23 พฤศจิกายน 2567, 12:02:00
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 100 101 [102] 103 104 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3556887 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 43 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2525 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2554, 15:57:14 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 12 กรกฎาคม 2554, 22:42:15
พี่สิงห์,
หนิงเข้ามาบอกความคืบหน้า!
ไก่ฟ้ากลับมาแล้วค่ะ
เล่าว่ายื่นใบสมัครเข้าค่ายเทนนิส 3 วัน
เลือกกลุ่มแรก...
ครูฝึกเสนอว่าแกสนใจจะซื้อชุดเทนนิส
จากผู้ผลิตตรงรึปล่าว?เค้าเสนอ offerพิเศษ:
jacket+เสื้อโปโล+กระเปรง(กระโปรง+กางเกง)+
กางเกงขายาว....set นี้ ราคา 130 € ลด 30 %+
ลดอีก 30 € หากสั่งในการนี้...

ลูกหนิงตาแววสดใสไม่เศร้าสร้อยอย่างตะกี้!
ดูสดชื่นเหมือนได้ไปshop...ลืมเรื่องเข้าค่ายสนิท.
ดีคะดี เดี๋ยวหม่ามี๊สนับสนุน.
(เคยพาแกไปดูชุดกีฬา...แพงจนอยากบร้าาาค่ะ)


...น้องหนุงหนิงคะ...

...ทำไมตีเทนนิส...ต้องใส่กระโปรงกางเกง...

...แต่ตีแบด...ใส่กางเกงขาสั้น...

...เคยเห็นนักกีฬาบางแห่ง...เค้าอยากจะใส่กระโปรงตีแบดค่ะ...

...เลยไปซื้อกระโปรงเทนนิสมาใส่...

...เข้าใจว่า...ก็เค้าอยากใส่...และคิดว่ากีฬาคล้ายๆกัน...

...แต่เค้าลืมว่ามันไม่สากลค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2526 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2554, 16:00:11 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 13 กรกฎาคม 2554, 15:48:55
ตกใจคิดว่าพี่สิงห์ทิ้งน้องๆไปบวชซะแล้ว!
บวชไงล่ะพี่สิงห์,ยังปวดเหงือกอยู่เลย.
เป็นพระแล้วหนิงก็ไม่กล้าคุยด้วยคะ
แทนสรรพนามไม่ถูก ใครโยม ใครสีกา
ใครอาตมา...จาเรียกพี่หลวงพี่ได้มั้ย
เกิดมีศักดิ์ทางสงฆ์ยิ่งซับซ้อน..

จะยุพี่ ก็คงยุไม่ได้เพราะพี่จะไม่อยู่ในเพศฆราวาส
ให้ได้คิดถึงกันอีก
จะขวางกั้นไว้ ก็จะเป็นมารขวางกั้นทางไปสวรรค์
แต่เอ๊ะ,ผู้ชายบวชเป็นพระได้ไปสวรรค์..ผู้หญิงล่ะคะ?
บวชชี?ไม่บวชแล้วไปสวรรค์ไม่ได้?
..
..
sheคนนั้นเริ่มคิดอีกแล้ว!
(จะบอกว่าเริ่มไม่เชื่อ..ก็กลัวบาปคะ)


...ไม่ต้องบวชก็ไปสวรรค์ได้จ้ะ...หนุงหนิง...

...ถือศีลห้าให้ดีๆ...ท่านบอกว่า...ไปถึงนิพพานได้แน่ะ...

...ทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับตัวเราด้วยค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2527 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2554, 16:05:19 »

ไชโย่...
หนิงมีแนวร่วมแล้ว...






(พี่ตู่เปลี่ยน"ไม่สวรรค์"เป็น"ไปสวรรค์"ด้วยคะ เดี๋ยวหนิงไชโยเก้อค่ะ !)

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 13 กรกฎาคม 2554, 16:00:11
...ไม่ต้องบวชก็ไม่สวรรค์ได้จ้ะ...หนุงหนิง...

...ถือศีลห้าให้ดีๆ...ท่านบอกว่า...ไปถึงนิพพานได้แน่ะ...

...ทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับตัวเราด้วยค่ะ...

      บันทึกการเข้า


too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2528 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2554, 16:09:04 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 13 กรกฎาคม 2554, 16:05:19
ไชโย่...
หนิงมีแนวร่วมแล้ว...






(พี่ตู่เปลี่ยน"ไม่สวรรค์"เป็น"ไปสวรรค์"ด้วยคะ เดี๋ยวหนิงไชโยเก้อค่ะ !)

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 13 กรกฎาคม 2554, 16:00:11
...ไม่ต้องบวชก็ไม่สวรรค์ได้จ้ะ...หนุงหนิง...

...ถือศีลห้าให้ดีๆ...ท่านบอกว่า...ไปถึงนิพพานได้แน่ะ...

...ทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับตัวเราด้วยค่ะ...


...โทษที...ลืมตรวจทาน...แก้แล้วนะจ๊ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2529 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2554, 16:39:28 »

ศุกร์นี้พี่ตู่กะท่านพี่ไปเวียนเทียนมั้ยคะ?
ที่ไหน?
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2530 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2554, 20:16:13 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
                       วันนี้ขอแถมอีกเรื่องหนึ่ง ที่พี่สิงห์ใช้กับตัวเองในการกำจัดไฟราคะ ลองพิจารณาด้วยปัญญาเอาเองครับ
                       ราตรีสวัสดิ์ค่ำนี้ ทุกท่านครับ

รู้ธรรมวันละนิด  จิตผ่องใส

ตอน

วิธีละเลิกไฟราคะ

   ไฟราคะ หรือความต้องการทางเพศ นั้นมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ ที่ต้องพึงอยากมี อยากได้เป็นเจ้าของครอบครอง เพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ให้ดำรงคงอยู่คู่กับโลกต่อไป ทั้งผู้ชายและผู้หญิง  แต่ถ้าเป็นไปด้วยการยึดหลัก ศีล ๕ ก็เป็นสุข แต่ถ้ากระทำผิดศีล ๕ ก็เป็นทุกข์ นี่คือความจริง

   ไฟราคะนั้น มันเป็นไฟที่เกิดขึ้นรุนแรงมากๆ ของตัณหา ในอดีตถึงกับเสียบ้านเสียเมือง เสียผู้เสียคน บ้านแตก มามากต่อมากแล้วจนนับไม่ถ้วน และปัญหาเดิมๆ ยังพึงเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ความจริงอันนี้ เป็นความต้องการอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์  ถ้าพึงมีควรยึดหลักศีล ๕ ไว้ให้มั่น หรือไม่ก่อความเดือดร้อนตามาทั้งสองฝ่าย และต้องไม่เผลอใจปล่อยให้มีทายาทเด็ดขาดเพราะนั้นละทุกข์หนักอย่าลืม ยึดศีล ๕ และมีสติเอาไว้ให้มั่นเมื่อเกิดกับตัวเรา

   ผมเองถึงแม้จะเป็นโสด แต่ก็หนีไฟราคะอันนี้ไม่พ้น   แต่มันเป็นอดีตไปหมดแล้วครับ ณ ปัจจุบัน ผมมีวิธีที่จะเอาชนะไฟราคะ นั้นได้แล้ว เพราะไฟราคะนั้น มันเป็นความคิดภายใต้โมหะ หรือความคิดแวบนั่นเอง พอมันคิดขึ้นมาเราก็จะนึกถึงภาพเก่าๆ หรือความรู้สึกเก่าๆ ที่เราเคยได้รับมาก่อนในอดีต พอประสพใหม่ ณ ปัจจุบันที่คิดขึ้นมาก็ยังอยากได้อยู่ความสุขอันนั้น  จิตมันจึงคิดปรุงแต่งต่อขึ้นมาในความคิดทันที เกิดปิติ เมื่อเราคิดต่อ หรือสั่งให้รูปมันกระทำตามความคิดแวบอันนั้น  ซึ่งมันอาจจะก่อทุกข์อย่างหนักตามมาถ้าประพฤติผิดศีล ๕ และไม่มีสติ  เผลอตามใจปราถนา

