผิด บางทีเราว่าพุทโธ ๆ เป็นภาวนา นั่นไม่ใช่
พุทโธ ๆ เป็นบริกรรม สัมมาอรหัง ๆ เป็นบริกรรม คำว่าภาวนานี้ ตัดออก คือทำ
ความรู้สึกเฉย ๆ เช่น มีสติเคลื่อนไหวไปมาอยู่รู้สึก รู้สึก นี่เรียกว่าภาวนา ภาวนา
ไม่ใช่บริกรรม ภาวนาคือ ทำความดีให้มาก ทำเอา บัดนี้ทำเอา บอกให้แล้ว รู้แล้ว รู้วิธี
แล้ว เอาไปทำบัดนี้ ให้มีการกระทำที่เกิดขึ้น รู้ที่อื่นไม่เอา หัดใหม่ ๆ นี้ รู้ที่กาย ให้รู้ที่
กาย รู้ที่อื่น ไม่เอา เอากายนี้แหละเป็นนิมิต เอากายนี้แหละเป็นวัสดุ อุปกรณ์ผลิต
ความรู้สึกตัวออกมา เพราะว่ากายนี้เป็นธรรมชาติ ถ้าเห็นกายก็ต้องเห็นจิตใจ เรื่องของ
คน ก็คือมีกายมีจิตมีใจ ให้สติมีความชำนาญอยู่ตรงนี้ นี่่ถ้าสติมันเห็น ชำนาญ อยู่ที่
กายที่ใจ มันก็จะเรียนรู้ที่นี่ นี่แหละคือตู้พระไตรปิฎก มรรค ผล นิพพาน ก็อยู่ตรงนี้
นรก เปรต อสุรกายก็อยู่ตรงนี้ ให้รู้แจ้งซะ ให้รู้แจ้งซะ อย่าให้มันมาหลอกได้ อย่าให้
กายมันหลอก อย่าให้ใจมันหลอก
เรื่องจิตใจ พัฒนาได้ถึงที่สุด สิ้นทุกข์ ตัวสตินี่เป็นตัวศึกษา เป็นนักศึกษา ตัวสติ ตัวรู้สึกตัว จะชำนาญอยู่ในเรื่องกายเรื่องใจ
จะเรียนจบก็อยู่ที่ตรงนี้ เหมือนกับนักศึกษาเข้าเรียนในสถาบันต่าง ๆ เรียนจบจาก
สถาบันนั้น ๆ เขาเรียกว่าปริญญา จบจากที่ใหน สาขาวิชาอะไร แต่ว่า สติความรู้สึกตัว
นี้จะเป็นศึกษา คำว่าศึกษาก็คือถลุง จะไปเห็นศีล เห็นสมาธิ เห็นปัญญาออกมา สติตัว
นี้แหละศึกษาเข้าไป เรื่องกายเรื่องใจถลุงออกไปจนชำนิชำนาญ เราจะเรียกว่า
ปริญญาก็ได้ อย่างที่พูดเมื่อเช้าวานนี้ ญาตปริญญา กำหนดรู้ด้วยการรู้ ตัวปริญญา
กำหนดรู้ด้วยการแจกแจง อันนั้นเป็นรูป อันนี้เป็นนาม อันนั้นเป็นรูปทุกข์ นามทุกข์
เป็นรูปโรค นามโรค เป็นสมมุติ เป็นบัญญัติ เป็นปรมัตถ์ อยู่ในรูปในนาม ไปหานะ
ปริญญาละได้ โดยเฉพาะเรื่องจิตใจนี่ ละได้เด็ดขาด เปลี่ยนได้หมดทุกอย่าง เรื่องของ
ใจนะมันพัฒนาได้ อย่าไปจนต่อมัน อย่างที่หลวงพ่อพูดแล้ว คนโกรธคือคนจน ถ้าไม่
จน ไม่เป็นไร ปรกติภาวะที่ดูเป็นปรกติ ความปรกติเป็นมรดกทางจิตวิญญาณ ปรกติ
อย่างยิ่งจนไม่เปลี่ยนแปลงจนมันได้ที่ นี่ภาวะอันนี้เข้าให้ถึงพวกเรามีสิทธิ์เต็มที่
สิ่งที่นำไปสู่ความปรกติก็คือภาวะที่ดู ดูแล้วเห็น เห็นแล้วไม่เป็น ค่อย ๆ ปรกติ จิตก็
บริสุทธิ์ จิตที่บริสุทธิ์ไม่ถูกปรุงแต่งก็เป็นพรหมจรรย์ พรหมจรรย์ไม่ใช่หัวโล้น ห่มผ้า
ขาว ผ้าเหลือง ประพฤติพรหมจรรย์คือนี่ คือความรู้สึกตัว รู้มากรู้ รู้บ่อย ๆ รู้สึกตัว
บ่อย ๆ รู้มากรู้ จิตมันก็ค่อย ๆ บริสุทธิ์ เมื่อจิตมันบริสุทธิ์ เวลามันลักคิดขึ้นมา มันไม่
เอา มันผิด ยิ่งมันโกรธ ก็ยิ่งไม่เอามันผิด มันฟุ้งซ่านเศร้าหมอง มันวิตกกังวล มันไม่ใช่
