26 พฤศจิกายน 2567, 05:53:27
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3580180 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 12 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #150 เมื่อ: 10 กันยายน 2553, 11:13:52 »

llสวัสดีค่ะพี่สิงค์ ต้อย ธวัช เปี๊ยกสุภา18อยู่แค่แค่พี่นี้เองกระบี่ทุ่งสง ชั่วโมงเดียว(แค่แค่ภาษาปักษ์ใต้แปลว่าใกล้) เราก็ชอบออกกำลังกัน บางวันนัดกับเปี๊ยกไปเดินที่ธาราได้3กิโล แต่หลังจากเดินก็ไปหาของอร่อยกินแบบพี่ว่าเปี๊ยบเลยคือระงับความอยากไม่ได้ พี่สิงค์ส่วนใหญ่จองไฟล์ขึ้นกรุงเทพขากลับเวลาเย็นไหมค่ะเผื่อว่าเปี๊ยกกับต้อยมีโปรแกรมทัวร์ดูดินกันจะได้ไปรับพี่สิงค์
อย่างไรจะบอกรายละเอียดล่วงหน้าค่ะ อาทิตย์นี้เปี๊ยกกลับภูเก็ต ต้อยเข้าหาดใหญ่
      บันทึกการเข้า

Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #151 เมื่อ: 10 กันยายน 2553, 19:59:25 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องต้อย
                         ปกติพี่สิงห์จะจองกลับกรุงเทพฯ Boading 16:30 น.จากนครศรีธรรมราช โดย Nok Air ครับ อาทิตย์ปลายเดือนและต้นเดือน คือ ไปวันอังคาร กลับวันเสาร์ เพราะเจ้านายไม่อยู่ไปเยี่ยมลูกที่ออสเตเรีย เลยอยู่ยาวครับ คือ ไป 28 กันยายน กลับ 2 ตุลาคม และไป 5 ตุลาคม กลับ 9ตุลาคม ช่วงนั้นเธอมารับไปกระบี่ก็ได้ เพราะอยู่นครศรีธรรมราช นานๆ ก็เหงา ไม่ได้ทำอะไร นอกจากออกกำลังกายและเจริญสติ  กิจกรรมอย่างอื่นงดหมด ต้นเดือนตุลาคมเป็นงานเดือนสิบของนครศรีธรรมราช วันที่ 8 ตุลาคม เป็นวันทำบุญสารทเดือนสิบโรงงานหยุดยังไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน  เมื่อเช้าคุณจักรพรรดิ์ เจ้าของโรงแรมทวันโลตัส บอกว่า จะให้ไปโรงแรมที่เกาะลันตาเดือนละครั้งไปสอนโยคะ และให้ไปพักผ่อนครับ  ก็ดีเหมือนกันจะได้เปลี่ยนบรรยากาศ ไปสูดโอโซนที่เกาะลันตาบ้าง เงียบดีเหมาะที่จะนั่งเจริญสติอย่างมากครับ
                          เธอสบายดีนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #152 เมื่อ: 11 กันยายน 2553, 10:18:45 »

สวัสดีครับ ชาวเวบที่รักทุกท่าน
                          เมื่อวันที่ 10 กันยายน  ที่ผ่านมาเป็นวันฮาลีฮาลอ หรือเทศกาลปีใหม่ หรือ เป็นวันสิ้นสุดการถือศิลอด ของชาวมุสลิม ครับ ที่นครศรีธรรมราช ชุมชนชาวมุสลิม จะร่วมฉลองกันคือ พี่ๆ น้องๆ ต่างถิ่มจะมารับประทานอาหารและเที่ยวด้วยกัน เป็นประเพณี เหมือนสงกรานต์นั่นแหละครับ ไปไหนที่ผ่านชุมชนมุสลิม จะเห็นผู้คนมากเป็นพิเศษ
                           วันนี้ผมเดินทางกลับกรุงเทพฯ ครับ และเช้านี้ฝนตกที่นครศรีธรรมราชตั้งแต่เช้าผมเลยต้องออกกำลังกายยามเช้าในร่มและเจริญสติ   ก็มีความสุขตามสมควรครับ
                            สวัสดี

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #153 เมื่อ: 11 กันยายน 2553, 13:58:37 »