   ปัจจุบัน ไฟราคะที่มาทำให้ผมจิตใจหวั่นไหวได้นั้น มันจะมาด้วยกัน ๒ ทาง คือ

   ทางแรกจะมาในรูปความฝัน  จากที่บอกมันเป็นความคิดแวบ และเมื่อเราฝึกจิตมาพอสมควร  ขณะนอนก็มีสติ ผลคือ พอจิตมันนึกถึง  ฝันถึงเรื่องไฟราคะ ขึ้นมา ด้วยความมีสติ จึงสามารถตัดความคิดนั้นไปเลยทันที คือหยุดฝัน  หยุดคิดทันที  เพราะมันเป็นเพียงนาม  ไม่มีตัวตน เป็นความคิดเท่านั้น  ถ้าเราสามารถตัดมันได้เร็ว พอๆ กัน ไฟราคะที่มานั้นจากความฝัน หรือสิ่งที่จิตมันคิดแวบขึ้นมา  มันก็สามารถหายไปจากเราได้ทันที  ฝึกบ่อยๆ มันจะหายไปอย่างถาวร

   ทางที่สองคือ เมื่ออายตนะ ๖ คือตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ สัมผัสกับไฟราคะขึ้นมา จริงๆ เราก็ปลงมันได้ เพราะเราเคยเห็นภาพที่ไม่ควรจะเห็น(VDO SEX ลับเฉพาะ) แต่เมื่อเห็นมันแล้วรู้สึกปลงสังเวชมาก มันน่าเกลียด  หน้าคลื่นใส่  หน้าขยะขะแหยง หน้าเบื่อหน่าย เมื่อเราได้รับรู้อารมณ์อันนี้มาจริงๆ   มันจำไว้ในจิตใต้สำนึกอย่างถาวรถึงอารมณ์ที่ไม่น่าพึงพอใจนั้น  พอประสพอีกครั้งอารมณ์นั้นมันแวบเข้ามาทันทีพอๆกับไฟราคะที่จะเกิดขึ้นกับเรา ทำให้เราปลง  ละวาง  อุเบกขาได้ทันที  โดยที่รูป-นามของเรา ไม่แสดงอะไรเลย

   อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับผมนั้น ไม่ใช่จากการเห็นปลงอสุภะ  แต่เห็นของจริงๆ จาก VDO SEX  แล้วรู้สึกสมเพศ  สังเวช  เบื่อหน่าย  ขยะขะแหยงว่าทำไม? มนุษย์แม้กระทั่งตัวเราจึงลุ่มหลงมันได้  ไม่ใช่สิ่งสวยงามเลย  หน้าเกลียดเสียด้วยซ้ำในการ......อย่างนั้น  เมื่อเกิดอารมณ์เบื่อหน่ายเช่นนี้ กับตัวเรา  ความคิดแวบเรื่องไฟราคะ  มันจึงไม่เกิดขึ้นกับผม หรือถ้าเกิดขึ้น มันก็เกิดน้อยมาก และถ้าเกิดขึ้นจริง ผมก็ตัดมันทิ้งเหมือนหนูเห็นแมว คือ เห็นปุ๊ปตะปปปั๊ป หนูตายทันที เมื่อมันคิดขึ้นมาปั๊ปตัดทิ้งปุ๊ป ทันที ไม่คิดต่อ ไฟราคะมันก็หายไปเอง แต่ขอให้ฝึกเอาไว้บ่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ  ผมฝึกจิตของผมมาอย่างนี้ จนสามารถไม่คิดแวบขึ้นมาเรื่องไฟราคะเลย หรือเกิดขึ้นน้อยมากครับเวลานี้  ประกอบกับอายุมากแล้ว ความต้องการมันหายไปแล้ว จึงละ เลิกได้ครับไฟราคะ

   ทั้งๆที่ผมรู้ว่า เวลาเราฝันเรื่องไฟราคะนั้น มันจะเป็นสุขก็ตาม  แต่ผมไม่ปราถนาความสุขอันนั้น เพราะมันมีแต่โทษ  ทุกข์ตามมา  ถ้าเผลอใจปรุงแต่งตามมัน  มันไม่ใช่ความสุขแท้จริง  เป็นเพียงความสุขชั่ววูบแต่ทุกข์ตามมามาก ดังนั้นเมื่อจิตมันคิดขึ้นมา ผมก็ตัดทิ้งทันทีเลย  ไม่คิดปรุงแต่งต่อใดๆ ทั้งสิ้น  ผลคือฝึกมากขึ้นๆ มันจึงตัดใจได้ไม่คิดแวบเลย

   อุเบกขาก็ช่วยผมได้แยะ  ในการที่สามารถละเลิกไฟราคะ แต่ขอไม่เปิดเผย เพราะไม่ก่อประโยชน์อันใด
 
              สรุป วิธีง่ายๆ ในการดับไฟราคะนั้น  พอมันคิดแวบขึ้นมาปุ๊ป ตัดทิ้งปั๊ป ด้วยการมีสติทันที  รับรองได้ผล  ฝึกบ่อยๆ จนมันมีความเร็วเท่าทันกัน  ก็จะตัดทิ้งได้อย่างถาวร ครับ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2531 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2554, 20:36:17 »

พี่สิงห์,
สวนธรรมชาติทำไม?





 

ลงชื่อ
น้องสุขนิยม
      บันทึกการเข้า


เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #2532 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2554, 21:17:07 »

สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
 หายปวดฟันแล้วหรือยัง ค่ะ
คงจะดีขึ้นมากแล้ว
 ชมพี่ไว้ตั้งแต่แรกว่าเก่งจังไม่กลัว
 ก็เป็นด้วยเหมือนกันนะคะ
 เพราะเคยรักษารากฟันมาเหมือนกัน เกือบฆ่าหมอเลยค่ะ
 เพราะไม่ได้ฉีดยาชาเช่นกัน และทำหลายครั้งมาก
พอจะถึงวันนัดก็ต้องทำใจทั้งวันค่ะ
โชคดีนะคะพี่สิงห์ คราวต่อไป ขอให้อย่าเจ็บมากค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2533 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2554, 10:05:35 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 13 กรกฎาคม 2554, 21:17:07
สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
 หายปวดฟันแล้วหรือยัง ค่ะ
คงจะดีขึ้นมากแล้ว
 ชมพี่ไว้ตั้งแต่แรกว่าเก่งจังไม่กลัว
 ก็เป็นด้วยเหมือนกันนะคะ
 เพราะเคยรักษารากฟันมาเหมือนกัน เกือบฆ่าหมอเลยค่ะ
 เพราะไม่ได้ฉีดยาชาเช่นกัน และทำหลายครั้งมาก
พอจะถึงวันนัดก็ต้องทำใจทั้งวันค่ะ
โชคดีนะคะพี่สิงห์ คราวต่อไป ขอให้อย่าเจ็บมากค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก
                การรักษารากฟันนั้น คุณหมอท่านทำ โดยไม่รู้ว่าเราเจ็บ มันทำอยาก ต้องปราณีต ใช้เวลานานมาก เราได้แต่ทนเอาครับ แต่บางทีใจนั้นทนได้แต่ร่างกายมันทนไม่ได้มันก็แสดงออกเอง ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น  แต่คราวนี้ไม่ปวดจี๊ดอีกแล้ว คือระบบเพียงวันเดียวที่ทำ รุ่งขึ้นอาการปวด ไม่มีเพราะเราก็ไม่ได้ใช้ฟันด้านนั้น  ต้องไปทำอีกสองครั้ง หลังจากนั้นต้องครอบฟัน และรื้อ-อุดฟันซี่ตรงข้ามอีกหนึ่งซี่ ครับ
                 ขอบคุณมากที่เป็นห่วง
                 สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2534 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2554, 10:08:26 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 13 กรกฎาคม 2554, 20:36:17
พี่สิงห์,
สวนธรรมชาติทำไม?





