23 พฤศจิกายน 2567, 19:32:11
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 92 93 [94] 95 96 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3562655 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 38 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #2325 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2554, 17:32:41 »

สวัสดีตอนเย็นค่ะพี่สิงห์
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2326 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2554, 21:08:45 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 18 มิถุนายน 2554, 17:32:41
สวัสดีตอนเย็นค่ะพี่สิงห์
สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก
             พี่สิงห์เพิ่งกลับจากไปร่วมงานเลี้ยงรุ่น 41 ปี วิศวฯรุ่น 2513 ครับ ปีนี้จะเกษียรอายุกันเกือบหมดครับ ที่เป็นใหญ่ก็มี ผู้ว่าแบ้งค์ชาติ ผู้ว่า กฟภ. ผู้ว่า กปภ. ผู้ว่า กฟน. ผู้ว่าการเคหะ ครับ
             พี่สิงห์เป็นเพียง ปุถุชน น้อยๆ อยู่อย่างพอเพียง มีหน้าที่เพียงช่วยจัดกอล์ฟหาเงินเข้ากองทุนรุ่นเท่านั้น และไม่อยากอยู่ดึกเลยกลับก่อน ที่ดนตรีจะเล่น คือ สองทุ่มครึ่ง
             ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #2327 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2554, 21:24:50 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 18 มิถุนายน 2554, 21:08:45
อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 18 มิถุนายน 2554, 17:32:41
สวัสดีตอนเย็นค่ะพี่สิงห์
สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก
             พี่สิงห์เพิ่งกลับจากไปร่วมงานเลี้ยงรุ่น 41 ปี วิศวฯรุ่น 2513 ครับ ปีนี้จะเกษียรอายุกันเกือบหมดครับ ที่เป็นใหญ่ก็มี ผู้ว่าแบ้งค์ชาติ ผู้ว่า กฟภ. ผู้ว่า กปภ. ผู้ว่า กฟน. ผู้ว่าการเคหะ ครับ
             พี่สิงห์เป็นเพียง ปุถุชน น้อยๆ อยู่อย่างพอเพียง มีหน้าที่เพียงช่วยจัดกอล์ฟหาเงินเข้ากองทุนรุ่นเท่านั้น และไม่อยากอยู่ดึกเลยกลับก่อน ที่ดนตรีจะเล่น คือ สองทุ่มครึ่ง
             ราตรีสวัสดิ์ค่ะ

ได้ไปพบเพื่อนๆ ได้เห็นความสำเร็จของเพื่อน ในด้านต่างๆ
บางคนด้านการงาน บางคนด้านครอบครัว บางคนด้านธรรม อย่างพี่สิงห์ไงคะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2328 เมื่อ: 19 มิถุนายน 2554, 06:24:09 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 18 มิถุนายน 2554, 21:24:50
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 18 มิถุนายน 2554, 21:08:45
อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 18 มิถุนายน 2554, 17:32:41
สวัสดีตอนเย็นค่ะพี่สิงห์
สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก
             พี่สิงห์เพิ่งกลับจากไปร่วมงานเลี้ยงรุ่น 41 ปี วิศวฯรุ่น 2513 ครับ ปีนี้จะเกษียรอายุกันเกือบหมดครับ ที่เป็นใหญ่ก็มี ผู้ว่าแบ้งค์ชาติ ผู้ว่า กฟภ. ผู้ว่า กปภ. ผู้ว่า กฟน. ผู้ว่าการเคหะ ครับ
             พี่สิงห์เป็นเพียง ปุถุชน น้อยๆ อยู่อย่างพอเพียง มีหน้าที่เพียงช่วยจัดกอล์ฟหาเงินเข้ากองทุนรุ่นเท่านั้น และไม่อยากอยู่ดึกเลยกลับก่อน ที่ดนตรีจะเล่น คือ สองทุ่มครึ่ง
             ราตรีสวัสดิ์ค่ะ

ได้ไปพบเพื่อนๆ ได้เห็นความสำเร็จของเพื่อน ในด้านต่างๆ
บางคนด้านการงาน บางคนด้านครอบครัว บางคนด้านธรรม อย่างพี่สิงห์ไงคะ

อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก
                  เป็นกำลังใจให้พี่สิงห์มากๆ ช่วยให้เกิดพลังครับ

รู้ธรรมวันละนิด จิตผ่องใส

ตอนที่ ๑๗

เอาสิ่งที่เห็น(เพื่อน)มาเป็นครูฝึกจิตตนเองให้รู้จักปลง สงบ

                  พี่สิงห์เคยคิด เราเป็นคนดีเกินไป ทำให้สังคมเกินไ เสียสละเกินไป ไม่ได้เห็นแก่ตัวเอง  เผื่อแผ่ เมตตา ไม่ประพฤติผิดหลักธรรม ไม่เอาเปรียบใคร  เสียสละ ตามที่ครูบาอาจารย์สอน ทำเท่าที่เราสามารถกระทำได้ โดยสม่ำเสมอ
                  ผลรับคือเราไม่มีอะไรเลย ไม่ว่าเกียรติยศ หรือเงินทอง จะมีบ้างก็มีแบบพอเพียงเท่านั้น จริงๆ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ ทั้งที่เราถือศีล ๕  เพราะความไม่รู้คนจึงคิดปรุงแต่งไปเอง
                  แต่ก็ได้แต่โทษตัวเองว่า เราปฏิบัติตามพ่อ แม่ ครู อาจารย์สอนสั่ง ให้ซื่อสัตย์ เสียสละ  ผลจึงเป็นแบบที่เห็นสู้เพื่อนๆ ไม่ได้แม้กระทั่ง ดร.สุริยา
                  แต่คิดอีกแง่หนึ่ง เรามีเพื่อนแท้มาก อย่างน้อยเราก็เป็นคนดีในสังคม ใครไม่เห็นเรารู้ของเราอยู่คนเดียว ก็สุขใจ
                  เราอาจจะไม่มีเกียรติในหน้าที่การงาน  แต่เราก็ยืดอกได้ในสิ่งที่เราทำความดี นี่เป็นกำลังใจอย่างงาม
                  เมื่อคืนก็คิดขณะที่อยู่ในงานเลี้ยง (ดูเพื่อนๆ เป็นครูสอนจิต ดูจิตตัวเองที่กำลังคิด ปรุงแต่งตามสิ่งที่พบ) ขณะนั่งกินข้าวคนเดียว (มีเพื่อนๆมานั่งด้วยภายหลัง)พยายามปลีกตัว ห่างไกล ได้แต่ปลง เราจะเอาเกียรติ เอาเงินหรือ? ก็ทำไม่ได้แล้วเพราะอายุ ๖๐ ปีแล้ว แต่อย่างน้อย เราก็ยังดีกว่าเพื่อนหลายคน ถึงจะมีหน้าที่การงานสูงส่ง  มีเกียรติ มีเงิน  มีทอง  แต่เขาก็ไม่ได้เสียสละเพื่อรุ่นเลย  อย่างน้อยสุดเรา(และดร.สุริยา)ก็ช่วยหาเงินเอาไว้ให้รุ่นเป็นกอบเป็นกำในการทำกิจกรรม  การจัดกอล์ฟที่ผ่านมาหลายครั้งโดยเรามีส่วนร่วม ถึงแม้ไม่มีใครเคยขอบใจเราเลย ในสิ่งที่ได้กระทำ แต่เพื่อนบางคนก็เห็น  เรารู้เพียงว่ามันเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องกระทำ เพราะเราสามารถทำได้
                  พอคิดอย่างนี้จิตก็สงบลง  ไม่มีอิจฉา ริษยาเพื่อน  ทั้งสิ้น ปล่อยวาง สงบ เราก็อยู่อย่างเรา  เราก็สามารถอยู่ได้  ไม่มีใครที่จะมาดูแคลนเราได้  เราไปแสดงความยินดีกับเขา  ปลีกออกมา  เมื่อถึงเวลาเราก็กลับ เท่านั้นเอง
                  จงพอใจในสิ่งที่เรามี  ที่เราเป็น  พอเพียง  ความสุขที่แท้จริง คือใจสงบ  ว่างเปล่า  กลับสู่จิตที่เป็นประภัสสร  ดีกว่า ถึงจะเป็นความสุขที่แท้จริง  ปัจจุบันเราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรทั้งสิ้น
                  เมื่อคืนในงานเลี้ยง  ทำให้พี่สิงห์ชนะใจตนเองได้  คือได้ปลงตัวเอง ให้พ้นจากความโลภ  และความพรุ่งพล่านเดือดดานใจ(ในสิ่งที่เราไม่มีแต่เพื่อนๆมี คือเกียรติ เงิน ความร่ำรวย)  ซึ่งคนทั่วไปมองไม่เห็น  แต่ตัวเรามองเห็นตัวเราในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทางอารมณ์(ธรรม)
                  ทั้งหมดนี้เป็นความจริง ครับ พี่สิงห์กลับเพราะประธานกล่าวเปิดงาน  เลือกประธานรุ่นคนใหม่แล้ว รอเพียงคนตรีจาก กฟภ. มาเท่านั้นจะได้ร้องเพลงกัน แต่ยังมาไม่ถึง เพราะท่านรอง กฟภ.โอ่ง รับปากมั่นเหมาะ คุยเอาไว้มาก (ผมเคยเสนอให้ประชุมก่อนจัดงานอีกครั้ง ทุกคนบอกไม่ต้อง มันจึงเป็นอย่างนี้ ดร.สุริยา  ยังขำตัวเอง คือมีคนเสนอให้ท่านรอง กฟผ.วิรัส  จัดเหล่ามาให้ แต่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องเลย และเมื่อคืนก็ไม่ได้มา) แต่ลืมบอกเพื่อนที่เป็น ผู้ว่า และรองๆ กฟภ. ให้ตาม หรือรับรู้ ผลคือเป็นอย่างที่เห็น ไม่มีใครทราบ และเจ้าตัวก็ไปอยู่เยอรมันนี เลยเสียชื่อคนบางระจัน สิงห์บุรีหมดเลย และได้เวลาแล้ว จึงกลับบ้านตามทางของเรา