มันไม่ใช่อย่างนั้น จิตเป็นอย่างนั้น มันไม่ถูกมันก็ไม่เอา เห็นมันก็แก้ เห็นมันก็ไม่เอา
แต่บางคนไม่รู้ มันเอา เอาตะพึดตะพือ สุขก็เอา หลงก็เอา ยินดียินร้าย ไปเป็นทุกสิ่ง
ทุกอย่าง จิตอย่างเดียวนี้ ไปเป็นได้ร้อยเรื่องพันอย่าง กิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด มัน
ก็อยู่ตรงนี้ เราก็เลยไม่มีอิสระ ไม่เป็นพรหมจรรย์ ไม่บริสุทธิ์ ไม่ปรกติ วิธีที่เราทำอยู่นี่
แหละไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน 2500 กว่าปี ยังทนทานต่อการพิสูจน์ เป็นวิทยาศาสตร์
ทนต่อการพิสูจน์ได้
ศาสนาจะนำโลกต่อไป คือ พุทธศาสนา เดี๋ยวนี้นักวิชาการเขาพูดกันว่า ศาสนาจะนำโลกต่อไปคือศาสนาพุทธ ผู้หญิงจะเป็น
ผู้นำสังคม ผู้ชายจะเป็นช้างเท้าหลังก็ได้ ต่อไปผู้หญิงอาจจะเป็นช้างเท้าหน้า ศาสนา
พุทธจะเป็นศาสนาที่นำ โดยเฉพาะวิธีที่เราสร้างจังหวะเคลื่อนไหวกาย อย่างที่เราทำ
อยู่นี้ กำลังเป็นที่นิยมของปัญญาชนทั่วไปทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพราะมัน
สัมผัสได้ เพราะเราเอาของจริงไปสอนเขา รู้ ดูซิ ยกมือขึ้น ดูซิ รู้สึกไหม รู้ นี่ เป็นวิธีที่
ท้าทาย พิสูจน์ได้ ให้ผลได้ ไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดวัย จะเป็นชาติใดภาษาใดก็ตาม
ใช้ได้อยู่ สัมผัสได้อยู่ นี่เป็นวิธีที่สากลที่สุด โชคดีของพวกเรา 30 ปีมานี้ในยุคสมัยนี้
หลวงปู่เทียนเท่านั้นแหละที่นำยุคนำสมัย เหมาะสมที่สุดกับทุกเพศ ทุกวัย อย่างที่
หลวงพ่อพูดว่า อย่าเอาความเฒ่าความแก่ อย่าเอาความเป็นหนุ่มเป็นสาว มาเป็น
อุปสรรคขัดข้อง จะเป็นเฒ่าเป็นแก่ ความรู้สึกก็อันเดียวกัน จะเป็นหนุ่มเป็นสาว
ความรู้สึกก็อันเดียวกัน นี่จึงว่ามันเหมาะมันสม มันเป็นสากล จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
จะมีความรู้หรือไม่มีความรู้ก็ไม่เป็นไร ขอให้มีความรู้สึกตัวเป็นใช้ได้ทั้งนั้น นี่ เดี๋ยวนี้
กำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วๆไป หลวงพ่อ ก็เคยไปสอนหลายประเทศ เอาไปให้เขา
พิสูจน์ดู พิสูจน์ดู ทุกคนก็ยอมรับ เป็นวิทยาศาสตร์ มันจริง มีกายจริง มีจิตจริง มีสติ
จริง ถ้ามีสติเข้าไปรู้กายเข้าไปรู้ใจ เรื่องทั้งหลายก็หยุดลง ก็หยุดลง ก็เชื่อง นี่อานิสงส์
การมีสติเข้าไปรู้กายรู้ใจ นี่เป็นการพัฒนาชีวิตที่ครบวงจรที่สุด ความทุกข์ทั้งหลายก็
หมดไป สุขภาพดี เศรษฐกิจก็ดี
ตกกระได พลอยกระโจน ก่อนหน้านี้ไปพูดที่มุกดาหาร ไปสอนที่นั่นก็ไปพูดเรื่องนี้แหละ อาจารย์สมศักดิ์ก็พูด
อย่างที่ท่านพูดนั่นแหละ ก็ได้ตะกร้าหมากมาหลายใบหลายห่อ ที่นี่ยังไม่มีคงจะเลิก