 

ลงชื่อ
น้องสุขนิยม

                      ไม่ได้สวนธรรมชาติ  มันเป็นความคิดภายใต้โมหะ หรือความคิดแวบ  ต้องตัดทิ้งทันทีที่มันคิดขึ้นมา ครับ ความอยากต่างๆ หรือตัณหา  มันก็มาแบบความคิดแวบที่ไม่ได้ตั้งใจคิดแบบนีละครับ  ถ้าพี่สิงห์ไปคิดปรุงแต่งมันขึ้นมา  มันก็ไม่ก่อประโยชน์ต่อตัวพี่สิงห์ทั้งสิ้น มีแต่จะหาทุกข์มาให้  สู้ตัดทิ้งตั้งแต่จิตมันคิดเสียดีกว่า  ยังก่อประโยชน์ ครับ
                      ดังนั้น ถ้าจะปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้า ก็ต้องตัดความคิดแวบให้ได้ในเบื้องต้น ครับ
                      สวัสดี  
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2535 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2554, 10:24:23 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
                       เพื่อให้ทุกท่านได้ทำบุญ อย่างใจมีปีติ ผมจึงนำเรื่องบุญกิริยา มานำเสนอให้ทุกท่านได้พิจารณาด้วยปัญญาของท่านเองครับ และขอให้ทุกท่านที่จะเดินทางไปทำบุญตามวันต่างๆ นั้น เดินทางด้วยความปลอดภัยทุกท่านครับ
                       สวัสดี


รู้ธรรมวันละนิด  จิตผ่องใส

ตอน

บุญกิริยา

บุญ เพื่อสร้างสรรค์ชีวิตและชุมชน

พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)

 
                     หลักการให้ที่ต้องรู้ไว้เพื่อทำบุญให้ถูกต้อง

                    “บุญ” เป็นคำสื่อธรรมที่สำคัญคำหนึ่งในพระพุทธศาสนา ยิ่งเมื่อพระพุทธศาสนาเข้ามารุ่งเรืองในสังคมไทย คำว่า “บุญ” ก็ยิ่งมีความสำคัญโดดเด่นเป็นพิเศษ แม้เมื่อสังคมเหินห่างออกไปจากเนื้อหาสาระของพระพุทธศาสนา คนทั่วไปไม่มีโอกาสศึกษาขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักธรรมโนพระพุทธศาสนา แต่คำว่า “บุญ” ก็ยังเป็นคำสามัญในสังคมไทย ที่คุ้นปากชินใจและถูกนำมาใช้นำมาอ้างกันอยู่เสมอ แม้ว่าความหมายที่เข้าใจนั้น อาจจะลางเลือนหรือคลาดเคลื่อนออกไปจากหลักการที่แท้จริง

                     เมื่อมีโอกาสจึงควรทบทวนหรือชำระสะสางความรู้ความเข้าใจให้ถูกต้องตรงตามหลักจึงเป็นแหล่งที่มาตัวจริง เพื่อว่าเราจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้องและได้รับประโยชน์จาก “บุญ” อย่างเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งก็หมายความว่าจะเข้าถึงคุณค่าที่แท้ของพระพุทธศาสนา อย่างน้อยไม่ปฏิบัติผิดพลาดจนกลายเป็นว่าจะทำบุญแต่กลับสร้างบาป

                     คนไทยที่ใกล้วัดสักหน่อยจะจำได้แม่นว่า การทำบุญ มี 3 ทาง คือทาน ศีล ภาวนา แต่ความเข้าใจเกี่ยวกับคำทั้ง 3 นั้น อาจจะไม่ชัดเจนและไม่กว้างขวางเพียงพอ

                     พุทธพจน์สำคัญแห่ง ซึ่งเป็นที่มาของหลักการทำบุญ 3 อย่างนี้ มีว่า

                    “ภิกษุทั้งหลาย บุญกิริยาวัตถุ(หลักแห่งบุญกิริยา คือการทำบุญ) มี3 อย่าง ดังนี้ กล่าวคือ

                     1. ทานมัย บุญกิริยาวัตถุ (หลักการทำบุญ คือทาน )

                     2. ศีลมัย บุญกิริยาวัตถุ (หลักการทำบุญ คือ ศีล)

                     3. ภาวนามัย บุญกิริยาวัตถุ (หลักการทำบุญคือ ภาวนา)


                     1. ทาน ได้แก่ การให้ การเผื่อแผ่แบ่งปัน

                     2. ศีล ได้แก่ ความประพฤติสุจริต มีกาย วาจาที่เกื้อกูล ไม่เบียดเบียนกัน

                     3. ภาวนา ได้แก่ การฝึกอบรมพัฒนาจิตใจเจริญ ปัญญา

                     หลักการทำบุญ 3 อย่างนี้ มีความหมายและขอบเขตที่กว้างขวางมาก เกินความหมายของคำว่า"จริยธรรม" อย่างที่เข้าใจกันในปัจจุบัน พูดสั้นๆ ว่าครอบคลุมกระบวนการพัฒนามนุษย์ทั้งหมด แต่ในขั้นต้น จะเห็นความหมายพื้นฐานได้จากพุทธพจน์ที่ตรัสเป็นคาถาสรุปหลักการทำบุญ 3 อย่างข้างต้นนั้นว่า

                      ปุญฺญเมว โส สกฺเขยฺย อายตคฺคํ สุขุทฺรยํ
                      ทานญฺจ สมจริยญฺจ เมตฺตจิตฺตญฺจ ภาวเย
                      เอเต ธมฺเม ภาวยิตฺวา ตโย สุขสมุทฺทเย
                      อพฺยาปชฺฌํ สุขํ โลกํ ปณฺฑิโต อุปปชฺชติ ฯ

                      แปลว่า : “คนผู้ใฝ่ประโยชน์ ควรศึกษาบุญนี่แหละ ซึ่งมีผลกว้างขวางยิ่งใหญ่ อำนวยสุขให้ คือควรเจริญทาน ควรพัฒนาความประพฤติที่ชอบธรรมและควรเจริญเมตตาจิต ครั้นเจริญธรรม 3 ประการนี้อันเป็นแหล่งที่ก่อเกิดความสุขแล้ว บัณฑิตย่อมเข้าถึงโลกที่เป็นสุข ไร้การเบียดเบียน”

                      มีข้อควรสังเกตในคาถาพุทธพจน์นี้ อย่างน้อย 3 ประการ

                      1) ตรัสว่า “ควรศึกษาบุญ” คือ ควรฝึกควรหัด ควรหมั่นทำ แสดงว่าบุญเป็นคุณสมบัติที่ควรศึกษา คือ ควรพัฒนาก้าวหน้าสูงขึ้นไป ไม่ใช่หยุดอยู่แค่เดิมและขั้นเดิม (ใน 3 ขั้นนั้น)

                      2) การทำบุญทั้ง 3 ขั้นนั้น ว่าโดยภาพรวมจะเห็นว่าทรงเน้นการอยู่ร่วมกันด้วยดี ด้วยการเกื้อกูลกันในสังคม เป็นพื้นฐานก่อน โดยเผื่อแผ่แบ่งปันกัน(ทาน) ไม่เบียดเบียนกัน (ศีล) และในขั้นภาวนา ทรงเน้นให้เจริญเมตตา คือความรักความหวังดี อยากให้คนอื่นเป็นสุข ให้ทำประโยชน์แก่กัน (เมตตา)

                      3) ผลจากการศึกษา คือพัฒนาบุญทั้ง 3 นี้ ก็จะเข้าถึงโลกที่เป็นสุข ไร้การเบียดเบียน

                      ทำไมบุญจึงเน้นทาน และเริ่มด้วยทาน

                      ว่าที่จริง การที่พระพุทธเจ้าตรัสยก “ทาน” ขึ้นเป็นหลักการทำบุญข้อแรก ก็แสดงอยู่ในตัวแล้วว่าทรงเน้นการเกื้อกูลกันในสังคม แต่ก็ต้องถามต่อไปอีกว่าเหตุใดการเกื้อกูลกันในสังคม จึงต้องเริ่มต้นด้วยทาน

                      ด้วยการยกทานขึ้นตั้งเป็นข้อแรก พระพุทธศาสนาเน้นความสำคัญของวัตถุ

                      แต่พร้อมกันนั้น การที่พระพุทธเจ้าตรัสทานนั้นไว้ในหลักบุญกิริยา 3 ที่รวมกันเป็นชุด โดยมีศีล และภาวนามาต่อ ก็เป็นการบอกถึงขอบเขตความสำคัญของวัตถุ พร้อมทั้งสอนให้รู้จักใช้ประโยชน์จากวัตถุให้ถูกต้องด้วย

