23 พฤศจิกายน 2567, 20:02:02
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 94 95 [96] 97 98 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3563120 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 20 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2375 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2554, 07:11:07 »

อ้างถึง
ข้อความของ krongon2513 เมื่อ 28 มิถุนายน 2554, 23:26:42
เรียบร้อยแล้วค่ะ น้องสาวฉัน(ซีมะโด่ง17)จัดการประสานงานกับอาจารย์เผ่าแทนฉันได้เป็นอย่างดี
ผู้ที่ไม่ใช่นิสิต(คือคุณสิงห์)จะมาด้วยก็ได้นี่คะ
จะได้คอมเมนท์ทั้งจากวิศวกรและสถาปนิก มีประโยชน์เป็นยิ่งนัก

วันนี้อยู่แคลิฟอร์เนีย อาทิตย์หน้าจะไปเนวาดาและอริโซนาแล้วก็กลับบ้านเรา(ดีกว่า)
สวัสดีครับ คุณอ้อย(กรองอร)ที่รัก
              ขอบพระคุณมากที่เป็นธุระให้เรื่องไปศึกษาหาความรู้จากบ้านที่ชลบุรีของนิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ แผนกวิชาสถาปัตยกรรมไทย ที่อาจารย์เผ่า  จะพาไปครั้งนี้ ครับ
              สำหรับผมนั้น เป็นส่วนเกิน อาจารย์เผ่าโทรศัพท์มาหาผม ผมก้ผ่านไปให้เธอจบแล้ว ถ้าว่างอาจจะไปครับ
              สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2376 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2554, 07:34:16 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน
                        สองสามวันมานี้มีงานต้องกระทำหลายเรื่องทั้งงานราษฎร์และงานที่ต้องทำตามหน้าที่
                        วันจันทร์ที่ผ่านมาออกจากบ้านเช้าตรู่ไปเยี่ยมแม่ที่สิงห์บุรีและน้องสาว แม่ไม่เป็นห่วงเท่าไรเพราะ สังขารมันก็เป็นอย่างนั้น แต่สำหรับน้องสาวน่าเป็นห่วง ยังติดอยู่ในความคิดตัวเอง แต่ยังดีที่วันจันทร์-อังคาร ที่ผ่านมา รศ.ดร.สมพร  ไปอบรมให้ความรู้แก่พยาบาลโรงพยาบาลสิงห์บุรี เรื่อง แพทย์ทางเลือก การใช้สมาธิในการเยียวยารักษาโรค จึงทำให้ผมได้ที อธิบายเพิ่มเติม ว่าเขาจะต้องหาเวลาปฏิบัติธรรมเจริยสติตามแนวทางหลวงพ่อเทียนให้มากขึ้นอย่างน้อยเช้ามือ - ก่อนนอน วันละหนึ่งชั่วโมง  ถ้าทำได้มันจะได้ผลตามที่ รศ.ดร.สมพร  ได้บรรยายให้ทราบและดีกว่าจากผลการทดลองด้วยซ้ำ ซึ่งขณะคุยกับ  รศ.ดร.สมพร  ความดันเขาขึ้นไป 180 จนอาจารย์ตกใจ และให้ทดลองทำสมาธิโดยการเคลื่อนไหวด้วยมือให้สอดคล้องกับการหายใจสิบนาที ผลคือความดันลดลงเหลือ 140 เป็นปกติเขาจึงเชื่อเรื่องการเจริญสติ ทำสมาธิ ว่ามีประโยชน์จริง  ตอนนี้ถึงแม้สงบเป็นเพียงเปลือกเท่านั้น และผมได้เอาหนังสือของหลวงพ่เทียนไปให้อ่านเพิ่มเติม คือแนวทางการเจริญสติประจำวัน
                        วันอังคารเช้าผมไปทำฟันที่คณะทันตแพทย์ จุฬาฯ กับคุณหมอผ่องผุด เป็นครั้งที่สอง เป็นการรักษารากฟัน ใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงในการรักษา ทรมาร แต่ผมพยายามเจริญสติขณะทำการรักษาไม่ให้คิด แต่เวลาเครื่องมือไปถูกปราสาทฟันมันก็เสียววาบทันทีหลุดเสมอ แต่ก็ทนเวทนาที่เกิดขึ้นได้  ไม่รู้สึกว่ากลัวเลย  คุณหมอทำอะไรบ้างผมไม่ได้ถามเลย  แต่ถ้าจิตไม่ได้อยู่ปัจจุบันจะรู้ว่า นานมาก เหมื่อยที่ต้องอ้าปากตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่า  เป็นการฝึกจิตที่ทนต่อทุกข์ทางร่างกายดี  ทุกข์ใจมันหนักกว่านี้มาก ยังจะต้องมีนัดกับคุณหมออีกสองครั้งสำหรับฟันซี่นี้  แต่ด้วยความสงสัยอยากรู้จึงโทรศัพท์ไปสอบถามความรู้เรื่องการรักษารากฟันกับคุณน้องเสียด จึงได้รับความรู้ เมื่อรู้แล้วเราจะได้ปฏิบัติตัวได้ถุกต้อง คุรหมอบอกว่ามันจะปวดไปสามวัน  แต่วันนี้ยังไม่ปวดเลยคงไม่รับประทานยาแก้ปวด จะลองอดทนดูจิตตัวเองว่าจะทนได้ไหม?
                        หลังจากทำฟันเสร็จพี่สิงห์ต้องนั่งรถไฟฟ้าไปที่อ่อนนุชและนั่ง TAXI ไปที่สนามกอล์ฟธนาซิตี้ ซึ่งทาง SIW จัดแข่งขันกอล์ฟกับลูกค้า ประมาณสี่สิบกว่าท่าน ปรากฎว่าผมตีกอล์ฟไม่เป็นเลย เพราะมันปวดจี็ดขึ้นมา เป็นช่วงๆ รับประทานยาพาราไปสองเม็ด มันจึงมึน ปราสาทไม่ทำงานไปบางส่วน ไม่สามารถบังคับวงสวิงกอล์ฟได้ ตีเป็นเด้กหัดใหม่เลย กลับถึงบ้านสองทุ่มครึ่งครับ
                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2377 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2554, 08:00:14 »

รู้สุขภาพวันละนิด จิตหมดทุกข์
ตอน
น้ำผัก-ผลไม้ปั่น แทนอาหารมื้อเย็น

                        ด้วยความบังเอิญ  จึงค้นพบวิธีดูแลตัวเอง และการควบคุมสำหรับอาหารเย็นที่ไม่เป็นภาระ
                        ทุกวันพระ ผมจะถือศีลแปด  คืองดอาหารเย็น งดสิ่งของหอมประดับร่างกาย และนอนที่นอนอ่อนนุ่ม(ฟูก) แต่กลัวว่าตัวเองจะหิวสำหรับอาหารมื้อเย็น และพยายามให้กระเพาะอาหารได้ทำหน้าที่ของมันตามปกติ ผมจึงใช้วิธีรับประทานอาหารเย็นโดยไม่ต้องเคี้ยว คือหาผลไม้ตามมีตามเกิด สองอาทิตย์ที่ผ่านมาอยู่ที่โรงงแรมนครศรีธรรมราช จึงใช้ผลไม่ที่อยู่ในห้อง มีองุ่น ชมภู่ ส้ม แอปเปิ่ล ฝรั่ง ผสมรวมกันแล้วให้พนักงานโรงแรมปั่น ผสมกับแตงโมง ดื่มได้ผลดีเกินขาด ไม่รู้สึกว่าหิว ไม่ผิดศีล และลองไปหามะม่วงสุก มาปั่นดื่ม ยิ่งดีใหญ่เลย
                        ทุกท่านครับ ถ้าเราไม่มีเวลาทำอาหารเย็นรับประทาน และต้องการควบคุมน้ำหนัก มาลองทำน้ำผลไม้ ผสมผักสดปั่นดื่มกันดูบ้างครับ ไม่ต้องใสน้ำเชื่อม ใส่น้ำแข็งสองก้อน กันเลี่ยน นำมาปั่นรวมกันเป็นอาหารมื้อเย็นกันดีกว่า ไม่ต้องสนใจรสชาดทั้งสิ้น ขอเพียงสะอาดปราศจากยาฆ่าแมลงก็พอ รับรองเป็นของดีมีประโยชน์แน่นอนครับ ผมเลยไปซื้อหนังสือมาเล่มหนึ่งสำหรับทำผัก-ผลไม่ปั่น เพื่อจะทำให้ตัวเอง และจะทดลองดูสักสามเดือน แต่ตอนนี้ต้องไปหาซื้อเครื่องปั่นก่อนเพราะที่บ้านไม่มี เพราะเคยไปดูที่ร้านคุณสุภาณี  แพงมากเลยไม่ซื้อ  แต่ตอนนี้คิดถึงผลระยะยาวแล้ว คิดว่าต้องซื้อ จะได้หมดภาระอาหารมื้อเย็นไป และดีต่อร่างกายด้วย กระเพาะอาหารก็ยังทำหน้าที่ของมันไปตามเดิมได้
                        ใครมีไอเดียดีๆในเรื่องนี้บอกพี่สิงห์บ้างครับ
                        สวัสดี(29170)
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2378 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2554, 10:04:19 »

รู้ธรรมวันละนิด จิตผ่องใส

ตอน

การเจริญสติในชีวิตประจำวัน





(คิดลอกมาจากหนังสือ อารมณ์การปฏิบัติ ของหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ)

   ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีความหลง(โมหะหรือหลง อยู่ในความคิดตัวเอง) เมื่อมีความหลงแล้ว จะทำ  พูด  คิด อะไรก็ไม่ถูกต้อง  การเจริญสตินี้  ต้องทำมากๆ  ทำบ่อยๆ  นั่งทำก็ได้  นอนทำก็ได้  ขึ้นรถ  ลงเรือ ทำได้ทั้งนั้น

   เวลาเรานั่งรถเมล์  หรือเรานั่งรถยนต์ก็ตาม เราเอามือวางไว้บนขา พลิกขึ้นคว่ำลงก็ได้ หรือเราไม่อยากพลิกขึ้นคว่ำลง เราเพียงเอามือสัมผัสนิ้วอย่างนี้ก็ได้(เอานิ้วหัวแม่โป้งสัมผัสกับนิ้วชี้ หรือสัมผัสกับนิ้วทั้งสี่ที่เหลือ วนเป็นวงกลมช้าๆให้รู้สึกตัว จะมือเดียวหรือสองมือ พร้อมกันหรือไม่ก็ได้) สัมผัสอย่างนี้ให้มีความตื่นตัว  ทำช้าๆ หรือจะกำมือเหยียดมือก็ได้  หรือจะเอามือสัมผัสขาเรา อย่างนี้ก็ได้ (แม่ผม เวลาท่านนอน จะเอามือสัมผัสกับหน้าท้อง หรือขาตัวเอง วนช้าๆ สร้างความรู้สึกตัว ตลอดเวลา)

   “ไม่มีเวลาที่จะทำ”  บางคนว่า
   “ทำไม่ได้  มีกิเลส”  เข้าใจอย่างนั้น

   อันนี้ถ้าเราตั้งใจแล้ว  ต้องมีเวลา  มีเวลาเพราะเราหายใจได้  เราทำการทำงานอะไรก็ให้มีความรู้สึกตัว เช่น เราเป็นครูสอนหนังสือ เวลาเราจับดินสอมาเขียนหนังสือ เรามีความรู้สึกตัว เขียนตัวหนังสือไปเราก็รู้ อันนี้เป็นการเจริญสติแบบธรรมดาๆ ศึกษาธรรมะกับธรรมชาติ