                  ขอบคุณ และสวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2329 เมื่อ: 19 มิถุนายน 2554, 06:45:48 »

รู็สุขภาพวันละนิด จิตหมดทุกข์

รับประทานสูตร 2:1:1 คือผัก : ข้าว : โปรตีน งดอาหารรสจัด งดกินจุบจุบ งดน้ำอัดลม สุขภาพดี
นอนแต่หัวค่ำ  ตื่นมาจะไม่หงุดหงิด จะไร้โรค
ออกกำลังกายทุกวัน วันละหนึ่งชั่วโมง จิตผ่องใส
ปฏิบัติธรรมวันละนิด หมดทุกข์ครับ


ตอน
มะเร็งลำไส้ใหญ่

                        เมื่อเช้ามืดวันเสาร์ที่ผ่านมา พี่สิงห์ฟังรายการพลังชีวิต ของคุณอำมร  บรรจง ทาง FM100.5 เรื่องมะเร็งลำไส้ใหญ่
                        เชื่อหรือไม่ ปัจจุบันพบคนที่เป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่มาก และแทนที่จะเป็นในผู้สูงอายุ กับสามารถพบได้ในหมู่วัยรุ่น ทั้งที่กว่าจะพัฒนาจากโรคท้องผูก มาเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้นั้น ต้องใช้เวลาเป็นสิบปี ครับ
                        แสดงว่าผลจากที่วัยรุ่นสมัยเรียนหนังสือ ไม่กินผัก กินแต่จั้งฟู็ด ท้องผูกก็ไม่รู้ตัว พูดง่ายๆ อาหารที่รับประทานนั้นแหละเป็นสาเหตุ แต่ค่อยๆสะสมมาเรื่อยๆ จนเป็นนิสัยการกิน ประจวบกับความเครียดในการทำงาน จึงกลายเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ไป
                        ตัวอย่างเช่น อาจารย์ถาวร   ไม่เครียด  ดูภายนอก  แต่ภายในน่าจะมีผลคือ เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่  ดีว่าพบก่อน  ปัจจุบันจึงหายขาดแล้ว  แต่เพราะอาจารย์ถาวร  ยังติดกับความหลงในความคิดตัวเอง  จึงยังมุ่งมั่นที่จะหาความเครียดต่อไป ระวัง............จะกลับมา
                        ดังนั้นเราในฐานะพ่อ-แม่ ญาติ ควรจะดูแลในเรื่องการกิน  ออกกำลังกาย  ทำจิตให้ผ่องใสเอาไว้ และสังเกตุดูกาย ตนเองด้วยสติ ก็สามารถอยู่ห่างไกลโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
                        อย่าลืม มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นโรคใกล้ตัวแล้วครับ
                        สาเหตุ อาหารที่กินอยู่ทุกวัน  ท้องผูก  อดหลับอดนอน  ความเครียด
                        แก้ไข กระทำตรงกันข้าม(ตามที่พี่สิงห์ได้แนะนำ)
                        เพียงแค่นี้ก้ห่างไกลมะเร็งลำไส้ใหญ่แล้วครับ  
                        ป้องกันก่อนเป็น ดีกว่ามารักษาภายหลังเมื่อเป็นแล้วครับ
                        เพราะเสียเงิน ทุกข์ ตายทรมาน
                        (28106)
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2330 เมื่อ: 19 มิถุนายน 2554, 11:11:59 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
                       บ่ายนี้พี่สิงห์เดินทางไปเชียงราย โดยสายการบิน 1-2-go ถึงเชียงราย 15:30 น. สุธี(พนักงาน SIW) มารับที่สนามบิน
                       ออกเดินทางต่อไปยังโรงงานแม่จันทร์คอนกรีต เพื่อให้คำปรึกษาทางด้านผลิตและออกแบบเสาเข็ม  แผ่นพื้น และคอนกรีตผสมเสร็จ  โรงงานนี้พี่สิงห์ออกแบบมาแต่ต้น เป็นเด็กหนุ่มไฟแรง  มีความตั้งใจสูงในการทำงาน แต่ขาดประสพการณ์และความเป็นผู้ใหญ่ คือไม่รอบครอบ ละเอียดถี่ถ้วน  ยังปกครองคน และจัดระเบียบในโรงงานไม่ดีเท่าที่ควร
                       เย็นคงหาอะไรรับประทานแถวๆ อำเภอแม่จันทร์ครับ และพักที่โรงแรม Luna ในตัวเมืองใกล้สนามบินเก่า เชียงราย
                       รุ่งขึ้นวันจันทร์ เช้าไปตีกอล์ฟกับคุณมงคลชัย(RCU 24) และลูกชายที่สนามกอล์ฟสันติบุรี เวลา 07:30 น. และเที่ยงรับประทานอาหารกลางวันที่สนามกอล์ฟโดยมีสุธี และคุณพัชรี(RCU 24) มาร่วมด้วย และวันนี้เป็นวันเกิดของคุณพัชรี ทาง SIW เป็นเจ้าภาพ โดยมีพี่สิงห์เป็นตัวแทนในนาม SIW ครับ
                       บ่ายโมงออกเดินทางไปเชียงใหม่ แวะกลางทางที่จรินทร์รีสอร์ท เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ และซื้อไพน์ผลไม้ไปฝากพนักงาน PPS Concrete ที่จอมทอง คาดว่าจะถึงโรงแรม The Park เชียงใหม่ 16:00 น.
                       เย็นมีนัดรับประทานอาหารเย็นกับ คุณน้องอ้อมทิพย์ และคุณน้องจงจิตร แต่ยังไม่ทราบร้านอาหาร ครับ
                       รุ่งขึ้นวันอังคารไปโรงงาน PPS Concrete ที่จอมทอง ไปเยี่ยมคุณประพันธ์ประจำปี ให้คำปรึกษา สอนหนังสือแก่พนักงาน
                       บ่ายๆ ไปเยี่ยมคุณหมออุดม พยาบาล และซื้อ กาแฟ ดีท๊อก ที่ แผนกแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลจอมทอง
                       16:00 น. มีนัดที่สนามบิน เพื่อสอบถามพี่สิงห์เกี่ยวกับการออกแบบโรงงานแผ่นพื้นที่ลำพูน
                       และกลับกรุงเทพฯ 17:35 น. โดยสารการบิน Nok Air
                       พี่สิงห์จะเก็บภาพมาให้ชม ครับ
                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2331 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2554, 05:20:50 »










อรุณสวัสดิ์ครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
                    พี่สิงห์อยู่เชียงราย ครับ เมื่อวานตอนเย็นพี่สิงหืไปกินข้าวเย็นที่ร้านฟูจิ  Central Plaza เชียงรายมาครับ เช่นเคย ร้านฟูจิต้องเข้าคิวในการรับประทานอาหาร พี่สิงห์สั่งสลัดผักมันบด และสะเต็กปลามารับประทาน  ที่นี่มีร้านอาหารญี่ปุ่นหลายร้าน สังเกตุดูกำลังซื้อของคนเชียงรายมีมาก เพราะร้านอาหารทุกร้านคนเต็มครับ  แต่ร้านค้ามีแต่คนเดินเที่ยวแต่ไม่ซื้อครับ
                   สวัสดีครับ


รู้ธรรมวันละนิด จิตผ่องใส

ตอนที่ ๑๘

เมตตา  ให้อภัย  ไม่ถือสา


(คัดลอกมาจาก หนังสือ ปฏิบัติธรรม ของชมรมผู้ปฏิบัติธรรม สำนักงานศาลยุติธรรม)

นิสัยสันดาลของตัวเองก่อให้เกิดทุกข์

   สิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์  ความเดือดร้อน  หรือทำให้เกิดปัญหาต่อเรา  ก็คือนิสัยสันดาลของเรานั่นเอง  คนไหนมีนิสัยที่มีราคะมาก  ก็จะมีความตรึก  นึก  คิด  ปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์ราคะกำเริบขึ้นมาบ่อยๆ คนไหนที่มีนิสัยเป็นคนเจ้าโทสะ  อาฆาตแค้น  พยาบาท  ผูกใจเจ็บ  ไม่มีเมตตา  ไม่ให้อภัย  มีความถือสามาก  ก็จะคิด  นึก  ตรึก  ตรอง  ปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์โทสะ  พยาบาทขึ้นมาบ่อยๆ คนไหนมีนิสัยขี้วิตกจริต  ก็จะคิด  นึก  ตรึก  ตรอง  ปรุงแต่งให้เกิดความวิตกกังวลอยู่เสมอ  ซึ่งความวิตกกังวลเป็นความทุกข์ในโลก  เราจึงต้องมาปฏิบัติธรรมเพื่อแก้นิสัยสันดาลของเรานั่นเอง

หากไม่แก้นิสัยสันดาลของตัวเอง  ก็พ้นทุกข์ไม่ได้

   สิ่งไหนมันเป็นนิสัยสันดาลของเรา  เราก็ต้องรู้ตัวนี้ให้เร็วๆ  พอมันตรึกตัวนี้ขึ้นมา  เราก็บอกมันว่าเป็นสังขาร(อารมณ์ปรุงแต่ง) ไม่เที่ยง  สังขารไม่เที่ยงหรือเป็นสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมาเป็นธรรมดา  สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา  อย่างนี้เราต้องรู้ตัวเราเองว่าเราเป็นอย่างไร  เราปฏิบัติธรรมทั้งหมดเพื่อแก้นิสัยสันดาลเราที่มันก่อเกิดอย่างนั้นขึ้นมา  เราไม่ได้ปฏิบัติธรรมเพื่ออะไรเลย  ต่อให้มีการปฏิบัติธรรมเดินช้าๆ นั่งหลับตานิ่งๆ มันก็พ้นทุกข์ไม่ได้ ถ้าไม่แก้นิสัยสันดาลตัวเอง เพราะว่าอาสวะหรืออนุสัย  ซึ่งเป็นกิเลสเครื่องดองสันดานนี่เอง ที่ก่อให้เกิดสังขารปรุงแต่งใน ปฏิจจสมุปบาทขึ้นมา แล้วต่อไปเป็นวิญญาณ  นาม-รูป  สฬายตนะ  สัมผัส  เวทนา  ตัณหา อุปาทาน ภพ  ชาติ  เป็นความทุกข์  โศกเศร้า  คับแค้นใจ