                      วัตถุหลากหลาย โดยเฉพาะปัจจัย 4 เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ และเป็นพื้นฐานที่มนุษย์ต้องอาศัยเพื่อก้าวต่อไปในการสร้างสรรค์สิ่งดีงามที่สูงขึ้นไป สังคมที่ดีจึงต้องวางระบบจัดสรรเพื่อเป็นหลักประกันให้มนุษย์ทุกคนที่เป็นสมาชิกของสังคมนั้นมีวัตถุโดยเฉพาะปัจจัย 4 นั้น เพียงพอแก่ความเป็นอยู่และเป็นพื้นฐานที่จะพัฒนาชีวิตให้ก้าวสูงขึ้นไป

                      ในหลักการของพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า“ธรรมวินัย” นั้น ส่วนที่เรียกว่า วินัย ของพระภิกษุได้ให้ความสำคัญอย่างมากแก่การจัดสรรและปฏิบัติต่อวัตถุ โดยเฉพาะปัจจัย 4 นี้

                      ส่วนในสังคมใหญ่ของชาวบ้าน “ทาน” ก็เข้ามา ณ จุดนี้ด้วยเหตุผล 2 ประการ

                      1) ด้านบุคคล : เนื่องจากความเป็นในการที่จะอยู่รอดและหาความสุข มนุษย์ทั้งหลายต่างก็ดิ้นรนแสวงหาวัตถุเสพบริโภคให้แก่ตน เมื่อทำเช่นนั้นอยู่เสมอก็จะเกิดความเคยชินของจิตใจที่มุ่งจะหาและคิดจ้องแต่จะได้จะเอา ตอกย้ำความเห็นแก่ตัว และถ้าทุกคนเป็นอย่างนั้น ก็จะมีแต่ความขัดแย้งแย่งชิงเบียดเบียนกัน

                      เพื่อสร้างดุลยภาพขึ้นในจิตใจของคน ให้มีความคิดที่จะให้ขึ้นมาคู่กับความคิดที่จะได้จะเอา จึงให้มีหลัก “ทาน” ขึ้นมา เป็นการฝึกฝนขัดเกลาพฤติกรรมและจิตใจของมนุษย์ พร้อมกันนั้นก็เป็นการสร้างดุลยภาพขึ้นในสังคมไปพร้อมกันด้วย

                      2) ด้านสังคม :ในการแสวงหาวัตถุ เซ่นปัจจัย 4นั้น มนุษย์มีโอกาส มีกำลัง มีสติปัญญาความสามารถไม่เท่ากัน เมื่อต่างคนต่างมุ่งแต่จะหาจะได้จะเอาคนที่มีโอกาส-กำลัง-ความสามารถมากกว่า ก็จะได้เปรียบ กอบโกยเอามาให้แก่ตน ตลอดจนข่มเหง รังแกครอบงำผู้อื่น ส่วนคนที่ด้อยโอกาส-กำลัง-ความสามารถ ก็จะขาดแคลนอดอยากแร้นแค้น มีความทุกข์มากและก็ต้องคอยหาทางแอบแฝงแย่งชิงเอาจากคนที่มีมากกว่า และคนที่มั่งมีนั้น ก็หาเป็นสุขได้จริงไม่ เมื่อมองโดยรวม ก็คือ เป็นสังคมแห่งการเบียดเบียน

                      ด้วยเหตุนี้ นอกจากจะต้องมีการจัดตั้งวางระบบระเบียบในการอยู่ร่วมและสัมพันธ์กัน ไม่ให้คนละเมิดต่อกัน ด้วยกฎหมาย ข้อบังคับ หรือกติกาต่างๆ คือวินัยในขั้นของศีลแล้ว สิ่งที่เป็นพื้นฐานยิ่งกว่านั้น ก็คือ การปฏิบัติต่อวัตถุ เช่น ปัจจัย 4 นั้นเอง ให้เป็นเครื่องเกื้อหนุนความอยู่ดีร่วมกัน แทนที่จะให้วัตถุกลายเป็นเหตุแห่งการเบียดเบียนกัน ดังนั้น “ทาน” จึงเข้ามาทำหน้าที่นี้ เพื่อให้มีการแบ่งปันวัตถุแก่กัน ช่วยให้ผู้ด้อยโอกาส-กำลัง-ความสามารถ ก็เป็นอยู่ได้ และผู้มั่งมีก็อยู่เป็นสุขไม่ต้องหวาดระแวง ทำให้สังคมร่มเย็น มีสันติสุข

                      ทานในระบบของการทำบุญ

                      อย่างไรก็ดี ความจำเป็นและความสำคัญของวัตถุ ก็มีขอบเขตที่ต้องสำนึกตระหนักไว้ การมีวัตถุเพียงพอ หรือพรั่งพร้อมเท่านั้น ยังไม่พอที่จะให้ชีวิตและสังคมดีงาม ถ้าไม่มีระบบการพัฒนามนุษย์ที่ถูกต้องวัตถุแม้แต่ที่พรั่งพร้อมก็จะเป็นโทษแก่มนุษย์เองอย่างน้อยก็ทำให้จมอยู่กับความฟุ้งเฟ้อลุ่มหลงมัวเมาประมาท และใช้วัตถุในทางที่ก่อผลร้าย

                      การปฏิบัติที่ถูกต้องต่อวัตถุ คือ ให้มันเป็นพื้นฐานที่เราจะได้อาศัยในการที่จะนำชีวิตและสังคมก้าวขึ้นสู่ความดีงามและการสร้างสรรค์ที่สูงขึ้นไป ดังที่ทางพระเรียกวัตถุทั้งหลายว่า "ปัจจัย” บ้าง “นิสสัย” บ้าง คือมิใช่ให้ความพรั่งพร้อมทางเศรษฐกิจเป็นจุดหมาย แต่ให้เป็นเครื่องอาศัยเกื้อหนุน หรือเป็นตัวเอื้อต่อการพัฒนาชีวิตที่ประเสริฐ และการสร้างสรรค์สังคมที่เป็นสุข

                      ที่พูดตรงนี้สำคัญมาก จะต้องย้ำกันให้มากว่าเราจะต้องมองวัตถุหรือความเจริญพรั่งพร้อมทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัย คือเป็นเครื่องเกื้อหนุนให้เราก้าวขึ้นสู่ประโยชน์สุขความดีงามที่สูงขึ้นไป ไม่ใช่เป็นจุดหมาย

                      ถึงตอนนี้ ทาน จึงเข้ามาอยู่ในระบบการพัฒนามนุษย์ที่มีองค์ร่วม 3 ซึ่งเรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ โดยมีบุญกิริยาข้อที่ 2 และ 3 มาประสานและรับช่วงต่อ

                      ทาน เป็นบุญกิริยา คือ การทำบุญ ซึ่งแปลง่ายๆก็คือการทำความดี เพราะบุญ แปลว่า ความดี แต่โดยตัวศัพท์เอง “บุญ” แปลว่า

                      1) เครื่องชำระ สิ่งที่ทำให้สะอาด หรือคุณสมบัติที่ทำให้บริสุทธิ์

                      2) คุณสมบัติที่ทำให้เกิดภาวะที่น่าบูชา คือ ควรยกย่องนับถือ.