   เวลาเราทานอาหาร  เราเอาช้อนเราไปตักเอาข้าวมาใส่ปากเรา  เรามีความรู้สึกตัว  ในขณะที่เราเคี้ยวข้าว  เรามีความรู้สึกตัว  กลืนข้าวเข้าไปในท้องไปในลำคอ  เรามีความรู้สึกตัว  อันนี้เป็นการเจริญสติ  อย่าเพิ่งพูดว่าไม่มีโอกาส ไม่มีเวลานั้น อันนี้เป็นคนที่ไม่ตั้งใจ คือไม่รู้จัก ไม่สนใจเรื่องชีวิตนี้เอง ทำบ่อยๆ มันจะปรากฏ ความปรากฏนั้นคือ การสะสมอันนี้เป็นเหตุ ผลของมันเกิดขึ้นนั้นเรียกว่า  ญาณของปัญญา  เหตุของมันคือ ทำความรู้สึก

   สมมุติเราเอาผลไม้ไปลงดิน  เมื่อเอาผลไม้  เอาเมล็ดพืชอะไรต่างๆไปเพาะ ไปปลูกไว้ เราเอาน้ำไปรดมัน รดบ่อยๆ  ความอบอุ่นมากระทบเข้าไปในผลเมล็ดพืชอันนั้น  มันก็แตกขึ้นมา มันก็เป็นผลขึ้นมา อันนี้ก็เหมือนกัน ที่เราทำนี่เป็นเหตุของมัน เหตุของมันคือ เราทำความรู้สึก  ผลของมันปัญญามันจะรู้ขึ้นมันทันที  อันนั้นเป็นรูป  อันนี้เป็นนาม  เราจะรู้จักเอง แต่ไม่ไปสนใจมัน

   ที่อาตมานำมาเล่าให้ฟังอันนี้จำได้ อันนี้รู้จำ เมื่อรู้จำแล้ว ต้องพิจารณา ให้รู้จัก  เมื่อรู้จักแล้วก็ใช้สติปัญญาพิจารณา ทำให้สติตื่นตัวอยู่เสมอ เป็นการรู้แจ้ง  เป็นการรู้จริง  คำว่ารู้แจ้ง     รู้จริง นี้หมายถึง รู้อยู่ทุกขณะ ทุกเวลา  อันนี้รู้แจ้ง  รู้จริง อย่างไรก็ตาม  จำเป็นต้องรู้จำก่อน

   บัดนี้เมื่อเรา นั่งนานๆ  มันเจ็บแข้ง  เจ็บขา  เจ็บหลัง  เจ็บเอว  เราก็ต้องเดิน  เดินไป  เดินมา ก้าวเท้าไป ก้าวเท้ามา ทำความรู้สึก แต่ไม่ได้พูดว่า ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ ไม่ต้องพูด เพียงเอาความรู้สึกเท่านั้น อันความรู้สึกนั้นแหละเป็นการเจริญสติ คำว่าสติ - ความระลึกได้ อันความระลึกได้กับความรู้สึกนั้น เป็นอันเดียวกัน

   บัดนี้ เมื่อเราทำบ่อยๆ ความคุ้นเคยมันบ่อยๆ เมื่อมันคิดวูบขึ้นมา  เราจะรู้สึก  อันความรู้สึกนั้น  ท่านเรียกว่ามีสติ  มันรู้สภาพ หรือสภาวะของความคิด  ดังนั้น การเดินจงกรมก็เป็นการเจริญสติ  เป็นการระลึกได้จริงๆ  อันนี้ไม่จำกัด  ไม่กำหนดกฏเกณฑ์  จะเป็นคนหนุ่ม คนสาว   เป็นคนเฒ่า  คนแก่  กลางคนก็ทำได้  เพราะเราไม่ต้องการความทุกข์

   เมื่อเราทำอย่างนี้ ความทุกข์มันหายไปเอง  สมมุติเหมือนกันกับที่เราอยู่ที่มืด  เราไม่ต้องการความมืด  แต่เราไม่รู้จักวิธีที่จะไล่ความมืดได้  เราเพียงมีไม้ขีดไฟหรือเทียนไขก็ตาม พอเราจุดไม้ขีดไฟสว่างขึ้นความมืดมันหายไปเอง  อันนี้ก็เหมือนกัน  แต่เราทำความรู้สึกอยู่อย่างนี้
เมื่อเราทำความรู้สึกอยู่อย่างนี้ ความโกรธ  ความโลภ  ความหลง  มันก็ไม่ได้มีอยู่แล้ว  ที่มันโกรธ  มันโลภ  มันหลง  ขึ้นภายในจิตใจนั้น  เรียกว่าเราไม่ตื่นตัว  คือเราไม่เห็น  ไม่เข้าใจนั่นเอง

   ดังนั้น ที่อาตมานำมาชี้แจง หรือนำมาแนะแนววิธีปฏิบัติให้นี้ อันนี้แบบนี้ปฏิบัติง่ายๆ ปฏิบัติแบบพระพุทธเจ้าจริงๆ เรื่องนี้เมื่อพูดถึงการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าจริงๆ  คนอื่นนั้นทำ พุทโธ  หรือ อรหัง พอง ยุบ นับหนึ่ง สอง สาม นั้นถูกไหม เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าไหม  อันนั้นไม่ต้องไปสนใจมัน  ใครจะพูดอย่างไรก็ตาม  ไม่ต้องไปสนใจมัน  เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ตาม  ไม่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ตาม  แต่อาตมาไม่ได้เอามาพูดเรื่องนั้น  เพราะเราทุกคนต้องการความจริง

   อะไรก็ตาม  ถ้าหากว่า  มันทำลายความหลงผิดได้  อันนั้นแหละถูกต้อง  ที่อาตมาพูดนี้  อาตมารับรองได้  รับรองได้จริงๆ  ทำไมว่ารับรองได้  เพราะอาตมาแต่ก่อนก็เคยโกรธเหมือนกัน  เมื่ออาตมาทำอย้างนี้  อาตมาความโกรธมันไม่ได้มี  เพราะอาตมาเห็นความโกรธไม่มี  อย่างที่ญาติโยมและท่านทั้งหลายนั่งฟังอาตมาพูดนี้  ในขณะนี้  อาตมาเข้าใจว่า  ทุกคนไม่มีโกรธ  ใช่ไหมเดี๋ยวนี้  ไม่มีโกรธใช่ไหม  เมื่อไม่มีความโกรธ  เราจะไปหาความโกรธทำไม?  เพราะโกรธมันไม่ได้มีอยู่แล้ว  นี่บัดนี้อาจารย์ทั่วไปสอนให้เราไปละความโกรธ  แล้วไปหาความโกรธ  มันไปหาของไม่มี  มันก็ไม่เห็น  เมื่อมันไม่เห็น เราก็ไปว่าทำบุญ  ให้ทาน  รักษาศีล  ไปก่อน  ให้เป็นอุปนิสัย  เป็นปัจจัยต่อหลังจากการตายแล้ว   อันนั้นแปลว่าคนไม่รู้จริง   คนคาดคิดเดาเอาเอง  แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น  อดีตที่ผ่านไปแล้ว  มันจะทำอะไรให้เราไม่ได้  มันจะทำให้เราได้ตั้งแต่ขณะนี้  ในปัจจุบันนี้เอง  พระพุทธเจ้าจึงสอนเรื่องปัจจุบันเท่านั้น  เรื่องอดีต  อนาคตนั้น  มันไม่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า  แต่เราไปเข้าใจว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า

   ใครพูดอยู่ที่ไหน ก็หาว่าพระพุทธเจ้าแสดงสอนอย่างนั้นอย่างนี้ อันนั้นเป็นการเราคาดคิดเอาเอง  เราไม่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง

   ที่อาตมาพูดนี้  อาตมารับรอง  รับรอง  คำสอนของพระพุทธเจ้าและรับรองวิธีที่อาตมาพูดนี้  รับรองจริงๆ  ถ้าพวกท่านทำจริงๆ  แล้วทำให้มันติดต่อกันเหมือนลูกโซ่  หรือเหมือนนาฬิกาที่มันหมุนอยู่ตลอดเวลา  แต่ว่าไม่ใช่ทำอย่างนี้ ให้มันเหมือนลูกโซ่  หมุนอยู่เหมือนกับนาฬิกานี่  ไม่ให้ไปทำการ  ทำงานอื่นใดทั้งหมด  ให้ทำความรู้สึก ทำจังหวะ เดินจงกรม  อยู่อย่างนี้ตลอดเวลาหรือ  ไม่ใช่อย่างนั้น

   คำว่า “ให้ทำอยู่ตลอดเวลา” นั้น เราทำความรู้สึก   ซักผ้าซักเสื้อ  ถูบ้านกวาดบ้าน  ล้างถ้วยล้างจาน  เขียนหนังสือ  หรือซื้อขายก็ได้  เพียงเรามีความรู้สึกเท่านั้นเอง  แต่ความรู้สึกอันนี้แหละ  มันจะสะสมเอาไว้ทีละเล็ก  ทีละน้อย  เหมือนกับเราที่มีขันหรือมีโอ่งน้ำ  หรือมีอะไรก็ตามที่มันดี  ที่รองรับมันดี  ฝนตกลงมา  ตกทีละนิด  ทีละนิด เม็ดฝนเม็ดน้อยๆ  ตกลงนานๆ  แต่มันเก็บได้ดี  น้ำก็เลยเต็มโอ่งเต็มขันขึ้นมา

   อันนี้ก็เหมือนกัน  เราทำความรู้สึก ยกเท้าไป  ยกเท้ามา  ยกมือไป  ยกมือมา  เรานอนกำมือ  เหยียดมือ  ทำอยู่อย่างนั้น  หลับแล้วก็แล้วไป  เมื่อนอนตื่นขึ้นมา  เราก็ทำไป  หลับแล้วก็แล้วไป  ท่านสอนอย่างนี้ เรียกว่า  ทำบ่อยๆ  อันนี้เรียกว่า เป็นการเจริญสติ



ทุกท่านอย่าลืมนะครับ
การเจริญสติ  จนเป็นสมาธิ  เป็นยารักษาโรคทั้งทางกาย - ใจ  ที่วิเศษ
ควรกระทำตอนเช้ามืด และก่อนนอน ครั้งละมากกว่าหนึ่งชั่วโมง หรือเท่าที่มีเวลา
ท่านจะทราบ ด้วยตัวท่านเอง ครับ
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2379 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2554, 11:10:17 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 29 มิถุนายน 2554, 08:00:14
รู้สุขภาพวันละนิด จิตหมดทุกข์
ตอน
น้ำผัก-ผลไม้ปั่น แทนอาหารมื้อเย็น