ตอนที่ ๓
การเอาชนะใจตนเอง
   
                           อาจารย์ถาวร   โชติชื่น  ท่านบอกว่า “พี่สิงห์เป็นคนมีวินัย จึงสามารถออกกำลังกาย หรือดูแลร่างกายได้สม่ำเสมอทุกวัน” พี่กุ้ง (ภรรยาพี่พงษ์ศักดิ์ บริษัท PSTC สระบุรี) เห็นผมดูแลร่างกายไม่ให้อ้วนลงพุง พี่กุ้งก็บอกว่า “คุณมานพ ตัดใจเรื่องการกินได้ ส่วนพี่กุ้งยังตัดใจไม่ได้ในเรื่องความอร่อยของอาหาร จึงชอบไปหาอะไรที่มันอร่อยรับประทานอยู่เสมอ รู้สึกว่าตอนนี้น้ำหนักเพิ่มขึ้น” บางคนก็บอกว่าเพราะ “พี่สิงห์รู้เรื่องความสำคัญของอาหารที่รับประทานอยู่ทุกวัน พี่สิงห์รู้วิธีออกกำลังกาย พี่สิงห์รู้วิธีนอนเร็ว ตื่นเช้าว่ามีประโยชน์ พี่สิงห์รู้เรื่อง 5ส. และ Check List จึงทำให้พี่สิงห์สามารถดูแลร่างกายได้สม่ำเสมอทุกวัน” คำตอบทั้งหมดนั้นก็ถูกหมด แต่ยังไม่ใช่คำตอบที่ผมนำเอามาใช้กับตัวผมเอง
               พระพุทธเจ้าท่านแบ่งกิเลส(สิ่งที่แฝงติดอยู่ในใจแล้วทำให้ใจเศร้าหมองขุ่นมัว) คือ
                            ๑.   กิเลสอย่างหยาบ  คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง (ทางกาย)นั้น พระองค์ท่านทรงตรัสว่า สามารถที่จะขจัดให้สิ้นไปได้ด้วย “ศิล” หรือ การมี “สติ”
                            ๒.    กิเลสอย่างกลาง คือ จิตแปรปรวน  ฟุ้งซ่าน วิตก กังวล คิดมาก (ทางใจ)นั้น พระองค์ท่านทรงตรัสว่า สามารถที่จะขจัดให้สิ้นไปได้ด้วยการมี “สมาธิ” คือมีจิตตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียวด้วยความสงบ
                            ๓.   กิเลสอย่างละเอียด คือ ความหยาก หรือความยึดมั่นถือมั่นของจิตใจ นั้น พระองค์ท่านทรงตรัสว่า สามารถขจัดให้สิ้นไปได้ด้วย “ปัญญา”
                           เมื่อก่อนผมอ่านพระไตรปิฎก ผมไม่สามารถแม้กระทั้งจะแยกแยะกิเลสอย่างหยาบ กิเลสอย่างกลางและกิเลสอย่างละเอียดได้ ยิ่งวิธีขจัดกิเลสให้สิ้นด้วย ศิล หรือสติ สมาธิ และปัญญา ด้วยแล้ว ยิ่งไม่เข้าใจไปใหญ่เลย แต่พอผมได้มาปฏิบัติธรรมเจริญสติ เอาสติมาเป็น “รูป-นาม” ตนหนึ่ง มาพิจารณาดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับ “รูป-นาม”อีกตนหนึ่ง ซึ่งอันที่จริงก็ตัวเรานี่ละ เอา “สติ” มาดู “เวทนา”(เสวยทุกข์ เสวยสุข ไม่ทุกข์ ไม่สุข) ที่เกิดขึ้นกับกาย และจิต เอา “สติ”มาดู “สังขาร”(การปรุงแต่งอารมณ์) ที่เกิดขึ้นกับกายและจิตอีก “รูป-นาม” อีกตนหนึ่ง ซึ่งก็คือตัวของเราเองนี่ละ ในแต่ละครั้งปฏิบิตินานขึ้น ๆ และบ่อยขึ้น ๆ ก็เกิดปัญญา สังเกตุพบว่า เวลาปฏิบัติธรรมเจริญสติแต่ละครั้งนั้น เวทนาและสังขารที่เกิดขึ้นนั้น เจ้า “รูป-นาม” นั้นมันพยายามที่จะทำให้เราทนไม่ได้ทั้งกายและใจ อยู่ตลอดเวลา ให้เกิดความท้อแท้ เบื่อหน่าย ให้หยุดกระทำ  ถ้าเราจะปฏิบัติธรรมต่อ เราต้องใช้ความเพียร ทำจิตให้สงบ ไม่คิดถึงมัน จึงจะเอาชนะมันได้  ใหม่ๆนั้นเราไม่สามารถเอาชนะมันได้เลย แพ้มันทุกครั้ง จนเราปฏิบัติมากเข้าๆ เราสามารถปฏิบัติได้นานขึ้น ๆ เป็นลำดับ คือสามารถเอาชนะใจตนเองได้ด้วยความเพียร และจิตที่สงบ จึงเข้าใจได้ว่า กิเลสอย่างหยาบเป็นอย่างไร ทำไมต้องขจัดทิ้งด้วยศิลหรือการมีสติ กิเลสอย่างกลางเป็นอย่างไร ทำไมจึงต้องขจัดทิ้งด้วยการมีสมาธิ กิเลสอย่างละเอียดเป็นอย่างไร ทำไมจึงต้องขจัดทิ้งด้วยปัญญา มันเป็นอย่างนี้นี่เอง
                             เช่นเดียวกันในกรณีที่เราต้องดูแลเอาใจใส่เรื่องการออกกำลังกายก็ดี หรือการควบคุมอาหารก็ดี ผมถือว่า เป็นการฝึกจิตอย่างหนึ่ง คือพยายามเอาชนะใจตัวเองให้ได้ ไม่ทำตามที่ใจมันอยากให้ทำ เป็นการหักห้ามใจ ให้ใจมันอ่อนกำลังลงไปเรื่อย ๆ อย่างช้า ๆ วิธีหนึ่งครับ หรือพูดให้ง่ายเข้าคือ ผมจะออกกำลังกายทุกวัน เพื่อเอาชนะจิตมันให้ได้นั่นเอง ไม่ว่าใจมันจะยกแม่น้ำทั้งห้ามาเป็นข้ออ้างสารพัด  ผมก็ต้องออกกำลังกายให้ได้ทุกว่า หรือการควบคุมอาหารก็เหมือนกัน ผมต้องการเอาชนะใจตัวเอง คือไม่กินอาหารตามที่ใจมันต้องการ ถือเป็นการฝึกจิต ซึ่งมันเป็นเรื่องง่ายๆ ที่สามารถกระทำได้ ถ้าเรามี สติ(ระลึกได้) สมาธิ(ความตั้งมั่น) ปัญญา(รู้แจ้ง) เท่านั้น ครับ
ผมมีความเชื่อมั่นว่า ถ้าเราเอาชนะจิตของเราได้ คือเราเป็นเจ้านายมัน  สามารถที่จะมีสติ สมาธิ ปัญญา มาไตร่ตรองตามเหตุผลธรรมชาติในทางกุศลธรรมแล้ว เราย่อมไปถึงนิพพาน ณ ปัจจุบันได้ คือมีแต่ความสงบเท่านั้น ทุกวันนี้ที่เรายังมีความโลภ  ความโกรธ ความหลง นั้น เพราะเราทำตามที่ใจมันสั่งการให้ทำโดยเราไปเป็นส่วนหนึ่งของมันโดยไม่รู้ตัว เพราะใจเรายังมีตัณหา(ความอยาก) ใจเรายังมีอุปทาน(ความยึดมั่นถือมั่น) ในเวทนา(ความสุข  ความทุกข์) ที่เราเคยประสพมาแล้ว จึงทำให้เรายังไม่สามารถปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ นั้นได้ ความสงบจึงไม่มีครับ
                              สรุป ผมออกกำลังกาย และเลือกรับประทานอาหารตามที่เป็นประโยชน์เท่านั้น เพราะ ผมต้องการเอาชนะใจตัวเอง ไม่กระทำตามใจที่มันหยาก ที่มันยังยึดมั่นถือมั่นในอายตนะ ๖ พยายามปล่อยวางอายตนะ๖ จะกินอะไรได้ทั้งนั้น เหมือนกับว่าอาหารนั้นคือ “ยา” รักษาชีวิตของผม กินมากก็ไม่ดี  กินน้อยก็ไม่ดี ต้องกินให้พอเหมาะพอดีและได้ประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น ครับ  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #154 เมื่อ: 11 กันยายน 2553, 14:43:17 »


ขอบคุณครับพี่สิงห์  เป็นตัวอย่างที่ดีในการนำธรรมะ มาใช้ในชีวิตประจำวัน

            ท่านขุน28
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #155 เมื่อ: 13 กันยายน 2553, 07:50:32 »

สวัสดี ท่านขุน ๒๘
                         ขอบคุณที่เป็นกำลังใจครับ  ผมก็เขียนตามสิ่งที่ผมปฏิบัติ และปัญญามันเกิดอะไรขึ้น ก็เก็บเอามาเล่าใสู่กันฟังเท่านั้นครับ  อาจจะถูกใจ  อาจจะไม่ถูกใจ  ก็ไม่หวังอะไรทั้งนั้น ครับ

                         เมื่อวันศุกร์ที่ 10  กันยายน ที่ผมไปสอน TAI CHI โยคะ และอยู่อย่างไร? ให้ไร้โรค ให้กับพนักงานปูนซิเมนต์ไทยโรงงานทุ่งสงนั้น ผมก็ได้สอบถาม ทุกท่านรู้เรื่องอาหารการกิน  รู้เรื่องการพักผ่อนดีหมด แต่ทำไม่ได้เพราะ ยังไม่สามารถปล่อยวางจากความหยากกินอาหารที่อร่อยในปริมาณที่มาก ๆ ยังยึดมั่นถือมั่นกับการทำงาน(อาจจะเป็นข้ออ้าง) เลยไม่มีเวลาออกกำลังกาย ผลที่เห็นคือ เพียงแค่ผมให้รำมวยจีน ๒๐ ท่า ท่าละหกเที่ยวเท่านั้น เหงื่อออกมาก บางท่านทำไม่ไหวเพราะเหนื่อย แสดงว่า ร่างกายไม่ได้แข็งแรงจริง ทั้งๆ ตรวจร่างกายเป็นประจำปีทุกคน  นอกจากนี้เวลาทำโยคะ ทำได้ไม่ถึงครึ่งของท่าต่างๆ จำนวน ๔๔ ท่า แสดงว่าข้อต่อต่างๆ และกล้ามเนื้อในร่างกายไม่ยืดหยุ่นเท่าที่ควร หรือบางข้อต่อไม่ได้รับการเหยียดให้ยืดเลย นี่คือความจริงครับ แต่คำตอบที่ทุกท่านตอบผมคือ ไม่สามารถ "เอาชนะใจตนเองได้ครับ" ไปหลง ไปยึดติด(อุปาทาน) ไปหยาก(ตัณหา) กับสิ่งที่เคยกระทำมาหรือได้รับมาก่อน(เวทนา) คือ รสชาดของอาหาร และการอยู่เฉยๆ ครับ ผลจึงเป็นอย่างที่เห็น
                          ลองมาหัด "เอาชนะใจตนเอง" ด้วยการดูแลร่างกายซิครับ คือ ออกกำลังกาย กินอาหารเป็น "ยา" และนอนหัวค่ำ แล้วอะไรที่ดีๆ ก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตของท่านครับ
                          สวัสดียามเช้าครับ