                      ทาน คือ การให้ หรือแบ่งปัน เป็นเครื่องชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ในระดับหนึ่ง คือชำระล้าง หรือกำจัดกิเลส โดยเฉพาะความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความมีใจคับแคบ ตระหนี่ และความเป็นทาสของวัตถุ พร้อมทั้งทอนกำลังของความยึดติดถือมั่นในตัวตนให้เบาบางลดน้อยลง ทำให้ใจเปิดกว้างและเป็นอิสระมากขึ้น จึงเป็นการเตรียมจิตใจให้พร้อม ที่จะบ่มเพาะเพิ่มพูนคุณความดีและการทำบุญอื่นๆ ที่สูงขึ้นไป

                      ดังนั้น ทาน นอกจากเป็นเครื่องเกื้อหนุนสังคมในทางวัตถุด้วยการกระจายผู้บริโภคให้ทั่วถึงกัน ลดความกดดันในสังคม และยึดเหนี่ยวสังคมให้มีเอกภาพให้คนเป็นอยู่โดยไม่ต้องเบียดเบียนแย่งชิงกัน เป็นเครื่องสนับสนุน "ศีล" แล้ว ก็ช่วยให้ก้าวต่อไปใน "ภาวนา" ด้วย เริ่มด้วยเป็นปัจจัยต่อกันกับเมตตา พร้อมกับพัฒนาความสุข

                      เมื่อคิดจะได้จะเอา เราจะมองหรือจ้องไปที่วัตถุแล้วพร้อมกันนั้นก็จะเกิดความรู้สึกหวาดระแวงต่อคนอื่น ทำให้เกิดทัศนคติต่อเพื่อนมนุษย์แบบเป็นคู่แข่งหรือเป็นปฏิปักษ์ การคิดจะได้จะเอา จึงเป็นปัจจัยแก่โทสะ ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้ง แล้วทุกข์และปัญหาก็ตามมา

                      แต่เมื่อคิดจะให้ เราจะมองไปที่คน จะเห็นหน้าตา เห็นสุขทุกข์ และความต้องการของเขา ความเข้าใจเห็นใจจะเกิดขึ้น แล้วก็จะเกิดเมตตา (ความต้องการให้เขาเป็นสุข) และกรุณา (ความต้องการให้เขาพ้นจาก ทุกข์ )

                      เมื่อเกิดความต้องการใหม่นั้น คือ ความต้องการให้คนอื่นพ้นจากทุกข์ (กรุณา) และความต้องการให้เขาเป็นสุข (เมตตา) เราก็หาทางสนองความต้องการนั้นของเรา ด้วยการพยายามช่วยให้เขาพ้นจากทุกข์และมีความสุข และเมื่อนั้น การให้แก่เขาก็กลายเป็นการสนองความต้องการของเรา แต่เป็นความต้องการที่เป็นบุญเป็นกุศล ที่เรียกว่า เมตตากรุณา และเมื่อได้สนองความต้องการนั้นแล้ว เราก็มีความสุข ถึงตอนนี้การให้ก็กลายเป็นความสุข

                      โดยนัยนี้ ทานบุญกิริยา คือ การทำบุญด้วยการให้ จึงเป็นปัจจัยแก่ภาวนา ในด้านการพัฒนาจิตใจชึ่งทำให้เกิดทั้งเมตตา กรุณา และความสุข และความสุขนั้นก็เป็นความสุขแบบประสานทั้งสองฝ่าย คือ ทั้งผู้รับก็เป็นสุข และผู้ให้ก็มีความสุข เสริมสร้างไมตรีระหว่างกัน ต่างจากความสุขจากการได้ ชึ่งเป็นความสุขแบบแบ่งแยกและแก่งแย่ง ทีฝ่ายหนึ่งได้ อีกฝ่ายหนึ่งก็เฉยหรืออด ฝ่ายหนึ่งสุข อีกฝ่ายหนึ่งทุกข์

                      เมื่อทั้งสองฝ่ายเป็นสุขด้วยกัน ก็คือโลกนี้เป็นสุขบุญจึงเป็นคุณสมบัติที่นำมาซึ่งความสุข ดังพุทธพจน์ว่า

                      สุขสฺเสตํ ภิกฺขเว อธิวจนํ อิฏฺฐสฺส กนฺตสฺส
                      ปิยสฺส มนาปสฺส ยทิทํ ปุญฺญานิฯ

                      แปลว่า : “ภิกษุทั้งหลาย คำว่าบุญนั้นเป็นชื่อของความสุข ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่ารัก น่าพอใจ”

                      พร้อมกันนั้น บุญขั้นภาวนา ซึ่งในกรณีนี้ คือเมตตากรุณาและความสุข ก็ย้อนกลับมาเป็นปัจจัยแก่ทาน ทำให้เต็มใจและมีความพร้อมที่จะให้ยิ่งขึ้น

                      จะเห็นว่า การทำบุญที่เรียกว่าทานนี้ ก็คือการช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้านปัจจัยยังชีพและวัตถุเครื่องใช้สอยต่างๆ แก่เพื่อนมนุษย์ ตลอดจนสัตว์ร่วมโลกทั้งหลาย ซึ่งเป็นการยึดเหนี่ยวสังคม (=สังคหะ/ทำให้สังคมมั่นคงและมีเอกภาพ) พร้อมกันไปกับการฝึกฝนพัฒนาตนเอง (=สิกขา/ศึกษา)

                       บุญในข้อทานนี้โดยทั่วไป จะทำใน 2 กรณี คือ

                       1. เพื่ออนุเคราะห์คือ ช่วยเกื้อหนุนคนตกทุกข์ได้ยาก อดอยาก ยากไร้ ขาดแคลน หรือประสบภัยพิบัติให้เขามีโอกาสเป็นอยู่และตั้งตัวขึ้นมา

                       2. เพื่อบูชาคุณ คือ ให้เพื่อยกย่องเชิดชูผู้มีพระคุณ เริ่มแต่พ่อแม่ หรือผู้มีคุณธรรมความดี ที่จะนำคนก้าวไปในการทำความดี และเป็นแบบอย่างแก่สังคม และสนับสนุนผู้ที่ทำคุณประโยชน์ให้มีกำลังที่จะทำความดีได้ยิ่งขึ้นไป

                       นอกเหนือจากนี้ไปก็เป็นการให้เพื่อแสดงน้ำใจสงเคราะห์กันตามปกติ ด้วยเมตตาไมตรี เช่นชาวบ้านแต่ก่อน วันไหนทำกับแกงแปลกๆ ก็แบ่งเอาไปให้เพื่อนบ้าน ใกล้เคียง

                       ในสมัยโบราณ บางท่านถึงกับถือเป็นวัตร (ข้อปฏิบัติที่ต้องทำเพื่อฝึกตนเป็นประจำ) ว่า ทุกวันตื่นนอนขึ้นมาแล้ว ถ้ายังไม่ได้ให้อะไรแก่ใคร จะยังไม่รับประทานอาหาร (ถ้าถืออย่างจริงจัง จะเป็นส่วนหนึ่งของการบำเพ็ญบารมี)
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2536 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2554, 11:02:34 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 13 กรกฎาคม 2554, 16:39:28
ศุกร์นี้พี่ตู่กะท่านพี่ไปเวียนเทียนมั้ยคะ?
ที่ไหน?


...ปกติจะไม่ไปเวียนเทียนค่ะ...

...ได้แต่เข้าวัดทำบุญถวายอาหารภิกษุสงฆ์ในวันที่สะดวกที่จะทำค่ะ...

...พี่ตู่จะได้เวียนเทียนก็ต่อเมือตอนที่ตัวเองไปบวชชีพราหมณ์ถือศีลและอยู่วัดพอดีค่ะ...นานๆที...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2537 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2554, 20:28:52 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                       พี่สิงห์กลับมาอยู่กรุงเทพฯ แล้วครับ

                       พี่สิงห์ไปเจออากาสภาคใต้เข้า บ่ายฝนตก ทุกวัน และใช้เสียงพอสมควร เมื่อคืนนอนไม่หลับสนิท  ทั้งๆที่ไม่มีอะไรต้องคิดทั้งนั้น เพราะบังคับไม่ให้คิด เวลาตื่นก็ทำความรู้สึกตัวเสมอ ผลคือพอนอนน้อยไปร่างกายยังฟื้นไม่สมบูรณ์ ผลที่ตามมาคือ รู้สึกว่าในลำคอมีสะเลด มาก และมีอาการไอ และรู้สึกว่าจะมีไข้  แต่พี่สิงห์ไม่ได้รับประทานยาใดๆ ทั้งสิ้น

                       วันศุกร์ที่ ๑๕ กรกฎาคม เลยตั้งใจพักฟื้นดูอาการและคุณหมอวิทิต และคุณหมอพีร์  จะมาเยี่ยมบ้านที่กรุงเทพฯ เลยไม่ได้ไปสิงห์บุรี จะรอให้คุณหมอทั้งสองตรวจดูอาการอีกครั้งครับ