                        ด้วยความบังเอิญ  จึงค้นพบวิธีดูแลตัวเอง และการควบคุมสำหรับอาหารเย็นที่ไม่เป็นภาระ
                        ทุกวันพระ ผมจะถือศีลแปด  คืองดอาหารเย็น งดสิ่งของหอมประดับร่างกาย และนอนที่นอนอ่อนนุ่ม(ฟูก) แต่กลัวว่าตัวเองจะหิวสำหรับอาหารมื้อเย็น และพยายามให้กระเพาะอาหารได้ทำหน้าที่ของมันตามปกติ ผมจึงใช้วิธีรับประทานอาหารเย็นโดยไม่ต้องเคี้ยว คือหาผลไม้ตามมีตามเกิด สองอาทิตย์ที่ผ่านมาอยู่ที่โรงงแรมนครศรีธรรมราช จึงใช้ผลไม่ที่อยู่ในห้อง มีองุ่น ชมภู่ ส้ม แอปเปิ่ล ฝรั่ง ผสมรวมกันแล้วให้พนักงานโรงแรมปั่น ผสมกับแตงโมง ดื่มได้ผลดีเกินขาด ไม่รู้สึกว่าหิว ไม่ผิดศีล และลองไปหามะม่วงสุก มาปั่นดื่ม ยิ่งดีใหญ่เลย
                        ทุกท่านครับ ถ้าเราไม่มีเวลาทำอาหารเย็นรับประทาน และต้องการควบคุมน้ำหนัก มาลองทำน้ำผลไม้ ผสมผักสดปั่นดื่มกันดูบ้างครับ ไม่ต้องใสน้ำเชื่อม ใส่น้ำแข็งสองก้อน กันเลี่ยน นำมาปั่นรวมกันเป็นอาหารมื้อเย็นกันดีกว่า ไม่ต้องสนใจรสชาดทั้งสิ้น ขอเพียงสะอาดปราศจากยาฆ่าแมลงก็พอ รับรองเป็นของดีมีประโยชน์แน่นอนครับ ผมเลยไปซื้อหนังสือมาเล่มหนึ่งสำหรับทำผัก-ผลไม่ปั่น เพื่อจะทำให้ตัวเอง และจะทดลองดูสักสามเดือน แต่ตอนนี้ต้องไปหาซื้อเครื่องปั่นก่อนเพราะที่บ้านไม่มี เพราะเคยไปดูที่ร้านคุณสุภาณี  แพงมากเลยไม่ซื้อ  แต่ตอนนี้คิดถึงผลระยะยาวแล้ว คิดว่าต้องซื้อ จะได้หมดภาระอาหารมื้อเย็นไป และดีต่อร่างกายด้วย กระเพาะอาหารก็ยังทำหน้าที่ของมันไปตามเดิมได้
                        ใครมีไอเดียดีๆในเรื่องนี้บอกพี่สิงห์บ้างครับ
                        สวัสดี(29170)

...พี่สิงห์คะ...ขออนุโมทนาบุญค่ะ...กับการถือศีลแปดของพี่สิงห์...

...แต่การทานน้ำผลไม้...เคยได้ยินมาว่า...ต้องกรองกากออกด้วยค่ะ...

...ถ้ามีกากก็ยังถือว่าเป็นอาหารอยู่ค่ะ...ถึงแม้ว่าจะทานโดยการกลืนไม่ได้เคี้ยวก็ตามค่ะ...

...อันนี้ตู่จำมาจากวัดที่เป็นธรรมยุตินิกายค่ะ...แต่ถ้าเป็นมหานิกาย...ก็ไม่ทราบว่าทานได้หรือเปล่าค่ะ...

...แต่เคี้ยวมะขามป้อมหรือเนยกวนไม่เป็นไรค่ะ...เพราะถือว่าเป็นยา...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2380 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2554, 11:07:36 »

รู้ธรรมวันละนิด  จิตผ่องใส

ตอน

การเจริญสติในอิริยาบถเดิน




(คัดลอกมาจากหนังสือ อารมณ์การปฏิบัติ ของหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ)




หลวงพ่อ                  :   หนูทำงานอะไร

ผู้ฟัง      :   เป็นครูค่ะ

หลวงพ่อ                  :    เดินไปโรงเรียน  บัดนี้น่ะ  ถ้าหากหนูมีรถจักรยาน หรือนั่งรถก็ตาม  ถ้านั่งรถจักรยาน  ขาก็ย้ายไปอย่างนี้  เหยียบบันไดมันมีความรู้สึก  ถ้าไม่มีรถจักรยาน  เดินก็เดินไปเฉยๆ  นี่แหละ  เดินไปเดินก้าวไป  ก้าวสัก ๑๐ ก้าว  รู้ครั้งหนึ่ง  ก็ยังดี  ดีกว่าไม่รู้  เอาอย่างนี้  ถ้าเดินไป ๑๐ ก้าว  รู้  ๕  ครั้งก็ยังดี  ถ้าไม่รู้สักเที่ยว  ก็เต็มทีแล้ว  เป็นอย่างนั้น  ต้องรู้  รู้ก้าวหนึ่ง  สองก้าวก็ดี  ไปถึงโรงเรียนคงจะมีสักร้อยก้าวนะ  รู้สักสิบก้าวก็ดี  ดีกว่าไม่รู้  นี่แหละทำอย่างนี้  มันจะสะสมเอาไว้  ความรู้อันนี้มันจะค่อยๆ  มากขึ้นๆ  มันจะรู้เรื่อยๆ  ไป

   วิธีที่พูดกันวันนี้  ก็ต้องพูดกันอย่างนี้  คือ  รู้เรื่องรูปนามแล้ว  อย่าเอาสติมาใช้รูปนาม  ให้เอาสติมาคอยดูความคิด  บัดนี้หนูเดินไปโรงเรียน  ไปสอนนักเรียน  เดินไป  อย่าเอาสติมากำหนดเท้ามากเกินไป  ให้คอยดูความคิด  ดูต้นไม้  หรือดูคนเดินผ่านไปตามถนนหนทางก็ได้  แล้วมันแวบคิดขึ้นมา

   “อุ้ย !  คิดแล้ว”

   ทิ้งไปเลย   อย่าเข้าไปในความคิด   ถ้าเข้าไปในความคิด   มันจะพาคิด

   “โอ้ย !  คนนั้นผู้หญิง  ผู้ชาย  ดูหน้า  ดูตา  คนดำ  คนขาว  นุ่งเสื้อสีนั้นสีนี้”

   ไม่ต้องเอา  อันนั้นมันวิตก   วิจารณ์  เห็นผู้หญิงก็ช่าง  ผู้ชายก็ตาม  เฉยไปเลย  เห็นต้นไม้  โอ้  แล้วไปเลย  ไม่ต้องว่า

   “โอ้ !  ต้นไม้เป็นกิ่งนั้นกิ่งนี้”

   ไม่ต้องวิพากษ์  วิจารณ์  อันนั้น

   อันนี้เป็นวิธีหนึ่ง  คือว่า  มันคิดก็แล้วไป  มันคิดก็แล้วไป

   แต่ต้องวิพาก วิจารณ์นะ  อันนี้สมมุติพูดนะ  ถ้ามีเรื่องขึ้นมาจะแก้ปัญหาไม่ได้นะบัดนี้  อันนี้มันต้องเป็นอย่างนั้น  ถ้าคนไปลักของบัดนี้  นุ่งเสื้อสีนั้นสีนี้  ก็ รู้จักอีกแล้ว  บัดนี้  อันนี้มันต้องเป็นปัญญานะนี่นะ  คือว่าต้องรู้คน  ผู้ชาย  ผู้หญิง  คนมีอายุกี่ปี  ประมาณเอานะให้รู้

   แต่อาตมาพุดนี้  ไม่ได้พูดเรื่องอันนั้น  คือพูดให้รู้ความคิด  เมื่อกำลังมันคิด  แวบขึ้นแล้ว  ตัดทันทีอย่าไปวิพาก วิจารณ์  คิดดี  คิดชั่ว  ไม่ต้องคิด

   บัดนี้  เราจะสร้างบ้านสร้างเรือน  ต้องมีโครงการ  คิดอันนั้นน่ะ  หนูจะไปสอนนักเรียน  ต้องมีโครงการจะสอนเรื่องอะไร  วันนี้ต้องสอน  ต้องคิด

   แต่ความคิดชนิดหนึ่ง  อันคิดขึ้นมาแวบเดียว  มันไปเลย  อันนั้นเป็นเรื่องความคิด  ความคิดตัวนี้มันนำ  โทสะ  โมหะ  โลภะ  เข้ามา  อันที่เราตั้งคิดขึ้นมานั้น  มันไม่นำโทสะ  โมหะ  อันนั้น  มันตั้งคิดมาด้วยสติปัญญา  ความคิดจึงมีสองอย่างด้วยกัน

   ความสงบก็มีสองอย่างด้วยกัน  สงบจากอันความคิดแวบอันนั่นแหละ  แล้วก็สงบมาอยู่ด้วยสติปัญญาตัวนี้  อันนี้สงบแบบการเห็นแจ้ง  สงบแบบไม่เห็นความคิดแวบ  อันนั้น(สงบแบบความคิดแวบ) เขาว่าสงบใต้  โมหะ  เพราะมันสงบมืดๆ  อันนั้นสงบไม่รู้  อันนั้น

   เดินไปก็ให้รู้  นั่งกินข้าวก็ให้รู้  นี่เป็นวิธีเดินจงกรม  ไม่ใช่ว่าเดินจงกรม  เดินทั้งวัน  ไม่รู้สึกตัวเลย  อันนั้นก็เต็มทีแล้ว  เดินไปจนตายมันเป็นอย่างนั้น  ไม่ใช่เดินอย่างนั้น  เดินก้าวไปก้าวมารู้นี่ว่าเดินจงกรม

   เดินจงกรมก็หมายถึง  เปลี่ยนอิริยาบถนั่นเอง  ให้เข้าใจว่า  เดินจงกรมเพื่ออะไร  เปลี่ยนอิริยาบถ  คือ  นั่งนานมันเจ็บแข้งเจ็บขา  บัดนี้  เดินมาก  มันก็เมื่อยหลัง  เมื่อยเอว  นั่งด้านหนึ่งเราเรียกว่า  เปลี่ยนอิริยาบถ  เปลี่ยนให้เท่าๆ กัน  นั่งบ้าง  นอนบ้าง  ยืนบ้าง  เดินบ้าง  อิริยาบถทั้งสี่ให้เท่าๆ กัน  หรือไม่แบ่งเท่ากันก็ได้  เพราะว่าเราไม่มีนาฬิกานี่  น้อยมากอะไรก็พอดี  พอควร  เดินเหนื่อยแล้วก็ไปนั่งก็ได้  นั่งเหนื่อยแล้ว โอ้ย! ลุกเดินก็ได้  หรือนอนก็ได้  แต่อย่าไปนอนหลับนะ  ถ้านอนหลับทั้งวันทั้งชาติก็เหมือนหมู  หมูมันนอนอยู่ในคอกมัน  เป็นอย่างนั้น  อย่าไปทำ  ที่พูดๆ นี่  เข้าใจไหมวิธีพูดนะ  เข้าใจไหม  วิธีทำจังหวะ


ผู้ฟัง      :   งั้นสรุปว่า  ความคิดที่อยู่ใต้โมหะนี่  เราต้องปัดไป

หลวงพ่อ                 :   ปัดไปเลย

ผู้ฟัง      :   แต่ความคิดที่เป็นไปด้วยสติปัญญาเพื่อการ  เพื่องานของเรา  เราต้องคิด

หลวงพ่อ                 :   อันนั้นถ้าเราไม่คิดก็ทำไม่ได้  ก็บ้าแล้ว  ต้องเป็น  ต้องคิด  เราจะทำอะไร  จะปลูกบ้าน  หรือจะซื้อของ  เสื้อผ้า  หรือจะซื้ออะไรก็ตาม  มันต้องคิด  มันจะคุ้มค่าเงินเราไหม  เราซื้อไปแล้ว  จะไปทำอะไร  มันต้องคิดอันนั้น  ไม่คิดเขาว่าคนบ้าอันนั้น  ให้เข้าใจอย่างนั้น  ต้องใช้สติปัญญา





สรุป

(มานพ   กลับดี)

