lek_adisorn
|
|
« ตอบ #9350 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2556, 18:27:19 » |
|
สวัสดีครับพี่นก กราบขออภัยถ้าผมทำให้พี่เข้าใจที่ผมพิมพ์ผิดไปความจริงคือ เพลงลาแล้วจามจุรี เวอร์ชั่นนี้ คำร้อง : แก้ว อัจฉริยะกุล , ทำนอง : เอื้อ สุนทรสนาน ขับร้อง : มัณฑนา โมรากุล แต่คลิปที่นำมาเสนอ มีเสียงของพี่เปรมตอนต้นนิดเดียวครับ ซึ่งทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของ VDO ประวัติหอฯนำมาฉายงานคืนสู่เหย้า รุ่นที่พี่สิงห์เป็นประธานครับ
|
|
|
|
lek_adisorn
|
|
« ตอบ #9351 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2556, 18:32:56 » |
|
|
|
|
|
lek_adisorn
|
|
« ตอบ #9352 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2556, 18:34:28 » |
|
|
|
|
|
lek_adisorn
|
|
« ตอบ #9353 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2556, 18:36:06 » |
|
|
|
|
|
lek_adisorn
|
|
« ตอบ #9354 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2556, 18:38:21 » |
|
|
|
|
|
lek_adisorn
|
|
« ตอบ #9355 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2556, 18:41:03 » |
|
|
|
|
|
nok15
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 529
|
|
« ตอบ #9356 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2556, 19:55:37 » |
|
สวัสดีค่ะน้องเล็กอดิสร พี่ทราบว่าน้องหมายถึงเพลงที่ขึ้นต้นว่า"ลมแผ่วโบย..." เพราะพี่อ่านจากข้อมูลของพี่สิงห์แล้ว ขอบคุณนะคะ พี่Nok15 สนามกีฬาของหอ สวยน่าเล่นจัง
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9357 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2556, 21:35:31 » |
|
สวัสดีครับ อดิสร
ได้ชมภาพอาคารเอนกประสงค์ และ เสียงของพี่เปรม ในเพลงลาแล้วจามจุรี รวมทั้งภาพประกอบ
ต้องขอขอบคุณ ที่ได้จัดทำขึ้น แสดงถึงจิตคนทำ ที่มีความรักผูกพันธ์กับพี่เปรม ยิ่ง ขอชื่นชม
เมื่อมีสถานที่แล้ว ใครอยากฝึกโยคะ ชิกง จัดโปรแกรมได้เลย จะรับอาสาสอนให้ครับ
สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9358 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2556, 21:43:24 » |
|
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน
พี่สิงห์ กลับมาถึง กทม. เมื่อตอนสามทุ่ม
อย่าลืม ขอเรียนเชิญทุกท่านไปร่วมเป็นเจ้าภาพงานสวดพระอภิธรรมหน่าศพ ี่เปรมประจักษ์ โปตะวณิช
วันอังคารที่ ๑๘ มิถุนายน เวลา ๑๘:๓๐ น. ศาลา ๑ วัดดมงกุฏฯ ครับ
ราตรีสวัสดิ์ทุกท่าน
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9359 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2556, 06:09:44 » |
|