รู้เท่าทันความคิด นึก ตรึก ตรอง ปรุงแต่งทุกความคิด

   สังขารปรุงแต่งหรือจิตสังขารที่ประกอบด้วยอวิชชา คือ การคิด นึก ตรึก ตรอง ปรุงแต่ง ไปตามความเคยตัวเคยใจ ซึ่งเป็นสันดานของแต่ละคน อวิชชามันก็มาจากนิสัยสันดานซึ่งเป็นความเคยตัวเคยใจของแต่ละคน เพราะฉะนั้นเวลาสังขารขึ้นมา มันจะสังขารไปตามนิสัยเรา เราแก้ได้โดยให้รู้เท่าทันความคิด นึก ตรึก ตรอง ปรุงแต่งที่เกิดมาจากนิสัยสันดานเราทุกความคิด เมื่อเห็นความคิด นึก ตรึก ตรอง ปรุงแต่งแล้วก็บอกแก่ใจทันทีว่านี่เป็นสังขารไม่เที่ยง  ไม่อาจยึดถือได้  ปล่อยวางไปเสียจนกว่าจะรู้สึกอย่างนั้นด้วยใจตนเองก็ไม่ต้องบอกอีกต่อไป  ความคิด นึก ตรึก ตรอง ปรุงแต่งที่มันเป็นไปตามนิสัยสันดานเรา หรือตามความเคยชินของเรามันก็จะน้อยลงๆ ไปเรื่อยๆ แล้วก้หมดอิทธิพลต่อใจไปในที่สุด พอความคิด นึก ตรึก ตรอง ปรุงแต่งที่เป็นนิสัยสันดานเราหมดอิทธิพลต่อใจแล้ว อวิชชามันก็ดับไปเอง  แล้วสังขาร วิญญาณ  นาม-รูป  สฬายตนะ  สัมผัส  เวทนา  ตัณหา  อุปาทาน  ภพ  ชาติ  ความทุกข์ โศก เศร้า เสียใจ คับแค้นใจก็จะดับไปด้วย

ถ้ามีเราเข้าไปมีส่วนได้เสียจะเป็นทุกข์

   เราปฏิบัติธรรมนั่งสมาธินิ่งหลับตาเท่าไรก็ไม่อาจพ้นทุกข์ได้  ต้องแก้  ต้องรู้เท่าทัน  เราไม่สามารถสะกดมันไว้ได้ตลอดไป  เดี๋ยวมันก็จะคิด  นึก  ตรึก  ตรอง  ปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์หรือสังขารขึ้นมาอีก  เราก็รู้เท่าทันทันที  บอกมันว่าสังขารไม่เที่ยง  สังขานไม่เที่ยง  ปล่อยวางไป  มันคิดมาจากเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง หรือมีเราเข้าไปมีส่วนได้เสีย แล้วเราก็เป็นทุกข์เอง เช่น เราเก่งกว่า เราดีกว่าคนอื่น หรือ เราด้อยกว่าคนอื่น หรือว่าทำไมเขาทำกับเราอย่างนี้ เป็นต้น  ขณะใดที่มีความรู้สึกว่าเป็นเรา หรือเป็นตัวเรา  หรือเป็นของเรา หรือมีเราเป็นที่ตั้ง หรือมีเราเข้าไปมีส่วนได้เสีย ก็รู้ตัวรู้เท่าทันพร้อมกับบอกแก่ใจว่า นั่นคือสังขารไม่เที่ยง  ปล่อยวางไปเสีย  รู้เท่าทันให้เร็วๆ แล้วปล่อยวางไปเสียทุกครั้ง (ถ้าเป็นหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ คิดปุ๊บจับปั๊ป ทิ้งไปเลยเหมือน แมวจับหนู)

เมตตา  ให้อภัย  ไม่ถือสา

   ให้มีเมตตา  ให้อภัย  ไม่ถือสา  ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะไปถือสา  โกรธแค้น  แค้นเคือง หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่คนเดียว  ความคิดที่คิดเคียดแค้น  คิดพยาบาท  ไม่เมตตา  ไม่ให้อภัย  ถือสา  ตัวนี้ต้องรู้เท่าทันแล้วปล่อยวางไปเสียทุกข์ครั้ง  ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะยึดถือไว้  มีแต่ทำให้เดือดร้อน  มีแต่ทำให้เกิดความทุกข์  ท่องเอาไว้  เมตตา  ให้อภัย  ไม่ถือสา  เมตตานะ  ไม่ใช่เมตตำ  คอยไปตำเขาเรื่อยๆ ตำคนโน้น  ตำคนนี้

การให้อภัยทานเหนือกว่าการให้ทานใดๆ ทั้งหมด

   เมตตา  ให้อภัย  ไม่ถือสา  มันทำได้ยากมาก  แต่ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก  บางคนแค่ผม  ให้นึกเมตตา ให้อภัยกับคนบางคนที่เขาแค้นเคือง  ที่เขาไม่ชอบใจ  ไม่พอใจ  ไม่ใช่ว่าให้ไปขอโทษเขากับตัวนะ  แค่ให้คิดในทางเมตตา ให้อภัยแค่นั้นแหละ  ร้องให้ทำไม่ได้ มันอยากหนักหนาสาหัสจริงๆ ความคับแค้นใจนี่  มันปล่อยวางยาก  แต่ถ้าทำได้ก็ประเสริฐสุด  การให้อภัยทานนี่เหนือกว่าการให้ทานใดๆ ทั้งหมด ต้องค่อยๆ ฝึกปล่อยวางลงไปๆ แล้วก็ค่อยๆเมตตา  ให้อภัย  ไม่ถือสา  ความแค้นเคืองใดๆ ทั้งหลายที่มีในใจค่อยๆ ปลดปล่อยลง  ปล่อยวางลง

ให้อโหสิกรรมทั้งหมด จึงจะข้ามไปสู่นิพพานได้

   แม้นั่งสมาธิหลับตามาตลอด  แต่ให้อภัยไม่ได้  จบหมดเลย  ขวางหมดเลย  เพราะเมื่อไม่ให้อภัย ทำอย่างไรมันก็ข้ามไปไม่ได้  พ้นไปไม่ได้  เพราะมันถือสาอยู่ในใจ  ไม่ยอมปล่อยวาง  ต้องหมั่นแผ่เมตตา  หมั่นระลึกอยู่เสมอว่า ขออโหสิกรรมซึ่งกันและกัน สิ่งใดที่เราเคยล่วงเกินต่อทุกท่าน เรายังขออโหสิกรรมเขาทุกวัน  แต่ทำไมสิ่งใดที่เขาล่วงเกินต่อเรา  เราไม่ให้เลย ว่าแล้วทำไมล่ะที่เขาเคยล่วงเกินต่อเรา  ทำไมเราไม่ให้อภัย  ไม่ให้อโหสิกรรม  เราขอ ฝ่ายเราที่ไปขอความเมตตา  ขออโหสิกรรมจากผู้อื่นนะ  แต่ทีเจ้าตัวล่ะไม่ให้ใครเขาเลย  ฉะนั้นในทางกลับกันผู้ใดก็ตามที่เคยล่วงเกินต่อข้าพเจ้าทางกาย วาจา ใจ ทั้งที่รู้ตัวก็ดี  ไม่รู้ตัวก้ดี  ที่เขาตั้งใจก็ดี  ที่เขามีเจตนาก็ดี  ไม่เจตนาก็ดี  ทุกชาติที่ผ่านมาทั้งหมดจนถึงในชาตินี้  ข้าพเจ้าขอให้อโหสิกรรมทั้งหมดทั้งสิ้น  ให้อภัยทั้งหมด  อย่าได้มีโทษบาปเวรภัยต่อกันและกันเลย  หมดเวรต่อกันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป นั่นแหละจึงจะข้ามพ้นไปสู่พระนิพพานได้  ถ้ามีค้างอยู่  ไปไม่ได้  ต่อให้ปฏิบัติอย่างไร ก็ไปไม่ได้ ถ้ายังไม่พูดกับเขาอยู่ก้แสดงว่ามันยังมีถือสาแค้นเคืองอยู่ในใจ  ปฏิบัติก็ได้ระดับหนึ่ง  แต่จะข้ามไปสู่มรรคผลนิพพาน  ข้ามไม่ได้  เพราะว่ายังไม่ได้แก้ไขที่ใจตน ตรงนี้เป็นจุดบอด

ให้สละประโยชน์ส่วนน้อยเพื่อประโยชน์สูงสุด(นิพพาน)