เดินจงกรม  ให้เรารู้สึกตัวว่า  กำลังเดินจงกรมไปทีละก้าว แต่อย่าไปเพ่ง  อย่าไปจ้องเวลาเดิน เดินสบาย ๆ สายตามองไกล รับรู้ทุกสิ่งที่มากระทบทางอายตนะได้ แต่อย่าไปคิดตาม ให้รู้สึกตัวทั่วพร้อมตลอดเวลา ณ ขณะเดินจงกรม

ความคิด มีสองอย่าง คือ

ความคิดแวบ   เป็นความคิดภายใต้โมหะ ที่มันนำ โทสะ  โมหะ โลภะ เข้ามา ให้ปัดทิ้งไปเลย  เพราะความโลภ  ความโกรธ  ความหลง นั้น มันเกิดจากความคิดแวบนี่แหละ ดังนั้น เราจึงต้องตัดทิ้ง ปัดไปเลย  ไม่ต้องปรุงแต่งใดๆ ทั้งสิ้น เพราะความคิดแวบจะเป็นตัวก่อทุกข์มาให้

ความคิดด้วยสติปัญญา   เป็นความคิดที่เราต้องคิด ต้องใช้ในการทำงาน  ทำการ  เป็นความรู้

ตาปัญญา หรือปัญญาญาณ  ยิ่งต้องให้มันคิดเพราะ เราจะรู้ขึ้นมาเกี่ยวกับกาย – ใจ ที่เราคอยเฝ้าดูความคิดนี่แหละสำคัญมาก  มันคิดขึ้นมาเราก็จะรู้ได้

ความสงบ มีสองอย่าง คือ

สงบจากอันความคิดแวบ   เป็นความสงบที่เกิดภายใต้โมหะ  ตัดทิ้งเลย (เหมือนหญ้าที่ถูกก้อนหินทับไว้  มันจะไม่เจริญงอกงาม  แต่พอเรายกหินออกไป  หญ้าได้รับแสงแดด  อากาศ  มันก็จะเจริญงอกงามขึ้นได้ ฉันใด  ความสงบแบบแวบก็เป็น ฉันนั้น)  เพราะเป็นความสงบที่เราไม่รู้

สงบด้วยสติปัญญา   เป็นความสงบแบบการเห็นแจ้ง  สงบแบบไม่เห็นความคิดแวบ เป็นความรู้ สงบแบบรู้ซื่อ ๆ คือ รู้อยู่กับอิริยาบถที่กำลังกระทำอยู่  ณ ปัจจุบัน เป็นความสงบแบบรู้สึกตัวทั่วพร้อมตลอดเวลา  ไม่คิดปรุงแต่งใดๆ ทั้งสิ้น
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2381 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2554, 11:32:13 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก
                         พี่สิงห์ไม่ได้เคร่งมากนักในเรื่องถือศีล  เพราะไม่ได้รับศีลจากพระโดยตรง พี่สิงห์กระทำเพียงเพื่อให้ระลึกรู้ว่าวันนี้เป็นวันพระ เป็นวันสำคัญของชาวพุทธ ที่ควรจะระลึกถึง พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  ในฐานะที่เรานับถือพุทธศาสนา  เพียงระลึกได้อย่างเดียวไม่เพียงพอ ก็เลยขอปฏิบัติตามสิ่งที่พระพุทะเจ้าท่านทรงสั่งสอน คือการรักษาศีล  ทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส  ทั้งวัน  อุโบสถศีล  ก็สมควรอย่างยิ่ง  แต่ก็รักษาแบบไม่เคร่งมากนัก  เป็นการกำหนดรู้ให้กับตัวเองที่จะต้องปฏิบัติ เท่านั้น อย่างน้อยสุดก็มีสิ่งที่จะไม่กระทำตามที่จิตมันต้องการประจำวันครับ

                          เข้าพรรษานี้  พี่สิงห์คงไปดู จัดการซ่อมหลังคาศาลาวัดพระนอน และจะเชิญชวนชุมชนชาวบ้าน ให้มารักษาศีล ๘ ปฏิบัติธรรม  ฟังการบรรยายธรรม  การดูแลสุขภาพ  การฝึกโยคะ และ TAI CHI ถ้าไม่มีใคร พี่สิงห์จะถือวิสาสะ เป็นผู้นำการปฏิบัติธรรม และบรรยายเอง  เพราะพระที่วัดท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรม  และท่านก็ไม่ได้สนใจดูแลสุขภาพ  พี่สิงห์ต้องการฟื้นฟูประเพณี  รักษาศีล ๘ ที่วัดแห่งนี้เอาไว้  อย่างที่พ่อ-แม่ เคยอยู่วัดทุกวันพระเอาไว้  ซึ่งเป็นประเพณีที่ดีงาม และผมจะผนวกเรื่องการดูแลสุขภาพไปด้วย เพื่อให้มีอะไรทำ  ไม่ใช่ตอนบ่ายนอนหลับอยู่บนศาลา



                          กำหนดการ ทุกวันพระ ในเทศการเข้าพรรษา ของวัดพระนอน

                            9:00 น. สวดมนต์ทำวัตรเช้า รับศีล ๘ ฟังการบรรยายธรรม เรื่อง
                                       "การปฏิบัติธรรม เจริญสติ ตามแนวทางหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ"
                                       ฝึกปฏิบัติธรรม การเจริญสติ
                          11:00 น. รับประทานอาหารกลางวัน
                          13:00 น. ฝึกปฏิบัติธรรม การเจริญสติ
                          15:00 น. ฟังการบรรยายเรื่อง "การดูแลสุขภาพ"
                                       ฝึกโยคะ  TAI CHI
                          17:00 น. สวดมนต์ทำวัตรเย็น
                                       กลับบ้าน

                           เรียนเชิญทุกท่านครับ บ่ายทำน้ำปานะเลี้ยง ครับ
                           สวัสดี(29253)

หมายเหตุ
                          การปวดจากการทำฟัน รักษารากฟัน นี่ฝึกความแข็งแกร่งให้จิตใจในการได้รับเวทนา  อย่างดียิ่ง จนมีไข้ ปวดมาก  เมื่อรู้ตัวว่า กายมันป่วยจริงๆ กำหนดรู้ได้แล้ว  ก็ตัดสินใจรับประทานยาแก้ปวดสองเม็ดตามที่คุณหมอผ่องผุด  สั่งไว้ ว่ามันจะปวดอย่างมาก ประมาณสามวัน
                          บ่ายเดินทางไปทำงานที่นครศรีธรรมราช
                          


สวัสดีตอนเย็น ทุกท่านครับ
                          พี่สิงห์  อยู่นครศรีธรรมราช เรียบร้อยแล้วครับ  ที่สนามบินนครศรีธรรมราช คุณแดง  ภรรยาคุณพันธุ์แสง   ชูมัง  ได้มาทักพี่สิงห์ ขณะนั่งคอยรถของโรงแรมมารับ  คุณพันธุ์แสง และคุณแดง  มาร่วมงานแต่งงานญาติที่นครศรีธรรมราช ครับ

                          ตอนนี้ฤทธิ์ยาแก้ปวดหมดเวลาแล้ว  ทำให้ได้รับเวทนา คือปวดที่รากฟันพอสมควร  ทนได้ เลยยังไม่อยากกินยาแก้ปวด  อยากจะให้มีความรู้สึกปวดอยู่อย่างนี้  จะได้ไม่หลงติดอยู่ในความคิดตัวเอง เพราะจิตมันจะรับรู้ความปวดตลอดเวลา  ทำให้เรามีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมไปด้วย  ขณะนั่งรถโรงแรมมาที่โรงแรม พยายามเจริญสติ ก็สามารถลืมความเจ็บปวดไปได้ คือถ้าไม่สนใจมัน  ไม่ปรุงแต่ง ความปวดมันก็เป็นเพื่อนเราได้  อยู่ด้วยกันได้  ไม่ได้เวทนาอะไรมากนัก  มันก็เป็นเพื่อนที่ดีได้  จะลองคบกับมันดู ครับ
                          สวัสดีตอนเย็น  ขอเวลาไปออกกำลังกายหน่อยครับ อากาศแดดจัด  ไม่มีฝน  ที่นครศรีธรรมราชเย็นนี้
      บันทึกการเข้า
supanee
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 605

« ตอบ #2382 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2554, 18:03:13 »

เรียนพี่สิงห์
ช่วงนี้เป็นโอกาสดีมากที่พี่มีความต้องการใช้เครื่องปั่นพอดี เพราะวีรสุลดราคาใหญ่ปีละ 2 ครั้งคือ ช่วงนี้ (ถึง 31 กค.2554)
และช่วงปีใหม่ค่ะ
เครื่องปั่นแบบธรรมดา มี 3 รุ่น กำลังวัตต์ 500W, 600W(รุ่นนี้ลดพิเศษ),และ 850W(ราคาตั้งแต่ 2,300-3,100.-)
และเครื่องปั่นพลังสูง 38,000รอบ/นาที 1200 วัตต์ ราคา 14,690.-
ขอเชิญพี่สิงห์ที่ร้านค่ะ จะได้นำชมและอธิบายรายละเอียด พร้อมสาธิตการใช้
(รุ่นที่เห็นราคาสูงๆนั้น ดร.ทอม อู๋ นำมาปั่นผักผลไม้กิน ทำให้หายขาดจากมะเร็ง และเขียนหนังสือเผยแพร่ออกมา)
( ธรรมชาติช่วยชีวิต-สำนักพิมพ์นานมี )
ขอโทษนะคะ ไม่ได้มีเจตนาโฆษณาอะไรเลย

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2383 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2554, 18:54:02 »

อ้างถึง
ข้อความของ supanee เมื่อ 30 มิถุนายน 2554, 18:03:13
เรียนพี่สิงห์
ช่วงนี้เป็นโอกาสดีมากที่พี่มีความต้องการใช้เครื่องปั่นพอดี เพราะวีรสุลดราคาใหญ่ปีละ 2 ครั้งคือ ช่วงนี้ (ถึง 31 กค.2554)
และช่วงปีใหม่ค่ะ
เครื่องปั่นแบบธรรมดา มี 3 รุ่น กำลังวัตต์ 500W, 600W(รุ่นนี้ลดพิเศษ),และ 850W(ราคาตั้งแต่ 2,300-3,100.-)
และเครื่องปั่นพลังสูง 38,000รอบ/นาที 1200 วัตต์ ราคา 14,690.-
ขอเชิญพี่สิงห์ที่ร้านค่ะ จะได้นำชมและอธิบายรายละเอียด พร้อมสาธิตการใช้
(รุ่นที่เห็นราคาสูงๆนั้น ดร.ทอม อู๋ นำมาปั่นผักผลไม้กิน ทำให้หายขาดจากมะเร็ง และเขียนหนังสือเผยแพร่ออกมา)
( ธรรมชาติช่วยชีวิต-สำนักพิมพ์นานมี )
ขอโทษนะคะ ไม่ได้มีเจตนาโฆษณาอะไรเลย


สวัสดีค่ะ คุณสุภาณี ที่รัก
                          ขอบคุณมากที่บอกให้ทราบ วันอังคารหน้า(วันที่ 5 กรกฎาคม)พี่สิงห์ไปทำฟันที่คณะทันตแพทย์เสร็จประมาณไม่เกิน 10:30 น. แล้วจะแวะไปชมครับ ช่วงนี้กำลังอ่านหนังสือวิธีทำน้ำผัก-ผลไม้ปั่น ที่อ่านไปแล้วก็มี ส้ม  แตงโม  แครอต กีวี่ แอบเบิล สาลี่ สัปปะรด ครับ อ่านโดยรวมแล้วผลไม้อะไรก็ได้ปั่นใช้ได้หมด ถ้าไม่สนใจรสชาดแล้วได้หมด แต่ถ้าสนก็ใส่น้ำแข็งนิดหน่อย และเติมน้ำมะนาว น้ำผึ้ง เกลือ ก่อนดื่ม ขนให้เข้ากันเป็นใช้ได้ ส่วนผักนั้นก็มีกะหร่ำ ผักขม ผักอะไรก็ได้ที่ไม่มีสารพิษ ได้ทั้งนั้น

                       ใครทราบวิธีง่ายๆ ในการล้างผักสดให้ปราศจากสารพิษบ้าง  ช่วยแนะนำพี่สิงห์ด้วยครับ เพราะยังไม่อยากตายเพราะการสะสมสารพิษในร่างกายมากเกินไป  กำลังคิดจะปลูกผักกินเองที่สิงห์บุรี จะได้ปลอดสารพิษจริงๆ ไหนๆก็กลับบ้านอยู่แล้ว กินคนเดียวไม่มากอะไร  แต่คิดอีกทีเชื่อคุณสนธิ์  ก็ได้ไปซื้อที่ร้านเขาค้อทะเลภูก็ดีเหมือนกัน  จะได้รับประทานผัก-ผลไม้ปั่น เป็นอาหารมื้อเย็น อิ่มสบายท้องดีครับ
                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2384 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2554, 20:19:26 »

พี่สิงห์ขา,
วันนี้ปั่นอะไรทานคะ?
แล้วยังงี้ฟันพี่จะได้ใช้งานเหรอคะ?