เปิดฟัง - ชมภาพ หลายครั้ง ทำนึกถึงความผูกพันธ์ บรรยากาศเก่า ๆ ผุดขึ้นมาในจิต มีแต่ความประทับใจ เป็นอดีตที่สุข จิตมนุษย์นั้น จะจำอดีตที่สุข ประทับใจเสมอ แต่ถ้าเป็นอดีตที่ทุกข์ ไม่น่าจดจำ มันจะลืม ไม่ผุดขึ้นมาให้นึกคิด ต้องขอขอบคุณอดิสร ยิ่ง สวัสดียามเช้าทุกท่านครับ
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9360 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2556, 08:28:54 » |
|
การแก้ปัญหาการปฏิบัติธรรม
ด้วย
อิทธิบาท ๔ อิทธิบาท ๔ คือ ธรรมอันเมื่อดำท่านเอาไปใช้ จะในการกระทำหรือปฏิบัติ จะประสบความสำเร็จได้ เป็นธรรมที่ให้กำลังใจ ใคร่ครวญด้วยเหตุ-ผล และใช้ปัญญา ประกอบด้วย
๑. ฉันทะ คือมีใจรัก หรือศรัทธาที่จะกระทำงานนั้น สิ่งนั้น และภาวนา
๒. วิริยะ คือมีความอุตสาหะ บากบั่นกระทำด้วยความอดทน ถึงที่สุด จนกว่างานนั้นจะสำเร็จ เอาชนะอุปสรรคที่ขวางกั้นทุกประการด้วยความเพียร มีมานะ และอดทน
๓. จิตตะ คือการะทำด้วยจิตใจที่แน่วแน่ มั่นคง กระทำจริง ไม่คลอนแคลน หรือล้มเลิกกางคัน
๔. วิมังสา คือใช้ปัญญา ใครครวญ หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อแก้ไขอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จนสามารถกระทำจนสำเร็จงานนั้นได้
ในการปฏิบัติธรรมนั้น สิ่งแรก คือท่านต้องพิจารณาคือการเอาชนะใจตนเอง ด้วยการระวังกาย วาจา และใจ ให้เป็นปกติด้วยการรักษาศีล อย่างน้อยศีล ๕ และระวังเมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้ดมกลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส และเมื่อสัมผัสทางกาย บางครั้งท่านแพ้ใจหย่อนยาน ในการกระทำนั้น ท่านต้องนึกถึงอิทธิบาท ๔ เอามาแก้ไข ให้ท่านยังสามารถสำรวมกายวาจา ใจ ได้ ไม่มีธรรมอื่นใดที่จะแก้ปัญหาได้เท่ากับอิทธิบาท ๔ ครับ
นอกจากนี้ในการทำงานอะไรก็แล้วแต่ สามารถกระทำงานนั้นให้สำเร็จได้ ด้วยการใช้หลักธรรม อิทธิบาท ๔ นี้เป็นจริงทุกประการ
อย่าลืม พุทธดำรัสที่มีต่อพระอานนท์ ผู้ใดเจริญอิทธิบาท ๔ ให้มากแล้ว สามารถจะมีอายุไขได้ ๑ กัปป์
สวัสดี พิจารณาด้วยปัญญาภายใน ให้เห็นจริงตามนี้ อะนิจจา วะตะ สังขารา, สังขารนี้ ไม่เที่ยงหมด,
อุปปาทะวะยะธัมมิโน, มีการเกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไปเป็นธรรมดา,
อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ, เมื่อเกิดขึ้น ย่อมดับไป,
เตสังวู ปะสะโม สุโข, ความเข้าไปสงบระงับแห่งสังขาร คือ ความคิดปรุงแต่งนี้เสียได้ ย่อมเป็นสุข ดังนี้.สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน
เช้านี้อยู่บ้าน ได้หุงข้าวใส่บาตรพระตอนเช้าเรียนร้อยแล้ว เมื่อวานคุณนิรันดร์ แห่งย่าโมคอนกรีต ได้เอาขนมลูกกระเทียม OTOP ของอำเภอสูงเนินมาให้ มันมากเกินไป เช้านี้เลยมีขนมใส่บาตรพระ
เช้านี้มีภาระกิจ ที่จะต้องไปช่วยหลานสาว ที่ไปตกปากรับคำนักธุรกิจชาวเกาหลี ในการผลิตคานสำเร็จรูป จำนวนหลายสิบล้านบาท ได้ขอร้องให้ผมไปช่วยดูบ้างว่า จะทำอย่างไรดี อะไรที่ช่วยได้ ผมก็ต้องช่วย พระพุทธองค์สอนว่า จงอนุเคราะห์กับคนที่ควรอนุเคราะห์ อานิสสงจะเกิดขึ้น