      บันทึกการเข้า
Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #156 เมื่อ: 13 กันยายน 2553, 10:42:55 »

สวัสดียามสายค่ะ ต้อยเพิ่งกลับจากหาดใหญ่ รู้วันพี่สิงค์มานครแล้วเป็นช่วงที่เหมาะดี แล้วค่อยนัดวันนะคะข้อคิดข้อปฏิบัติดีดี
ยังไม่มีเวลาอ่านเลยค่ะ ที่หาดใหญ่ทั้งไทยมุสลิม มาเลย์เดินกันเต็มถนนสายสามกิมหยงที่มอ ก็มีซ้อมรับปริญญา เดี๋ยวนี้คนมาเลย์เริ่มขับรถคาราวานเข้ากระบี่มากขึ้น คงเบือshoppingก็มาเที่ยวธรรมชาตฺบ้างเพราะอ่าวนางเที่ยวได้ทั้งปี ลันตา นักท่องเที่ยว
จากยุโรปน้อยลงกว่าช่วงหน้าไฮซีซันค่ะ     ช่วงอากาศเปลี่ยนพี่สิงค์เดินทางมาทางใต้โดยไม่เป็นหวัดแสดงว่าสุขภาพดี
                                       ต้อย เปี๊ยก ธวัช สบายดีค่ะ
      บันทึกการเข้า

khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #157 เมื่อ: 15 กันยายน 2553, 21:03:20 »

คิดถึงพี่สิงห์อีกแล้ว!
อยู่ที่ไหนคะพี่วันนี้?


nn.27
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #158 เมื่อ: 16 กันยายน 2553, 08:08:07 »

สวัสดียามเช้าครับ คุณน้องหนุงหนิง
                         วันพุธที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา พี่สิงห์อยู่กรุงเทพฯ ครับ เพราะมีการแข่งขันกอล์ฟของชมรมลูกค้า บริษัทสยามลวดเหล็กอุตสาหกรรม จำกัด พี่สิงห์เป็นคนจัดการแข่งขันที่สนามบางกอกกอล์ฟคลับ เสร็จงานสองทุ่มครับ

                         วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน เดินทางไปทำงานที่นครศรีธรรมราช ครับ กลับเย็นวันเสาร์

                         วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน อยู่กรุงเทพฯ เช้าไปตีกอล์ฟกับคุณ John Skinner พี่วิชัย คุณพอลล์ ครับ

                         สำหรับวันที่ 20-22 กันยายน เดิมทีซื้อตั๋วเครื่องบันไปเชียงใหม่-เชียงรายไว้ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจเพราะ พวกแดงนัดชุมนุมกันที่เชียงใหม่ และจะใช้เชียงใหม่เป็นฐานแทนกรุงเทพฯ เลยเป็นกรรมของจังหวัดเชียงใหม่ไป ที่ถึงหน้าท่องเที่ยวแล้ว คงไม่มีใครไปเชียงใหม่มากนักปีนี้  พี่สิงห์กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะไปดีหรือไม่ครับ ถ้าไม่ไปต้องเสียค่าเครื่องบินฟรี 798*2 ครับ

                         วันจันทร์ที่ 27-28 กันยายน กำลังรอตอบรับจาก อสมท.ร่วมกับ ปตท. ไปปลูกป่าให้พ่อที่หัวหินกับ "ราฟาเอล นาดาล" นักเทนนิสมือหนึ่งของโลกที่จะมาแข่งรายการไทยแลนด์โอเพ่น รับเพียง 32 ท่าน พักที่หัวหินหนึ่งคืน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น จากการคัดเลือกบทความ "ลดโลกร้อน" พี่สิงห์เขียนส่งไปที่รายการ "พลังชีวิต" ของคุณอำมร   บรรจง  ไม่ได้หวังเส้นสายอะไรทั้งนั้น ได้ไปร่วมกิจกรรมก็ดี  ไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมก็ดี ครับ ทำตามขั้นตอน

                          เธอกลับเยอรมันเมื่อไรครับ ขอทราบด้วย เพื่อมีโอกาสพบกันที่กรุงเทพฯ ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #159 เมื่อ: 16 กันยายน 2553, 08:35:07 »

สวัสดีครับ ท่านขุน 28
                         พี่สิงห์ชอบใจ "ดูกายเห็นจิต  ดูคิดเห็นธรรม"
                         "ดูกายเห็นจิต" หมายความว่า ทุกขณะไม่ว่าเราจะทำอะไร จะนั่ง  จะนอน จะกิน  จะเดิน ...... ขอให้มี "สติ"(สติ แปลว่า ระลึกได้ คือรู้ตัวว่ากำลังทำอะไร) และเอาสติมาดูกายของเรา หรือขณะเจริญสติเช่นนั่ง "สมาธิ"(จิตตั้งมั่นอยู่ในความสงบ) หรือ "เดินจงกรม"(จิตตั้งมั่นอยู่ในความสงบ) ไม่ว่าใช้วิธีการไดๆ ขอให้เอาเอาสติมาดูกาย คือ กายขอเราจะได้รับเวทนา(ทุกข์ สุข อทุกข์ มสุข) เวลากระทำไปนานๆ จะทำให้จิตใจเราฟุ้งซ่าน เดือดดาล กระวนกระวาย หาเหตุผลต่างๆ นานามาอ้าง ว่าทนอยู่ไม่ได้แล้วในการกระทำนั้น ให้เลิกปฏิบัติเสีย หรือคอยดูสิ่งที่จิตมันคิด ร้อยแปด ว่าทำไมมันต้องคิด อยู่เฉยๆ ไม่ได้หรือ  ถ้าเรามีสติ เราก็มาดูจิตหรือใจของเรา ว่าทำไมใจของเรามันคิดอย่างนั้น มันมีสาเหตุ การคิดนั้นอย่างไร  ทำไม?มันต้องคิดไปเรื่อย จะหยุดคิดได้ไหม  เราจะควบคุมจิตของเราอย่างไร ทำให้เราสามารถจะดูจิตใจของเราได้ และถ้าปฏิบัติต่อเนื่องไปนานเข้าๆ เราก็สามารถเอาชนะจิตใจเราได้ คือจิตเราจะอ่อนลงๆๆๆ ทีละเล็กละน้อยไปเรื่อยๆ จนเราสามารถควบคุมมันได้ คือความสงบ นี่ละ "ดูจิตเห็นธรรม" (ธรรมในที่นี้ คือตัวเรา ว่าธรรมชาติตัวเรามันต้องเป็นเช่นนี้ คือ อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา)
                          "ดูคิดเห็นธรรม" ธรรมในที่นี้คือ ธรรมชาติของรูป-นาม ทุกรูป-นาม จะต้องประสพทั้งนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ อนิจจัง  ทุกขัง อนัตตา คือ สังขารทั้งหลายทุกรูป-นาม นั้นไม่เที่ยง(ไม่จิรังยั่งยืน คงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้) จึงเป็นทุกข์(ทนอยู่ได้ยาก) คือย่อมเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา(ธรรมชาติ)ตามกาลเวลา ไม่มีตัวไม่มีตน ดังนั้นอย่าไปยึดมั่นถือมั่นกับมัน เพราะสิ่งที่เราเห็น เรากระทำ นั้น เราสมมุติมันขึ้นมาทั้งนั้น  เมื่อรูป-นาม ได้รับเวทนา จะทำให้เราทราบจิตใจของเรา ว่าจิตหรือใจของเรามันเป็นอย่างไร มันคิดอย่างไร อะไรเป็นสาเหตุ และจะทำให้สงบได้อย่างไร นั้นละคือ 84000 ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนให้เราเอาชนะใจตนเองละ คือ "ดูคิดเห็นธรรม"
                            ผมก็คิดเรื่อยไปของผมไปนะ "ท่านขุน28"
                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #160 เมื่อ: 16 กันยายน 2553, 08:57:15 »