ผักสดแช่น้ำทิ้งระยะนึง จึงจะล้าง
ทีละใบทีละใบ จะให้ดีปลอดสารแน่
พี่สิงห์หาแหล่งเชื่อถือไว้ใจได้ที่เค้าปลูกเอง
ขอซื้อกันดื้อๆ...หนิงปลูกสลัดกินเองคะ
ไม่กลัวสารพิษ แต่กลัวขี้แมวค่า.


ps.หนิงไปเห็นรูปพี่ที่ห้อง13
ขอแฮพพี่ป๋องมาแปะอีกรอบ
เพราะจะบอกว่า ภาพไม่โกหกคะ
พี่มีสีสัน มีสุขภาพคะ
แล้วกางเกงนั่น..โอ
เดี๋ยวจะไปตามพี่ต้อยรุ่น 16มาเป็นพยาน
ว่า...pinkนี้หนา มีหลายเฉด เดี๋ยวหนิงไปหา
มาสวมแข่ง...พี่คอยดู!


      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2385 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2554, 20:56:28 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก
                       ขอบคุณมากที่อุตส่าห์เข้ามาทักทายพี่สิงห์ครับ  ทำให้โล่งใจไปที  หมดความกังวล  จะได้ปฏิบัติธรรมโดยไร้ความกังวลทั้งสิ้น
                       และยังบอกวิธีล้างผัก แบบง่ายๆ มาด้วย
                       ปกติพี่สิงห์จะแช่น้ำครั้งแรกประมาณหนึ่งชั่วโมง ครั้งที่สอง สามล้างทีละใบให้สะอาด ไม่รู้ว่าใช้ได้ไหม เห็นเขาบอกว่าต้องแช่น้ำส้มสายชู  หรือด่างทับทิมถึงจะดี แต่พี่สิงห์ยังไม่ได้ทดลองทำดู ครับ
                       วันนี้พี่สิงห์ทดลองทำน้ำปั่น ตามใจนึก  ให้พนักงานโรงแรมปั่นให้ อร่อยมากครับ ลองดู
                      
รู้สุขภาพวันละนิด จิตคลายทุกข์

ตอน

น้ำมะม่วง-แตงโมปั่น

และ

น้ำเสาวรสปั่น

                       วันนี้พี่สิงห์ค้นพบน้ำผลไม้ที่อร่อย แม้แต่พนักงานของโรงแรมยังยอมรับว่าอร่อยเลย ผลคือพี่สิงห์เสียมะม่วงไปหนึ่งลูก  วันนี้อาหารมื้อเย็นของพี่สิงห์  พี่สิงห์ไปซื้อมะม่วงน้ำดอกไม้ที่เทศโก้โลตัส มาสองผล กะว่ารับประทานวันละผล เพราะพรุ่งนี้เป็นวันพระต้องถือศีล ๘ ก็เลยให้พนักงานห้องอาหารเอามะม่วงน้ำดอกไม้ผสมกับแตงโมใส่น้ำแข็งสามก้อน ไม่ต้องใส่เกลือ ไม่ต้องใส่น้ำเชื่อม ปั่นให้เป็นน้ำ ปรากฏว่า รสชาดอร่อยอย่าบอกใครเลย จริงๆ พนักงานบอกว่าอาจารย์ลองชิมแล้วอร่อยมาก อาจารย์มีมะม่วงเหลืออีกไหม ขอบ้าง  ผมเลยต้องให้มะม่วงไปหนึ่งลูก เขาจะได้เอาไปลองปั่นรับประทานดู  ส่วนผมพรุ่งนี้ต้องไปซื้อมะม่วงมาใหม่และต้องเอามาเผื่อด้วย
                        ลองทำดูนะครับ ง่ายๆ อิ่มสบายท้องดีครับ

                        พี่สิงห์นึกได้ว่าได้ซื้อลูกเสาวรสที่สนามบินดอนเมืองมาหนึ่งถุง เลยขึ้นมาไปเอามาและแบ่งให้พนักงานโรงแรมด้วย พี่สิงห์ให้เอาลูกเสาวรสมาผ่าซีกตักทั้งเม็ดและน้ำประมาณแปดลุก ใส่เกลือนิดหน่อย และน้ำเชื่อมกันเปรี่ยว ใส่น้ำแข็งสามก้อน ปั่นให้เป็นน้ำ หอมอร่อยดีครับ พี่สิงห์ปั่นเอาไว้พรุ่งนี้เช้าภายหลังออกกำลังกายยามเช้าเสร็จ จะได้รับประทานน้ำเสาวรสปั่นแก้กระหาย ครับ
                        ลองทำดูนะครับ รสชาตอร่อย และมีวิตามินซี มีประโยชน์ และไม่แพงด้วยครับ ทำง่ายๆแบบพี่สิงห์นี่ละครับ
                    
                        ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2386 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2554, 21:36:14 »

เดี๋ยวคะ!
อ่านมาจากข้างบน
พี่อี๊ดแนะนำเครื่องปั่น
นึกภาพแล้ว นึกออกคะ
ลงไปค้นในครัว พบว่าแบบนั้น
หนิงไม่มีคะ!



แบบนี้ไว้คั้นคะน้ำมะนาว-น้ำส้มคะ
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2387 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2554, 21:39:43 »

หากจะปั่นเนื้อผลไม้ ลูกberry
เค้าปั่นกะนี่คะพี่อี๊ด


ถ้าจะสับหัวหอม กระเทียม
ไม่ให้เหม็นมีดเหม็นเขียง
ใช้นี่คะ.
อืม,ครัวบ้านหนิงก็มีหลายเครื่องใช้ได้คะ
แต่เครื่องปั่นแบบนั้นไม่มีคะที่ปั่นน้ำแข็งก้อนได้ด้วย



nn.
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2388 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2554, 21:53:45 »

อ้างถึง
ข้อความของ supanee เมื่อ 30 มิถุนายน 2554, 18:03:13
เรียนพี่สิงห์
ช่วงนี้เป็นโอกาสดีมากที่พี่มีความต้องการใช้เครื่องปั่นพอดี เพราะวีรสุลดราคาใหญ่ปีละ 2 ครั้งคือ ช่วงนี้ (ถึง 31 กค.2554)
และช่วงปีใหม่ค่ะ
เครื่องปั่นแบบธรรมดา มี 3 รุ่น กำลังวัตต์ 500W, 600W(รุ่นนี้ลดพิเศษ),และ 850W(ราคาตั้งแต่ 2,300-3,100.-)
และเครื่องปั่นพลังสูง 38,000รอบ/นาที 1200 วัตต์ ราคา 14,690.-
ขอเชิญพี่สิงห์ที่ร้านค่ะ จะได้นำชมและอธิบายรายละเอียด พร้อมสาธิตการใช้
(รุ่นที่เห็นราคาสูงๆนั้น ดร.ทอม อู๋ นำมาปั่นผักผลไม้กิน ทำให้หายขาดจากมะเร็ง และเขียนหนังสือเผยแพร่ออกมา)
( ธรรมชาติช่วยชีวิต-สำนักพิมพ์นานมี )
ขอโทษนะคะ ไม่ได้มีเจตนาโฆษณาอะไรเลย



พี่อี๊ดหมายถึงเครื่องลักษณะนี้นะคะ?



   

เครื่องนี้..หนิงซื้อเครื่องทำกาแฟของสวิตฯ
เขาแถมมาฟรีๆค่ะ ใช้ปั่น milkshakeบ่อยๆ
คุ้มจริงๆค่ะพี่


nn.
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2389 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2554, 07:59:29 »

อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก
                  พี่สิงห์คงไม่มีงบประมาณมากขนาดนั้น ครับที่เสนอมานั้นดีทั้งนั้น แต่ต้องมีคนทำให้เรารับประทาน พี่สิงห์มีพี่สิงห์คนเดียว ใช้ของง่ายๆ ราคาไม่แพง ขอให้ได้ตามวัตถุประสงค์ คือทำน้ำผัก-ผลไม้ปั่น รับประทานแทนอาหารมื้อเย็นแบบง่ายๆ ให้อยู่แบบพอเพียงได้ กับอัตภาพของเราเท่านั้น เรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องรองทั้งสิ้น ครับ
                  แต่ก็ขอขอบพระคุณที่นำเสนอมาให้รู้จักไว้  มีของดีใช้มากๆ ทำให้พี่สิงห์เป็นง่อย ครับ อย่างพี่สิงห์ ต้องบีบมะนาววันละสามลูกเพื่อคั้นเอาน้ำมาชงดื่มกับน้ำผึ้ง กว่าจะได้น้ำมะนาวสักสามช้อนโต๊ะ ใช้เวลาคั้นไม่ต่ำกว่าห้านาทีเพราะมะนาวมันไม่มีน้ำ เนื้อแข็ง บางทีฝานมะนาวไปถูกมือตัวเองเป็นแผลก็เคยมาแล้ว ดังนั้นเวลาฝานมะนาวทำให้ได้คิดต้องมีสติ ตั้งใจฝาน จะได้ไม่โดนมีดบาดเป็นครั้งที่สอง แต่ถ้าใช้แบบของเธอพี่สิงห์ไม่ได้ออกกำลังกาย ไม่ได้เจริญสติ เพราะมันง่าย ประหยัดเวลา พี่สิงห์ไม่รู้จะเอาเวลาที่เหลือไปทำอะไร TV ก็ไม่ได้ดู วิทยุก็ไม่ได้ฟัง จะมีอย่างเดียวอยู่หน้าจอ www.CMADONG.COM นี่ละตอนนี้พี่สิงห์ก็กำหนดเวลาการเข้าเวบของตัวเองเพราะ มันเป็นความอยากแห่งจิตอย่างหนึ่งที่จะเข้ามาดู เข้ามาอ่าน  ก็เลยเปลี่ยนใหม่ มาดูเป็นเวลา ไม่ทำตามใจคิด ครับ
                  เช้านี้อากาศนครศรีธรรมราช ท้องฟ้ามีเมฆมาก  ไม่มีแสงแดด เพราะยังไม่เห็นดวงตะวัน แต่อากาศเย็นเหมาะแก่การออกกำลังกายมากครับ พี่สิงห์ใช้เวลาออกกำลังกายหนึ่งชั่วโมง จึงลงมารับประทานอาหารเช้าเป็นข้าวต้มกล้องกับผักสดแซมด้วยถั่วลิสงและใส้กรอกสองชิ้น และน้ำเต้าหู้สองทัพพี ครับ
                  วันนี้เป็นวันพระ ขอให้ทุกท่านทำจิตให้ผ่องใส นะครับ
                  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2390 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2554, 08:18:45 »