   ทำอะไรถ้าเอาตัวเราเป็นที่ตั้ง เช่น เราต้องเหนือกว่าคนอื่น เราต้องได้มากกว่าคนอื่น เราต้องมีมากกว่าคนอื่น ทำทุกอย่างเอาเข้าหาตัวหมด แล้วจะมีแต่ความทุกข์ขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะว่าอัตตาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ฝึกแก้ไขไปเรื่อยๆ สิ่งใดเป็นข้อบกพร่องก็แกไขเสีย  แก้ไขใจตนเองแล้วก็จะพ้นทุกข์ไป เพราะมีประโยชน์อย่างอื่นที่สูงสุดกว่า  อย่ามัวแต่ถือสากับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ พระนิพพานนั้นยิ่งใหญ่กว่าเป็นประโยชน์สูงสุดกว่า ไปเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาขวางพระนิพพาน  ไม่คุ้มค่ากัน  ท่านกล่าวว่าให้สละประโยชน์ส่วนน้อยเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ คือเรื่องราวใดๆ ทั้งหลายเล็กน้อยมาก  พระนิพพานนั่นแหละประเสริฐที่สุด  หมั่นระลึกแบบที่ว่านี้แหละมันก็จะทำให้ใจอ่อนโยนลง  ความแค้นเคือง  ความถือสาพยาบาท  การไม่ให้อภัยก็จะค่อยๆหมดไปจากใจ  เหลือแต่ความเมตตา  ให้อภัย  ไม่ถือสา  มันก็จะพ้นทุกข์ไปได้ในปัจจุบันชาตินี้  เพราะพระอรหันต์ท่านไม่มีแล้วในเรื่องเหล่านี้  ก่อนสำเร็จพระอรหันต์เคยโกรธแค้นกัน  ฝึกรู้เท่าทันจิตใจตนเองและปล่อยวางไปเรื่อยๆ จนหมดสิ้น  มีเมตตาให้อภัยหมดสิ้นแล้ว  ไม่ถือสาอีกแล้ว  หมดสิ้นจากใจแล้ว  เมื่อพบกันไม่มีความแค้นเคืองต่อกัน  ไม่มีการเก้อเขินกันอีกต่อไป  เราจะปฏิบัติตัวเราให้เป็นพระอรหันต์  เราก็ต้องละทิ้งสิ่งเหล่านี้ไปเสีย

แก้ไขใจตัวเองให้ทันก่อนตาย

   แก้ไขใจตนเองให้ทันก่อนที่เราจะตายจากโลกนี้ไป  ไม่เช่นนั้นมันก็จะเอาความแค้นเคืองถือสานี้ติดตัวไปด้วย  เวลาเกิดชาติใหม่ ไปเจอกันในร่างสัตว์เดรฉาน  มันก็กัดกันทันทีด้วยอำนาจแห่งกรรมที่แค้นเคืองกันมา  ด้วยความที่ไม่ให้อภัย  พอไปเกิดในร่างคน  พอเจอหน้ากัน  มันก็ไม่ถูกกันทันที  ทั้งที่มันไม่ทรายสาเหตุ  มันก็มาจากนี้แหละ  มันก็ข้ามภพข้ามชาติมา  เพราะอาคาตแค้นพยาบาทผูกใจเจ็บไว้  เวลาเกิดใหม่นี่  โอ๊ยศัตรูแยะจริงๆ  เพราะว่ามันมีแต่คนไม่ชอบหน้าทั้งนั้น  เกิดมาใหม่พอเจอหน้ากันมันไม่ชอบขี้หน้ากันโยอัตโนมัติเลย  เพราะว่ามันติดจิตมา  เป็นกรรมชนิดหนึ่ง  กรรมที่ขี้อิจฉาริษยา  อาฆาตแค้นพยาบาท  ไม่ชอบใจ  ซึ่งพ้นทุกข์ไม่ได้ในชาติปัจจุบัน  แถมตายแล้วยังตกนรกอีก  มีขุมนรกอยู่ขุมหนึ่งรองรับไว้เลย  ผู้ที่ชอบขี้อิจฉาริษยาผู้อื่น  ผู้ที่ไม่ให้อภัย  พยาบาทแค้นเคือง  ตายปุ๊ป  ใจมันเศร้าหมองเพราะความแค้นเคืองนั้นเอง  ใจผ่องใสไม่ได้มันเป็นกรรมที่บดบังทับไว้ พอขณะตายใจเศร้าหมองด้วยความแค้นเคืองอาฆาตพยาบาทไม่ให้อภัยนั้นแหละ  มันจะทำให้ใจเศร้าหมอง  พอใจเศร้าหมองแล้ว  แม้เกิดมาเป็นมนุษย์อีกก็ยังเป็นไม่ได้  เป็นเทพเทวดาก็เป็นไม่ได้เพราะใจมันเศร้าหมองเสียแล้ว  ต้องต่ำกว่าภพชาติของเทวดา  ภพชาติของมนุษย์ลงไป ก็ต่ำไปเรื่อยๆ  ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉาน  เปรต  อสุรกาย  สัตว์นรก  ก็เพราะด้วยอำนาจแห่งความแค้นเคืองหรือความขี้อิจฉาริษยาผู้อื่น  ทำให้จิตใจนั้นไม่ผ่องใสไม่ได้  มีแต่คับแค้นใจ  ตายแล้วก็ตายไปด้วยความคับแค้นใจ ก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานประเภทต่างๆ ไปตกนรกไม่คุ้มกัน  มรรคผลนิพพานในปัจจุบันไม่ได้  แถมต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรก   ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน  ไม่คุ้มกันเลย  ต้องแก้ไขตัวเองเสียก่อน  ก่อนที่จะสายเกิดนไป  เพราะไม่รู้ว่าใครจะตายเมื่อไหร่  ไม่มีใครจะแก้ให้

ทุกข์นั้นเกิดมาแต่เหตุที่ไม่พอใจ
สุขนั้นเกิดมาแต่เหตุที่พอใจ
สิ่งที่พอใจและไม่พอใจก็เกิดมาแต่เหตุ
เมื่อไม่รู้เท่าทันเหตุ
เหตุจะทำให้เป็นสุขก็ได้  จะทำให้เป็นทุกข์ก้ได้
จงรักษาอัพยากฤตธรรม  คือความเป็นกลางนี้ไว้
อย่าเหม่อ  เผลอไป
อย่าเมาต่อสุข  อย่าเมาต่อทุกข์
นี่คือการเดินถูกต้องตามทางสัมมาทิฏฐิ
ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

*********
หลวงปู่ทา   จรุธัมโม
      บันทึกการเข้า
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #2332 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2554, 09:59:40 »

ได้อ่านกระทู้นี้ของพี่สิงห์อยู่บ่อยๆ ชอบมาก และมีพี่ๆน้องๆหลายท่านเข้ามาร่วมอ่าน
ได้ประโยชน์ ไปถ้วนหน้า มากน้อยแล้วแต่่บุญกรรมแต่ละคนจะรับรู้ได้

พี่สิงห์ พัฒนาตัวเอง. ฝึกจิตให้รู้เท่าทันความคิดความวอกแวก ไปได้ไกลมากแล้ว
สิ่งที่ยังติดอยู่มาก คือการแค่ว่าคนอื่นรู้สึกกับพี่สิงห์อย่างไร เป็นบวกหรือเป็นลบ
พี่สิงห์ยังหวั่นไหว กับเรื่องพวกนี้อยู่มาก ถ้าตัดเรื่องนี้ได้ พี่สิงห์จะหลุดจากบ่วงใหญ่ได้ ๑บ่วง
ตาม มงคลชีวีต ที่ว่า จิตไม่หวันไหวเมื่อโลกธรรม มากระทบ (ลาภ ยศ สรรเสริญ สูข. และเสื่อมลาภ
เสื่อมยศ นันทา ทุกข์). ถ้าเราไม่หวั่นไหวกับเรื่องแบบนี้ เราก็หลุดบ่วงใหญ่ แล้ว
      บันทึกการเข้า
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #2333 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2554, 10:40:31 »

สมชาย
วันนี้พี่สิงห์คงกะมาพูดให้น้องๆแถวนี้ฟัง
พอดีพี่ไม่ว่าง น้องอ้อมคงฟังแทนแล้วเอามาเล่าให้ฟังทีหลัง
ฟัง(อ่าน)ง่ายแต่ปฏิบัติยากนะ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2334 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2554, 07:45:05 »