                       แต่วันเสาร์ที่ ๑๖ กรกฎาคม  คงต้องไปทำบุญเข้าพรรษาที่บ้านเพราะนัดกับพี่ชายใหญ่ และกรรมการวัดพระนอนเอาไว้แล้ว ความคืบหน้าในการบูรณะศาลาวัดนั้น อาจารย์เผ่า  เสนอให้ซ่อมหลังคาก่อน ทำฝ้าเพดานในส่วนที่เสียหาย ซึ่งผมประมาณการออกมาแล้ว พรรคพวกคือร้านพี่พงษ์ศักดิ์ หลานโต่งขายกระเบื้องให้จากราคาปกติ 70 บาทต่อแผ่น ไม่รวมค่าขนส่ง แต่งานนี้ขายให้ 54.50 บาทต่อแผ่นส่งถึงที่ ไม่ได้คิดกำไรเลย อยากช่วยทำบุญให้วัด พอลองประมาณราคาคร่าวๆแล้ว ทั้งกระเบื้อง แปเหล้ก ค่าแรงรื้อของเก่าและปูของใหม่ หลังคาศาลาวัดสามารถทำได้เลย ไม่ควรเกิน 600,000 บาท ซึ่งมีเงินพอ ครับ ส่วนจะซ่อมเมื่อไรนั้น ต้องรอกรรมการวัดตัดสินใจ ครับ
                      
                       ขอให้ทุกท่านมีปีติจากการทำบุญวันอาสาฬหะบูชา และเทสการเข้าพรรษา ปีนี้ครับ

                       ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #2538 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2554, 20:35:10 »

สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
 งานซ่อมเริ่มเดินหน้าแล้ว
พรุ่งนี้หากไปทำบุญ หากไปเวียนเทียนเผื่อด้วยนะคะ
ดักคอไว้ก่อนค่ะ อย่าบอกว่าทำบุญเผื่อไม่ได้ ใครทำใครได้นะคะ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2539 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2554, 20:52:13 »

พี่สิงห์ พี่ตู่ พี่เอมอรคะ,
วันนี้หนิงไปฟังพระเทศน์มาคะ!
คนไทยเค้าเปิดร้านนวดเล็กๆที่หมู่บ้านห่างไป
หนิงไม่ได้ทำกับข้าวไทยไป แต่แวะซื้อผลไม้
ประกอบด้วย:แตงโม,สตรอเบอรี่,แพร์,แคนตาลู๊บ
องุ่นไร้เม็ด...ใส่ตะกร้าไปร่วมทำบุญถวายพระ 1 รูป
มาจากลาว...พระลาวจริงๆนะคะ มาจากหลวงพระบาง
มาจากเวียงจันทน์แท้ๆ เว่ากันนัก...มีเลขาจากวัดไทย
(วัดลาว)มาช่วยด้วย เกรงสาวๆว่าคำสวดไม่ถูก..
ได้กรวดน้ำ ได้ถวายข้าว ได้รับด้ายสายๆกลับมาด้วยคะ
นั่งพับเพียบกันตลอด..

hilightตอนรับทานอาหารร่วมกัน..
ช่างเป็นบรรยากาศง่ายๆสบายๆ
เพิ่งเข้าบ้านได้ครู่คะ

กลับก่อนพระ...ไม่รู้บาปมั้ยพี่!
แต่แฟนหนิงต้องทำธุระต่อ.
ความจริงอยากนั่งเม้าธ์ต่อ
สาวๆล้วนน่าสนใจ...หลวงพี่(รึหลวงน้อง)
มีผู้นิมนต์มาย่านนี้บ่อย...เรียก"โยม+ชื่อเล่น"
ได้แม่นยำ...มีหนิงคนเดียวมั้งคะ หน้าใหม่
คนไกลวัดก็เงี๊ยะ!
เทศน์ได้ทันสมัยเฉียบคะ...คงเป็นพระลาว
ที่จำพรรษาได้นานพอที่จะเข้าใจวิถีชีวิต
ผู้หญิงไทยที่โน่น.
วัดศรีบุญเรืองนี้ ยินว่าคนไปกันมากในทุกเทศกาล
มีอาคาร กำลังขอซื้อที่ดินเพิ่ม...แจกซองอยู่แน่ะคะ!
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2540 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2554, 21:00:09 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 14 กรกฎาคม 2554, 20:28:52
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                       พี่สิงห์กลับมาอยู่กรุงเทพฯ แล้วครับ

                       พี่สิงห์ไปเจออากาสภาคใต้เข้า บ่ายฝนตก ทุกวัน และใช้เสียงพอสมควร เมื่อคืนนอนไม่หลับสนิท  ทั้งๆที่ไม่มีอะไรต้องคิดทั้งนั้น เพราะบังคับไม่ให้คิด เวลาตื่นก็ทำความรู้สึกตัวเสมอ ผลคือพอนอนน้อยไปร่างกายยังฟื้นไม่สมบูรณ์ ผลที่ตามมาคือ รู้สึกว่าในลำคอมีสะเลด มาก และมีอาการไอ และรู้สึกว่าจะมีไข้  แต่พี่สิงห์ไม่ได้รับประทานยาใดๆ ทั้งสิ้น

                       วันศุกร์ที่ ๑๕ กรกฎาคม เลยตั้งใจพักฟื้นดูอาการและคุณหมอวิทิต และคุณหมอพีร์  จะมาเยี่ยมบ้านที่กรุงเทพฯ เลยไม่ได้ไปสิงห์บุรี จะรอให้คุณหมอทั้งสองตรวจดูอาการอีกครั้งครับ

                      แต่วันเสาร์ที่ ๑๖ กรกฎาคม  คงต้องไปทำบุญเข้าพรรษาที่บ้านเพราะนัดกับพี่ชายใหญ่ และกรรมการวัดพระนอนเอาไว้แล้ว ความคืบหน้าในการบูรณะศาลาวัดนั้น อาจารย์เผ่า  เสนอให้ซ่อมหลังคาก่อน ทำฝ้าเพดานในส่วนที่เสียหาย ซึ่งผมประมาณการออกมาแล้ว พรรคพวกคือร้านพี่พงษ์ศักดิ์ หลานโต่งขายกระเบื้องให้จากราคาปกติ 70 บาทต่อแผ่น ไม่รวมค่าขนส่ง แต่งานนี้ขายให้ 54.50 บาทต่อแผ่นส่งถึงที่ ไม่ได้คิดกำไรเลย อยากช่วยทำบุญให้วัด พอลองประมาณราคาคร่าวๆแล้ว ทั้งกระเบื้อง แปเหล้ก ค่าแรงรื้อของเก่าและปูของใหม่ หลังคาศาลาวัดสามารถทำได้เลย ไม่ควรเกิน 600,000 บาท ซึ่งมีเงินพอ ครับ ส่วนจะซ่อมเมื่อไรนั้น ต้องรอกรรมการวัดตัดสินใจ ครับ                       
                       ขอให้ทุกท่านมีปีติจากการทำบุญวันอาสาฬหะบูชา และเทสการเข้าพรรษา ปีนี้ครับ

                       ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
พี่สิงห์ไปร่วมในบริเวณด้วยรึปล่าวคะ?
ถ่ายรูปมาฝากด้วยนะคะ
ยังไม่เคยเห็นเค้ารื้อหลังคาอุโบสถเลย.