สำหรับการปฏิบัติธรรม ครั้งที่ผ่านมาผมได้กล่าวถึงการนำหลักธรรมอิทธิบาท ๔ มาใช้ในการปฏิบัติธรรมภาวนาเพื่อให้สำรวมกาย วาจา ใจ ให้การรักษษศีล อย่างน้อยศีล ๕ ให้คงอยู่ตลอดไป และการสำรวมอินทรีย์ เมื่อเห็นสักแต่ว่าเห็น เมื่อได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน เมื่อดมกลิ่นสักแต่ว่าได้ดมกลิ่น เมื่อลิ้มรสสักแต่ว่าได้ลิ้มรส เมื่อสัมผัสทางกายสักแต่ว่าได้สัมผัสทางกาย ไม่ยินดียินร้ายทั้งสิ้น คือสุข ชอบก็ไม่เอา ทุกข์ ไม่ชอบก็ไม่เอา มันกระทำยากเราต้องใช้หลัก อิทธบาท ๔ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา มาใช้เป็นตัวช่วย ให้ยังสามารถสำรวมอินทรีย์และศีลเอาไว้ได้
วันนี้เราจะมาเรียนรู้การนำ อินทรีย์ ๕คือธรรมที่เป็นใหญ่ ๕ ประการมาใช้แก้ปัญหา เมื่อเราได้ภาวนาไปแล้ว เป็นแล้วเกิดความเบื่อหน่าย ความลังเลสงสัย จนทำให้จิตของเราไม่อยากจะภาวนา ต่อแล้ว จะทำอย่างไรดี เพราะอารมณ์นี้ย่อมเกิดกับคนทุกคน ไม่ยกเว้นสำหรับนักภาวนาทั้งหลายอินทรีย์ ๕ อินทรีย์ ๕ คือธรรมที่เป็นใหญ่ ๕ ประการ ประกอบด้วย ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา
สำหรับผู้ที่ปฏิบัติธรรมไปสักพัก ถึง หนึ่งปี จะมีช่วงที่ไม่ก้าวหน้า เกิดความลังเลสงสัยในข้อที่กำลังปฏิบัติอยู่ว่า ปฏิบัติถูกต้องหรือเปล่า จะสามารถพ้นทุกข์ได้จริงไหมหนอ? เป็นหนทางแห่งนิพพานไหม? ยังยินดีในกามคุณ ๕ คือยังยินดีในเมื่อตาเห็นรูป ยังยินดีในเมื่อหูได้ยินเสียง ยังยินดีในจมูกที่ได้ดมกลิ่น ยังยินดีที่ลิ้นได้ลิ้มรสอาหาร และยังยินดีในการที่ได้รับรสสัมผัสทางกาย
นอกจากนี้ในการปฏิบัิตภาวนา ต้องกระทำต่อเนื่องเกิดความเหมื่อยล้า เกิดความเบื่อหน่าย หอหู่ ง่วงนอนอยากเลิก หรือเดือดดาลใจ พูดง่าย ๆ คือเกิดนิวรณื ๕ นั่นเองได้แก่ กามฉันทะ พยาบาท ถีนะมิทธะ อุจทัจจกุกัจจะ และวิจิกิจฉา
ท่านจะต้องนึกถึงอินทรีย์ ๕ ให้มาเป็นตัวช่วยให้ทันท่วงที จึงจะแก้ปัญหาได้
๑. ศรัทธา ท่านต้องมีศรัทธาในคำสอนของพระพุทะองค์ ว่าสามารถพ้นทุกข์ และถึงนิพพานได้จริง และเชื่อมั่นในวิธรการภาวนาที่ท่านกำลังปฏิบัติอยู่ อย่าลืมทุกวิธีการถ้าสามารถมีความรู้สึกตัวเป็นปัจจุบัน คือมีสติ-สัมปะชัญญะ เกิดขึ้น นั้นถูกต้องหมด ท่านจะทราบด้วยตัวของท่านเอง ท่านต้องเข้าใจอันนี้สามารถแยกความคิด และตัวรู้สึก คือสติ ออกมาจากกัน ให้ได้เป็นอันดับแรก แล้วท่านจะทราบเองว่า สิ่งที่ท่านภาวนาอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง อย่าลืมมันเป็น ปัจจัตตัง คือ ผู้รู้ รู้ได้เฉพาะตน ท่านต้องแยกสติออกมาจากโมหะให้ได้ และท่านต้องไม่ติดอยู่ในสมถะ คือความสงบอย่างเดียว ที่จิตมันชอบ ท่านต้องทำปัญญาภายในให้เกิดด้วยการวิปัสสนา ในธรรม