วันนี้เป็น "วันธรรมสวนะ" หรือ "วันพระ" เข้าใจว่าเป็นวันพระ ขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๘ พี่สิงห์รักษาศีล ๘

รู้ธรรมวันละนิด  จิตผ่องใส

ตอน

ทุกข์

                        พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนแต่เรื่อง "ทุกข์" เรื่องเดียวเท่านั้นตลอดการประกาศพระศาสนาของพระองค์ พระองค์ปราถนาให้มนุษย์พ้นจากทุกข์  เพราะพระองค์รู้ว่า ถ้าเราเข้าใจทุกข์นั้นเป็นอย่างดีแล้ว หมายความว่า รู้สาเหตุแห่งการเกิดทุกข์ ก็จะทราบวิธีดับทุกข์ คือดับทุกข์ที่สาเหตุ และรู้ว่าผลของทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเรานั้นเป็นอย่างไร? เมื่อเรารู้ เราเข้าใจทุกข์แล้ว จะทำให้เราไม่หลงไปติดอยู่ในทุกข์นั้น

                        ดังนั้น ทุกข์ ทุกคนจะต้องกำหนดรู้  แต่จะต้องไม่เผลอให้จิตของเรานำเราให้ไปติดอยู่ในทุกข์นั้น อันนี้สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องทราบ  การที่จะไม่หลงให้จิตนำพาไปติดในกองทุกข์นั้น มีวิธีเดียวเท่านั้น คือ เราต้องมีสติ (ระลึกได้ ณ ปัจจุบันว่าเรากำลังทำอะไร อยู่ในอิริยาบถไหน) สร้างความรู้สึกตัว  ตื่นตัวอยู่เสมอ ปัญญามันจะเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติเวลาประสพความทุกข์  เราก็จะเป็นเพียงกำหนดรู้ในทุกข์นั้น และไม่หลงพาตัวเองไปติดอยู่ในกองทุกข์นั้น ขอให้ท่านทำความเข้าใจอันนี้ให้ดีครับ

                        ทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเรานั้น มีผลต่อเรา ๒ ลักษณะ ด้วยกัน คือ

                        ทุกข์ที่เกิดขึ้นกับกาย ประการหนึ่ง กับ ทุกข์ที่เกิดขึ้นกับจิต ที่มันปรุงแต่ง(มหาทุกข์ จริงๆ) อีกประการหนึ่ง

                        ทุกข์ที่เกิดขึ้นกับกาย
                        ทุกข์ที่เกิดขึ้นกับกาย คือความไม่สบายกายต่างๆ นั่นเอง มีด้วยกัน ๒ ลักษณะด้วยกันคือ
                        รูปโรค คือ ทุกข์ที่เกิดขึ้นกับกายจริงๆ เช่นความแก่ทำให้เราเดิน ลุก นั่ง ยืน ลำบาก และเกิดจากโรคจริงๆ ที่มีต่ออวัยวะทั้ง ๓๒ ประการ ทำให้เราไม่สามารถใช้อวัยวะนั้นได้ หรือใช้ได้ด้วยความลำบาก เมื่อเรากำหนดรู้แล้วว่ากายของเรา อวัยวะของเรามันป่อยจริงๆ เราก็ต้องไปหาหมอ ให้คุณหมอช่วยรักษาให้ จนหาย
                        นามโรค คือ กายไม่ได้ป่วย หรือป่วยก็ไม่มาก แต่ใจมันคิดปรุงแต่งไปเองด้วยความไม่รู้ คิดเป็นตุ เป็นตะ กลัวไปใหญ่โต ก็เกิดความทุกข์ ทุกข์ใจนี้ต้องแก้ที่ใจ  ใช้ปัญญา  เขาเรียกว่าป่วยเทียม หรือพวกสำออยนั่นเอง

                        ทุกข์ใจ
                        ทุกข์ใจ คือพวกที่ปล่อยใจออกนอก เผลอใจ คิดไปเรื่อยเปื่อยไม่มีแก่นสาร  คือพวกคิดแวบนั่นเอง จะคิดวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง คือวิตกกังวลไปในอดีต พอคิดขึ้นมาก็พรุ่งพล่านเดือดดาลใจเพราะทราบผลที่จะตามมาว่าจะเป็นอย่างไรก็มีแต่ความกังวล ซึมเศร้า หมกมุ่น เป็นทุกข์ อีกประเภทหนึ่งก็คิดร่ำไร รำพัน คร่ำครวญ เสียดายไปกับอดีตที่ผ่านมาแล้ว  ทั้งๆที่มันเรียกคืนมาไม่ได้ ก็ยังไปจมปรักอยู่กับอดีตนั้น ผลคือทุกข์ทั้งกาย-ใจ ที่ตามมาภายหลัง

                         พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนว่า ทุกข์ที่เกิดกับมนุษย์นั้นมีด้วยกัน ๗ สาเหตุ ด้วยกันคือ
                         ๑. ความเกิด ก็เป็นทุกข์
                         ๒. ความแก่ ก็เป็นทุกข์
                         ๓. ความเจ็บป่วย ก็เป็นทุกข์
                         ๔. ความตาย ก็เป็นทุกข์
                         ๕. ปราถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น ก็เป็นทุกข์
                         ๖. ประสพกับสิ่งที่ไม่รัก ไม่ชอบ ก็เป็นทุกข์
                         ๗. พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ที่ชอบ ก็เป็นทุกข์

                         เมื่อเราทราบสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์ แล้ว ขอเพียงเรามีสติ คือ ระลึกได้จากการสร้างความรู้สึกตัว กำหนดรู้ทุกข์นั้น ทราบสาเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริง กำหนดรู้มัน ใช้ปัญญาชั่งใจ เราก็จะเห็นว่าทุกข์นั้นเป็นเรื่องในอดีตทั้งสิ้น และมันไม่มีผลต่อเรา ณ ปัจจุบัน หรือมีผลน้อยมาก เพราะมันผ่านไปแล้วทั้งนั้น  ขอเพียงกำหนดรู้อย่างนี้ เราก็จะไม่หลงเข้าไปในกองทุกข์นั้น เพราะไม่มีประโยชน์ มีแต่จะจมปรักอยู่ในกองทุกข์ เมื่อใช้ปัญญาอย่างนี้เราจะไม่หลงเข้าไปในกองทุกข์นั้น อยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรานี้ละ เราก็จะไม่ทุกข์ครับ

สรุป

ทุกข์นั้น ต้องกำหนดรู้ หาสาเหตุให้พบ
การแก้ไข  แก้ด้วยการมีสติ
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2391 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2554, 08:40:00 »

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์และสมาชิกทุกท่าน...

...พี่สิงห์คะ...ใช้ที่คั้นแบบง่ายๆก็ดีนะคะเพื่อประหยัดเวลาค่ะ...

...แต่ก่อนนี้ตู่ใช้ที่คั้นแบบที่...อ.ดร.สาทิศ...ใช้ค่ะ...ยี่ห้ออะไรก็ลืมไปแล้ว...

...บริษัทมาสาธิตที่ ร.พ.ค่ะ...พวกหมอและพยาบาลซื้อกันหลายคนเลย...

...ราคาประมาณ 6 พันบาท...คั้นน้ำและกรองกากให้ด้วยค่ะ...

...และพอใช้เสร็จแล้ว...ต้องถอดชิ้นส่วนบางชิ้นออกมาล้างค่ะ...ตอนจะใช้ก็ประกอบเข้าไปใหม่...

...มีหัวกรอง 3 แบบ...คือ...คั้นน้ำ(ผักและผลไม้)...ทำน้ำถั่วเหลือง...และปั่น(พริก,พริกไทย,กระเทียม)...

...แต่ตู่ใช้คั้นน้ำอย่างเดียวค่ะ...ใช้จนเก่าและขี้เกียจทำแล้ว...ตอนย้ายบ้านหลานขอ...เลยให้ไปค่ะ...

...เครื่องนี้มีสรรพคุณคือ...เมื่อคั้นเสร็จต้องดื่มภายใน 15 หรือ 20 นาทีค่ะ...มิฉะนั้นเอ็นไซน์ที่ได้จะหายไปหมด...

...เค้าบอกมาแบบนี้นะคะ...คั้นด้วยวิธีอื่นก็ไม่ได้เอ็นไซน์แบบนี้ค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2392 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2554, 19:21:37 »

วันนี้วันหยุดธนาคารเหรอคะ?
ไม่มีใครบอกหนิง ตื่นมาเช้ามืด
กะเฝ้าตลาดแมงเม่า...ให้ตกใจ
สัญญาณไม่มี รึเค้าตัดเราออกจากแวดวง?
งงและง่วงนั่งสลึมสลือหน้าจอได้แผล็บ
ก็ได้ทราบว่าวันลูกเสือแห่งชาติ
เอ,ลูกเสือ+วันพระ+วันหยุดธนาคาร....
เกี่ยวอะไรกันและกันนะ?
ขอกลับไปคิดก่อน ด้วยฝนตกหนัก
วันนี้ปรือๆยังไงไม่รู้คะพี่สิงห์เหมือนสติหล่น
วิญญาณล่อง...ต้องมีอะไรในสมองยังไม่ย่อยแน่คะ.

ขอคิดอีกแป๊บ.
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2393 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2554, 20:20:48 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก
                       วันนี้วันพระ ต้องทำจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ ให้มีสติอยู่กับสิ่งที่เรากำลังอยู่ในอิริยาบถ ที่กำลังกระทำนั้น  พูดง่ายๆ อย่าเผลอปล่อยใจให้ร่องลอยไปตามความคิดของจิต  เพราะจิตมันจะได้ใจ มันชนะเราเพราะเรากระทำตามที่มันคิด
                        ถ้าเธอมึน  งง  ไม่รู้จะทำอะไร  ลองขยับมือเล่น และให้มีความรู้สึกที่มืออยู่อย่างนั้น จิตมันก็ไม่คิด เพราะจิตมันทำสองอย่างพร้อมกันไม่ได้ ธรรมชาติของจิตมันเป็นอย่างนั้น เมื่อมันไม่คิด เธอก็ไม่หดหู่ใจ  ไม่เซื่องซึม  ไม่เดือดดาล  เดี๋ยวเธอก็แจ่มใสเอง  มีชีวิตชีวา  ทำงานเป็นปกติดังเดิม
                        เด็กๆ เป็นอย่างไรบ้าง  สบายดี และเขาจะเรียนต่ออะไร ครับ
                        ปลายปีนี้พี่สิงห์อาจจะไปเที่ยวยุโรป กับทาง SIW อีกแต่ยังไม่รู้ว่าจะไปประเทศไหน  เขากำลังพิจารณากับทางทัวร์อยู่ครับ
                        วันนี้พี่สิงห์ทำน้ำแตงโม-เสาวรส ปั่น รับประทานครับ เปรี้ยวอร่อยดี ครับ
                        คืนนี้ราตรีสวัสดิ์ครับ นอนหลับ มีสติ ไม่ฝันแบบพี่สิงห์ดีกว่าครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2394 เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2554, 07:59:12 »