ปวดเหงือกอีกมั้ยพี่?
วันไหนคะ ต้องไป..Aäääääääääääää
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2541 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2554, 07:40:14 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร  คุณน้องตู่  คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง และชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                                วันนี้วันพระใหญ่ขึ้นสิบห้าค่ำเดือนแปด เป็นวันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาให้กับปัจจวัคคี ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณาสี  ซึ่งพี่สิงห์ได้มีโอกาสไประลึกถึงสถานที่มาแล้ว  ทุกท่านทำจิตให้ผ่องใสนะครับ ถึงแม้จะไม่ได้ไปทำบุญที่วัดก็ไม่เป็นใรขอเพียง ทราบความหมายของวันนี้ และน้อมนำเอาธรรมของท่านไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน คือ มรรค ๘

                                พี่สิงห์ขอสรุปอีกครั้ง นะครับ

วันอาสาฬหบูชา


                       ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี จะตรงกับวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกหนึ่งวัน นั่นคือ "วันอาสาฬหบูชา" ทั้งนี้ คำว่า "อาสาฬหบูชา" สามารถอ่านได้ 2 แบบ คือ อา-สาน-หะ-บู-ชา หรือ อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา ซึ่งจะประกอบด้วยคำ 2 คำ คือ อาสาฬห ที่แปลว่า เดือน 8 ทางจันทรคติ กับคำว่า บูชา ที่แปลว่า การบูชา เมื่อนำมารวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน 8 หรือการบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเดือน 8

                        วันอาสาฬหบูชา คือวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้ได้ 2 เดือน โดยแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานาม และพระอัสสชิ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ จน พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้บรรลุธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา จึงถือว่าวันนี้มีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์ครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช 45 ปี

                         ทั้งนี้ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ปัจจวัคคีย์ทั้ง 5 เรียกว่า "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม ซึ่งหลังจากปฐมเทศนา หรือเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงจบลง พระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน จึงขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานอุปสมบทให้ด้วยวิธีที่เรียกว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" พระโกณฑัญญะจึงได้เป็น พระอริยสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ต่อมา พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม และได้อุปสมบทตามลำดับ

สำหรับใจความสำคัญของการปฐมเทศนา มีหลักธรรมสำคัญ 2 ประการ คือ


1. มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลางๆ ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดำเนินชีวิตที่เอียงสุด 2 อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือ

                     การหมกมุ่นในความสุขทางกาย มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง รวมความเรียกว่าเป็นการหลงเพลิดเพลินหมกมุ่นในกามสุข หรือกามสุขัลลิกานุโยค

                     การสร้างความลำบากแก่ตน ดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย เช่น บำเพ็ญตบะการทรมานตน คอยพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น ซึ่งการดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกาย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค

                     ดังนั้น เพื่อละเว้นห่างจากการปฏิบัติทางสุดเหล่านี้ ต้องใช้ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ 8 ประการ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ 8 ได้แก่

                     1. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง และเห็นชอบที่จะนำทางสายกลางมาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

                     2. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม หรือคิดแต่ในทางที่ถูกต้อง ดีงามนั่นเอง

                     3. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต คือมีปิยะวาจา  ไม่กล่างวาจาที่ทำให้ผู้อื่นแลัตัวเองเดือดร้อน นั่นเอง

                     4. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต คือไม่กระทำการใดๆที่ทำให้ผู้อื่น สัตว์ และตัวเองเดือดร้อน นั่นเอง

                     5. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรือมีอาชีพที่สุจริต หามาได้โดยสุจริต ไม่เอาเปรียบทุกสิ่ง(รวมธรรมชาติ)

                     6. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี คือทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้นต้องกระทำอย่างสม่ำเสมอมีความเพียรพยายามในการกระทำ มีความมานะ และอดทน จนกระทำได้สำเร็จ

                     7. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด คือมีสติอยู่ในสิ่งที่กระทำ ณ ปัจจุบัน ไม่ใจลอย

                     8. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน จะทำสิ่งใดต้องมีจิตมั่นในสิ่งนั้น



 2. อริยสัจ 4 แปลว่า ความจริงอันประเสริฐของอริยะ ซึ่งคือ บุคคลที่ห่างไกลจากกิเลส ได้แก่

                     1. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริงว่ามันคืออะไร ต้องยอมรับรู้ กล้าสู้หน้าปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจในสภาวะโลกว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ไม่ยึดติด

                     2. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการสำคัญของทุกข์ คือ ตัณหาหรือเส้นเชือกแห่งความอยากซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยอื่นๆ

                     3. นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระ อยู่อย่างรู้เท่าทันโลกและชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา

                     4. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห้งการแก้ปัญหา อันได้แก่ มรรคมีองค์ 8 ประการดังกล่าวข้างต้น



สำหรับ มรรค ๘ นั้น ถ้าใครจำไม่ได้ พระพุทธเจ้า ท่านทรงสรุปเอาไว้ง่ายๆ เป็นหลักของพระพุทธศาสนา คือ

                     ๑. ละการทำชั่วทั้งปวง   คือ ไม่กระทำชั่วทางกาย  ไม่กระทำชั่วทางวาจา และไม่คิดชั่วต่างๆ ทางใจ หรืออย่างน้อยสุดพยายามรักษา ศีล ๕ ให้ได้ในแต่ลัวัน ครับ

                     ๒. กระทำความดีให้ถึงพร้อม คือ กระทำดีทางกายหรือกายสุจริต  มีปิยะวาจาคือวาจาสุจริต และใจคิดแต่ในทางที่ดีงามคือใจสุจริต และตั้งมั่นอยู่ในการทำดี ทางกุศลทั้งทางกาย วาจา และใจ

                     ๓. ทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส คือทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในการกระทำที่ดีทั้งทางกาย วาจา ใจ คอยอบรมจิตอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ปัญญา  จนเกิดปัญญาญาณ จนสามารถปล่อยวางได้ทุกสิ่ง จนจิตถึงนิพพาน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของศาสนาพุทธ


                     จะเห็นว่าไม่อยากเลยต่อการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และการทำงาน ถ้าครอบครัวไหนปฏิบัติตาม ครอบครัวนั้นจะมีแต่คว่มสงบสุข  สังคมไหนปฏิบัติตาม สังคมนั้นจะมีแต่ความสงบสุข และถ้าประเทศไหน ประชาชนปฏิบัติตาม ประเทศนั้นจะสงบสุข  ไม่มีความขัดแย้งใดๆ เกิดขึ้นจะอยู่อย่างเกื้อกูลกันในประเทศ คนจน คนชั้นกลาง  คนรวย  คนมีเกียรติ คนไม่มีเกียริต นักการเมือง ข้ารางการ และประชาชนทั่วไปจะสามารถอยู่ได้อย่างสงบสุข ครับ


                      เย็นนี้พี่สิงห์จะไปเวียนเทียนที่วัดพระนอน และจะนั่งปฏิบัติธรรมที่หน้าอนุสาวรีย์พ่อ ครับ                    

                      สวัสดียามเช้าครับ

หมายเหตุ
      
          เหงือกและฟัน ไม่เจ็บเลย  เจ็บเพียงวันแรกที่ทำการรักษาวันเดียวเท่านั้น เมื่อคืนได้พักผ่อน ไม่มีอาการไอเลยแต่รูจมูกด้านซ้ายปิดทั้งคืน เพราะแพ้อากาศ  แต่โดยรวมเช้านี้ดีขึ้น อาการไอน้อยลง สะเลดน้อยลง แต่คงต้องรอให้คุณหมอวิทิต คุณหมอพีร์(น้องเขยและหลายชาย) มาตรวจที่บ้านก่อนครับ เพราะเขาตั้งใจมาหาเรา บ่ายๆ ถึงจะกลับไปสิงห์บุรีเพื่อเวียนเทียนและค้างคืนทำบุญเข้าพรรษาที่วัดพระนอน ครับ
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2542 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2554, 08:21:07 »


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์และสมาชิกทุกท่าน...

...เข้ามาตามอ่านธรรมะดีๆจากพี่สิงห์ค่ะ...