                          ทุกวันนี้ ผมก็ยอมรับตรงๆ ว่า รอบๆ ตัวผม สภาพสิ่งแวดล้อมต่างๆ มันทำให้เกิดกิเลสทั้งนั้น จะตัดมันนั้นแสนยาก แต่ก็พยายามปล่อยวางในทุกสิ่งให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คือ พอมีอะไรเข้ามาในความคิดหรือการกระทำของเรา หรือ จากอายาตนะ ๖ สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาน ใจ ผมพยายามทำใจเข้าไปรับรู้เท่านั้น ไม่พยายามคิดปรุงแต่ง(สังขาร) ไม่พยายามจำ(สัญญา) และปล่อยให้มันผ่านไป คือให้ตัวเรารู้จักปล่อยวาง จะทำได้ ได้มาก ได้น้อยไม่สำคัญสำหรับตัวผม เพียงแต่ให้ตัวผมมีจิตที่จะมีสติกำหนดให้รับรู้ แล้วปล่อยวางให้ได้ ไปเรื่อยๆ เพียงแค่นี้ก็พอแล้ว  ใจมันจะได้ลดน้อย อ่อนลงจากกิเลสไปเรื่อยๆ
                           ผมยังนั่งเจริญสติอยู่ก่อนนอน และเช้ามืด และรู้ว่าเวลาเช้ามืดนั้น จิตสงบได้ดีจริงๆ เพราะเราตื่นนอน ถ้าก่อนนอนเรากำหนดจิตอยู่ที่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก หรือภาวนา พุธ ตอนลมหายใจเข้า และโธ ตอนลมหายใจออก จะทำให้เราลับง่าย นอนหลับด้วยจิตที่มีสติ  ไม่ฝันร้าย หรือฝันน้อยมาก บางวันไม่ฝันอะไรเลย(คือไม่คิดอะไรเลย) พอตื่นขึ้นมาเรามานั่งเจริญสติ ใจจึงสงบได้มาก นาน เพราะไม่มีเรื่องอะไรให้คิดมาจากการนอน
                           ในขณะทำงาน  เดิน หรือ กิจวัตรประจำวัน ถ้าผมไม่จงใจคิด ผมพยายามจะภาวนา พูธ  โธ ตามลมหายใจเข้า ออก อยู่ในใจเสมอ แต่ตอนขับรถ ผมภาวนาไม่ได้เพราะจะทำให้เราขาดสติในการขับรถ ผมจะเปลี่ยนพยายามกำหนดรู้ว่าเราจะต้องมีสติอยู่ที่ตา มือ เท้า ไม่คิด ให้ตั้งมั่นอยู่ในการขับรถเท่านั้น หรือเวลาทำอะไรก็ตาม จะไม่ให้ใจลอย คือ คิดเรื่อยเปื่อยไปในอีดต อนาคต พยายามอยู่กับปัจจุบัน  เตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาทั้งวัน  ระลึกมันให้มาเข้าไว้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าใจมันคอยจะคิดเสมอ ไม่ยอมหยุดคิดเสียที  สงสัยผมต้องปลีกวิเวกให้มากกว่านี้ และเจริญสติให้มากกว่าปัจจุบัน จิตมันจะได้คิดน้อยๆ หน่อย เพราะไม่มีอะไรมากระทบทางอายตนะ ๖ มากนัก
                            ผมหวังเพียงให้จิตผม มันปล่อยวางได้บ้าง ลดความหยาก ลดการยึดมั่นถือมั่น เพราะเป็นสิ่งที่ผมจะมีชีวิตอยู่อย่างพอเพียงได้ ในขณะนี้และอนาคต สำหรับผู้สูงอายุอย่างผม ครับ
                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #161 เมื่อ: 16 กันยายน 2553, 09:15:22 »

                         บางท่านเสนอแนะผมด้วยความหวังดี คือให้ไปปฏิบัติธรรมตามสำนักต่างๆ หรืออยู่วัด ผมเองขอยึดหลักขอหลวงพ่อเทียน หลวงพ่อชา  คือไม่ยึดติดกับสำนัก อาจารย์ เราทำของเราตามที่ใจเราหยากทำ ไม่ฝืนอะไรทั้งสิ้น ที่ไหนก็ได้ ไม่ยึดหลักพิธีรีตอง เพราะถ้าไปตามสำนัก หรือวัด แต่ละสถานที่ก็มีวิธีการของตน  มีพิธีรีตรองต่างๆ นานา มีคนจำนวนมาก  นั่นไม่ใช่วิธีที่ผมคิดว่าถูกต้อง เพราะหลักมันอยู่ที่ "ดูกายเห็นจิต  ดูคิดเห็นธรรม" เอาชนะใจตนเองให้ได้ในทุกสิ่ง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวาง ทำจิตให้อยู่กับปัจจุบัน คิดในทางธัมมวิจยะ คือเลือกเฟ้นธรรมมาเปรียบเทียบในสิ่งที่เรามีสติ ดูกายของเราจากเวทนา  ดูใจของเราจากสังขารา มันมีเพียงเท่านี้จริง ครับ เพื่อให้เกิดปัญญาญาณ รู้แจ้งเห็นจริงจากตัวของเราเองนี่ละ
                          อีกอย่างผมไม่ได้หวังอะไรมาก นอกจาก ขออยู่อย่างพอเพียง การจะอยู่อย่างพอเพียงได้นั้น ต้องเอาชนะใจของเราให้ได้อย่างมาก การจะเอาชนะใจของเราให้ได้นั้น ก็ด้วยการปฏิบัติเจริญสติให้เกิดปัญญา(ปัญญาจะเกิดเวลาที่จิตเรามันสงบสามารถคิดอะไรที่ดีๆ เสมอโดยเฉพาะเวลาเดินจงกรม) หาเหตุผลให้พบเพื่อเอาเหตุผลนั้นมาเอาชนะใจตนเองให้ได้ ขอเพียงเท่านี้จริงๆ ครับ คือ "ปล่อยวาง อุเบกขา" หรือ "จิตปภัสสร" ครับ
                          สวัสดี

หมายเหตุ
                           พอดีเช้าวันนี้ยังไม่มีอะไรกระทำ รอเวลาเดินทางไปดอนเมือง ครับเลยเขียนเสียยาวหลายตอนเลย เป็นการระบายสิ่งที่อยู่ในใจ ครับ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #162 เมื่อ: 16 กันยายน 2553, 12:48:32 »

พี่สิงห์ที่เคารพ,
โปรแกรมพี่..เต็มเอี๊ยด!
วันนี้เดินทางไปนครฯ smoothนะคะ
ที่นครฯไม่ทราบฝนตกหรือไม่,
ร้อนๆเปียกๆ พี่ระวังหวัด.