อรุณสวัสดิ์ครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
                       เช้านี้อากาศที่นครศรีธรรมราชสดชื่น เมื่อเช้าพี่สิงห์เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นเป็นสีแดง วงกลมสวยงามมากครับ แต่สักพักก็เข้าไปอยู่ในกลีบเมฆทั้งหมด ความสวยงามของพระอาทิตย์ยามเช้าเลยอยู่แต่ในใจ  แต่ไม่จำครับ

                       อีกสองอาทิตย์ก็เข้าพรรษาแล้ว ถ้าใครคิดว่าเข้าพรรษานี้อยากจะปฏิบัติธรรม เพื่อเป็นการพักผ่อนจิต หรือเพื่อให้ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง มันจางลง พี่สิงห์ก็ได้เตรียมเครื่องมือในการปฏิบัติธรรมไว้ให้หมดแล้ว ขอเชิญทุกท่านลองพิจารณา ว่าตรงกับจริตของท่านหรือไม่ ครับ  คำว่าตรงกับจริตนั้น หมายความว่า ท่านทำแล้ว ใจเป็นกลางรู้ซื่อๆ รู้สึกชอบ และมีความก้าวหน้า  ไม่ทรมารร่างกาย ครับ

                        หลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ  ท่านบอกว่า ถ้าใครสามารถมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมตลอดเวลา คือมีสติ นั่นเอง ท่านบอกว่า ไม่ต้องใช้วิธีการปฏิบัติธรรมตามวิธรการของสำนักไหนทั้งสิ้น ท่านสามารถเอาสตินั้นมาดูกาย มาดูใจของท่าน และท่านจะเห็นความคิดขอท่านเอง  แต่ถ้าท่านยังไม่มีความรู้สึกหรือสตินั้น  ท่านบอกว่าวิธีเคลื่อนไหวสร้างจังหวะของท่านนั้นมันเป็นวิธีการสั้นที่สุด เหมือนกับการสร้างความรู้สึก จากการเดินจงกรม เช่นเดียวกัน สติ สมาธิ อยู่ได้นาน และสามารถเอาสตินั้น มาดูกาย มาดูใจ มาดูความคิด ท่านจะเห็นความคิดของท่าน และท่านสามารถจะรู้ขึ้นมาได้เอง และถ้าท่านทำบ่อยๆ ให้ติดเป็นนิสัย สลับกับการเดินจงกรม เวลาท่านเหมื่อเมื่อนั่งนานๆ คือการเปลี่ยนอิริยาบถ

                        การทำบ่อยๆ เป็นการสะสม เหมือนเม็ดน้ำฝนที่ตกมาทีละเม็ดยังเต็มภาชนะได้ ถ้าภาชนะนั้นไม่รั่ว  สติคนก็เหมือนกัน ถ้าเราทำบ่อยๆ มันจะสะสม พอมากเข้าๆ สักวัน จิตมันก็ยอมแพ้ไปเองเพราะ เราเห็นความคิดของมัน สามารถใช้ปัญญามาตัดสินใจได้ ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  มันไม่มีอยู่ในโลกนี้ไม่ต้องไปหา ที่มันเกิดขึ้นกับเราเพราะมันสะสมอมาตั้งแต่เกิดโดยที่เราไม่รู้ตัว  ซึ่งตอนนี้เรากำลังจะขจัดมันทิ้ง  ต้องใช้ความพยายาม  อดทน  และปัญญา ขจัดมันออกจากใจ  ทำบ่อยๆ มันจะจืด จางลง และสักวันคงหลุดพ้นได้ครับ

                        ลองพิจารณาดูด้วยปัญญาของท่าน
                        สวัสดี(29636)


รู้ธรรมวันละนิด  จิตผ่องใส

ตอน

การเจริญสติในอิริยาบถนั่ง ด้วยวิธีเคลื่อนไหวด้วยมือสร้างจังหวะ
ของ
หลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ



































อย่าลืม
 
วันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม เวลา 09:00 - 15:00 น.
 
ทุกท่านต้องไปเลือกตั้ง ตามหน้าที่ในฐานะประชาชนคนไทย ที่ต้องมีหน้าที่ในการเลือกผู้แทนของท่านในแต่ละเขต

ขอให้ท่านใช้ ความคิดอย่างมีสติ ปัญญา ในการใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งผู้แทน ในครั้งนี้

อย่าใช้ความคิดแวบ คือคิดภายใต้โมหะ ในการใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งผู้แทน ในครั้งนี้

(ถึงแม้จะปฏิบัติธรรม  จิตปล่อยวาง  ก็ไปใช้สิทธิในการเลือกผู้แทนได้ เพราะเป็นหน้าที่  ที่จะต้องกระทำ)

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2395 เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2554, 13:17:36 »

รู้สุขภาพวันละนิด  จิตคลายทุกข์

ตอน

การดูแลรักษาฟัน

                       จากการที่ผมได้รับเวทนาจากการ ปวดรากฟันในช่วงที่ทำการรักษารากฟันนี้ ทำให้ผมเป็นห่วงพวกเราขึ้นมาในการดูแลรักษาฟัน  เราต้องยอมรับความจริงกัน คือ ความกลัวที่เกิดขึ้นจากการทำฟันไม่ว่าจะ ถอนฟัน  อุดฟัน  กรอฟัน  รักษารากฟัน  นั้นมันเจ็บปวดปราสาทฟันมากๆ  จนจิตของเรานั้นเกิดความกลัวเป็นอย่างมาก เป็นความกลัวในสันดานเลย เมื่อจิตมันกลัวอย่างนี้เราจะทำอย่างไร? ดี

                        ความจริงอีกประการหนึ่งคือ เมื่อจิตมันกลัวเรื่องการทำฟัน ก็จริง  แต่ถ้าฟันเราชำรุดมาก  จนต้องถอนทิ้งนี่ซิแสนเสียดาย  เพราะไม่สามารถหาฟันมาทดแทนได้ และใช้งานได้ดังเดิม  บุคคลิกก็ไม่ดี  ถึงแม้จะใส่ฟันปลอม มันสู้ของจริงไม่ได้  กินข้าวก็ไม่อยากกิน เพราะเคี้ยวแล้วมันเจ็บ  กินข้าวไม่อร่อย ทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้น  หนักยิ่งกว่าทุกข์ไปให้คุณหมอทำฟันอีก เพราะมันจะเป็นทุกข์ถาวร จนกว่าเราจะตายจากไป ครับ

                        เมื่อเรารู้ความทุกข์จากฟัน  มันหนักหนาสาหัสอย่างนี้  กำหนดรู้แล้ว  ทำไมเราไม่หาทางแก้ที่สาเหตุเล่า ครับ สาเหตุที่ฟันมันเสียไปเพราะเราใช้งานมันหนักโดยเฉพาะใชัฟันขบของแข็งๆ นั้น ต้องงดเว้นแล้วครับ เช่นขบน้ำแข็ง เป็นต้น หรือใช้ฟันขบอะไรที่เหนี๋ยวๆ แข็งๆ ควรเลิกนิสัยแบบนั้นเสียเพราะฟันจะชำรุด นอกจากนี้การดูแลรักษาฟันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวด คือการแปรงฟัน เช้า และก่อนนอน แต่จะให้ดีควราแปรงฟันทุกครั้งที่รับประทานอาหารมื้อหลัก ครับ

                        อีกประการหนึ่งสำคัญมากๆ คือการใช้ไหมขัดฟัน เพราะระหว่างฟันและเหงือกจะมีช่องว่างที่เศษอาหารและแบคทีเรียเข้าไปซ่อนอยู่ ซึ่งแปรงสีฟันไม่สามารถทำความสะอาดเข้าไปถึงได้  คนสุดท้ายที่หวังดีกับผมคือ คุณหมอกัลญาณี  จะถามผมว่าพี่สิงห์ ยังใช้ไหมขัดฟันอยู่ไหม? ผมก็ตอบว่าใช้บ้างไม่ใช้บ้าง  คุณหมอกัลเลยดุเอาว่า  พี่สิงห์ ต้องใช้ไหมขัดฟันนะ เพราะแบคทีเรียที่เกาะฟันนั้นมันจะเอาออกได้ด้วยการใช้ไหมขัดฟันเท่านั้น  เพราะคำพูดนี้ พี่สิงห์จึงต้องใช้ไหมขัดฟันก่อนนอนทุกวันเป็นอย่างน้อย และภายหลังรับประทานอาหารเสร็จ คือซื้อไหมขัดฟันเตรียมเอาไว้เช่นเดียวกับแปรงสีฟัน ยาสีฟัน จะจัดเตรียมไว้ทั้งในกระเป๋า computer บนรถ และในกระเป๋าเสื้อผ้า ครับ

                        พี่สิงห์ชื่นชม รศ.ประกายแก้ว เป็นอย่างมาก  ทุกครั้งที่รับประทานอาหารเสร็จ เธอจะเอาไหมขึ้นมาขัดฟันทันทีเมื่ออิ่มข้าวแล้วบนโต๊ะอาหาร เป็นสิ่งที่พวกเราควรทำอย่างยิ่ง เศษอาหารที่ก่อให้เกิดกลิ่นปาก และแบคทีเรียจะหมดไปเมื่อใช้ไหมขัดฟันเท่านั้น โปรดจำให้มั่น นี่คือความจริง

                         สรุป แก้ที่สาเหตุก่อนที่ฟันจะเสีย ได้รับทุกข์ไปตลอดชีวิต คือ

                                - ไม่ใช้ฟันขบของแข็งเด็ดขาด
                                - ไม่นอนกัดฟัน
                                - แปรงฟันทุกครั้งภายหลังรับประทานอาหารเสร็จ
                                - ใช้ไหมขัดฟันทุกครั้งภายหลังรับประทานอาหารเสร็จ(ควรทำก่อนแปรงฟัน)
                                - ก่อนนอน อมน้ำเกลือ กลั้วคอ อยู่ในปากประมาณ ห้านาที

                          ทำเพียงแค่นี้รับรองสุขภาพฟันของท่านจะดี  ยังไม่สายเกินไปครับที่จะดูแลฟันของเราให้ดีจนกว่าเราจะตาย

                          สวัสดี

อย่าลืม
 
วันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม เวลา 09:00 - 15:00 น.
 