...ขออนุโมทนาบุญกับพี่สิงห์และทุกท่านด้วยค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #2543 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2554, 11:33:42 »

              สวัสดีค่ะพี่สิงห์ พี่ตู่ ได้ธรรมะ ข้อคิดที่จรรโลงใจยามที่เข้าเวบซีมะโด่งในห้องคุยกับคุณมานพ กลับดีค่ะ
                                           แล้วแต่สติปัญญาที่มีเพราะจิตไม่นิ่งพอจะอ่านจนจบค่ะเพื่อนเรียกต้อยว่าเด็กไฮเปอร์
                                            คนที่บ้านเรียกเจ๊นั่งนิ่งนิ่งได้แล้ว
                                             ขอถือโอกาสวันอาสาฬหบูชา ขอบคุณพี่สิงห์ที่มอบคติธรรมต่างๆให้ตลอดมา 
                                                                                                                                                             
      บันทึกการเข้า

เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #2544 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2554, 15:38:13 »

สวัสดี วันพระ ค่ะ พี่สิงห์
วันนี้พี่สิงห์ก็ได้ไปเวียนเทียน แล้ว
พี่สิงห์คงได้ความสงบเพิ่มขึ้นอีกมาก
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2545 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2554, 19:00:51 »

สวัสดีครับ คุณน้องเอมอร  คุณน้องต้อย คุณน้องตู่ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง และชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน

                        พี่สิงห์เดินทางมาถึงวัดพระนอนเวลาสามโมงเย็น ได้พูดคุยกับกรรมการวัดเรื่องซ่อมศาลาวัดพระนอน หลังจากนั้นเวลาสี่โมงเย็นได้ร่วมทำบุญทำวัตรเย็นกับอุบาสก อุบาสิกา ที่ถือศีล ๘ จำนวน ๔๘ ท่าน เนื่องในวันอาสาฬหบูชา พี่สิงห์เลยถือโอกาส ขอร้องให้ผู้ใหญ่บ้านช่วยไปซื้อไวตามิลกล่อง จำนวน ๕๐ กล่อง มาเลี้ยงเหล่าอุบาสก อุบาสิกา พอดีมีผู้มีจิตศรัทธาได้ซื้อนมมาสมทบด้วย ครับ สวดมนต์ทำวัตรเย็นหนึ่งชั่วโมง สวดมนต์ไปจนจบครึ่งเล่ม และจบด้วยบทกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล  ไม่มีใครนอนค้างที่วัด พี่สิงห์เลยต้องมานอนที่บ้านพี่สาว โดยตั้งใจจะไปนอนค้างวัดครับ

                        ห้าโมงเย็นพระลงทำวัตร พอดีมีญาติโยมจะกลับบ้านก่อน การเวียนเทียนจึงแบ่งออกเป็นสองรอบ

                        รอบแรกนั้น ไม่เป็นทางการให้อุบาสก อุบาสิกาบางท่านเวียนก่อน

                        ส่วนรอบที่สองเป็นทางการเป็นเรื่องของพระและฆารวาส พระท่านจะสวดมนต์ที่หน้าโบสถ์เพื่อสาธยายพระสูตรว่าด้วย ปฐมเทศนา ตามที่พี่สิงห์ได้โพสต์ไว้ เสร็จแล้วจึงเวียนเทียนรอบโบสถ์สามรอบ โดยการสวดบทอิติปิโส  สวาขาโต และสุปัติติภัณโณ จนครบสามรอบ เพื่อระลึกคุณพระพุทธ  พระธรรม และพระสงฆ์ เสร็จแล้ว พระ ฆาราวาส จะเอาดอกไม้ ธูป เทียน ไปปักตามต้นไม้เป็นต้นโพธิ์ และหน้าพระพุทธรูป  ส่วนพี่สิงห์นั้น เอาไปบูชา กราบอนุสาวรีย์พ่อ พี่เขย และหลานชาย แทนครับ

                        วันนี้เป็นวันพระใหญ่ พี่สิงห์ถือศีล ๘ ครับ

                        สวัสดี  





















      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2546 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2554, 19:36:53 »

พี่สิงห์,
เวียนกันกลางวันด้วย หนิงเข้าใจว่ากลางคืน
ขอชมก่อนคะ.

อ้อ,ใครจะนุ่งขาวห่มขาวก็ได้เหรอคะ?
หนิงเห็นเจ้าของร้านขายเครื่องสงฆ์ที่ภูเก็ต
เธอนุ่งขาวห่มขาว ว่าจะถามก็ยังไม่กล้า
ได้แต่สังเกต..เธอยังขายตั๋วรถทัวร์กรุงเทพ
ที่ร้านเธอต้องเป็นจุดจอดด้วย...เธอดูสงบ
ทางโลกก็ยังไม่ตัด ทางธรรมก็ปฏิบัติได้
ไม่ได้อยู่ในวัดค่ะ...
ที่สำคัญที่หนิงสังเกตอีกคือ..เธออยู่กะผู้หญิง!
ผู้หญิงที่ท่าทางคล้ายทอม...แต่ไม่นุ่งขาวห่มขาว
มองหน้าตาแล้วไม่ไช่พี่น้องกันคะ..สงสัยเป็นเพื่อน.
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2547 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2554, 16:11:29 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 15 กรกฎาคม 2554, 19:36:53
พี่สิงห์,
เวียนกันกลางวันด้วย หนิงเข้าใจว่ากลางคืน
ขอชมก่อนคะ.

อ้อ,ใครจะนุ่งขาวห่มขาวก็ได้เหรอคะ?
หนิงเห็นเจ้าของร้านขายเครื่องสงฆ์ที่ภูเก็ต
เธอนุ่งขาวห่มขาว ว่าจะถามก็ยังไม่กล้า
ได้แต่สังเกต..เธอยังขายตั๋วรถทัวร์กรุงเทพ
ที่ร้านเธอต้องเป็นจุดจอดด้วย...เธอดูสงบ
ทางโลกก็ยังไม่ตัด ทางธรรมก็ปฏิบัติได้
ไม่ได้อยู่ในวัดค่ะ...
ที่สำคัญที่หนิงสังเกตอีกคือ..เธออยู่กะผู้หญิง!
ผู้หญิงที่ท่าทางคล้ายทอม...แต่ไม่นุ่งขาวห่มขาว
มองหน้าตาแล้วไม่ไช่พี่น้องกันคะ..สงสัยเป็นเพื่อน.

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก
                 พวกที่นุ่งขาว-ห่มขาว คือพวกอุบาสก-อุบาสิกา ถือศีล ๘ ครับ
                 นอกนั้นคือพวกชาวบ้านทั่วไป ครับ
                 ที่ไม่เวียนกลางคืน คือ มันไม่สะดวกครับ เลยประยุกต์เป็นหกโมงเย็นภายหลังจากพระทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว ครับ
                 สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2548 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2554, 16:35:37 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
                       วันเสาร์ที่ ๑๖ กรกฎาคม เป็นวันเข้าพรรษา ครับ พี่สิงห์ออกจากบ้านพี่สาวหกโมงครึ่งไปทำบุญที่วัดพระนอน ไปถึงวัดก็ไปกราบอนุสาวรีย์พ่อ กราบพระ ใส่บาตร เอาเงินทำบุญเนื่องในวันเข้าพรรษาหนึ่งพันบาท ทำบุยหล่อเทียนพรรษาหนึ่งร้อยบาท ทำบุญทอดผ้าป่าสองร้อยบาท เสร็จแล้วก็ไปใส่บาตรพระ และหล่อเทียนพรรษา ครับ
                       เชิญชมภาพเทศการทำบุญเข้าพรรษาของวัดพระนอน ครับ
                       สวัสดี

































      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2549 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2554, 16:50:59 »

                       ภาพชาวบ้านวัดพระนอน มาร่วมทำบุญในเทสกาลเข้าพรรษา เต็มศาลาวัดครับ ด้วยแรงศรัทธาของชาวพุทธที่ยังเข้มแข็ง
                       เชิญชมภาพ สำหรับทุกท่านที่อยู่กรุงเทพฯ เลยไม่มีโอกาสทำบุญแบบนี้ ไม่เป็นไรวันหลังพี่สิงห์จะพาไปทำบุญแบบนี้ที่วัดนี้อีกครั้งหนึ่งครับ ไปทำบุญร่วมกับชาวบ้าน ไปดูบรรยากาศจริงๆ กันครับ คอยหน่อยครับ



ผ้าอาบน้ำฝนที่พี่สาวเตรียมไว้ให้พี่สิงห์เพื่อจับฉลาก ถวายปรากฏว่าครั้งนี้พี่สิงห์จับได้เบอร์ ๔ เป็นพระ เลยได้ถวายผ้าอาบน้ำฝนพระพร้องปัจจัย



ตัวอย่างกระเบื้องที่จะใช้มุงหลังคาเป็น Excella Classic ของ CPAC MONIA เครือปูนซิเมนต์ไทย













      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 100 101 [102] 103 104 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><