โอ,อาทิตย์หน้ามีแผนจะไปเชียงใหม่เหรอคะ?
ถ่ายรูปมาด้วยคะ ถ้าเค้าชุมนุมกันจริงหวังว่า
คงไม่ไปถอยรถถังออกมาเพ่นพ่านนะคะ...
นักท่องเที่ยวไม่ค่อยกลัวกันหรอกคะ..จับพลัด
จับผลูวุ่นวายขึ้นมา พวกเค้าก็โดดลงใต้กันหมด!
ดีค่ะดีเงินทองไม่รั่วไหล.

ขอให้พี่ได้ร่วมงานกอล์ฟปตท.ด้วยเถอะ
จะได้กระทบพวกโปรด้วยกัน...


หนิงและครอบครัวกลับถึงบ้านที่เยอรมันนีแล้วคะ
ตั้งแต่วันที่ 5 กันยาที่ผ่านมา,เด็กๆไปรร.ตั้งแต่วันจันทร์
ที่ 13 กันยาค่ะพี่,robinขึ้นชั้น ม.3ห้องหัวกะทิคัดเพียง 20.
ไก่ฟ้าขึ้นชั้นม.2 มีแต่งานไปบ้านเพื่อนสาวๆไม่ขาด...
สนุกกันจังคะ.


nn.27
      บันทึกการเข้า


Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #163 เมื่อ: 16 กันยายน 2553, 17:04:35 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 16 กันยายน 2553, 08:35:07
สวัสดีครับ ท่านขุน 28
                         พี่สิงห์ชอบใจ "ดูกายเห็นจิต  ดูคิดเห็นธรรม"
                         "ดูกายเห็นจิต" หมายความว่า ทุกขณะไม่ว่าเราจะทำอะไร จะนั่ง  จะนอน จะกิน  จะเดิน ...... ขอให้มี "สติ"(สติ แปลว่า ระลึกได้ คือรู้ตัวว่ากำลังทำอะไร) และเอาสติมาดูกายของเรา หรือขณะเจริญสติเช่นนั่ง "สมาธิ"(จิตตั้งมั่นอยู่ในความสงบ) หรือ "เดินจงกรม"(จิตตั้งมั่นอยู่ในความสงบ) ไม่ว่าใช้วิธีการไดๆ ขอให้เอาเอาสติมาดูกาย คือ กายขอเราจะได้รับเวทนา(ทุกข์ สุข อทุกข์ มสุข) เวลากระทำไปนานๆ จะทำให้จิตใจเราฟุ้งซ่าน เดือดดาล กระวนกระวาย หาเหตุผลต่างๆ นานามาอ้าง ว่าทนอยู่ไม่ได้แล้วในการกระทำนั้น ให้เลิกปฏิบัติเสีย หรือคอยดูสิ่งที่จิตมันคิด ร้อยแปด ว่าทำไมมันต้องคิด อยู่เฉยๆ ไม่ได้หรือ  ถ้าเรามีสติ เราก็มาดูจิตหรือใจของเรา ว่าทำไมใจของเรามันคิดอย่างนั้น มันมีสาเหตุ การคิดนั้นอย่างไร  ทำไม?มันต้องคิดไปเรื่อย จะหยุดคิดได้ไหม  เราจะควบคุมจิตของเราอย่างไร ทำให้เราสามารถจะดูจิตใจของเราได้ และถ้าปฏิบัติต่อเนื่องไปนานเข้าๆ เราก็สามารถเอาชนะจิตใจเราได้ คือจิตเราจะอ่อนลงๆๆๆ ทีละเล็กละน้อยไปเรื่อยๆ จนเราสามารถควบคุมมันได้ คือความสงบ นี่ละ "ดูจิตเห็นธรรม" (ธรรมในที่นี้ คือตัวเรา ว่าธรรมชาติตัวเรามันต้องเป็นเช่นนี้ คือ อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา)
                          "ดูคิดเห็นธรรม" ธรรมในที่นี้คือ ธรรมชาติของรูป-นาม ทุกรูป-นาม จะต้องประสพทั้งนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ อนิจจัง  ทุกขัง อนัตตา คือ สังขารทั้งหลายทุกรูป-นาม นั้นไม่เที่ยง(ไม่จิรังยั่งยืน คงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้) จึงเป็นทุกข์(ทนอยู่ได้ยาก) คือย่อมเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา(ธรรมชาติ)ตามกาลเวลา ไม่มีตัวไม่มีตน ดังนั้นอย่าไปยึดมั่นถือมั่นกับมัน เพราะสิ่งที่เราเห็น เรากระทำ นั้น เราสมมุติมันขึ้นมาทั้งนั้น  เมื่อรูป-นาม ได้รับเวทนา จะทำให้เราทราบจิตใจของเรา ว่าจิตหรือใจของเรามันเป็นอย่างไร มันคิดอย่างไร อะไรเป็นสาเหตุ และจะทำให้สงบได้อย่างไร นั้นละคือ 84000 ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนให้เราเอาชนะใจตนเองละ คือ "ดูคิดเห็นธรรม"
                            ผมก็คิดเรื่อยไปของผมไปนะ "ท่านขุน28"
                            สวัสดี

สวัสดีครับพี่สิงห์
          สำหรับคำพูด   "ดูกายเห็นจิต  ดูคิดเห็นธรรม"  ผมนำมาจากหนังสือของหลวงพ่อเทียนครับ  ผมชอบมาก
ตั้งแต่ได้รู้ว่าพี่สิงห์ปฏิบัติธรรมในแนวหลวงพ่อเทียนและก้าวหน้าไปมากแล้ว  ทำให้ผมที่ขี้เกียจปฏิบัติมีข้ออ้างให้ตัวเองเยอะมาก  ต้องกลับมาปฏิบัติให้มากขิ้น
          ขอบคุณครับพี่สิงห์ที่เป็นแรงบันดาลใจ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #164 เมื่อ: 16 กันยายน 2553, 17:26:11 »

สวัสดีครับ คุณน้องหนุงหนิง
                           พี่สิงห์เดินทางถึงนครศรีธรรมราชแล้ว เย็นนี้ฝนไม่ตก แดดแรงมาก ประมาณห้าโมงครึ่งตอนเย็นพี่สิงห์จะไปออกกำลังกายรำมวยจีน  โยคะ และนั่งเจริญสติให้เหงื่อแห้งถึงหนึ่งทุ่ม แลัวไปกินข้าวเย็นเบาๆ วันนี้คงเป็นสลัดทูน่า ครับและนอนตอนสามทุ่มครึ่งครับ
                           พี่สิงห์ไปปลูกป่าให้พ่อ จัดโดย อสมท.และปตท.ที่หัวหิน ร่วมกับราฟาเอลนาดาล  นักเทนนิสครับ แต่ยังรอผลอยู่ว่าทาง อสมท.จะเชิญให้ไปหรือไม่ครับ โอกาสคงริบหรี่ครับเข้าใจว่าคนสมัครแยะครับ ขึ้นกับผลงานการเขียน "ลดโลกร้อน" ของใครจะโดนใจกรรมการครับ พี่สิงห์เขียนตามที่พี่สิงหืปฏิบัติได้เท่านั้น โอกาสมันจึงมีน้อย คือ เข้านอนเร็วประหยัดไฟฟ้าทำให้สุขภาพดี  งดใช้แอร์เพราะทำให้โลกร้อนจากความร้อนที่แอร์ระบายออกมาและประหยัดไฟฟ้า งดนอนในห้องแอร์เพราะทำให้เป็นโรคแพ้อากาศและเพื่อประหยัดไฟฟ้า และปลุกผักสวนครัวในบ้านเพื่อปลูกจิตสำนึกให้คนในบ้านได้ตระหนักถึงสภาวะโลกร้อน ยังเพิ่มพื้นที่สีเขียวในบ้านให้เย็นใจ และได้รับประทานผักปลอดสารพิษ ครับ เป็นเรื่องง่ายๆ แต่คงไม่โดนใจกรรมการครับ
                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #165 เมื่อ: 16 กันยายน 2553, 17:54:46 »