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
                       เช้านี้อากาศที่เชียงใหม่ แจ่มใสท้องฟ้ามีเมฆ ไม่มาก พี่สิงห์ตื่นมาตีสี่สี่สิบนาที ขึ้นไปปฏิบัติธรรมเจริญสติสร้างจังหวะและเดินจงกรมที่ชั้นสิบของโรงแรม เป็นสระว่ายน้ำ อากาศเย็นมีลมพัด สบาย นั่งเจริญสติ-เดินจงกรมอยู่หนึ่งชั่วโมงครึ่ง จึงลงไปรับประทานยอาหารเช้าเป็นข้าวต้มกับผักสด เช่นเคยครับ
                       ขณะนั่งเจริญสติอยู่นั้นมีแมลงเข้าใจว่าเป็นผึ้งหลวงตกลงไปในสระน้ำ มันพยายามช่วยตัวเอง อยู่แต่ก็วนเป็นวงกลมไม่สามารถเข้าฝั่งได้ จิตพี่สิงห์ก็เกิดความปรุงแต่ง ว่าทำไมเราไม่ช่วยชีวิตเขา  เขาก็มีชีวิต อีกใจหนึ่งก็มันเป็นวิถีของเขา เขาทำของเขาเอง จิตขัดแย้งอยู่อย่างนี้ ได้แต่ปลงจิตตัวเองว่า เรานี้หนอเป็นคนใจแคบเกินไปแล้วที่ไม่ช่วยชีวิตเขา  จึงเพ่งจิตไปที่แมลงส่งให้เขารู้ว่าถ้าเขาอยากรอดมีชีวิต ของให้เขาพยายามด้วยตัวเอง เข้ามาให้ใกล้ที่ผมจะเอื่อมมือไปช่วยได้  ปรากฏว่าเข้ามาใกล้ฝั่ง แต่ยังเอื่อมไม่ถึงจึงใช้มือกวักน้ำเพื่อจะให้กระแสน้ำพาเขามา แต่ปรากฏว่า เขากลับว่ายหนีห่างออกไปด้วยความกลัวตามสัญชาติญาณ  ใจเราก็เป็นทุกข์ขึ้นมาว่า ทำไม่เราทำแบบนี้ จึงเดินไปหาไม้มา พอดีมีท่อเอสล่อนยาวสองเมตร จึงไปนำม่เขี่ยแมลงจนเขามาถึงฝั่งขอบสระ และสามารถช่วยขึ้นมาได้ รอดชีวิต พ้นทุกข์ไปที เช้านี้ ที่สามารถช่วยชีวิตสัตว์ได้หนึ่งชีวิต
                       เมื่อตอนเย็นพี่สิงห์ไปรับประทานอาหารเย็นที่ร้านสวนสลัดแม่โจ้  ใกล้มหาวิทยาลัยแม่โจ้ที่อาจารย์อ้อมทิพย์ทำงานอยู่ มีด้วยกันห้าท่านคือ อาจารย์นิคม  อาจารย์จงจิตร อาจารย์อ้อมทิพย์ สุธี(พนักงาน SIW) และพี่สิงห์ ได้ทักทายกันตามประสาชาวซีมะโด่งครับ
                      อาจารย์จุ๋ม  กำลังยุ่งเรื่องงานเพราะเป็นหัวเรือในการเตรียมเอกสารประเมินวิทยาลัยอยู่ที่ผู้บริหารวิทยาลัยไม่เคยจัดการประเมินมาเลยห้าปีที่ผ่านมา จนทุกคนในวิทยาลัยคิดว่า วิทยาลัยคงตกประเมินแน่ๆ ทั้งที่เคยเป็นวิทยาลัยตัวอย่างมาในอดีต  จึงรับอาสาประสานทุกฝ่ายในการจัดเตรียมเอกสารทั้งหมด ผลที่ได้น่าพอใจคือ บรรยากาศแห่งความร่วมมือ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวภายในวิทยาลัยกลับมาอีกครั้งหนึ่ง พี่สิงหืก็ขอให้ผลการประเมินผ่านไปด้วยดี และทำให้ผู้บริหารวิทยาลัยหันกลับมาพัฒนาวิทยาลัยให้ดีเหมือนเดิมอีกครั้งหนึ่งครับ
                      อาจารย์อ้อมทิพย์นั้น ดูมีทุกข์น้อย หน้าตาสดใสขึ้น ยังไปเยี่ยมคุณพ่อที่ลำปางทุกอาทิตย์ พี่สิงห์เลยบอกว่าเป็นการดีแล้วที่กลับไปหาท่านเพราะเราเป็นลุกสาว ปกติคุณพ่อ  จะรักลูกสาวเป็นพิเศษ และในขณะเดียวกันก็อยากอยู่ใกล้ลูกสาวเวลาเจ็บป่วยหรืออายุมากๆ เธอทำไปเถอะอานิสงค์จะได้กับเธอ เรื่องนี้มีจริงๆ
                     ส่วนอาจารย์นิคมนั้น เนื่องจากออกกำลังรำชิกง (TAI  CHI) ทุกวันตามที่ผมแนะนำให้ทำ เพราะอาจารย์นิคม เคยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มาก่อน ก่อนทำนั้นผมจำได้ว่าสุขภาพอาจารย์นิคม ผอม ไม่ร่าเริง แต่มาพบคราวนี้ใบหน้าอาจารย์นิคมแจ่มใส  พูดจาไปมีอารมณ์สดใสไป เหมือนคนไม่มีทุกข์ และสุขภาพแข็งแรงมาก ดูมีราศรีขึ้นกว่าเก่าแยะ  ผมจึงขอให้ทำต่อไปอย่าหยุด อาจารย์นิคมบอกว่าเลิกรำกระบองมารำชิกงแทน วันละสอง สามรอบ ทุกวันและชอบ  นอกจากนี้อาจารย์นิคมถามว่าพี่สิงห์จะแนะนำอะไรอีก พี่สิงห์ก็บอกว่า มียาวิเศษอยู่สี่ขนานถ้าทำได้อาจารย์นิคมจะไม่เจ็บป่วย และพ้นทุกข์คือ ควบคุมการกิน  นอนหัวค่ำ  ออกกำลังกาย  ทำจิตให้ผ่องใส
                     ผมและอาจารย์อ้อมทิพย์ จึงได้สอนวิธีปฏิบัติธรรมเจริญสติของหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ ให้อาจารย์นิคมได้ลองทำ และผมจะส่งหนังสือไปให้ภายหลัง(หนังสือของท่านขุน ๒๘) ผมเชื่อว่าอาจารย์นิคมสามารถกระทำได้แน่นอน เพราะอยากมีอายุยืนเพื่อดูความสำเร็จของลูกๆ ไม่ยอมแพ้ชีวิต และชีวิตใหม่ของอาจารย์นิคม  ก็กลับมาแล้ว คือหายทุกข์จากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ สุขภาพ จิตใจดีขึ้นอย่างมากๆ จากการดูแลตัวเองด้วยชิกง ครับ
                     วันที่ ๘ กรกฎาคมนี้ ลุกชายอาจารย์นิคม-จงจิตร  จะรับปริญญาสัตวแพทย์ศาสตร์ช่วงเช้า เที่ยงพี่สิงห์จะเลี้ยงข้าวกลางวัน ใครว่างเรียนเชิญ ได้บอกอาจารย์ถาวร  โชติชื่น ไว้แล้ว สถานที่จะบอกภายหลัง
                     สวัสดีทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2335 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2554, 07:57:38 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
                       อาจารย์ถาวร   โชติชื่น  ได้ส่งข้อคำสอนของพระพุทะเจ้ามาให้พี่สิงห์พิจารณา เพราะกลัวว่าพี่สิงห์จะยังไม่ทราบว่า อันไหนเป็นคำสอนของพระพุทะเจ้า  อันไหนไม่ใช่คำสอนของพระพุทะเจ้า  จริงๆแล้วสิ่งที่ส่งมานั้นดีมาก  แต่พี่สิงห์ได้อ่านพบและเข้าใจมาก่อนหน้านี้แล้วเพราะมีอยู่ในพระสูตร ในพระไตรปิฎกฉบับประชาชน ที่พี่สิงห์อ่านมาแล้วครับ  แต่อย่างไรต้องขอขอบคุณในการอองอาจารย์ถาวร  โชติชื่น และขอนำมาให้ทุกท่านได้ศึกษาครับ
                        สวัสดี(28246)




รู้ธรรมวันละนิด จิตผ่องใส

ตอนที่ ๑๙

แยกแยะอย่างไรว่าอันใดเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า อันใดไม่ใช่ ?

ลักษณะตัดสินพระธรรมวินัย 8

พระพุทธองค์ทรงตรัสแก่ พระนางปชาบดีโคตมีว่า

ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ


                        (1)วิราคะ ความคลายกำหนัด ความไม่ติดพัน เป็นอิสระ ไม่เป็นไปเพื่อกำหนัดย้อมใจ หรือเสริมความติด
                        (2)วิสังโยค ความหมดเครื่องผูกรัด ไม่ประกอบทุกข์
                        (3)อปจยะ ความไม่พอกพูนกิเลส
                        (4)อัปปิจฉตา ความมักน้อย ไม่มักมาก
                        (5)สันตุฏฐี ความสันโดษ พอใจในผลอันสมด้วยเหตุ (ตามมีตามได้)
                        (6)ปวิเวก ความสงัด ไม่คลุกคลีด้วยหมู่
                        (7)วิริยารัมภะ ประกอบความพากเพียร
                        (8)สุภรตา ความเลี้ยงง่าย
                        ธรรมเหล่านั้นพึงรู้ว่า เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นสัตถุสาสน์ คือ คำสอนของพระศาสดา

(3) ลักษณะตัดสินพระธรรมวินัย 7

พระพุทธองค์ทรงตรัส แก่พระอุบาลี ว่า

ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ


                      เอกันตนิพพิทา ความหน่ายสิ้นเชิง,ไม่หลงไหลเคลิบเคลิ้ม
                      วิราคะ ความคลายกำหนัด ไม่ยึดติดรัดตัว เป็นอิสระ
                      นิโรธะ ความดับ,หมดกิเลส หมดทุกข์
                      อุปสมะ ความสงบระงับ
                      อภิญญา ความรู้ยิ่ง, ความรู้ชัด
                      สัมโพธะ ความตรัสรู้
                      นิพพาน ความดับกิเลสสิ้นเชิง สุขสงบ เย็น
                      ธรรมเหล่านั้นพึงรู้ว่า เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นสัตุสาสน์ คือคำสอนของพระศาสดา

(4) คำของพระองค์ ตรงเป็นอันเดียวกันหมด

                       ภิกษุทั้งหลาย นับแต่ราตรี ที่ตถาคตได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาโพธิญาณ
                       จนกระทั่งถึงราตรี ที่ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปทิเสสนิพพานธาตุ
                       ตลอดเวลาระหว่าง นั้น ตถาคตได้กล่าวสอน พร่ำสอน แสดงออกซึ่งถ้อยคำใด
                       ถ้อยคำเหล่านั้น ทั้งหมด ย่อมเข้ากันได้โดยประการเดียวทั้งสิ้น
                       ไม่แย้งกันเป็นประการอื่นเลย

(5) สิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไม่นำมากล่าวสอน และสิ่งที่นำมากล่าวสอน

ภิกษุทั้งหลาย เหตุไรเล่า เราจึงไม่กล่าวสอนธรรมะส่วนนั้นๆ

ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุว่า ธรรมะส่วนนั้นๆ


                       ไม่ประกอบอยู่ด้วยประโยชน์
                       ไม่เป็นเงื่อนไขแห่งพรหมจรรย์
                       ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย
                       ไม่เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด
                       ไม่เป็นไปเพื่อความดับ
                       ไม่เป็นไปเพื่อความสงบ
                       ไม่เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง
                       ไม่เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม
                       ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน
                       ฉะนั้นเราจึงไม่กล่าวสอน

ภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันใดเล่าเป็นธรรมะที่เรากล่าวสอน

ภิกษุทั้งหลาย คือข้อที่ว่า


                   ความทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ
                   เหตุเป็นที่เกิดของความทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ
                   ความดับสนิทของความทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ
                   ข้อปฏิบัติเพื่อถึงความดับสนิทของความทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ

ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุไรเล่า ธรรมะส่วนนี้เราจึงนำมากล่าวสอน

ภิกษุทั้งหลาย เพราะว่าธรรมส่วนนี้


                   ประกอบอยู่ด้วยประโยชน์
                   เป็นเงื่อนต้นแห่งพรหมจรรย์
                   เป็นไปเพื่อความหน่าย
                   เป็นไปเพื่อคลายความกำหนัด
                   เป็นไปเพื่อความดับ
                   เป็นไปเพื่อสงบ
                   เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง
                   เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม
                   เป็นไปเพื่อนิพพาน
                   เพราะเหตุนั้นแล เราจึงนำมากล่าวสอน

                   (ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่ป่า สีสปา ใกล้เมืองโกสัมพี)

      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #2336 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2554, 08:19:22 »

ขอบคุณพี่สิงห์ และอาจารย์ถาวร ค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2337 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2554, 16:17:25 »

สวัสดีครับ คุณน้องเอมอร ที่รัก
                        พี่สิงหืเสร็จภาระกิจที่เชียงราย-เชียงใหม่หมดแล้ว ตอนนี้อยู่ที่สนามบินเชียงใหม่รอขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ ครับ boarding 17:35 น. พรุ่งนี้วันพุธที่ 22 มิถุนายน มีนัดทำฟันกับคุรหมอผ่องผุด  ที่คณะทันตแพทย์ จุฬาฯ เวลา 10:00 น. ครับ
                        มาเชียงใหม่-เชียงรายไม่เจอฝนเลย  อากาศดีครับ ไม่ร้อน
                        สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #2338 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2554, 21:47:17 »

สวัสดีตอนค่ำมากค่ะพี่สิงห์
  บางบัวทอง ฝนตกน้ำท่วมถนนค่ะ
ทำฟัน เป็นเรื่องที่ต้องทำใจล่วงหน้าทุกครั้งที่จะไปพบหมอค่ะ
 พี่สิงห์ไปได้สบายมากใช่ไหมคะ
      บันทึกการเข้า
krongon2513
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,490

« ตอบ #2339 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2554, 05:17:03 »

ฉันก็ได้ตามอ่านกระทู้นี้บ้าง แต่คงไม่ครบถ้วน เพราะสายตาเริ่มมีปัญหาหัวใจ มาสะดุดตรงข้อเขียนของน้องสมชายก็เลยขอแจมสักหน่อย
ฉันไม่เห็นว่าคุณสิงห์จะสู้ใครไม่ได้ที่ตรงไหน เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือเงินทองเป็นเพียง"เปลือก"ที่ห่อหุ้มเราไว้ สิ่งสำคัญกว่าคือแก่นที่อยู่ภายใน
คุณสิงห์เป็นคนดี เป็นเพื่อนที่ดีของฉันตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ได้รู้จักกัน แค่นี้ก็พอแล้วมั๊ง
ส่งสารานี้มาจากแคลิฟอร์เนียเจียวนะจ๊ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2340 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2554, 06:49:33 »

อ้างถึง
ข้อความของ krongon2513 เมื่อ 22 มิถุนายน 2554, 05:17:03
ฉันก็ได้ตามอ่านกระทู้นี้บ้าง แต่คงไม่ครบถ้วน เพราะสายตาเริ่มมีปัญหาหัวใจ มาสะดุดตรงข้อเขียนของน้องสมชายก็เลยขอแจมสักหน่อย
ฉันไม่เห็นว่าคุณสิงห์จะสู้ใครไม่ได้ที่ตรงไหน เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือเงินทองเป็นเพียง"เปลือก"ที่ห่อหุ้มเราไว้ สิ่งสำคัญกว่าคือแก่นที่อยู่ภายใน
คุณสิงห์เป็นคนดี เป็นเพื่อนที่ดีของฉันตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ได้รู้จักกัน แค่นี้ก็พอแล้วมั๊ง
ส่งสารานี้มาจากแคลิฟอร์เนียเจียวนะจ๊ะ