ทุกท่านต้องไปเลือกตั้ง ตามหน้าที่ในฐานะประชาชนคนไทย ที่ต้องมีหน้าที่ในการเลือกผู้แทนของท่านในแต่ละเขต

ขอให้ท่านใช้ ความคิดอย่างมีสติ ปัญญา ในการใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งผู้แทน ในครั้งนี้

อย่าใช้ความคิดแวบ คือคิดภายใต้โมหะ ในการใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งผู้แทน ในครั้งนี้

(ถึงแม้จะปฏิบัติธรรม  จิตปล่อยวาง  ก็ไปใช้สิทธิในการเลือกผู้แทนได้ เพราะเป็นหน้าที่  ที่จะต้องกระทำ)
                     
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #2396 เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2554, 13:49:25 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 29 มิถุนายน 2554, 08:00:14
รู้สุขภาพวันละนิด จิตหมดทุกข์
ตอน
น้ำผัก-ผลไม้ปั่น แทนอาหารมื้อเย็น

                        ด้วยความบังเอิญ  จึงค้นพบวิธีดูแลตัวเอง และการควบคุมสำหรับอาหารเย็นที่ไม่เป็นภาระ
                        ทุกวันพระ ผมจะถือศีลแปด  คืองดอาหารเย็น งดสิ่งของหอมประดับร่างกาย และนอนที่นอนอ่อนนุ่ม(ฟูก) แต่กลัวว่าตัวเองจะหิวสำหรับอาหารมื้อเย็น และพยายามให้กระเพาะอาหารได้ทำหน้าที่ของมันตามปกติ ผมจึงใช้วิธีรับประทานอาหารเย็นโดยไม่ต้องเคี้ยว คือหาผลไม้ตามมีตามเกิด สองอาทิตย์ที่ผ่านมาอยู่ที่โรงงแรมนครศรีธรรมราช จึงใช้ผลไม่ที่อยู่ในห้อง มีองุ่น ชมภู่ ส้ม แอปเปิ่ล ฝรั่ง ผสมรวมกันแล้วให้พนักงานโรงแรมปั่น ผสมกับแตงโมง ดื่มได้ผลดีเกินขาด ไม่รู้สึกว่าหิว ไม่ผิดศีล และลองไปหามะม่วงสุก มาปั่นดื่ม ยิ่งดีใหญ่เลย
                        ทุกท่านครับ ถ้าเราไม่มีเวลาทำอาหารเย็นรับประทาน และต้องการควบคุมน้ำหนัก มาลองทำน้ำผลไม้ ผสมผักสดปั่นดื่มกันดูบ้างครับ ไม่ต้องใสน้ำเชื่อม ใส่น้ำแข็งสองก้อน กันเลี่ยน นำมาปั่นรวมกันเป็นอาหารมื้อเย็นกันดีกว่า ไม่ต้องสนใจรสชาดทั้งสิ้น ขอเพียงสะอาดปราศจากยาฆ่าแมลงก็พอ รับรองเป็นของดีมีประโยชน์แน่นอนครับ ผมเลยไปซื้อหนังสือมาเล่มหนึ่งสำหรับทำผัก-ผลไม่ปั่น เพื่อจะทำให้ตัวเอง และจะทดลองดูสักสามเดือน แต่ตอนนี้ต้องไปหาซื้อเครื่องปั่นก่อนเพราะที่บ้านไม่มี เพราะเคยไปดูที่ร้านคุณสุภาณี  แพงมากเลยไม่ซื้อ  แต่ตอนนี้คิดถึงผลระยะยาวแล้ว คิดว่าต้องซื้อ จะได้หมดภาระอาหารมื้อเย็นไป และดีต่อร่างกายด้วย กระเพาะอาหารก็ยังทำหน้าที่ของมันไปตามเดิมได้
                        ใครมีไอเดียดีๆในเรื่องนี้บอกพี่สิงห์บ้างครับ
                        สวัสดี(29170)
สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
 ไล่ตามอ่านเจอเรื่องที่พี่สิงห์เล่าเรื่องการปั่นน้ำมะม่วง ค่ะ จึงออกมารับรองด้วยว่า มะม่วงสุก เช่นน้ำดอกไม้สุก ๑ ผล ปั่น เป็นมื้อเย็นอยู่ท้องมากค่ะ
 แต่ที่ตามมาน้ำหนักขึ้นมากด้วยเช่นกันค่ะ
 ตอนอยู่ที่ลาว ออกไปเดินที่ริมแม่น้ำ แล้วดื่ม ทุกวันแล้วเดินกลับบ้าน ประมาณ ๑เดือน น้ำหนักขึ้นค่ะ
 อาจจะเพราะน้ำมะม่วง มีน้ำตาลมาก และ เนื้อหนัก หรืออย่างไรไม่ทราบ ต้องปั่นอย่างอื่นเปลี่ยนๆไป เช่นผักบ้างค่ะ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2397 เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2554, 20:37:24 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 01 กรกฎาคม 2554, 20:20:48
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก
                       วันนี้วันพระ ต้องทำจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ ให้มีสติอยู่กับสิ่งที่เรากำลังอยู่ในอิริยาบถ ที่กำลังกระทำนั้น  พูดง่ายๆ อย่าเผลอปล่อยใจให้ร่องลอยไปตามความคิดของจิต  เพราะจิตมันจะได้ใจ มันชนะเราเพราะเรากระทำตามที่มันคิด
                        ถ้าเธอมึน  งง  ไม่รู้จะทำอะไร  ลองขยับมือเล่น และให้มีความรู้สึกที่มืออยู่อย่างนั้น จิตมันก็ไม่คิด เพราะจิตมันทำสองอย่างพร้อมกันไม่ได้ ธรรมชาติของจิตมันเป็นอย่างนั้น เมื่อมันไม่คิด เธอก็ไม่หดหู่ใจ  ไม่เซื่องซึม  ไม่เดือดดาล  เดี๋ยวเธอก็แจ่มใสเอง  มีชีวิตชีวา  ทำงานเป็นปกติดังเดิม
                        เด็กๆ เป็นอย่างไรบ้าง  สบายดี และเขาจะเรียนต่ออะไร ครับ
                        ปลายปีนี้พี่สิงห์อาจจะไปเที่ยวยุโรป กับทาง SIW อีกแต่ยังไม่รู้ว่าจะไปประเทศไหน  เขากำลังพิจารณากับทางทัวร์อยู่ครับ
                        วันนี้พี่สิงห์ทำน้ำแตงโม-เสาวรส ปั่น รับประทานครับ เปรี้ยวอร่อยดี ครับ
                        คืนนี้ราตรีสวัสดิ์ครับ นอนหลับ มีสติ ไม่ฝันแบบพี่สิงห์ดีกว่าครับ

พี่สิงห์ขา,
วันนี้จิตใจผ่องใส เริงร่า
แฟนหนิงไปถีบจักรยานที่ประเทศฝรั่งเศส!
ฟังแล้วเหมือนไกล..ปล่าวคะ ไม่ไกลเลย
หนุ่มๆเบื่อเมียsetนี้เค้านัดกันไปขึ้นS-Bahn
สุดสายของKarlsruhe...ที่หมู่บ้านอะไรสักอย่าง
แล้วขึ้นแฟรี่ไปฝั่งฝรั่งเศส ลุยถีบจักรยาน
แว่วๆว่า50-60 km.หนิงบอกให้เค้าสนุกสุขสรร
หากสวยจริง เราไปกันเองแบบขับรถไปอีกทีคะ.

หนิงเลยจัดของขับรถไปว่ายน้ำที่Heilbronn
ได้แวะดูอะไรต่ออะไรที่ปกติใช้เวลาเช่น
หายาทาเล็บสีถูกใจ ดูของขวัญให้ลูกคนข้างบ้าน
รวมทั้งแวะซื้อเชอรรี่ เม็ดกาแฟarabica 1 kg.
กลับมาบ้านเด็กๆกำลังสบายตัวขี้เกียจสุดขีด...
ตื่นสายพ่อไม่อยู่ แม่ไม่อยู่ หนิงได้ออกไปกวาดถนน
ตัดกิ่งใบพอสวยงามต้นไม้ติดทางเดิน
ก็ได้เข้ามานั่งหน้าจอค่ะ.


ลูกๆหนิงเติบโตพัฒนาการดีคะ
กำลังเข้าสู่วัยรุ่น เก็บตัว ชอบอยู่ในห้อง
ต้องคอยเรียกมาคุยค่ะ ว่าทุกอย่างเป็นยังไงบ้าง
ไก่โต้งมีผลการเรียนที่น่าพอใจโดยไม่ต้องห่วง
ไก่ฟ้าเรียนไม่ค่อยเก่งคะ แฟนหนิงต้องเข้มงวดนิด
แกกำลังวัยรุ่นคะ พ่อลูกจึงเหมือนทะเลาะกันทุกวัน!
ปล่าวค่ะพี่ ช่วงนี้ลูกสาวหนิงติดพ่อคะ...ดีค่ะ
แกจะได้ trustเพศชายได้ เมื่อแกเป็นสาว.....


พี่สิงห์จะได้ไปงานอะไรนะคะ...Bauma?
ถ้าไปเยอรมัน พี่บอกรายละเอียดนะคะ
จะได้ล่วงหน้าไปก่อน....ที่นี่ หน้าจอ.
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2398 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2554, 06:52:27 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก
                      ขอบคุณมากค่ะ
                      โดยปกติลูกสาวจะสนิทกับพ่อ และลูกชายจะสนิทกับแม่ เป็นธรรมชาติครับ ดีใจที่เห็นไก่โต้งเรียนดี อาจจะเรียน ดร.แบบพ่อ  แต่อย่าลืมลูกผู้หยิงต้องเรียนสูงๆ ครับ ช่วยบอกไก่ฟ้าด้วย ว่าลุงสิงห์ให้ตั้งใจเรียน ต้องติดหนึ่งในสิบของ Class มาฝากลุงสิงห์ครั้งหน้าด้วย
                      งาน Bauma คงไปแน่ครั้งหน้าครับเพื่อไปหาความรู้ดีๆทางวิศวกรรมการผลิต แต่ยังไม่เห็นกำหนดการครับ
                      ที่จะไปยุโรป นั้น ทาง SIW จะพาลูกค้าไปทัศนศึกษายุโรปอีก แต่จะไปที่ๆ คนไปไม่มาก คือตามเมืองท่องเที่ยวที่สงบ แต่ต้องสะดวกสบาย เพราะลูกค้ากลุ่มนี้เป็นระดับ VIP ที่เจ้าของกิจการไปเองและครอบครัว สำหัรบพี่สิงห์เป็นแขกพิเศษ ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สำหรับ SIW ผู้ถือหุ้นคือ TA TA Motor อินเดีย แต่ MD เป็นชาวสิงค์โปร์ นอกนั้นเป็น Staff คนไทย ครับ
                       มีอะไรคืบหน้าจะเรียนให้ทราบครับ
                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2399 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2554, 07:01:36 »

สวัสรับรู้เวทนาดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก
                      น้ำปั่นมะม่วงนั้น สักอาทิตย์หนึ่ง พี่สิงห์ถึงรับประทาน ครับ เพราะพี่สิงห์ต้องการความหลากหลายของอาหาร คงไม่อ้วน แต่ถ้าได้เครื่องปั่นมาแล้ว คงมาปั่นน้ำผักผสมผลไม้เป็นอาหารเย็น แต่ถ้ากินไก้ก็อยากกินผักครับเพราะระบบต่างๆจะทำงานปกติ แต่ต้องไม่ยุ่งอยาก
                     เธอเป็นอย่างไรบ้าง  ร่างกายเป็นปกติหรือยัง พร้อมที่จะออกกำลังกายได้หรือยัง พี่สิงห์ยังติดเธอเรื่องไปสอยโยคะและ TAI CHI ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนมากพี่สิงห์ไอเป็นระยะ  ไอแบบคอแห้ง ไม่มีสะเรด ไม่มีไข้ ไม่เจ็บคอ แต่ไอจนคอแสบ แพ้อากาศซึ่งเป็นปกติอยู่แล้วเพราะไม่ได้กินยาแก้แพ้อากาศอย่างต่อเนื่องเพราะไม่อยากกิน อยากจะเอาชนะด้วยธรรมชาติ  สาเหตุเกิดจากร่างกายอ่อนแอ คือนอนน้อย ไม่ต่อเนื่องทั้งคืน เพราะเมื่อตื่นจะเจริญสติต่อช่วงเช้ามืด นานเข้าๆ ร่างกายเลยอ่อนแอลง ตอนนี้ต้องกลับไปอยู่ในจุดที่สมดุลย์ใหม่ ต้องหาให้เจอ แต่ก็ดีเหมือนกันจะได้ พิจารณาเวทนาที่เกิดขึ้น ว่าเราจะเอาชนะเวทนาที่เกิดขึ้นกับจิตได้อย่างไร การดูกาย-ใจ มันก็มีประโยชน์อย่างนี้แหละ
                     สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 94 95 [96] 97 98 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><