พี่สิงห์ที่เคารพ,
เรื่องของพี่ ใกล้ตัวและปฏิบัติได้จริง
หนิงหวังว่ากรรมการพิจารณาคงเป็น
กลุ่มคนที่รู้ว่า...realistic & illusionแตกต่างกัน!

เรื่อง Umweltนี้ใกล้ตัวหนิงมากๆ
ที่โน่นสนับสนุนให้เข้าถึงผู้คน
แม้หนทางจะกลับกัน!!คือพลังงาน
ที่นั่นหมดเปลืองไปกับการทำให้ร้อน!!
โลกหนาวน่ะค่ะ ดึงพลังงานดิน-ฟ้า-ลม-ไฟ
มาใช้กันสุดฤทธิ์เท่าที่เทคโลโลยี่ความสามารถ
ของคนจะไปถึง...
และrecycleกันแล้วกันอีกไม่รู้จักกี่รอบ
ประหยัดน้ำ ไฟ พลังงานให้มากโดยทำให้แพง
พูดเรื่องนี้แล้ว...เยอรมันเป็นแชมป์คะ!


nn.27
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #166 เมื่อ: 16 กันยายน 2553, 20:30:50 »

สวัสดีตอนค่ำครับชาวเวบที่รักทุกท่าน
                         ขอบคุณคุณน้องหนุงหนิงที่ให้กำลังใจ ครับ ถ้าได้ไปผมจะถ่ายรูปกับ คุณอำมร   บรรจง และราฟาเอลนาดาล มาอวด ดร.ป๋องครับ

                         ขณะนี้ที่นครศรีธรรมราชฝนตกหนักครับ

                         เมื่อตอนเย็นภายหลังจากออกกำลังกายเสร็จ ผมก็นั่งเจริญสติ อยู่ที่เทอเรสชั้นสามลมเย็นสบาย มีเสียงนกร้องรวมกลุ่มก่อนหลับนอนยามค่ำคืน และมีเสียงดนตรีเพลงยุค 70 ปี ก็ดีไปอย่างหนึ่งทำให้เราบังคับจิตของเราได้ ถึงแม้จะได้ยินทางหู ดูด้วยตา แต่ถ้าเรามีจิตตั้งมั่นได้แล้ว เสียงเพลง เสียงนก เราไม่ได้ยินเลยเพราะสติเราไปอยู่กับการเคลื่อนไหวด้วยมือ พยายามเอาสติมาดูทั้งกายและใจ  วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่มีกิเลสน้อยหน่อย เพราะสามารถทำใจให้มีสมาธิได้อย่างมาก  สดชื่น  ใจไม่คิดอะไรเลย ว่างๆ ไปสักพักใหญ่ก็ปล่อยให้ใจมันคิดตามธรรมชาติของมัน ใจมันก็คิดเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวด้วยมือของเรา เกิดเวทนา(ได้รับความทุกข์)เพราะนั่งขัดสมาธิอยู่นานเกือบชั่วโมง แต่ก็ทำใจไม่ให้ปวดเหมื่อยได้ คือไม่คิดถึงมัน สักครู่ปัญญาก็เกิดขึ้นมาทันทีเลย เรากำลังได้รับความทุกข์อยู่ขณะนี้  หรือสงบอยู่ขณะนี้ มันเกิดขึ้นจากการกระทำของเราทั้งนั้น  ไม่ได้มีใครทำกับเราเลย กายเราจะทุกข์ ก็ตัวเราทำ กายเราจะสุขก็ตัวเราทำ กายของเราเฉยๆ ก็ตัวเราทำ ทั้งนั้น เพราะนั่งเจริญสติอยู่  ในทำนองเดียวกัน ความทุกข์  ความสุข ไม่ทุกข์ ไม่สุข ที่เกิดขึ้นกับเราในชีวิตประจำวันก็เหมือนกัน ส่วนใหญ่เกิดจากการกระทำของเราที่มีใจเราเป็นตัวสั่งการทั้งนั้น  ไม่มีใครมากระทำกับเราเลย  ยกเว้นภัยธรรมชาติเท่านั้น  ดังนั้นถ้าเราเอาชนะใจของเราได้  ไม่ให้มันไปคิดก่อทุกข์ คือ ตัณหา(ความอยาก) และอุปาทาน(ยึดมั่นถือมั่น) เสียได้เราก็คงไม่มีทุกข์ เพราะทุกข์เกิดจากการกระทำของเราทั้งนั้น คนอื่นไม่ได้ทำให้เราเกิดทุกข์เลย  ดังนั้นพระท่านจึงสอนให้เราสนใจแต่กายและใจของเราไม่ต้องไปสนใจผู้อื่น เพราะตัวของเราเท่านั้นที่จะก่อทุกข์ให้กับตัวเรา มันก็เป็นจริงของท่านจริงๆ ครับ
                           สรุป สุข ทุกข์ ที่เกิดขึ้นกับเรานั้น เราเป็นผู้กระทำทั้งสิ้นหามีผู้อื่นทำให้ไม่ ดังนั้น ถ้าจะตัดทุกข์ไม่ให้เกิดกับเราก็ต้องตัดเหตุที่ใจของเรา คือเอาชนะใจตนเองให้ได้  บังคับใจให้ปล่อยวางไม่ให้เกิดตัณหา และอุปาทาน เราก็ไม่ทุกข์แล้ว แต่จะเอาชนะใจตนเองนี่ละมันยาก ต้องใช้ความเพียร อดทน และเวลาอย่างมาก ครับ
                          ราตรีสวัสดิ์ครับ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #167 เมื่อ: 17 กันยายน 2553, 02:05:37 »

หลับให้สบายคะพี่
จิตพี่ปลอดโปร่งโล่งเบา
พี่คงหลับได้ลึก.
ขอให้สดชื่นรับเสียงธรรมชาติ
ในตอนเช้านะคะ..จิตที่รับธรรมชาติได้
สงบแล้วค่ะ
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #168 เมื่อ: 17 กันยายน 2553, 21:31:27 »