ถ้าท่านไม่รู้ว่า วิปัสนาในธรรมคืออะไร ก็ให้ดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิตท่าน เมื่อมีสุข มีทุกข์ ชอบ ไม่ชอบ เมื่อโกรธ เมื่อหลง เมื่อโลภ ท่านเพียงแต่ตามดูเท่านั้น มันจะเกิดปัญญาของมันเอง หรือ
ยกเอาธรรมของพระพุทธองค์ มาพิจารณาให้เห็นจริงตามนั้น
ท่านต้องมีศรัทธา เชื่อมั่น ในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสังสอน ไม่คลอนแคลน
๒. วิริยะ แน่นอนท่านต้องใช้ความเพียรเป็นอย่างยิ่งในการภาวนา เพราะหนทางนี้ไม่สุข มีแต่ทุกข์ ทุกข์เพราะต้องเอาชนะจิตใจตนเอง ที่จิตตนเองไม่ชอบเลย ไม่ต้องการให้เอาชนะ ท่านต้องทราบความจริงอันนี้พิจารณาเห็นจริงตามนี้ จึงจะเกิดวิริยะ เอาชนะจิตตนเอง ที่จะยังสามารถภาวนา ต่อไปได้
๓. สติ ท่านต้องมีความระลึกรู้ในกาย และตามรู้จิตท่าน ตลอดเวลา ถ้าท่านตามรู้ได้จริง (ตัวท่านเท่านั้นที่ทราบ) ปัยหาต่าง ๆ ความลังเลสงสัย มันจะสิ้นไปเอง เพราะท่านไม่ได้คิด ไม่ได้ปรุงแต่ง แต่อย่างลืม จิตท่านมันยังทำไม่ได้ ยังหลง-รู้ และหลงมากกว่ารู้ นิวรณ์ย่อมบังเกิดขึ้นเสมอ ยังหลงอยู่ในความคิด ยังนึกถึงสุขที่พึงได้รับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งจิตมันชอบ ท่านต้องมีสติเป็นปัจจุบันให้มากไว้
๔. สมาธิ ท่านต้องภาวนาให้เป็นอารมณ์เดียว ให้เกิดขึ้น ถึงแม้จะเป็นชั่วครู่ชั่วยาม ก้ตาม โดยเฉพาะ ญาณทั้งสี่ นั้น อย่าลืมญาณทั้งสี่ประกอบด้วยสงัดจากกาม สงัดจากวิตก สงัดจากวิจาร ละปีติ ละสุข ละทุกข์ มีสติสมบูรณ์เป็นปัจจุบัน เป็นเอกคัตตา ท่านสามารถทำได้จริง เพียงแต่ท่านไม่รู้มาก่อนเท่านั้น เมื่อจิตท่านดำรงค์อยู่เป็นสมาธิ ท่านจะละนิวรณ์ อุปสรรค ต่าง ๆ ได้เอง ท่านจะมีจิตที่สว่าง สง แจ่มใสในจิต ถึงจะเป็นชั่วครู่ชั่วยามแต่ถ้ามันเกิดบ่อยๆ ขึ้น มันจะถาวรได้ คือเข้า-ออกในญาณ ได้ง่าย
อย่าลืมการเข้าญาณทั้ง ๔ นั้น ต้องทำสติให้เป็นสมาธิดังที่กล่าว
ไม่ใช่อยู่ด้วยญาณทั้ง ๔ ตลอดเวลา ท่านต้องทราบความจริงอันนี้
ท่านอยากจะเข้าญาณทั้ง ๔ เมื่อท่านต้องการพักจิต อยู่ด้วยสุญญตาวิหารธรรมเท่านั้น
๕. ปัญญา คำสอนของพระพุทธองค์ ต้องใช้ปัญญา มันเป็นวิทยาศาสตร์ จริงเสมอ ท่านสามารถวิเคราะห์ ใคร่ครวญ หาเหตุ-ผล ด้วยปัญญาของท่าน ท่านจะพบความจริงเสมอ ปัญญานั้นมีทั้งปัญญาภายนอกที่เกิดจากการสดับ ฟัง อ่าน เห็น หรือคิิด แต่วิปัสนาปัญญา นั้นเกิดจากปัญญาที่ตาภายในมันเห็น คือเกิดดวงตาเห็นธรรม เข้าใจได้เอง รู้ได้เอง มันเป็นอารมณ์แห่งการรู้แล้วเข้าใจ ฝังรากลึกลงในจิต ที่จิตมันเห็นจริงตามในสิ่งที่รู้นั้นและจะไม่ลืมเลย แต่ถ้าเกิดปัญญาจากการสดับ ส่วนใหญ่มันจะลืม เพราะจิตมันยังไม่รู้ ได้แต่การจำเท่านั้นเอง
ก็ร่ายยาวมาพอสมควรแก่เวลา และการอ่านของท่าน ขอจบลงด้วยเพียงเท่านี้
เอวังด้วยประการฉะนี้ในการแก้ปัญหาของนิวรณ์ ทั้ง ๕