กันได้แล้ว บริสุทธิ์กันแล้วนะ เลิกได้เศรษฐกิจก็ดีเป็นการพัฒนา ชีวิตที่ครบวงจร
ที่สุด ขออภัย ไม่ใช่อวด ตั้งแต่หลวงพ่อศึกษาเรื่องนี้มา ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย สุขภาพ
ดีจริง ๆ เพราะมันได้ที่ การพัฒนาชีวิตมันได้ที่ของมัน สิ่งใดที่มันได้ที่ มันก็อยู่ของมัน
มันมีเจ้าของ มันมีผู้ดูแลรักษา ธรรมนี่แหละจะคุ้มครอง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติ
ธรรม ฉะนั้นไม่ผิดอย่าไปลังเลสงสัยอยู่เลยพวกเรา พวกเราพยายามทำความรู้สึกตัว
มันไม่มีเปิด มันไม่มีปิดหรอก* (หมายถึง เปิด-ปิด โครงการอบรม 20-28 ม.ค. 2538 )
พยายามเรียนรู้ สัมผัสกับความรู้สึกตัว กลับไปบ้าน กวาดบ้าน ซักผ้า ล้างถ้วยล้างชาม
ดู ดูตัวเองไป เตรียมเอาไว้ บางทีมันอาจจะเป็นประโยชน์ ตกกระไดพลอยกระโจน
มันอาจจะเป็นศิลปะขึ้นมา เดี๋ยวนี้เรายังไม่ตกกระได ยังไม่ใช้วิชานี้ ก็เรียนรู้เอาไว้
บางที เมื่อถึงเวลาขึ้นมาก็เอาวิชานี้ออกมาใช้ มันจะไม่หัวร้างข้างแตก อาจจะเป็นกีฬา
ขึ้นมาก็ได้ หลวงปู่เทียนเคยพูดเอาไว้ มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ชีวิตของเราช่วงนี้ยังมีลม
หายใจ ยังไปไหนมาไหนได้ แต่ถ้าถึงเวลาเข้าจริงๆ แล้ว มันอาจจะฟื้นเอาวิชานี้ขึ้นมา
คู่ชีวิตของเราก็ได้ หลวงปู่เทียนท่านพูดไว้ว่า ถึงแม้นว่าเราทำอยู่นี้ มันยังไม่รู้ แต่ก่อน
จะตายสัก 10-20 นาที มันอาจจะทำได้ มันอาจจะเป็นประโยชน์ เมื่อพรรษาที่ผ่านมา
ญาติผู้ใหญ่ของหลวงพ่อตาย พี่ชายแม่ ก่อนที่จะตายก็ไปนั่งพูดด้วย ท่านก็เป็นนัก
ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมจนวาระสุดท้าย ท่านบอกว่าถ้าตอนนี้มันก็ไม่เป็นไร มัน
บังคับคุ้มครองได้อยู่ มันคุ้มครองได้อยู่ ถามท่านก็รู้ทุกขณะ แต่ถ้ามันคุ้มครองไม่ได้
มันอาจจะเป็น อย่างไรก็อย่าพากันเสียใจนะ อย่าพากันร้องห่มร้องไห้ อย่าพากันคิดไป
อย่างอื่น เดี๋ยวนี้ก็อยู่ตรงนี้ ตรงที่มันไม่เป็นอะไร กำลังดูมันอยู่ แต่ถ้าควบคุมไม่ได้
มันอาจจะตาเหลือก ตาหลน มันจะเป็นอะไรขึ้นมา ก็เรื่องของมัน พวกลูกพวกเต้า ก็
อย่าพากันตกอกตกใจ ดูเฉย ๆ ดูมันเฉย ๆ เดี๋ยวนี้พ่อกำลังดูมัน ไม่มีใครเกิด ไม่มีใคร
แก่ ไม่มีใครเจ็บ ไม่มีใครตาย นี่ มันคว้าเอามา มันจับเอามา มันปลอดภัย มีแต่เห็นไป
แต่บางคนไม่ศึกษา เห็นไหมที่หลวงพ่อพูดว่า ยายแก่ตกเบ็ดจนตาย ลูกมาจับแขนไว้ ก็
เอาไม่อยู่ ในที่สุดลูกหลานก็ต้องปล่อยให้แม่ตกเบ็ดไปจนตาย มันก็เป็นเปรต เป็น
สัตว์นรกไปแล้วเป็นอย่างนั้น ก็น่าเสียดายชีวิตที่เกิดมาเป็นชีวิตที่โมฆะ
เท็จจริง พิสูจน์เอา เดี๋ยวนี้ เราอยู่ตรงไหนกัน 5 วัน 6 วันมาแล้ว เราอยู่ตรงไหนกัน บางคนอาจจะไปอยู่