สวัสดีครับชาวเวบที่รักทุกท่าน
                         วันนี้นึกว่าจะไม่มีอะไรมาพูดคุยกันแล้ว พอดีตอนค่ำไปนั่งรับประทานข้าวต้มเป็นอาหารเย็น กำลังจะกินพอดี หนุ่มพนักงานโรงแรมเป็นพนักงานเสริฟในห้องอาหารก็มาขอรับคำปรึกษา ครับ "อาจารย์มานพครับ ผมขอปรึกษาหน่อย ผมกลุ้มใจมากครับ คือผมทำงานดึกเลิกตีสอง ต้องกินเหล้า สังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานและลูกพี่ กลับบ้านเมียด่าหาว่าไปกินเหล้า  จึงมีความคิดว่าจะลาออกจากงานที่ทำไปอยู่บ้านกับพ่อที่ปลดเกษียณแล้ว ครับ ผมจะทำอย่างไรดีครับ"
                         อยู่ดีไม่ว่าดีเลยเรา ผมก็บอกไปว่าใจเย็น ๆ ตั้งสติให้ดีก่อนไม่ต้องร้องให้ ทุกอย่างแก้ด้วยปัญญา ผมก็บอกว่าสิ่งที่ผู้หญิง(เมีย)ไม่ชอบสามีมีอยู่สามประการอย่างน้อยคือ ผัวกินเหล้าเมากลับบ้าน๑ เล่นการพนัน๑ มีเมียน้อย๑ เป็นสิ่งที่ไม่ดี  ในความเห็นของอาจารย์เหล้ากินไปแล้วพอเมาหรือตึงๆ จะขาดสติ พอกลับไปบ้านเมียบ่นหน่อยก็เดือดดาล โมโห ขอให้งดดื่มเหล้าดีกว่าเก็บเงินไว้ดีกว่า  สำหรับข้อที่ต้องสังสรรค์กับเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานนั้น ข้อนี้ไม่จำเป็นต้องกินเหล้าถึงจะร่วมงานกันได้  ยังมีอย่างอื่นอีกมากที่จะร่วมงานกันได้ไม่ใช่เหล้าแน่นอน อาจารย์เดาได้เลยเจ้านายเธอและเพื่อนร่วมงานกลับบ้านก็โดนเมียด่าเหมือนกัน  สิ่งทั้งหมดที่เรากลุ้มใจ ใครเป็นคนทำก็เราทำทั้งนั้น ดังนั้นถ้าจะแก้ไขให้มันดีก็ต้องแก้ที่ตัวเราเท่านั้น คือเลิกกินเหล้า ให้ตัดความยากให้ได้ เอาชนะใจตนเองให้ได้ ด้วยปัญญาของเธอเอง เธอจะรู้ว่าต้นเหตุมามาจากเธอและเหล้า ก้ต้องแก้ที่เหตุ  ส่วนเรื่องงานนั้นค่อยๆคิดด้วยปัญญา  ถ้ากลับบ้านมีงานทำมีรายได้มากว่าอยู่ที่นี่ ก็ลาออกไปได้  แต่ถ้าไม่ดีกว่าอย่าลาออกเลย เพราะอยู่ในวัยย์ทำงาน ต้องรู้จักเก็บเงินเพื่อครอบครัว สรุป ให้ตัดความยาก เอาชนะใจตนเองให้ได้ ให้มีสติและใช้ปัญญาแก้ไขอุปสรรคนั้น รับรองทำได้แน่ๆ
                       เทศนาไปเสียกัณใหญ่  ได้ผลหยุดร้องให้  มีสติขึ้น  ใจเย็นขึ้น หายวิตกกังวล ทำให้ผลเบาใจหน่อยครับ
                       ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #169 เมื่อ: 17 กันยายน 2553, 22:05:13 »

 สวัสดีค่ะพี่สิงห์...
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #170 เมื่อ: 17 กันยายน 2553, 22:25:25 »

พี่สิงห์คะ
พ่อหนิงสมาคมและสังสรรค์กะหลายกลุ่ม
(เพื่อนร่วมงาน,เพื่อนฝูง,คนข้างบ้าน ฯลฯ)
เห็นติดตามาตลอดชีวิต....ว่า
ไม่เป็นการง่ายที่จะละเลิกได้แนบเนียน
โดยที่ไม่เสียการสมาคมและเข้ากลุ่ม
หนิงรู้ว่ากำลังพูดอะไร...แถบทางใต้ทำอะไรเหมือนๆกัน
การผิดแผกแตกต่างต้องพริ้วจริงๆจึงจะปลอดจากเรื่อง
แบบนี้..
ถามว่าผู้เป็นภรรยาต้องตั้งตัว เตรียมใจอย่างไร
จึงจะacceptเรื่องอย่างนี้ได้โดยความเต็มใจและตั้งใจ
จากสามี ไม่ให้เสียเพื่อน เสียการสมาคม...
เพราะหนิงแน่ใจว่าภรรยาส่วนใหญ่ห่วงใย
ว่าการดื่มจะทำให้เป็นสาเหตุของเรื่องอื่นๆตามมา
เค้าผู้นั้นล่ะค่ะที่ต้องไคร่ครวญ มีวินัยในตัวเอง
อยากเลิก เลิกเพราะอะไร หากเลี่ยงก็ต้องใช้เวลา
ในการเนียนดื่มน้ำ ดื่มโค้กในวงเหล้าให้ได้โดย
ไม่เสียโอกาสของการสมาคม...

หนิงไม่เคยเห็นด้วยกับการคะยั้นคะยอให้ดื่ม
การยกแก้วชนยังพอทำเนาว่าแก้วเราใส่น้ำ!
แต่ดื่มจากแก้วเพื่อน...ไม่รู้มีเชื้ออะไรมั่ง!!

อ้อ,ลืมตบท้ายว่าแม่หนิงยอมรับได้ยังไงต่อเรื่องนี้
จำได้ว่าบางงานแม่ไปด้วย แต่เม้าธ์แตกวงผู้หญิง
ถึงเวลาก็จะกลับง่ะ...หรือไม่พ่อกรึ้บนิด ส่งให้แม่
กรึ้บหน่อยถ้อยทีถ้อยอาศัย...ม่วนซื่นกันดี..ชีวิตคู่โอ้ลัลล้า


nn.27
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #171 เมื่อ: 18 กันยายน 2553, 08:15:12 »

สวัสดียามเช้าค่ะ คุณน้องหนุงหนิง
                           ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำครับ แต่ผมยังยึดหลักตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ พอเหล้าเข้าปากไปเท่านั้น คนเปลี่ยนนิสัยไปทันที สู่ห่างไกลเสียดีกว่า ครับ
                           วันนี้มีรูปแม่มาให้ดูครับ