สวัสดี
|
|
|
|
|
สมชาย17
|
|
« ตอบ #9362 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2556, 11:36:30 » |
|
พี่ป๋อง มีผมเป็นเพื่อน อีกคน ผมก็โลจิกผิดเหมือนกัน
|
|
|
|
|
|
lek_adisorn
|
|
« ตอบ #9365 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2556, 12:26:44 » |
|
เอพี่ป๋องครับคำว่า"โลจิก" เห็นบางคนเขาเรียก "ลอจิก" หรือ "รอจิก" มันเหมือนกันไหมครับพี่....
|
|
|
|
lek_adisorn
|
|
« ตอบ #9366 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2556, 12:28:20 » |
|
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9367 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2556, 16:35:00 » |
|
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน
อะไร ๆ ที่เป็นความประทับใจ จิตมันจะจำได้เสมอ
แต่อะไร ๆ ที่ไม่ประทับใจ จิตมันจะลืม ยกเว้นทุกข์นั้นสาหัสากรรจ์ จิตมันก็จำ
ลองไปดูคุณพ่อ-คุณแม่ หรือในหมู่ชาวซีมะโด่ง ที่อายุมากกว่า ๕๐ ปีขึ้นไป พอพบหน้ากัน ก็จะคุยกันแต่เรื่องประทับใจและไม่ประทับใจสุด ๆ ในอดีตกันทั้งนั้น
คอยดู ดร.สุริยา เป็นตัวอย่าง
นี่คือ ความจริง
แต่คนที่ยังยึดติดในกามคุณ ๕ คือ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้ดมกลิ่ม ลิ้นได้ลิ้มรส กายได้สัมผัส ก็ต้องปล่อยไป ตัวใครตัวมัน ไม่ใช่ตัวเรา เราระวังแทนเขา คิดแทนเขา ไม่ได้ นั่นคือความจริง
อีกสักครู่ว่า จะออกเดินทางไปัดมงกุฎฯ เพื่อไปฟังพระสวดพระอภิธรรมหน้าศพ พี่เปรมประจักษ์ โปตะวณิช ครับ
สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9368 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2556, 17:46:48 » |
|
พี่สิงห์ อยู่ที่วัดแล้วครับ มี พี่ตัน คุณหนุ๋น รศ.ประกายแก้ว อาจารย์เพ็ญพรรณ ดร.สุริยา คุณรองรัตน์
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9369 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2556, 17:48:15 » |
|
ยังมีเวลา เรียนเชิญ ทุกท่านที่ว่าง ครับ สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9370 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2556, 18:07:42 » |
|
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9371 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2556, 18:08:43 » |
|
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9372 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2556, 18:09:28 » |
|
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9373 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2556, 18:10:19 » |
|
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #9374 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2556, 18:11:11 » |
|
|
|
|
|
|