กับลูกกับหลาน ไปโกรธคนนั้นคนนี้ อย่าไป ให้มาอยู่ตรงนี้ อยู่กับมือเคลื่อนไหวนี่
แหละ เดี๋ยวจะไปตกเบ็ดนะ เตรียมตัวเตรียมอันนี้เอาไว้ เมื่อถึงเวลาต้องให้มันสงบ
นั่นเขาเรียกว่าวิญญาณ เดี๋ยวนี้เราจะติดอยู่กับอันนี้มันรู้อยู่ มันกำลังท่องเที่ยวอยู่ ให้มา
อยู่ตรงนี้ให้เกิดความชำนาญ ชำนิชำนาญมันจะติด มันจะรู้อยู่ ภาวะที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่
เจ็บ ไม่ตาย ก็คืออันนี้แหละ ไม่ใช่บ้านไหนเมืองไหน เริ่มจากภาวะที่รู้สึกตัวเข้าไปตัว
นี้แหละ มันจะนำเราไปสู่ความปลอดภัยที่สุด ถึงมรรค ถึงผล อยู่ในนี้ เริ่มจากก้าวนี้ไป
รู้สึก นี่ก็ก้าวไป กำลังท่องเที่ยวไป รู้สึก รู้สึก รู้มาก รู้เข้าไป บุญก็อยู่ตรงนี้ ศีลก็อยู่ตรง
นี้ ทานก็อยู่ตรงนี้ ความหลุดความพ้น ก็อยู่ตรงนี้ ความรู้สึกตัวมันตัดอะไรไปบ้างแล้ว
โยม พอเรามารู้สึกตัว มันผ่านอะไรไป มันผ่านบาปผ่านเวรไป ไม่มีความอาฆาต ไม่มี
ความพยาบาท ไม่มีความรัก ไม่มีความชัง มาสัมผัสกับความรู้สึกตัวนี้ เห็นไหม เห็น
ไหม มันผ่านอะไรไป มันรู้ไป รู้ไป รู้ไป มันก็สิ้นเวรสิ้นภัย เหนือทุกสิ่งทุกอย่างนี่ของ
จริงแท้ๆ แหละ ของจริงแท้ ๆ อย่าให้เขามาหลอก เดี๋ยวนี้พวกเราถูกหลอกเยอะแยะ
เอานรกมาขู่เอาสวรรค์มาหลอกนอกตัวเราไป นี่ให้พิสูจน์ร่วมกันดู ก็อย่ามาเชื่อหลวง
พ่อ ให้ทุกคนพิสูจน์เอา เราสัมผัสกับความรู้สึกตัว มันจริง มันเท็จอย่างไรก็พิสูจน์เอา
นี่ก็พูดเพื่อแสดงออกถึงความเป็นไปได้ เป็นกัลยาณมิตร กัลยาณธรรมต่อกัน จะผิดจะ
ถูกจะเป็นอย่างไร ทุกคนต้องช่วยตัวเอง วันนี้ต้องเอา ต้องสร้างจังหวะ รักเดียวใจเดียว
เอาให้สุดหัวใจ จะเดินอยู่ทางเดินจงกรม จะนั่งอยู่ใต้ต้นไม้สร้างจังหวะ พยายามปลูก
สติ รู้เล็ก ๆ น้อย ๆ เข้าไป จนให้รู้มากขึ้น นี่แหละ มรดกของเรา อริยทรัพย์ของเรา
สร้างเอา สร้างเอา ยังมีลมหายใจอยู่ อย่ารอให้ตายไปเลย สร้างเอาเดี๋ยวนี้ !
เอาหละ ที่พูดมาก็พูดจากสภาวะธรรม ไม่ได้จำใครมา สิ่งที่หลวงพ่อพูดนี้ก็มีอยู่กับทุก
คนที่นั่งฟังอยู่นี้ ก็ด้วยความปราถนาดีกับทุกคนทุกรูปทุกนาม ที่ได้ตั้งจิตไว้ดีแล้ว
ขอให้คุณความดีทั้งหลายและความดีที่เราได้ร่วมทำกันมา จงเป็นตบะเป็นเดชะ ค้ำจุน
หนุนส่งให้ทุกรูปทุกนามเข้าถึงสภาวธรรม เป็นธรรมอันเกษม เป็นธรรมอมตะ ที่ไม่
เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายในวันนี้กันทุกคนเทอญ
หมายเหตุ :
บทความจากวารสาร ร่มโพธิ์แก้ว ฉบับที่ 10 ปีที่ 2 พ.ศ. 2538
เป็นวารสารของกองทุนชี้ทางธรรม วัดสวนแก้ว ม.1 ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี
11140 โดยมี คุณปรีชา ก้อนทอง เป็นบรรณาธิการ__