                        อาทิตย์ที่ผ่านมาผมทำผิดกับแม่ คือไม่ได้ไปเยี่ยมแม่เพราะมัวสาระวนอยู่กับหลายเรื่อง ผลคือผมคุมสติไม่อยู่ครับ ฟุ้งซ่าน เดือดดาลใจ วิตกกังวล ปรุงแต่งอารมณ์ไปสารพัดตกเป็นทาษความคิดของตัวเอง ติดอยู่กับความคิด ปัญญาดีๆไม่เกิดเลยครับ นี่ละกรรมเห็นทันตาเลย
                        เมื่อเช้ามืดหลังจากรำมวยจีน โยคะแล้ว ผมก็นั่งเจริญสติวิปัสสนา เสียนาน เพื่อควบคุมจิตที่ฟุ้งซ่าน ให้กับมานิ่ง ไม่สนใจเวลาทั้งสิ้น จนกระทั้งจิตนิ่ง มีความเย็นผ่านมารู้สึกสบาย เบาๆ ทำให้สมองว่างจากความคิดต่างๆ ได้นาน แต่ก่อนหน้านั้น พยายามใคร่ครวญถึงจิตเรา มามองดูสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับจิตเรา ทำไมจิตเราฟุ้งซ่านเสียจริงบ่ายที่ผ่านมา ทไไมเราเป็นทาษของความคิด ไปติดกับมัน  เราขาดสติหรือเปล่า ก็พบว่า เหตุที่ใจเราฟุ้งซ่าน  วิตกกังวลนั้น เราขาดสติ๑ ตกเป็นทาษความคิด๑ ไม่อยู่กับปัจจุบัน๑ ผลคือ ใจเราวิตกกังวล กลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิด เพราะเป็นอนาคตทั้งสิ้นในสิ่งที่เราเป็นทาษของจิต  ก็ลองมาใคร่ครวญดู ก็พบว่า สิ่งที่ทำให้จิตผมวิตกกังวล  ฟุ้งซ่าน เดือดดาลใจ ได้นั้น ตอนนี้พอสรุปหาเหตุผลได้สองประการคือ
                      ๑. เห็นสิ่งใดที่ตัวเราไม่เคยกระทำ หรือประสพกับสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่ได้รัก หรือกระทำไม่เหมือนเรา หรือตามความคิดของเรา ก็จะเป็นทุกข์ หรือพรุ่งพร่านเดือดดาลใจ ขึ้นมาทันที บางครั้งลืมตัว สติมาไม่ทัน แต่บางครั้งสติมาทันก็ที่จะแสดงอารมณ์ตอบ
                      ๒. วิตกกังวลไปในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง อันนี้เป็นมาก ทั้งเรื่องการทำงานที่เราห่วงใย และเรื่องส่วนตัว เพราะอยู่คนเดียว ทำให้จิตวิตกกังวล ฟุ้งซ่านมาก ผลที่ตามมาคือ ปัญญาไม่เกิด ติออยู่ในความคิดอยู่อย่างนั้น
                          ก็เลยมานั่งทำสติ ทำไม จิตเรามันเป็นอย่างนั้น แสดงว่า เรามักมากในกาม หรือเปล่า จึงทบทวนใหม่ทั้งหมด ว่าเราต้องอยู่กับปัจจุบันให้ได้ ต้องตัดที่ความคิด ไม่ปรุงแต่งอารมณ์ที่คิดขึ้นมา รับรู้ ปล่อยให้ผ่านไป  พอคิดได้อย่างนี้  จิตก็สงบลง มีสมาธิตั้งมั่นอยู่ได้นาน สุข สงบ กลับมาอีกครั้งหนึ่ง พร้อมที่จะเอาอารมณ์นี้ไปใช้ในการทำงาน  ให้ทำงาน ณ ปัจจุบัน  ใช้ปัญญาแก้ปัญหาไปทีละเปราะ ๆ ไม่กังวลอนาคต ทั้งสิ้น ทุกอย่างมันย่อมมีเกิด และดับไปเป็นธรรมชาติอยู่แล้วในทุกเหตุการ เราเฝ้าดูมันด้วยปัญญาก็พอแล้ว  จะทุกข์หรือสุขไม่มีใครทำให้กับเรา เราเป็นผู้กระทำทั้งสิ้น ดังนั้นปล่อยวางมันไป อย่าไปยึดมั่นถือมั่น อย่าไปยาก กับมัน ปล่อยให้เป็นธรรมชาติ เพราะมันก็ไม่มีตัวมีตนอยู่แล้ว ในสิ่งต่างๆ เหล่านั้น อยู่ที่เราจะเอาชนะใจตนเองได้ในแต่ละวันๆ ไปเรื่อยๆ หรือเปล่า  นี่ละชีวิตเราผม
                          สงสัยผมจะพล่ามไปคนเดียว ชักเบื่อตัวเองเหมือนกัน แต่มันคือความจริงที่เกิดขึ้นกับตัวผม ที่ผมคอยดูกาย(เพื่อสังเกต เวทนาและการเจ็บป่วยว่ามันเกิดขึ้น  ดับลงอย่างไร) คอยดูจิต ที่มันคิดแต่ละวันแต่ละนาที ทำไมมันคิดอย่างนั้น เมื่อมันคิดก็พยายามหาคำตอบให้กับตัวเอง
                         สวัสดียามเช้าครับ
                       
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #172 เมื่อ: 18 กันยายน 2553, 08:41:35 »

อาจารย์ป๋อง  อาจารย์รุ่งศักดิ์ อาจารย์ถาวร และท่านขุน๒๘ ผ่านมาทางนี้ช่วยด้วย
                        ผมกำลังถูก "พยามารตัวใหม่" เล่นงานอย่างแรงมาก คือ มารที่ทำให้จิตวิตกกังวล  ฟุ้งซ่านในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ยังอยู่ในอนาคต ซึ่งมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิดก็ได้ กำลังผจญกับมันครับ เพราะมารตัวเก่า คือมารจากความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  มันไม่ค่อยมารังควานผมแล้ว หายหน้าไปนาน แต่มารตัวใหม่นี่สิ รังควานอย่างหนัก ครับ จิตเพิ่งสงบลงได้เมื่อเช้านี้เองครับ ช่วยด้วย
                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
BU_KA
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 986

« ตอบ #173 เมื่อ: 18 กันยายน 2553, 08:44:52 »

กราบเรียน พี่สิงห์ ที่เคารพ

หนูไม่ใช่คนเข้าวัดเข้าวา

แต่หนูชอบอ่าน ประสบการณ์จริง ในการฝึกจิตใจให้สงบ ของพี่สิงห์ค่ะ



ติดตามมาตลอด
อ่านไปคิดทบทวนตัวเองไปเรื่อย ๆ  ฝึกไป
มีความสุขที่ได้ฝึกจิตให้สงบค่ะ


      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #174 เมื่อ: 18 กันยายน 2553, 12:17:13 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 18 กันยายน 2553, 08:41:35
อาจารย์ป๋อง  อาจารย์รุ่งศักดิ์ อาจารย์ถาวร และท่านขุน๒๘ ผ่านมาทางนี้ช่วยด้วย
                       ผมกำลังถูก "พยามารตัวใหม่" เล่นงานอย่างแรงมาก คือ มารที่ทำให้จิตวิตกกังวล  ฟุ้งซ่านในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ยังอยู่ในอนาคต ซึ่งมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิดก็ได้ กำลังผจญกับมันครับ เพราะมารตัวเก่า คือมารจากความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  มันไม่ค่อยมารังควานผมแล้ว หายหน้าไปนาน แต่มารตัวใหม่นี่สิ รังควานอย่างหนัก ครับ จิตเพิ่งสงบลงได้เมื่อเช้านี้เองครับ ช่วยด้วย
                         สวัสดี
อ้างถึง
ข้อความของ BU_KA เมื่อ 18 กันยายน 2553, 08:44:52
กราบเรียน พี่สิงห์ ที่เคารพ

หนูไม่ใช่คนเข้าวัดเข้าวา

แต่หนูชอบอ่าน ประสบการณ์จริง ในการฝึกจิตใจให้สงบ ของพี่สิงห์ค่ะ



ติดตามมาตลอด
อ่านไปคิดทบทวนตัวเองไปเรื่อย ๆ  ฝึกไป
มีความสุขที่ได้ฝึกจิตให้สงบค่ะ



รบกวนอาจารย์น้องหมี ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับพญามารตัวใหม่ของพี่สิงห์หน่อยสิครับ
(ถ้าผ่านมา)


เอ ! หรือว่าเป็นเทคนิควิธี ที่อาจารย์มานพใช้ชักนำศิษย์ให้เข้าสู่บทเรียนภาคใหม่ก็ไม่รู้แฮะ
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
  หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><