สวัสดีครับ คุณอ้อย(กรองอร) และพี่จรูญฤทธิ์ ที่นับถือยิ่ง
              ขอบคุณมากที่อุตส่าห์ ชมผมจนตัวลอย ครับ
              ผมก็เขียนตามที่พอจิตใจเราเดือดดาล  พรุ่งพล่าน ไม่สงบ ตามสิ่งที่เห็นทางอายตนะ ก็พยายามดูจิตตนเองทำไม? จิตเรามันเป็นอย่างนี้ ตามดูมันคิด เสร็จแล้วก็จะเอาสติมากำกับ มาพิจารณาจิตของตนเอง ถึงสาเหตุ และแก้ไขให้ได้ด้วยปัญญา ให้สงบ  ปล่อยวางลง  ก่อนที่มันจะปรุงแต่ง หรือคิดกระทำใดๆออกมาให้คนอื่นทราบ  ขอต่อสู้ความคิดของตัวเองด้วยตัวเอง อย่างนี้ เราคนเดียวเท่านั้นที่ทราบ เพราะมันอยู่ภายใน  มันอาจจะเป็นอาการของจิตอย่างหนึ่งในการอิจฉาริษยา หรือความอยาก ต่างๆ นั่นเอง  ซึ่งเมื่อเราทราบต้นเหตุแล้ว เราก็สามารถดับของเราได้  ถึงแม้มันจะเปรียบเหมือนก้อนหินทับหญ้า คือสงบชั่งคราวก็ตาม ผมเชื่อว่าทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ สักวัน มันคงจะหายไปจากความคิดของจิตเรา สักวัน มันเป็นบทเรียนสอนจิตเรา และตัวเรา ว่าเรายังเป็นปุถุชนคนธรรมดา ที่ยังเอาชนะกิเลส ตัณหาของตัวเองยังไม่ได้เลย  ต้องใช้ความเพียร อดทน และปัญญา เอาชนะจิตตนเองต่อไป  ถึงแม้จะริบหรี่ก็ตาม  ก็ยังมีอะไรต้องกระทำ ดีกว่าอยู่เฉยๆไปวันหนึ่งๆ ตามประสาผู้สูงอายุครับ
                  เที่ยวให้สนุกนะครับ และช่วยดูแลพี่จรูญฤทธิ์  ที่นับถือของผมด้วย และวานบอกว่า คุณสิงห์ อยากเห็นพี่จรูญฤทธิ์  งดแอลกอฮอร์โดยสิ้นเชิงครับ อายุมากแล้ว  ร่างกายอ่อนหล้าเกินที่จะดื่มแล้วครับ
                  ขอบคุณและสวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2341 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2554, 07:15:45 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
                       เช้านี้พี่สิงห์ยังไม่มีอะไรเกี่ยวกับ "รู้ธรรมวันละนิด จิตผ่องใส" และ "รู้สุขภาพ ทำให้คลายทุกข์" ครับ
                       ช่วงนี้จิตพี่สิงห์มันไม่ค่อยสงบ เพราะเกี่ยวข้องกับผู้คนมาก คือไปรับรู้จากอายตนะ ๖ จากการพบปะผู้คนมาก คือทุกคนชอบสอบถามพี่สิงห์เรื่องการเมือง เลือกพรรคไหนดี  อาจารย์คิดว่าภายหลังเลือกตั้งเสร็จการเมืองไทยมันจะเป็นอย่างไร? และคำถามอื่นๆ อีกมาก มันก็เลยมีเรื่องให้จิตมันคิด จิตมันก็ได้โอกาสที่จะมาทำให้เราไขว้เขว หรือเป็น "มาร" ตัวหนึ่งที่จะมาผจญเราไม่ให้สงบ ไม่ให้เกิดปัญญาเอาชนะมัน แต่ก็ได้บทเรียนจากมัน เช่น เวลาเช้ามืดตีสี่ สี่สิบนาทีจะนั่งเจริญสติ พอนั่งปุ๊ป จิตมันก็พรุ่งพล่าน คิดโน่น คิดนี้ ไม่ยอมหยุด  ไม่ยอมสงบ คันโน่นคันนี่  ยุบยิบไปหมด  ก็ปล่อยมัน  ดูมันแต่ไม่เผลอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมัน มันยิ่งคิดเรายิ่งทำให้ช้าลง สร้างความรู้สึกในแต่ละจังหวะให้ได้ มันคันก็ไม่สนใจมัน ปล่อยมัน เพราะเรารู้ว่ามันเป็นความคิดจากจิต มันไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ ยื้อกันสักพักหนึ่งความพรุ่งพล่านของจิต จากการคิด การคันตามร่างกาย หงุดหงิด มันก็จะยอมแพ้ไปเอง จะค่อยๆหยุดคิด สงบ เรารู้สึกตัวกับการสร้างจังหวะไปเรื่อยๆ อาจจะง่วง  ซึมแต่สักพักจะมีความรู้สึกจิตสว่าง ผ่องใส เกิดปิติขึ้นในจิต  สงบ เย็น อาการง่วง ซึมหายทันทีสามารถรู้สึกได้ทางอารมณ์ หลังจากนั้นจะทำให้เราสามารถนั่งเจริญสติได้นานเท่าที่เราต้องการ เมื่อนั่งพอสมควรแล้วก็เปลี่ยนอิริยาบถเป็นเดินจงกรม เพื่อเป็นการออกกำลังกายไปในตัวจนถึงหกโมงครึ่งก็ยุติ ไปทำกิจวัตรอื่นๆที่เราต้องกระทำ
                        การที่จะชนะใจตนเองในแต่ละครั้ง แต่ละวันนั้น ต้องใข้ความอดทน ความเพียรจริงๆ จึงจะผ่านไปได้ และเมื่อผ่านอุปสรรคที่มันมาขวางไปได้ มันก็จะเกิดปีติ หรอกให้เราดีใจ แต่อย่าไปหลงติดกับมัน สร้างจังหวะรู้สึกตัวเข้าไว้ ให้จิตมันรู้ซื่อๆ อยู่อย่างนั้น ไม่เพ่ง  ไม่เผลอ  ไม่เกิดภวังค์ รู้ไปเรื่อยๆ แบบนี้ละ  สักวันคงจะเอาชนะมันได้  ไม่สนใจว่าเขาเรียกว่าอารมณ์อะไรทั้งสิ้นในทางวิปัสสนา เพราะไม่จำเป็นต้องรู้ เรารู้ของเรา คือรู้สึกตัวทั่วพร้อมอย่างนี้ จิตมันก็ไม่คิด  ไม่คิดมันก็ไม่ทุกข์ ทำให้จิตมันชินแบบนี้จนเป็นนิสัย ไม่ให้มันส่งจิตออกนอกนี่ละ สักวันเราก็จะเห็นรากเหง้าของความคิดมาอยู่กับเราได้อย่างถาวร เหมือนอย่างที่เราเคยเห็นมันมาแล้ว เจ้ารากเหง้าของความคิด  ความโกรธนี่ เมื่อเห็นมันเราก็ใช้ปัญญาคิด  ความคิดมันก็ไม่เกิดทางกาย วาจา ใจ เพราะเรารู้ว่าทำไปก็ไม่มีประโยชน์ เป็นอดีตทั้งนั้น ไม่รู้จะกระทำ ไปทำไม ตามความคิดของตัวเอง
                        สวัสดีครับ วันนี้ทำจิตให้ผ่องใสเข้าไว้  ความสำเร็จจะเกิดขึ้นครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2342 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2554, 12:50:12 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน
                       พี่สิงห์กลับจากทำฟันกับคุณหมอผ่องผุด  เป็นเพื่อนอาจารย์ถาวร  โชติชื่น ที่คณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ  พี่สิงห์ไม่ได้ถามคุณหมอเลย  คุรหมออยากทำอะไรก็ทำไปได้ทั้งนั้น  เข้าใจว่าคุณหมอทำการรักษารากฟัน เพราะคุณหมอบอกว่าให้มาตามนัด  ยังทำไม่เสร็จ ด้านที่ทำพรุ่งนี้ค่อยใช้เคี้ยวอาหาร  ขณะทำฟัน พี่สิงห์พยายามทำใจ ตัดความกลัวทิ้งไปให้ได้ เพราะจิตมันเกิดความกลัว เพราะมันเคยรู้ว่าการทำฟันนั้นเจ็บแบบทนไม่ได้เมื่อไปถูกปราสาทฟันเข้า จึงไม่อยากทำ  การเอาชนะความกลัวนี่ก็เป็นสิ่งสำคัญที่นักปฏิบัติต้องผ่านให้ได้
                       ความกลัวเกิดจาก จิตมันคิด มันคิดเพราะเคยฝังใจ เคยได้รับความเจ็บปวด หรือกลัวผลที่จะตามมา ตามที่เราเคยผู้ใหญ่หรอกอยู่เสมอสมัยเป็นเด็กๆ และกลัวในสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเรามาแล้ว  แต่ถ้าเราทำจิตของเราให้รู้ว่า ความกลัวก็เป็นความคิดปรุงแต่งขนิดหนึ่งออกมาจากจิตใต้สำนึก มันเป็นความคิด  มันไม่ได้มีตัวมีตน เมื่อไม่มีตัวมีตนเราจะไปคิดกลัวมันทำไม เมื่อเป็นความคิด มันอยู่ไม่ได้  มันจะดับหรือหายไปเองไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เจ้าความกลัวนี้ อุเบกขาเข้าไว้ มันก็หายไปเอง แต่ถ้าเราไปคิดปรุงแต่งถึงผลที่จะตามมากับความกลัว เราก็พรุ่งพล่านเดือดดานใจ อยู่ไม่ได้ ทำไม่ได้ มีแต่ทุกข์ ครับ  การกลัวนั้นไม่มีอะไรเลยขอให้เรามีความรู้สึกตัวซื่อๆ เข้าไว้ ความกลัวมันไม่เกิด มันเกิดไม่ได้ เพราจิตเราไปอยู่ที่ความรู้สึกตัว จิตมันไม่สามารถกระทำสองอย่างพร้อมๆกันได้ มันทำได้ทีละอย่างเท่านั้นเพียงแต่มันเร็วมาก
                       ขณะที่คุณหมอกำลังทำอยู่นั้น ผมก็ทำความรู้สึกตัวอยู่ที่การขยับมือสร้างความรู้สึกตัว เวลาคุณหมอไปถูกเส้นปราสาทรากฟัน สติมันก็ไปที่ฟัน เราก็เอามาอยู่ที่มือ ยื้อไปยื้อมาอย่างนี้ เวลาจะผ่านไปเร็วมาก เมื่อจิตมันอยู่ที่มือ มันลืมความกลัวไปเสียสิ้น ปล่อยให้คุณหมอทำตามสบายไปจนคุรหมอเสร็จ คุรหมอบอกว่าเหนื่อยเหงื่อตกเลย กว่าจะทำได้เพราะมันยากเหมือนกัน  ก็ต้องขอบพระคุณ คุณหมอผ่องผุด เป็นอย่างมากครับ  คุรหมอถามว่าเบิกได้ไหม? ผมก็ตอบว่าไม่ได้ ทางโรงพยาบาลคิดค่าทำ 2,000 บาท วันอังคารที่ ๒๘ มิถุนายน ต้องไปทำต่ออีกครับ
                        พอมีเวลาผมจึงไปเดินสยามพารากอน เพื่อหาซื้อรองเท้ามาใส่เดินออกกำลังกายที่บ้าน ใจหนึ่งกลัวว่าจะแพง  แต่อีกใจหนึ่งมันก็บอกว่าจำเป็นต้องซื้อ เพราะใส่รองเท้าลำลอง เดินมากๆ มันเจ็บเท้า โทรศัพท์ ไปขอความช่วยเหลือจากคุณน้อง Tooky ก็ยังไม่มาทำงาน พี่สิงห์จะกินข้าวด้วยเลยอดเลย แต่ก็ได้รองเท้าสมใจครับ เพราะเราเดินสองชั่วโมงติดต่อกันนั้นรองเท้าธรรมดาสู้ไม่ไหว ระบบเท้า ต้องรองเท้าใช้วิ่งถึงจะดี ราคาก็ไม่แพงเกินไปคู่เดิมที่อยู่นครศรีธรรมราชยังแพงกว่าเลยครับ ยี่ห้อ asic ครับ
                        พี่สิงห์กลับถึงบ้านเที่ยงเลยไปซื้อสลัดผักเอาไว้ให้หลานสาวรับประทานเป็นอาหารเย็น ส่วนพี่สิงห์ต้องกินอาหารอ่อน ยังเคี้ยวไม่ได้ คงต้องไปหาซุปที่คาฟูเป็นมื้อเย็น กลางวันดื่มนมกล่องไปก่อนแทนข้าวครับ จะได้ไม่ต้องเคี้ยว
                        ตกลงพี่สิงห์เอาชนะความกลัวได้พอสมควรมากแล้ว ผีก้ไม่กลัว  ความสูงก็ไม่กลัว เพราะมันเป็นเรื่องของจิตทั้งนั้น ปล่อยมันไปมันก็หายกลัวไปเอง เพราะความกลัวไม่มีตัวตนแท้จริง เป็นเรื่องของจิตปรุงแต่งจากที่มันเคยเกิดขึ้นทั้งสิ้น
                        สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2343 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2554, 13:33:16 »

อ้างถึง
ข้อความของ สมชาย17 เมื่อ 20 มิถุนายน 2554, 09:59:40
ได้อ่านกระทู้นี้ของพี่สิงห์อยู่บ่อยๆ ชอบมาก และมีพี่ๆน้องๆหลายท่านเข้ามาร่วมอ่าน
ได้ประโยชน์ ไปถ้วนหน้า มากน้อยแล้วแต่่บุญกรรมแต่ละคนจะรับรู้ได้

พี่สิงห์ พัฒนาตัวเอง. ฝึกจิตให้รู้เท่าทันความคิดความวอกแวก ไปได้ไกลมากแล้ว
สิ่งที่ยังติดอยู่มาก คือการแค่ว่าคนอื่นรู้สึกกับพี่สิงห์อย่างไร เป็นบวกหรือเป็นลบ
พี่สิงห์ยังหวั่นไหว กับเรื่องพวกนี้อยู่มาก ถ้าตัดเรื่องนี้ได้ พี่สิงห์จะหลุดจากบ่วงใหญ่ได้ ๑บ่วง
ตาม มงคลชีวีต ที่ว่า จิตไม่หวันไหวเมื่อโลกธรรม มากระทบ (ลาภ ยศ สรรเสริญ สูข. และเสื่อมลาภ
เสื่อมยศ นันทา ทุกข์). ถ้าเราไม่หวั่นไหวกับเรื่องแบบนี้ เราก็หลุดบ่วงใหญ่ แล้ว


ขอบคุณมากครับ  นี่ละกระจกส่องตัวเองชั้นเลิศ  จากความคิดภายนอก  ไม่ได้มาจากความจิตของเรา
เพราะทุกคนคิดเข้าข้างตนเองเสมอ ไม่ว่าความคิด หรือมาตรฐาน ก็เอาตัวเองเป็นเกณฑ์เสมอ
พี่สิงห์จะปรับปรุงตัวเองครับ
ต้องห่างไกลจากสิ่งยั่วยุทางอายตนะ ให้มากหน่อย
ไม่น่าใช่ ยิ่งมีสิ่งยั่วยุซิดี  ถ้าเราเอาชนะจิตตัวเองได้ภายใต้อายตนะ ก็ยิ่งดีใหญ่
ขอบคุณมากครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2344 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2554, 11:17:53 »

 

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
                       อาทิตย์นี้พี่สิงห์มีเวลาน้อย จึงยังไม่ได้เขียนหรือคักลอกบทความมาฝากทุกท่านได้ครับ  ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง
                       วันนี้เย็นพี่สิงห์มีนัดรับประทานอาหารเย็นกับคุณสุภา(การบินไทยกระบี่) และคุณตุ้ย ผู้จัดการนคร DC แผนกตั๋วเครื่องบิน- Check in สายการบิน Nok Air และ Air Asia ที่นครศรีธรรมราช เวลา 18: 30 น. ครับ
                       และวันนี้เป็นวันที่พี่สิงห์ต้องทำ ดีท๊อก ไม่ได้ทำมาสองอาทิตย์เนื่องจากกาแฟสำหรับดีท๊อก หมด เพิ่งซื้อมาจากโรงพยาบาลจอมทอง ครับ
                       เมื่อเช้าฟังข่าวสุขภาพจาก คุณอำมร  บรรจง ทาง FM 100.5 คุณอำมรบอกว่า จังหวัดที่มีสุขภาพจิตดีที่สุดในเมืองไทย คือจังหวัดพังงา และจังหวัดที่สุขภาพจิตแย่ที่สุดคือ จังหวัดภูเก็ต ครับ สาเหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะ เศรษฐกิจดี  สุขภาพจิตจะแย่ เพราะค่าครองชีพสูง  ทุกคนจะเห็นแก่ตัว  ตัวใครตัวมัน  สาวได้สาวเอา  ไม่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่  แย่งทำมาหากิน  ไม่มีเวลาพักผ่อน ผลคือ เป็นโรคจิตกันมาก ท่านล่ะอย่าลืมทำงานแต่พอกำลังของตัวเอง  ความสุขที่แท้จริงไม่ใช้ต้องมีเงินเสมอไป
                       ความสุขที่แท้จริงคือ ความสุขภายในครอบครัว  ครอบครัวพร้อมหน้าเวลารับประทานอาหารเช้า-เย็น  วันหยุดเป็นวันครอบครัวหากิจกรรมทำร่วมกัน  พ่อ-แม่ได้อบรมวัฒนธรรมดีๆ ให้ลูก พ่อ-แม่ มีเวลาให้ลูกเสมอ เพียงแค่นี้ความสุข สุขภาพจิตก็บังเกิดขึ้น ไม่อยากเลย
                       นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่เป็นโรคตับแข็งนั้น ปัจจุบันสามารถรักษาให้หายขาดได้แล้วเพียงแต่ท่านต้องมีเงิน เพราะไม่สามารถรักษาฟรีด้วยสามสิบบาทได้ คือใช้แอลกอฮอร์และความร้อนไปจัดการโดยผ่านทางเข็มฉีดยาผ่านทางช่องท้อง ครับ  แต่สู้ป้องกันไม่ให้เป็นจะดีกว่าครับ
                       บ่ายนี้พี่สิงห์เดินทางไปนครศรีธรรมราช boarding 14:15 น. ครับ
                       ดูแลสุขภาพ และทำจิตให้ผ่องใสอยู่เสมอด้วยครับ
                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
มีนา
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2515
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 1,865

« ตอบ #2345 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2554, 11:59:58 »


สวัสดีค่ะพี่สิงห์ ตามอ่านตลอดค่ะ สนใจเรื่องดีท็อก มีวิธีอื่นที่ไม่ใช่การสวนด้วยกาแฟมั้ยคะ
ชนิดที่ใช้วิธีดื่มแทน รอคำแนะนำจากพี่ ขอบคุณมากค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2346 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2554, 16:35:36 »

อ้างถึง
ข้อความของ มีนา เมื่อ 23 มิถุนายน 2554, 11:59:58

สวัสดีค่ะพี่สิงห์ ตามอ่านตลอดค่ะ สนใจเรื่องดีท็อก มีวิธีอื่นที่ไม่ใช่การสวนด้วยกาแฟมั้ยคะ
ชนิดที่ใช้วิธีดื่มแทน รอคำแนะนำจากพี่ ขอบคุณมากค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณน้อง มีนา ที่รัก
            พี่สิงห์เคยฟังตามที่เขาโฆษณาทางวิทยุครับ ลองถามตามร้านขายยาน่าจะทราบครับ
            พี่สิงห์รู้แต่วิธีสวนทางลำไส้ใหญ่ด้วยกาแฟเท่านั้น เพราะคุณหมออุดม-พยาบาล โรงพยาบาลจอมทอง สอนพี่สิงห์มา และพี่สิงห์ทำอย่างต่อเนื่องมามากกว่าสามปีแล้วครับ ไม่มีอะไรผิดปกติ ข้อสำคัญที่ควรทราบคือ ดั่งเดิมที่ค้นพบก็ใช้กาแฟ และกาแฟนั้นจะไปกระตุ้นตับให้ทำงาน ตับจะหรั่งสารมาทำลายพิษในร่างกาย คือพิษที่ตกค้างในลำไส้ใหญ่  แต่ถ้าทำโดยวิธีอื่นนั้น ตับอาจจะยังคงไม่ทำงานเป็นการล้างลำไส้เท่านั้น(พี่สิงห์คิดเอง) เวลาทำดีท๊อก คุณหมอจะบอกพยายามอั้นให้นานที่สุด อย่างน้อยให้ปวดถ่ายทนให้ได้สองครั้ง จึงปล่อยให้ถ่ายตามธรรมชาติ ไม่ต้องเบ่ง เพราะต้องการให้ตับทำงานขจัดสารพิษในร่างกาย ครับ
               พี่สิงห์เพิ่งไปซื้ออุปกรณ์และกาแฟ มาจากโรงพยาบาลจอมทอง ราคาถูกมาก  ถ้าเธอสนใจบอกที่อยู่มา พี่สิงห์จะจัดส่งไปให้เพื่อทดลองทำดีท๊อก ด้วยตัวเอง ทำครั้งแรก กลัว ไม่กล้า อาย  เขินตัวเอง  แต่พอครั้งที่สองมันก็ชินไปเอง ไม่มีอันตราย
               สวัสดี
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2347 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2554, 17:10:48 »


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...เรื่องทัวร์จิวจ่ายโกว...ขอเปลี่ยนวันเป็น 16-21ตุลาคม ค่ะ...เนื่องจากลูกชายจะรับปริญญาวันที่ 12 ตุลาค่ะ...

...ไม่ทราบว่าพี่สิงห์ตัดสินใจอย่างไรคะ...เพราะบริษัททัวร์จะขอรายชื่อเป็นภาษาอังกฤษ...

...ภายใน 1 อาทิตย์นี้...เพื่อจองตั๋วเครื่องบิน...ซึ่งทัวร์ได้บุ๊คไว้ 40 ที่นั่งค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2348 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2554, 17:46:15 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 23 มิถุนายน 2554, 17:10:48

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...เรื่องทัวร์จิวจ่ายโกว...ขอเปลี่ยนวันเป็น 16-21ตุลาคม ค่ะ...เนื่องจากลูกชายจะรับปริญญาวันที่ 12 ตุลาค่ะ...

...ไม่ทราบว่าพี่สิงห์ตัดสินใจอย่างไรคะ...เพราะบริษัททัวร์จะขอรายชื่อเป็นภาษาอังกฤษ...

...ภายใน 1 อาทิตย์นี้...เพื่อจองตั๋วเครื่องบิน...ซึ่งทัวร์ได้บุ๊คไว้ 40 ที่นั่งค่ะ...

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ที่รัก
                             วันนี้พี่สิงห์ ได้คุยกับคุณหลิว  แล้ว ตกลงพี่สิงห์ ไปด้วย และอยากให้เธอชวน ดร.กุศล  ไปด้วย พี่สิงห์   จะได้มีคู่นอน ครับ ชื่อพี่สิงห์  Mr. MANOP   KLABDEE ครับ
                             ขอบคุณและสวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2349 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2554, 18:00:24 »


...พี่สิงห์เจ้าขา...ตู่ก็เพิ่งได้คุยกับหลิวไปไม่ถึงชั่วโมงนี่เองค่ะ...

...คือหมอประสิทธิ์บอกให้ตู่คุยกับกรุ๊ฟของซีมะโด่งอีกครั้ง...หลังจากที่ได้เคยบอกว่าให้ไปคนละกรุ๊ฟเพราะเห็นมีสมาชิกเยอะ...

...แต่ตอนหลังทัวร์บอกว่าถ้าไปกรุ๊ฟเล็ก...ก็เช่ารถขึ้นจิวจ่ายโกวคันเล็กซึ่งนั่งได้ 20 คน...

...ถ้าไปเกิน 20 ก็เช่าคันใหญ่ซึ่งนั่งได้ 40 คน...

...ทีนี้ถ้าเรามีลูกทัวร์ 20 กว่าคน...ก็ต้องเช่ารถคันใหญ่ใช่มั้ยค่ะ...ซึ่งทัวร์บอกว่าถ้าเป็นแบบนั้นควรจะไปสัก 30 คนดีกว่าค่ะ...

...หลิวเค้าบอกว่า...กลับจากเชียงใหม่...เค้าจะลองคุยกับสมาชิกอีกทีค่ะ...

...ว่าโอเคกับราคาหรือเปล่า...แต่ของโคล่าทัวร์เค้าไม่พาไปร้านขายของเลยนะคะ...ตัดออกหมดเลยค่ะ...

...เพื่อให้เราได้เที่ยวกันเต็มที่ค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
  หน้า: 1 ... 92 93 [94] 95 96 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><